เมื่ออาตมาอยู่เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม

 

พระราชสุทธิญาณมงคล

H10002

 

            เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หลังจากเสร็จสิ้นการรับกฐินแล้ว อาตมามีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะลาสิกขากลับไปใช้ชีวิตเป็นเพศฆราวาส ตั้งใจที่จะไปลาพระอุปัชฌาย์ขอให้ท่านสึกให้ แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริง ๆ แล้ว อาตมาก็เข้าไปกราบหลวงพ่อช่อ ไปถึงก็บอกความประสงค์กับท่านตรง ๆ เลยว่า “หลวงพ่อครับ กระผมมาขอลาสึก ขาดจากสภาพการเป็นพระภิกษุ” แต่ในวันนั้นพอดีท่านมีกิจนิมนต์ต้องรีบไปฉันเพล ท่านจึงถามอาตมาว่า “สึกแน่หรือพระจรัญ ไม่เปลี่ยนใจอยู่ต่อนะ” อาตมาก็เรียนท่านว่าต้องการสึกแน่นอน

            จากนั้นอาตมาก็กราบลาท่านมาที่กุฏิ เมื่อเข้าไปข้างในกุฏิ อาตมาก็เกิดง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาเฉย ๆ มันคล้าย ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ลืม ๆ หลง ๆ ไปหมด นอนอยู่ตรงนั้นเอง พลันหูก็ได้ยินเสียงประหลาดแว่วมาที่หูเหมือนมาพูดที่ริมหูว่า “สึกไปหาอะไรกันเล่า นะโมยังไม่ได้เลย นะโมได้แล้วสึกก็ไม่น่าเสียดาย”  อาตมาก็นึกค้านขึ้นมาในใจว่า “นะโมสวดได้จนคล่องตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ๆ แล้ว สวดมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว” ก็คิดไปอย่างนี้ แต่ก็ยังตอบไม่ถูกว่า นะโมคืออะไร อาตมาก็จิตใจพะว้าพะวัง เกิดใจคอไม่ค่อยดีแล้ว เสียงประหลาดนี้เป็นเสียงอะไรกัน เจ้าของเสียงคือใครอยู่ที่ไหน (ในภายหลังหลวงพ่อบอกกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า มาทราบทีหลังว่า เสียงนั้น คือเสียงของหลวงพ่อดำ พระอาจารย์ในป่าผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ต่าง ๆ ให้กับท่านในเวลาต่อมา)

            สักพักเสียงประหลาดนั้นก็ดังขึ้นมาอีกว่า “นี่ คุณสึกก็ไม่เป็นไร ง่ายนิดเดียวไม่ยากอะไรนักหนา แต่ขอถามว่าพุทธคุณได้หรือยัง ธรรมคุณได้หรือยัง สังฆคุณได้หรือยัง” ในตอนนั้นอาตมาจำได้ว่า นึกโมโหในใจว่า เอ๊ะ! เสียงบ้า ๆ บอ ๆ นี้อยู่ที่ไหน พุทธคุณเราก็ท่องได้หมดแล้ว อิติปิโสเราก็คล่องปาก แต่ก็อาจจะไม่คล่องใจก็เป็นได้ แต่เมื่อเสียงประหลาดนี้ดังเตือนมา ทำให้อาตมานึกถึงคำโบราณที่ว่า ถ้าจิตใจไม่ดีแล้วอย่าสึก ถ้าสึกออกไปแล้วจะเป็นคนสุก ๆ ดิบ ๆ เอาดีไม่ได้แล้วจะเป็นคนบ้าบอคอแตกไป อาตมาจึงเลื่อนการสึกออกไป

