ธรรมบรรยาย

พัฒนาจิต

พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม)

เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี และ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี

ผู้มีปณิธานมั่นคง และ มีผลงานพัฒนาคนให้สูงด้วยคุณธรรม

พุพุทโธโลยี

42-10

 

มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา คนเราจะดีได้อยู่ที่จิตใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ชัดเจน จิตเป็นหัวหน้า ถ้าจิตดีงานทั้งหลายดีหมด พระพุทธเจ้าให้พัฒนาจิตก่อน เมื่อพัฒนาจิตดีแล้ว ให้พัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมต่อไป ขอให้นำเอาหลักเกณฑ์วิธีการ ๓ ส. ๓ จ. ๕ จริงทุกสิ่ง ป.ป.ร.ก. ไปใช้ รับรองเจริญทั้งวัด เจริญทั้งบ้าน เจริญทั้งประเทศ

 

พระพุทธศาสนานั้น เจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรอยู่แล้วเป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทำให้คนเห็นชัดในด้านรูปแบบของพระสงฆ์สาวก ได้รับมรดกมาจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เป็นรูปธรรมให้ประชาชนเห็นชัดในด้านนามธรรม พระสงฆ์มีกิจกรรมสร้างประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มความสามารถ แต่การพัฒนานั้นเราสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ

 

การพัฒนานั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงชัดเจนมาก คนเราจะดีได้อยู่ที่จิตใจ มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตเป็นหัวหน้า ถ้าจิตดีเสียแล้วงานทั้งหมดดีหมด พระพุทธเจ้าให้พัฒนาตรงนี้ก่อน เมื่อพัฒนาจิตดีแล้ว ให้พัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมต่อไป

 

การพัฒนาจิต ถ้าจิตของประชาชน จิตของพระสงฆ์ดีแล้ว ถูกต้องตามครรลองของชีวิตแล้ว ก็จะได้เริ่มพัฒนาการศึกษาง่ายขึ้น การศึกษาแสวงหาวิชาความรู้ก็จะง่ายขึ้น ที่สุดถ้าพัฒนาจิตดีแล้ว จะได้การศึกษาสูงขึ้น มีความรู้คู่ความดี เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง คือ พัฒนาจิต ถ้าจิตไม่ดีแล้ว เรียนก็ไม่รู้ ดูก็ไม่จำ ทำก็ไม่จริง ทุกสิ่งก็ไม่ได้ ตรงนี้พระพุทธเจ้าทรงเน้นมาก ทรงเน้นให้พัฒนาจิต ถ้าท่านผู้ใดจิตดีแล้ว การศึกษาดีหมด จะเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ทั้งกิจกรรมที่มีประโยชน์ในตนและครอบครัว

 

การพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจากศึกษาจบหลักสูตรแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ให้นิ่งนอนใจอยู่แค่นั้น ให้เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจให้รุ่งโรจน์ต่อไป ให้เงินไหลนองทองไหลมา ใช้วิชาที่ได้เรียนมาให้เป็นประโยชน์ต่องาน ต่อสังคมต่อไป

 

การพัฒนาสังคม เมื่อพัฒนาเศรษฐกิจดีแล้ว พระพุทธเจ้าเน้นอีกให้พัฒนาสังคม ให้พี่น้องทุกคนอยู่ด้วยความเมตตา ปรองดองเหมือนญาติพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่มีการแตกแยก ไม่มีการขาดความสามัคคี สร้างแต่ความดีร่วมกันในสังคม ทั้งพี่ทั้งน้องทั้งญาติวงศ์พงศาทุกหมู่เหล่า จะเป็นต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษา ก็ให้ปรองดองกัน ด้วยความเมตตาปราณี อารี เอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูกัน

 

การพัฒนาจิตนั้นเป็นเชิงปฏิบัติการ ถ้าจิตท่านผู้ใดดีแล้ว ดีหมดทุกอย่าง ในเมื่อจิตดีแล้ว สุขภาพจิตก็ดีด้วย เมื่อสุขภาพจิตดีการงานก็ดี

 

ความเจริญรุ่งเรืองของคนนั้น ต้องมีหลักปฏิบัติ ไม่ใช่เชิงปฏิบัติ ต้องศึกษาแสวงหาความรู้วิชาการหลายด้าน ไม่ใช่ด้านเดียว แต่การที่จะศึกษาหาวิชาการมาพัฒนานั้นมีอยู่ ๒ ประการคือ

 

๑.   คันถธุระ

๒.   วิปัสสนาธุระ

 

คันถธุระ ต้องเรียนหนังสือทั้งหมด เรียนโลกียปัญญา ปัญญาทางโลก ต้องเรียนทั้งนั้น การเรียนหาวิชาความรู้ใส่ตนเป็นภาคบังคับ เรียกว่า โลกียปัญญา โลกธรรมต้องพึ่งพาอาศัยกัน เรามีธรรมะต้องอาศัยโลก โลกอยู่ได้เพราะธรรมค้ำจุน คือ เมตตาค้ำจุนโลกไว้ได้ ดังที่กล่าวแล้ว ดังนั้น คันถธุระนี้จึงต้องเรียนทุกอย่าง ถ้าไม่เรียนก็ไม่รู้เรื่อง