            จากนั้นอาตมาตั้งใจจะท่องเที่ยวป่าไปเรื่อย ๆ สักพักก่อนแล้วค่อยกลับมาสึกภายหลัง เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็เดินทางมาลพบุรี ซื้อตั๋วรถไฟจะไปพิษณุโลก มุ่งหวังไว้อย่างนั้น แต่พอรถไฟแล่นมาถึงบ้านหมี่ก็เกิดเครื่องเสียกะทันหัน จอดซ่อมอยู่นานก็ไม่เสร็จ อาตมาก็ได้ยินคนในตู้นั้นเขาคุยกันว่า “แหม! รถไฟมาเสีย เสียเวลาจังเลย จะไปนมัสการหลวงพ่อเดิมสักหน่อยไม่น่ามีอุปสรรคเลย” เมื่ออาตมาได้ยินคำว่าหลวงพ่อเดิม ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที เคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหน จึงถามเขาไปว่า “หลวงพ่อเดิมท่านอยู่ที่ไหนหรือโยม” เขาก็ตอบมาว่า “หลวงพ่อเดิมท่านอยู่วัดหนองโพ ต้องลงรถที่สถานีหนองโพ แล้วเดินเท้าไปที่วัด ถ้าท่านต้องการไปนมัสการก็ลงรถที่นั่นพร้อมกับพวกเราก็ได้”  อาตมาตอบตกลง เหมือนกับปาฏิหาริย์ พออาตมารับปากโยม รถไฟก็ติดเครื่องเปิดหวูดออกเดินทางต่อไปได้

            ใจจริงแล้วที่อาตมาตั้งใจไปหาหลวงพ่อเดิมนั้น เพราะตั้งใจจะไปให้ท่านสึก และก็จะขอคาถาให้ผู้หญิงรักซักบทหนึ่ง นิสัยไม่ดี

ตลอดเวลาที่เดินทางมา อาตมาก็คิดแต่เรื่องสึก จนกระทั่งมาถึงประตูวัดหนองโพ ญาติโยมก็นิมนต์ให้เดินไปข้างหน้า ให้ไปนมัสการหลวงพ่อเดิมก่อน

            เมื่ออาตมาไปถึงกุฏิของท่าน ภาพที่ได้เห็นคือ หลวงพ่อเดิมซึ่งท่านอายุมากแล้ว ท่านนั่งตัวตรง เป็นสง่า รูปร่างท่านดูสูงใหญ่แบบคนโบราณ ผิวขาวมีรัศมีผ่องใส ผิวหนังเหี่ยวย่นไปทั้งตัว นัยน์ตาของท่านดูเปล่งแวววาวแจ่มใสไม่เหมือนตาคนแก่ทั่ว ๆ ไป ดูมีพลังมีอำนาจ มีความดึงดูด เมื่อมองประสานกันแล้ว ทำให้รู้สึกยำเกรงเป็นที่สุด แล้วที่ข้างฝามีกระบี่กระบอง ซึ่งท่านใช้หัดเด็กวัด ในภายหลังท่านได้บอกกับอาตมาว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาคนจะไปเป็นทหารต้องเข้าวัด วัดเป็นมหาวิทยาลัยก่อน เรียนเพลงกระบี่กระบอง เรียนอักษรศาสตร์ เรียนภาษาขอม เรียนภาษาบาลี เสร็จแล้วก็สึกลาจากสิกขาไป ก็ไปสมัครเป็นทหาร เก่งเพลงกระบี่ เก่งเพลงกระบอง ถึงจะเป็นทหาร แต่เป็นทหารจะต้องไปสอบลองหน้าพระที่นั่งก่อน ลองเพลงกระบี่กระบองให้ดู ไม่งั้นไม่รับเป็นทหาร เดี๋ยวนี้ไล่เลย ไล่เป็นทหารหมด จำใบดำใบแดงไปตามเรื่อง มันคนละยุคคนละสมัย