 

วิปัสสนาธุระ ต้องปฏิบัติทุกรูปแบบ สมถกรรมฐาน แปลว่า ต้องศึกษาความจริงของชีวิต แจ้งแล้ว เข้าใจแล้ว อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย คลายทิฏฐิ ดำริชอบ ประกอบกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญแล้ว วิปัสสนาธุระจึงเป็น โลกุตรปัญญา ต้องคู่กันไปกับปัญญาทางโลก โลกุตรปัญญา หมายความว่า ปัญญาที่ได้จากตัวเอง แก้ไขปัญหาทุกข์ แก้ไขปัญหาชีวิต ที่เกิดขึ้นในครอบครัวนั้น

 

หลักศาสนาของพระพุทธเจ้าสอนชัดเจนมาก ชัดทั้งรูปธรรมให้เห็นชัด ชัดทั้งนามธรรม คือ ปฏิบัติธรรมได้ มีทั้งโลกียปัญญา มีทั้งโลกุตรปัญญา

 

โลกุตรปัญญา คือ ปัญญาในตัว เกิดขึ้นในตัว ปัญญาติดมากับตัว ความรู้อยู่ในตำรา ศรัทธาสนใจ ศึกษาเอาเองได้ ปัญญาในตัวแก้ไขปัญหาได้ ปัญญานอกตัวแก้ไขปัญหาไม่ได้ คือ เรียนวิชาเป็นดอกเตอร์ แก้ไขปัญหาไม่ได้ จึงจำเป็นเหลือเกินต้องมีวิปัสสนาธุระ ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ต้องเรียนคู่กันไปทั้งสองอย่าง สมถะเป็นการศึกษาปัญหาชีวิต พอชีวิตได้ผลแจ้งชัดถึงจิตใจของข้าพเจ้าแล้ว รูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์แล้ว จึงเรียกวิปัสสนาธุระ ได้ทั้งสองประการควบคู่กันไปแล้ว รับรองว่า ศาสนาเจริญ คนเจริญอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ แต่ศาสนาอยู่คงที่คงวาไม่มีเสื่อม ไม่มีคลาย ไม่มีถอยหลัง แต่คนเรานี่เสื่อม เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ

 

ปัญญาทั้งสองทางนี้พระพุทธเจ้าเน้นมาก ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตาเพียงอย่างเดียว พระยุคใหม่สมัยนี้ทิ้งปริยัติธรรมหมดแล้ว บวชแล้วไม่ต้องเรียน นักธรรมตรีก็ไม่ได้ ปฏิบัติผิดทั้งนั้น ในเมื่อผิดเช่นนี้แล้วก็ไปสอนผิด เอาจริตของบุคคลมาใช้ ตามใจคนใช้ไม่ได้ คำว่า สมถะนั้นต้องตามจริต จะชอบอย่างไร ชักจูงมาทางรูปแบบ แต่วิปัสสนาธุระ คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ ไม่ต้องแก้จริต คนเรามีสติสัมปชัญญะเมื่อใด มีปัญญาแก้ไขเมื่อนั้น ถ้าขาดสติสัมปชัญญะเมื่อใด ปัญญาที่จะแก้ปัญหาก็หมดไป

 

พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนามานานถึง ๔๕ พรรษา พระองค์มีปัญญาของพระองค์ในตัวเอง จึงจะช่วยชาวโลกให้พ้นเสียจากทุกข์นานาประการได้ ปัญญานอกตัวช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่ก็ช่วยให้ประกอบอาชีพการงานเป็นหลักฐาน ท่านทั้งหลายถ้ามีความรู้สูงแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชีวิตได้ ก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องอาศัยซึ่งกันและกัน

 

ถ้าไม่มีโลกียปัญญา จะไม่มีอาชีพการงาน ไม่ได้เรียนแล้วจะไปทำอะไรได้ เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า ถ้าไม่ได้เรียนแล้ว จะไปทำงานเรื่องไฟฟ้าได้ไหม แต่ถ้าเป็นดอกเตอร์ทางไฟฟ้าทำได้ เป็นวิศวกรรมศาสตร์ หรือ แพทย์ศาสตร์ เวชศาสตร์ เก่งมากแต่ขาดโลกุตรปัญญา ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้เช่นกัน

 

การเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังจะเสียหลักศาสนา ศาสนาไม่ได้สอนเครื่องรางของขลัง แต่เป็นความนิยมของประชาชนหมู่หนึ่งที่มีศรัทธาเชื่อมั่นของเขาอย่างนั้น เช่น ผีเจ้าเข้าทรง คนขาดสติสัมปชัญญะแล้ว ผีจะเข้าเจ้าจะทรง ตรงนี้ขาดธรรมะ เพราะฉะนั้นคนมีสติสัมปชัญญะผีก็ไม่เข้า เจ้าก็ไม่ทรง เพราะมีสติดี ตรงนี้ขอเน้น พระพุทธเจ้าท่านสอนชัดเจนมาก แต่ท่านพุทธศาสนิกชนทั่วไปขาดสติสัมปชัญญะ ผีก็เข้าเจ้าก็ทรง เลยกลายเป็นว่าไสยศาสตร์เป็นหลักศาสนา สนใจหาแต่เครื่องรางของขลัง แต่ธรรมะไม่หาเลย ไม่สนใจด้วย