            อาตมาก้มลงกราบเบื้องหน้าท่านด้วยความเลื่อมใส นี่หรือหลวงพ่อเดิมแห่งวัดหนองโพที่ผู้คนนับถือ ชราภาพปานนี้แล้วยังส่อความเข้มขลังและพลังอำนาจในตัว เป็นเพราะอะไรกันหนอ หรือเป็นเพราะท่านมีศีลและภาวนา ตลอดจนท่านมีบารมีอันสูงคอยเป็นตบะเดชะอยู่ ในตอนที่อาตมาได้พบกับท่านนั้น หลวงพ่อเดิมท่านไปไหนมาไหนไม่ถนัดแล้ว ต้องเอาเกวียนเล็ก ๆ มาให้ท่านนั่ง แล้วก็ลากไปตามทาง ท่านชราภาพจริง ๆ แต่ไม่ยอมหยุดกิจนิมนต์และการรับแขก ศิษย์ก็ไม่กล้าขัดใจท่าน เพราะท่านสั่งไว้ว่า ท่านจะสงเคราะห์ญาติโยมจนวาระสุดท้ายของชีวิตท่าน

            คำพูดประโยคแรกที่ท่านถามอาตมาด้วยน้ำเสียงอันแจ่มใสกังวานของท่านว่า “คุณมาจากอารามไหนกัน” อาตมาก็ตอบท่านพร้อมทั้งแจ้งความจำนงที่คิดจะมาขอให้ท่านสึกให้ ท่านก็ตอบอาตมาว่า ขอให้อาตมาอยู่ที่วัดกับท่านไปก่อน ส่วนเรื่องการสึกนั้นค่อยคุยกันภายหลัง

            อาตมาเมื่อได้อยู่กับท่านก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับท่าน ได้ไปนวดเฟ้นให้หลวงพ่อเดิมคลายเมื่อยในตอนกลางคืน พอรุ่งเช้า อาตมาก็ได้พบเรื่องประหลาดของหลวงพ่อเดิม คือ หลวงพ่อเดิมท่านจะฉันข้าวต้มในตอนเช้า ท่านฉันอาหารแข็งไม่ได้แล้วในตอนนั้น พอฉันเสร็จเขาก็พยุงท่านมานั่งเข้าที่ พอสาย ๆ หน่อยผู้คนก็ทยอยกันมาจากทุกสารทิศ มานมัสการท่าน ท่านก็จะเป่าหัวให้อย่างแรงทุกคน เป่าจนน่ากลัวจะเป็นลม เพราะหมดแรง แต่หลวงพ่อก็เป่าอย่างนั้นแหละ “เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี”

            บางคนก็ไปเช่าแหวนลงถมบ้าง มีดหมอบ้าง เหรียญบ้าง รูปหล่อบ้าง แล้วแต่จะต้องการ เมื่อมาถึงหลวงพ่อก็จะเป่ากำกับให้เขา เขาก็เอากลับไปบ้านกัน บางคนก็เอานางกวักงาช้างไปค้าขายว่ากันวุ่นไปหมด แต่ผู้คนก็มาไม่ได้ขาดสาย วันทั้งวันเห็นแต่มีคนมาหาหลวงพ่อ ลูกศิษย์ของท่านก็ได้แต่มองตาละห้อย เพราะห่วงในสังขารขันธ์ของท่าน

            พอตกกลางคืน อาตมาก็อดใจไม่ได้ พอนวดให้ท่านก็ถามท่านตรง ๆ เลยว่า “หลวงพ่อครับ อ้ายเพี้ยงดี เพี้ยงดีของหลวงพ่อมันดีจริงหรือครับ” ท่านก็ตอบอาตมาว่า “ดีอย่างไรฉันบอกเธอเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ต้องอยู่กับฉันต่อไปจึงจะรู้ดี”

            พออาตมาพูดถึงเรื่องการสึก หลวงพ่อเดิมมักจะกระแอมดัง ๆ คล้ายจะดุ อาตมาก็เลยไม่ได้สึกต้องอยู่ต่อไป อาตมาสังเกตเห็นด้านนอกของกุฏิหลวงพ่อเดิม จะมีปี่พาทย์ และมีดาบ มีกระบี่กระบองสำหรับต่อสู้และรำ อาตมาเป็นคนไม่ชอบเก็บความสงสัย ก็เลยถามท่านตรง ๆ ในคืนต่อมาว่า “ดาบเอย กระบี่เอย หลวงพ่อมีไว้ทำไมกัน หลวงพ่อใช้ของพวกนี้ได้หรือหลวงพ่อ” หลวงพ่อเดิมท่านหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ช้าไว้ ช้าไว้ เธอเป็นผู้เยาว์บวชแค่พรรษาเดียวก็เร่งร้อนจะสึก ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง ฟังแล้วก็คิดตามไปนะ”