 

คนเดี๋ยวนี้เข้าวัดมาก แต่การปฏิบัติธรรมไม่มี เมื่อสมัยก่อนปูย่าตาทวดหลักศาสนาแข็งมาก เป็นหลักฐาน คือ เข้าวัดรักษาอุโบสถในวันพระ เดี๋ยวนี้เข้าวัดไม่ใช่รักษาอุโบสถ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม แต่ไปทัวร์บุญ ไปเที่ยวตามวัด ไปหาเรื่องกับพระ ไปติฉินวัดวาอาราม เป็นต้น

 

พระพุทธเจ้าสอนเข้าวัดปฏิบัติธรรมต้องให้ครบ ๓ วัด คือ

๑.   วัตถุธรรม

๒.   วัดอารมณ์

๓.   วัดจิตใจ

 

ปัจจุบันนี้คนหาแต่เครื่องรางของขลัง ถือดอกไม้ธูปเทียนไปหาพระ ไปให้พระช่วยทั้งนั้น แต่ไม่ช่วยตัวเอง ถ้าคันถธุระเชี่ยวชาญจะเกิดปริยัติศาสนา เข้มงวดกวดขัน มีปฏิบัติศาสนาและปฏิเวธศาสนา เมื่อมีครบทั้ง ๓ อย่างรับรองว่า ไปรอดปลอดภัย แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีปริยัติศาสนา และประชาชนทั่วไปนับถือศาสนาพุทธแต่แบบฟอร์ม ไม่เคยศึกษาอันใด ปริยัติศาสนาก็ไม่ได้เรียน ไม่ปฏิบัติศาสนาด้วย ปฏิเวธธรรมจะเกิดขึ้นในกิจกรรมประจำชีวิตได้อย่างไรเล่า

 

คนสมัยนี้ปฏิบัติศาสนาน้อยมาก ไปเที่ยวดูวัดสวยงามเท่านั้นเอง ไม่ต้องปฏิบัติธรรมเลย คนสมัยนี้เข้าวัดมากกว่าสมัยก่อน สมัยก่อนเข้าวัดน้อยแต่ปฏิบัติธรรมมาก คนเดี๋ยวนี้เข้าวัดมากเป็นร้อย ๆ พัน ๆ แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย เอาดอกไม่ธูปเทียนมาให้พระช่วย ช่วยหน่อยเจ้าข้า ช่วยให้ขายที่ได้บ้าง ช่วยให้สามีกลับบ้านบ้าง ช่วยให้ครอบครัวมีความสุขบ้าง แต่โดยวิธีปฏิบัติแล้ว เขาไม่ได้ปฏิบัติศาสนาเลย ไหนเลยล่ะจะช่วยได้

 

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ชัดเจนว่า

 

๑.   สอนตัวเองให้ได้

๒.   พึ่งตัวเองได้

๓.   สอนตัวเองได้

 

ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นหลักศาสนาที่ชัดเจนที่ย่อลงมา แต่เชิงปฏิบัติการ คนเราทั่วไปไม่เคยปฏิบัติเลย ปฏิบัติแต่ข้าวขันแกงโถ เวลาเลี้ยงพระถือว่าเป็นศาสนา และทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างศาลา สร้างโบสถ์ เรียกว่าบุญสงเคราะห์ เป็นบุญนอกตัวทั้งนั้น แต่ปฏิบัติตัวเองนี่ลืมไปเป็นบุญสงเคราะห์ตัวเอง ทำให้เกิดปัญญาในตัว อันนี้มีความหมายอยู่มาก

 

ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเหล่าหลายภาษาแพ้ฝรั่ง อาตมาไปยุโรป ๕ ประเทศ มีแต่คนไทยถือดอกไม้มาให้บุญช่วย แต่ฝรั่งมาหาธรรมะ แสวงหาธรรมะ ฝรั่งปฏิบัติธรรมะมาก เดี๋ยวนี้ตรงกันข้ามแล้ว คนไทยไปเอาของฝรั่งมา ฝรั่งเอาของคนไทยไป มีมารยาทชาติผู้ดี มีศีลธรรม ทำไมหนอฝรั่งไม่เคยไปวัด ไม่เคยทอดกฐิน ไม่เคยทอดผ้าป่า ไม่เคยทำบุญสุนทานแบบเราชาวพุทธ แต่ทำไมฝรั่งร่ำรวยมหาศาล ทั้งนี้เพราะเขามีธรรมะ มีธรรมะอยู่ที่จิตใจของเขา เขาปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัด ขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้านแต่ประการใด เขาตรงไปตรงมาด้วยยุติธรรม ก็มีธรรมะประจำใจของเขา ไม่จำต้องกล่าวว่ามานั่งในวัดหรือมาเที่ยวกันในวัด

 