“วัดในสมัยโบราณครั้งกระโน้น เป็นแหล่งรวมสรรพวิชา เรียกวันว่า สำนักทิศาปาโมกข์เชียวนะจะบอกให้ บางแห่งก็เรียกตักสิลา ดังนั้นผู้ที่เข้ามาในวันนั้น จึงไม่ได้เข้ามาทำบุญอย่างเดียว แต่เข้ามาศึกษาหาความรู้กับพระในวัดด้วย”

            อาตมาก็ถามท่านต่อไปว่า “บวชพรรษาเดียว กับ หลายพรรษามันแตกต่างกันอย่างไร”  หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะ แล้วอธิบายว่า

         “บวชสามพรรษาน่ะ เขาว่าได้ปริญญาตรี เจ็ดพรรษาปริญญาโท สิบพรรษาปริญญาเอก บวชพรรษาเดียวสองพรรษายังเป็นทิดไม่ได้ รู้ไหมล่ะ ทิด มาจากคำว่า บัณฑิต”

            แล้วท่านก็ชี้ไปที่ชุดสำหรับแต่งบวชนาคของวัดหนองโพ เห็นเป็นเสื้อครุยแบบปริญญา แล้วก็มีมงกุฎแบบตะลอมพอก พร้อมอยู่สำหรับให้พ่อนาคใส่ดูสวยงาม แล้วท่านก็อธิบายต่อว่า “คนเราเป็นฆราวาส เป็นหนุ่มมันสุก ๆ ดิบ ๆ แล้วมาบวชเป็นพ่อนาคก็ต้องเป็นเทวดา คือสวนชุดตะลอมพอกอย่างนั้น เรียกว่าเป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว เพราะจะเป็นสงฆ์เป็นบัณฑิต พอเข้าไปอยู่หน้าอุปัชฌาย์ก็เป็นพรหมแล้ว ทีนี้พอบวชเสร็จแล้วสึก บางคนแทนที่จะเป็นบัณฑิตหรือเป็นทิด ก็กลับกลายเป็นเดรัจฉานไปเสียทันตาเห็น”

         อาตมาก็ถามท่านว่า “เป็นเดรัจฉานได้อย่างไรครับ”

            ท่านตอบว่า “เป็นซีทำไม่จะไม่เป็น ก็พอสึกตอนเช้า ก็กินเหล้าเมาเย็นหยำเปอย่างนี้ เรียกว่าบวชไม่ได้ประโยชน์ ซ้ำแล้วกลายเป็นเดรัจฉานไป”

         นี่คือแนวความคิดของหลวงพ่อเดิม ท่านเกลียดคนกินเหล้า เกลียดพวกบวชแล้วสึกออกไปเป็นคนชั่ว เป็นขี้เหล้า คนที่รักหลวงพ่อก็จะไม่กินเหล้ากินยาให้หลวงพ่อท่านไม่สบายใจ

            และอีกเรื่องหนึ่งที่ท่านได้เล่าให้อาตมาฟังว่า “เธอฟังไว้นะ สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา เมื่อเท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งกรุงกบิลพัศดุ์นั้น ทรงเล่าเรียนเชี่ยวชาญในวิชาการทุกด้าน ไตรเวทก็ทรงเชี่ยวชาญ การใช้ศรชัยไปจนถึงตำราพิชัยสงครามต่าง ๆ เรียนการปกครองคนหมู่มาก แต่แล้วก็ทรงได้พระสติว่า วิชาหนึ่งที่ไม่ได้เรียนก็คือ วิชาการพ้นจากกองทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด จึงทรงออกแสวงหาความหลุดพ้นเป็นพระบรมศาสดาในที่สุด”