สำหรับข้อวัตรปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสอนว่า พระภิกษุผ่านเวจกุฏีสกปรก หนีไปเป็นอาบัติโทษทันที แสดงว่าพระพุทธเจ้าเน้นเรื่องห้องน้ำ ห้องสุขา ต้องสะอาดหมด พระภิกษุละเลยข้อนี้เป็นอาบัติโทษ อันนี้เรียกว่า กิจวัตร

 

อาตมามาอยู่วัดอัมพวันนี้สมัยนั้นยังยากจนไม่มีอะไรเลย ต้องฉันข้าวกับน้ำปลา ไม่มีกับข้าวเลย แต่บัดนี้ตรงกันข้ามแล้ว เอาหลักศาสนา เอาหลักกิจวัตรวัฒนาวัด ช่วยกันปัด ช่วยกันกวาดอาวาส ลานเจดีย์ อย่าสกปรก ตรงนี้ซึ้งใจเหลือเกิน พระพุทธเจ้าสอนให้ทำกิจวัตร จะพูดสมัยใหม่ให้ฟังดังนี้

 

ดูบ้านเมือง...ดูที่ความสะอาด

ดูประชาชาติ...ดูที่ความสามัคคี

ดูลูกหลาน...ดูที่การเคารพ

ดูหญิง...ดูที่ความอาย

ดูชาย...ดูที่ความกล้าหาญ

ดูพระ...ดูที่กิจวัตร

 

            อาตมาใช้หลักศาสนาพัฒนา เงินทองไม่มีเลยเพราะพระไม่มีปัจจัย แต่ทำไมให้มีเงินทางได้ ได้อาศัยเสด็จพ่อ ปฏิบัติตามที่ท่านได้ฝากหลักศาสนาไว้กับพุทธบริษัทแล้ว เราก็นำเอามาพัฒนาขึ้น

 

            พระไตรปิฎกเพิ่งมีต่อเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว สังคายนาขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเราจะขาดตำรา เรียกว่า พระบาลี ไวยากรณ์ มคธภาษา ถ้าเราทิ้งปริยัตินี้แล้ว เราจะขาดปฏิบัติ จะเดินทางหลงผิด ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มากมายเหลือเกิน เช่น พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก เรียนจนแก่ตายก็ไม่จบ มากมายเหมือนทรายในมหาสมุทร แต่คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นท่านย่อใจความให้น้อยลงไปเหมือนเม็ดทรายในกำมือ

 

            พระองค์กำใบไม้ ๑ กำ บอกว่าคำสอนนี้น้อยมากเท่ากับใบไม้กำมือเดียว ใบไม้ยังอยู่ในป่าอีกมากมาย คำสอนของพระพุทธเจ้าแค่กำมือเดียวก็ยังทำกันไม่ได้ สรุปย่อคำสอนเหลือสาม พระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่ที่ ไตรสิกขา ท่านบอกว่า อย่าขาดไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่เอาไตรมาไว้ที่ที่นอน กอดไตรไว้ โยมก็เป็นพระได้ ถ้ามีไตรสิกขา

 

            ย่อพระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนภาคปฏิบัติ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าพระภิกษุขาด ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นสมมตสงฆ์ โสภาเสยยะ สมมติสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว แต่องค์นี้เป็นสมมติสงฆ์ธรรมดา ต้องปฏิบัติไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงจะมีพระเกิดจากสมมติบัญญัติ เป็นนามบัญญัติ สภาวะเกิดขึ้นแล้ว

 

            ย่อเหลือสอง คือ สติ สัมปชัญญะ

            สรุปเหลือหนึ่ง คือ อย่าประมาท

           

            เท่านี้เองก็ยังทำกันไม่ได้ คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ครอบคลุมจักรวาลธาตุ เป็นฐานของเจดีย์ คอระฆังคือ สติสัมปชัญญะ ยอดเจดีย์ทองคือ อย่าประมาท อยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา เอามาพัฒนาบ้านได้ แต่ไม่นำมาใช้กัน จะไปสวรรค์ ไปนิพพาน แต่สมบัติมนุษย์ไม่มีเลย

 

          ของหายาก ๔ ประการ ท่านมีกันแล้วหรือยัง

 

๑.     กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ เกิดมาเป็นมนุษย์แสนจะยากมาก องมีกุศลกรรมบถ ๑๐ ครบ มีคุณสมบัติของมนุษย์มา จึงมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้ แถมเมื่ออยู่ในท้องแม่ก็ลำบาก ยากที่สุด กว่าจะเคลื่อนคลอดจากคัพภาของมารดาใช้เวลา ๑๐ เดือนก็ยาก บางคนไม่ทันร้องตายในท้องก็มากหลาย นี่แหละเกิดมาเป็นมนุษย์ยากมาก

๒.    กิจฉัง มัจฉาน ชีวิตัง เรามีชีวิตรอดมาได้ถึงขณะนี้ก็ยากอยู่ ยากมาก อันนี้จะไม่ขออธิบาย

๓.   กิจฉัง สัทธัมมัสสวนัง การที่เราจะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านี้ยาก คนเดี๋ยวนี้เชิญมาฟังเทศน์ฟังธรรมไม่มา จ้างยังไม่มาเลย ยากตรงนี้ ไม่มีบุญวาสนาจะมาฟังธรรมได้ เอารถไปลากเอาช้างไปฉุดก็ยังมามา ถ้าบอกว่าไปดูคอนเสิร์ต ไปชอปปิ้ง ไม่ต้องจ้าไปได้เลย การฟังธรรมนี้ยากมาก คนไม่มีบุญไม่มีโอกาสฟังธรรมหรอก

๔.   กิจโฉ พุทธานมฺปปาโท การที่เราเกิดมาพบพบพระพุทธเจ้า ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี้ก็ยากมาก ถ้าไม่เกิดอยู่ในถิ่นฐาน ไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว เราก็ยากที่จะพบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่ลืมตาอ้าปากได้อย่างนี้หรอก ขอสรุปลงไปว่า ของหายาก ๔ ประการนี้ ท่านมีครบแล้วหรือยัง ถ้าครบแล้วก็ใช้ได้

 

ถ้าเป็นพระภิกษุนวกะ อุปัชฌาย์ท่านจะให้กาสาวพัสตร์ ท่านบอกให้เรียนกรรมฐานก่อน แล้วค่อยห่มผ้าอย่างนี้

 

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

ตโจ ทันตา นขา  โลมา เกสา

เบื้องต่ำปลายผมลงไป เบื้องบนปลายเท้าขึ้นมา

 

กว่าอาตมาจะทำได้ใช้เวลา ๑๐ ปี เบื้องต่ำปลายผมลงไป เบื้องบนปลายเท้าขึ้นมา วิธีปฏิบัติศาสนาต้องการให้มีสติอยู่กับจิต ต้องการให้แนบสนิท บวชจริง บวชให้ถึงใจ ได้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางใจไป

 

พระพุทธเจ้ายอดพัฒนามาก เอาศีลมาพัฒนา ศีล แปลว่า ปกติ คนไม่มีสติสัมปชัญญะ คนนั้นจะไม่มีศีลไม่มีธรรม ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะควบคุมจิตไว้ได้ คนนั้นมีศีลมีธรรม จิตใจก็เป็นมนุษย์ มนุสโส ไม่ใช่มนุสสเปโต จะออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจน

 

ศีลทำให้สะอาด ที่กินสะอาด ที่ถ่ายสะดวก กินของร้อน นอนในมุ้ง ทุ่งในส้วม สวมรองเท้า พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัด ถ้าบ้านไหนมีศีล บ้านนั้นสะอาดหมด โรงครัวสะอาด เวจกุฎี ห้องสุขา สะอาดหมด เรือนมีระเบียบเรียบร้อย เพราะเรือนนั้นเป็นวัตถุไม่มีวิญญาณ นี่คือศีล ทำให้เกิดความสะอาด นำไปพัฒนาได้เลย

 

พระภิกษุสงฆ์ต้องกวาด กวาดให้สะอาด สะอาดนอกสะอาดใน จิตใจก็กวาดกิเลสไปด้วย อย่าเอากิเลสมาไว้ในใจ ต้องกวาดอย่าให้สกปรก ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง พระพุทธเจ้าเป็นยอดพัฒนาตรงนี้เอง

 

นอกจากนี้ท่านยังให้พึ่งตัวเอง ขอฝากพระภิกษุนวกะไว้ด้วย ในบาตรมีอะไร มีเข็ม ด้าย หิน มีดโกน เครื่องกรองน้ำ ให้ช่วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งคนอื่นต่อไป อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ออกมาชัดเจนมาก

 

ศีลข้อเดียวพัฒนาประเทศได้ อย่าสกปรก อย่าลามก อย่าทิ้งขยะมูลฝอยลงกลางถนน ลงกลางแม่น้ำ เป็นต้น นี่คือ ศีล สติดี สัมปชัญญะดี บ้านนั้นสะอาด ห้องน้ำห้องส้วมสะอาด วัดวาอารามสะอาดหมด สะอาดทั้งวัดสะอาดทั้งบ้าน ถ้าโยมมีศีลจริงรับรองสะอาดหมดเลย เสื้อผ้าอาภรณ์สะอาด หน้าตาสะอาดออกมาอย่างนี้

 

มีสมาธิ จับงานอย่าทิ้งงานและหน้าที่ อย่าขยันนอกหน้าที่การงาน ปรับปรุงตัวเองในสมาธิ

 

มีปัญญา งานจะสำเร็จออกมาเรียบร้อย แก้ไขปัญหาไปในตัวด้วย

 

ถ้าหากว่าท่านผู้ใดขาดการปฏิบัติพระกรรมฐานแล้ว จะทำอะไรก็ไม่ได้ผล เช่น รับศีล โยมมารับศีลอุโบสถ ให้อ้าปากรับสักหมื่นหน ให้ศีลสักร้อยครั้งก็ไม่ได้ผล ป้าอ้ารับได้ แต่จิตไม่ยอมรับ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมไตรสิกขา เป็นไปไม่ได้แน่ ปากรับแล้วยังไปฆ่าสัตว์ รับแล้วยังไปเบียดเบียนทรัพย์ รับแล้วยังไปล่วงประเวณีในสังคมน่าบัดสี รับแล้วยังไปหลอกลวงโลกหวังเอาลาภเขา พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ รับแล้วยังไม่ดื่มสุรายาเมา ถ้าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศาสนาเมื่อใด ปฏิเวธมันแจ้งแก่ใจ โดย ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ รู้ได้เฉพาะผู้ปฏิบัติเท่านั้น