         อาตมาฟังแล้วก็เกิดสติขึ้นมาว่า หลวงพ่อเดิมองค์นี้ ท่านมิได้เก่งแต่เพียงวิชาอาคม เพี้ยงดี เพี้ยงดี แต่อย่างเดียว แต่ท่านยังมีธรรมที่ลึกซึ้งและกินใจ สำหรับสั่งสอนผู้คนแม้แต่ตัวของอาตมาเองที่ต้องการจะสึก ยังไม่อาจสึกได้เหมือนที่ต้องการ

            หลวงพ่อก็เล่าเรื่องในสมัยบารณต่อไปอีกว่า “วัดในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นสอบอะไรบ้าง ก็สอนวิชาราชบุรุษ กฎหมายนิติศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐศาสตร ศิลปหัตถกรรม เรียนเวชศาสตร์ เรียนดนตรีดีดสีตีเป่าต่าง ๆ พระสมัยนั้นสอนได้ทั้งนั้น ทั้งยังมีตำราพิชัยสงคราม ฤกษ์ผานาทีต่าง ๆ วิชาราชบุรุษนั้นก็คือ วิชารัฐศาสตร์ การปกครองตนเองและผู้อื่น เข้าวัดต้องปกครองตัวได้ ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ มีระเบียบวินัย สามารถเอาไปใช้ในชีวิตฆราวาสได้”

         ส่วนในเรื่องกระบี่กระบองของท่านนั้น ท่านได้เล่าว่า “กระบี่กระบองคือหัวใจของการรบ และต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินไทย เป็นลูกผู้ชายต้องเป็นทหาร วัดหนองโพมีดีทางกระบี่กระบอง ส่วนวัดอื่น ๆ ในสมัยนั้นก็เก่งไปแต่ละด้าน อักขระบ้าง การสร้างเครื่องรางของขลังบ้าง ดนตรีบ้าง ก็แล้วแต่ใครอยากเรียนอะไรก็ไปเรียนกัน ดังนั้นวัดจึงเป็นตักสิลาโดยแท้ สมัยก่อนโรงเรียนแบบปัจจุบันไม่มี พ่อแม่ก็ต้องคอยดูว่าวัดไหนเก่งทางไหนก็พาลูกไปเรียน เรียนจบแล้ว ถ้ายังไม่พอก็ไปเรียนต่อที่วัดอื่น นี่แหละวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสำนักเรียนด้วยเหตุนี้”

            สมภารองค์แรกของวัดหนองโพนั้น ท่านเป็นขุนศึกคู่พระทัยคนหนึ่งในจำนวนห้าคนของพระยาตาก ซึ่งท่านเดินทางจากเมืองตากเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา พร้อมกับพระยาตากเพื่อเข้ามารับตำแหน่งเจ้าพระยาวชิรปราการ ไปครองเมืองกำแพงเพชร แต่เมื่อพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทุกก้าน พระยาตากท่านก็ต้องร่วมต่อสู้กับพม่าข้าศึกต่อไป

            ในภายหลังเมื่อมีชัยชนะ พระยาตากได้รับการสถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านอาจารย์องค์แรกแห่งวัดหนองโพ ท่านก็ถวายบังคมลาออกจากการรับราชการ เพราะเห็นว่าได้ฆ่าข้าศึกมามากแล้ว ฆ่าคนมาก็มากแล้ว จะขอบวชในพระบวรพุทธศาสนาต่อไป พระยาตากท่านก็อนุญาต ท่านจึงเดินทางมานครสวรรค์แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วได้มาฟื้นฟูวัดหนองโพ วัดหนองโพจึงมีการสอนวิชากระบี่กระบอง และวิชาดาบ ในการเรียนวิชานั้นก็ไม่ใช่เรียนกับแบบธรรมดา ๆ คนที่จะเข้ามาเป็นนักรบชั้นแนวหน้าชั้นขุนศึกนั้นต้องศึกษาอักขระ ภาษาต่าง ๆ ไปจนถึงตำราพิชัยสงคราม และต้องบวชเรียนวิปัสสนากรรมฐานเพื่อฝึกรากฐานของจิตใจเสียก่อน แล้วจึงเรียนเพลงอาวุธกัน