 

หลักศาสนาอีกประการหนึ่ง พระภิกษุนวกะที่บวชใหม่ในพระศาสนา ต้องจดเวลาไว้ โสภาเสยยะ จดไว้ทำไม ต้องการให้เคารพผู้ใหญ่ เคารพอาวุโส เอาไปใช้ได้ทุกกาลสมัย เป็นผู้น้อยอย่างนิ่งดูดาย ควรเคารพผู้ใหญ่ ไปลามาไหว้ อ่อนน้อมถ่อมตน ปากหวาน ตัวอ่อน อาวุโส ภันเต ต้องเคารพบูชาผู้ใหญ่ ผู้เป็นประธาน ต้องเชื่อฟังท่าน นี่สอนตั้งแต่บวชเลยนะ โสภาเสยยะ จดบวชเวลานี้ ผู้บวชแต่ภายหลังต้องเคารพผู้บวชก่อน เป็นผู้น้อยอย่าบังอาจแก่ผู้ใหญ่ ต้องมีการเคารพตลอดรายการ ชัดเจนมาก แสดงว่าพระพุทธเจ้าสอนตรงนี้

 

คนที่มีสติสัมปชัญญะดีแล้ว จะปากหวาน ตัวอ่อน มือเป็นหงอน ไปก็ลามาก็ไหว้ มารยาทก็สวยน่ารัก สาวหนุ่มเดี๋ยวนี้สวยน่าเกลียด เดินจะเหยียบหัวผู้เฒ่าผู้แก่ พบพระก็ไม่นมัสการ

 

คนมีศีลดูตรงไหน ดูที่เดินมาก็รู้ เดินมีระเบียบไหม เดินสวยน่ารักไหม พูดจาไพเราะเพราะพริ้งไหม คนที่มีศีลจะกล่าวแต่วาจาไพเราะ กล่าวในที่ควรกล่าว ดูกาลเวลา กล่าวด้วยความจริง กล่าวด้วยเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง กล่าววาจาสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนและอ่อนหวาน กล่าววาจาเป็นลักษณะที่แสดงออกด้วยเมตตาปรารถนาดีทุกคน กล่าววาจาเช่นนี้ คือ คนมีศีล

 

พระพุทธเจ้านำศีลไปพัฒนากาย พัฒนาจิต หรือ พัฒนาอะไร บ้านเมืองสะอาดหมด ประชาชาติก็สามัคคีกัน อาตมาไปยุโรปมา ๕ ประเทศ ไม่มีขยะมูลฝอย ดูแม่น้ำลำคลองสะอาดหมด ฝรั่งเขามีศีล เราขาดศีลกัน จึงได้สกปรกลามกเช่นนี้ มักง่าย มักได้ สรุปมรรค ๘ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เน้นหลักสติปัฏฐาน ๔ เป็นทางสายเอกของพระพุทธเจ้า

 

คนที่มีสติสัมปชัญญะอยู่ประจำตัว จะขยันเรียนหนังสือ จะขยันทำงาน เป็นประโยชน์แก่ครอบครัว ทำให้ครอบครัวมีความสุข ตรงนี้ อาตมาเอามาพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้นมาอยู่วัดอัมพวัน เป็นเจ้าอาวาส ๔๐ ปี แล้ว เป็นเจ้าคณะอำเภอ ๒๒ ปี รู้หมดแล้ว บ้านเหนือ บ้านใต้ ยากจนหาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า จึงสร้างโรงเรียนส่งลูกไปเรียนหนังสือ บ้านนี้พัฒนาแล้ว พระพุทธเจ้าให้พัฒนาการศึกษา พัฒนาจิตดีแล้วก็ไปเรียนหนังสือ ตอนนี้ไปมีงานทำกันหมดแล้ว ไปได้สามีภรรยาที่อื่น ถ้าได้คนบ้านเดียวกันจะไม่มีที่อยู่

 

กรุงสุโขทัยราชธานีแห่งประเทศไทย เมื่อสมัยนั้นพระสงฆ์จากประเทศศรีลังกามาเผยแพร่ธรรมที่นครศรีธรรมราช ทำให้พวกนครศรีธรรมราชเลิกทำประมง เรียนหนังสือที่วัดมหาธาตุ สร้างวัดอรัญญิกขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง มากัน ๒ องค์เท่านั้น องค์หนึ่งมีความรู้ทางคันถธุระ อีกองค์หนึ่งมีความรู้ทางวิปัสสนาธุระ ทำให้พวกนครศรีธรรมราชมีสติปัญญา ทำเครื่องถมลายทองมากมายก่ายกอง ร้อนถึงพระเจ้ากรุงจีนมาขอดูงาน แล้วจึงเอาไปใช้หมด คนนครศรีธรรมราชกลายเป็นกฎแห่งกรรม ไม่ได้ติดตามประเพณี และปู่ย่าตายายให้จีนไปหมด เลยเราเข้าใจไปว่าเครื่องถมลายทองมาจากเมืองจีน แท้จริงแล้วมาจากเมืองไทย มาจากสติปัฏฐาน ๔ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ ทำให้คนมีสติปัญญาแก้ไขปัญหา ประกอบอาชีพการงาน เรียกว่า โลกียปัญญา

 

ดังนั้นจึงมีการนำศาสนาขึ้นสู่กรุงสุโขทัยราชธานี ทำให้ชาวกรุงสุโขทัยมีปัญญาขึ้น พระราชาทรงผนวชในพระพุทธศาสนา มีวัดอยู่ ๒ วัด คือ คามวาสี และ อรัญวาสี เท่านั้น พระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงผนวช วันที่ ๑๔ มกราคม ไม่มีใครรู้ โยมโปรดจำไว้ มีพลเมือง ๓ ล้านคน สามารถมีอาณาเขตถึงกลันตัน ไทรบุรี บ้านพี่เมืองน้องมาช้านาน

 

ครั้งโบราณก่อนเก่า ทำไมมีอาณาเขตกว้างขวาง เพราะใช้ธรรมะ ใช้ศีลข้อเดียวกับสมาธิปัญญาเท่านั้น มีปัญญาตรงไหน พระเจ้าแผ่นดินทรงลาผนวช แล้วทรงประชุมประชาราษฎร์ว่า เลิกถือผี เลิกถือเจ้ากันเสียที เอาหลักความจริงของชีวิตมาใช้ ชีวิตความจริง คือ ธรรมะ

 

บุคคลใดมีความจริงในชีวิต บุคคลนั้นมีธรรมะประจำใจ รู้จริง รู้แจ้ง เห็นจริง เห็นแจ้ง คนมีธรรมะ เขามีอย่างนี้

 

๑.   ละเอียดอ่อน

๒.   ชอบก่อสร้าง

๓.   ชอบงอก

๔.   ชอบต่อสู้

 

ละเอียดอ่อน พ่อแม่ว่าก็ต้องเชื่อ จิ้งจกทักตัวหนึ่งเขายังเชื่อเลย พ่อแม่ทักยังไม่เชื่ออีกหรือ เด็กเดี๋ยวนี้เถียงพ่อแม่คำไม่ตกฟาก ขาดหลักธรรม ขาดสติสัมปชัญญะ เถียงพ่อเถียงแม่ เถียงครูอาจารย์ เถียงผู้อาวุโส เถียงประธานสงฆ์ไม่ได้ เป็นอาบัติโทษ พระพุทธเจ้าสอนดีมาก ให้ผู้ใหญ่มารอเป็นอาบัติโทษนะ ต้องผู้น้อยมารอผู้ใหญ่ อย่าให้ผู้ใหญ่ต้องรอ นี่ละเอียดอ่อนมาก

 

ชอบก่อสร้าง คนมีธรรมะชอบสร้าง ไปไหนชอบพัฒนาก่อสร้าง คนยุคใหม่สมัยนี้ขาดศีลขาดธรรม ชอบทำลายรื้อหมด พ่อแม่สร้างไว้รื้อหมด

 

ชอบงอก คนโบราณมีสติสัมปชัญญะชอบงอก ไปไหนชอบปลูกต้นหมากรากไม้ ต้นพิกุล บุนนาค ปลูกต้นโพธิ์ ต้นไทร ปลูกต้นไม้ใบบังสาขา คนยุคใหม่สมัยทำลายต้นไม้ โค่นต้นไม้จะหมดแล้ว คนไร้ธรรมะโค่นต้นไม้หมด

 

ชอบต่อสู้ คนมีธรรมะไม่เลี่ยงงาน ชอบต่อสู้ คนเดี๋ยวนี้สำเร็จการศึกษาเลี่ยงงานเก่ง ไม่เอางานเอาการแต่ประการใด ขาดศีลนี่เอง คนมีสติสัมปชัญญะดีแล้ว จะไม่เลี่ยงงาน จะทำงานให้เสร็จตามเวลา

 

งานที่ดีคืออะไร งานที่ดีคืองานที่ไม่มีโทษ งานที่ถูกต้องคืองานอะไร คืองานที่ทำแล้วต้องเสร็จทันเวลา งานที่ดีต้องเสร็จแล้วเรียบร้อย เหมือนน้ำย้อยกระบอกตาล

 

พระพุทธเจ้าสอนว่า คนมีธรรมะจะอ่อนน้อมไปหมด โง่บ่เป็นบ่เป็นใหญ่ โง่ไว้เรื่อย อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่เสมอ ผู้ใหญ่จะว่ากล่าวอย่างไรก็ต้องอดทน นี่สิธรรมะของพระพุทธเจ้า เอามาพัฒนาได้

 

ศีลข้อเดียวนี้ทำให้เกิดเมตตา มีสมาธิภาวนาก็ทำให้เกิดเมตตา เกิดเอื้ออารีสร้างความดีร่วมกัน คนที่มีสมาธิดี ประกอบด้วยศีล มีสติสัมปชัญญะ จะยิ้มแย้มแจ่มใส ตั้งใจสนทนา เจราจาก็ไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูแขกมาต้องต้อนรับขับสู้ ดูพองาม ดูกิจการงานให้เหมาะสมตามเกียรติยศชื่อเสียงของตนกับแขกผู้มาร

 

อาตมาว่าไม่มีอะไรดีเท่าสติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกของพระพุทธเจ้า ทางสายเอกดีแน่ ๆ อาตมาปฏิบัติมาแล้ว เช่น สมถะ พุทโธ มโนมยิทธิ เพ่งกสิณ ธรรมกาย เรียนจบมาหมดแล้ว ไปพบหลวงพ่อในป่า ท่านบอกว่า ไม่มีอะไรดีเท่า สติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอก ทำแล้ว ระลึกชาติได้ ระลึกกฎแห่งกรรมได้ มีปัญหาเกิดขึ้นแก้ได้แน่ ๆ คนที่ไร้สติ ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดปัญญา จะไม่มีทางแก้ปัญหาได้เลย ปัญหาอยู่ตรงนี้อันหนึ่ง นำไปใช้ได้

 

เพราะฉะนั้นสำคัญที่ ศีล ข้อเดียว

 

สีเลน สุคติยนฺติ ศีลไปสู่สุคติได้แน่นอน คือ สติ

สีเลน โภคสมฺปทา คนไหนมีสติสัมปชัญญะ ขยันทำงาน โภคทรัพย์เนืองนอง พร้อมบริบูรณ์พูนสุข

สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ ศีลข้อเดียวดับให้สนิทไม่ติดเชื้อเป็นไข ไม่มีโลภ โกรธ หลง แต่ประการใด ตรงนี้ไปนิพพานได้ ศีลข้อเดียวนี้ครอบคลุมถึงสมาธิ ตัวสัมปชัญญะ คือ ตัวสมาธิ

 

รู้นอก รู้ใน รู้ตัว รู้กาลเทศะ รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ นี่คือ สัมปชัญญะปัพพะ คือ ตัวสมาธิของวิปัสสนาญาณ

 

ตัวปัญญา แปลว่า รอบรู้เหตุผลข้อเท็จจริง รู้กฎแห่งกรรม รู้อดีตชาติของชีวิต และรู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้อย่างไร มีทั้งปัญญาโลกียะ มีทั้งปัญญาโลกุตระ มีทั้งวิชาความรู้คู่กับความดี เดินทางไม่ผิดในกฎจราจรชีวิตแน่นอน

 

บุคคลใดมีศีลจะมี ๓ ส. ได้แก่

๑.     สะอาด ทุกอย่างสะอาดหมด

๒.    สงบ อยู่ด้วยความสงบ ไม่ทะเลาะกันแน่นอน

๓.    สะดวก เป็นปฏิเวธธรรม ได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีที่พึ่งทางใจติดตัวไป

 

บุคคลใดมีไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จะมี ๓ จ. ๕ จริง ทุกสิ่ง ป.ป.ร.ก.

 

๓ จ. ได้แก่

๑.     จัดรูปแบบตัวเองให้สวย แต่งตัวให้สวยหรู น่าดูชมในสังคม

๒.    จัดสำนักงาน จัดวัดวาอารามให้เป็นระเบียบ ร่มรื่น เป็นอุทยานการศึกษา

๓.    จัดสถานที่อื่นได้ ถ้าเราจัดตัวเองไม่ได้ จัดสถานที่ของเราไม่ได้ จะไปจัดที่อื่นเขาจะเลื่อมใสศรัทธา ออกมาอย่างนี้ชัดเจนมาก

 

ถ้าใครจัด ๓ จ. ได้จริงแล้ว จะมีทุกสิ่ง ๕ จริง คนมีความจริงแล้ว เป็นชายก็จริง เป็นหญิงก็แท้ เป็นคนแก่ก็มีคนเคารพนับถือแน่นอน

 

๑.     จริงต่อการงาน เปรียบเหมือนนิ้วโป้ง

๒.    จริงต่อหน้าที่ เปรียบเหมือนนิ้วชี้

๓.    จริงต่อวาจา เปรียบเหมือนนิ้วกลาง

๔.    จริงต่อบุคคล เปรียบเหมือนนิ้วนาง

๕.    จริงต่อความดี เปรียบเหมือนนิ้วก้อย

 

ทุกสิ่ง ป.ป.ร.ก. ได้แก่

 

๑.     ปกครองดี ถ้าคนไหนปกครองดีไม่มีเรื่อง

๒.    ป้องกัน ไม่เสียหาย

๓.    รักษาความดี เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

๔.    กล้าแก้ไข เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นต้องกล้าแก้ไขเดี๋ยวนั้น อย่าทิ้งไว้มันจะเสียหายต่อไป

 

ขอให้นำหลักการที่กล่าวนี้ไปใช้พัฒนาได้เลย ถ้าบุคคลใดมีหลักเกณฑ์วิธีการอย่างนี้ รับรองเจริญทั้งวัด เจริญทั้งบ้าน เจริญทั้งประเทศเขตแดนทุกชนิด...