            อาตมายังได้เห็นเขาโกนจุกกันข้างวัดหนองโพ หลวงพ่อเดิมท่านเห็นอาตมาเป็นพระบวชใหม่ก็ถามว่า “สวดได้ไหมล่ะ จะได้ไปสวดมนต์ด้วยกัน” อาตมาก็ตอบว่าได้ขอรับกระผมสวดได้ ท่านก็ให้ไปด้วย พอพระสวดเสร็จ เขาก็ให้ปี่พาทย์วงของวัด บรรเลงเพลงแบบการต่อสู้ แล้วก็มีเด็กวัดหนองโพแต่งตัวทะมัดทะแมง มารำกระบี่กระบองตีกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว ค่าบูชาครูก็คราวละหกบาท ใส่พานพร้อมดอกไม้ธูปเทียน เงินค่ายกครูนั้นหลวงพ่อเดิมท่านก็แบ่งให้เด็ก ๆ ตามแต่ฐานะ สำหรับเอาไว้เรียนหนังสือกันต่อไป

            ลิเก ที่วัดหนองโพก็มีการสอน อาตมากล้าพูดได้ว่า วัดหนองโพมีลิเก หลวงพ่อเดิมท่านเอามาหัดให้มีอาชีพกัน ก็เมื่อมีวงปี่พาทย์มันก็ต้องมีลิเก ครูที่โรงเรียนก็จัดเด็กที่ยากจนมาหัดเล่นลิเกเลี้ยงตัวเองไปตามอัตภาพ และไม่แต่ลิเกนะ เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนให้เป็นจนหมด เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ไม่ให้สูญหาย หลวงพ่อเป็นนักอนุรักษ์ของโบราณ โดยสายเลือดทีเดียว

            ทีนี้เมื่ออาตมาอยู่วัดหนองโพนานวันเข้า เรื่องจะสึกก็ยังคิดอยู่ พอเห็นว่าสมควรแก่เวลา เลยคลานเข้าไปหาหลวงพ่อแล้วก็กราบเรียนท่านเพื่อจะขอลาสึกอีกครั้ง ท่านก็จ้องมองดูอาตมาแล้วพูดขึ้นว่า “หยุดไว้ก่อนคุณ อย่าเพิ่งมาสึกตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา”

            เมื่อได้ยินดังนี้ อาตมาก็ไม่กล้าพูดเรื่องสึกต่อไป แต่ก็คิดว่าไหน ๆ ก็จะสึกแล้ว ควรอยู่เรียน และขอคาถามหานิยมสีผึ้งก่อนดีกว่า จะได้จีบผู้หญิงได้ง่าย ๆ มีเมียสวย ๆ อาตมจึงกราบเรียนท่านว่าอยากได้คาถามหานิยมอย่างเด็ดขาดสักบท ที่สีปากด้วยสีผึ้งแล้วผู้หญิงเดินตามต้อย ๆ

            หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะ และสั่งให้อาตมาไปหากระดาษดินสอมาให้ท่าน แล้วท่านก็จดคาถาให้ เป็นคาถาสารพัดนึกจดกันไม่หวัดไม่ไหว จดเสร็จท่านก็บอกให้เอาไปท่อง ท่านให้คาถามามากมาย จนอาตมาไม่ต้องไปขอคาถาท่านเพิ่มอีก ก็มัวแต่ท่องคาถาจนลืมเรื่องสึกไปเลย นี่เป็นกุศโลบายของหลวงพ่อเดิมท่าน ท่านดัดหลังแก้ลำอาตมาเอาเสียจนเซ่อไปเลยทีเดียว

            ทีนี้เมื่อท่องหลักเข้า อาตมาก็เกิดความสงสัยว่า คาถานี้ใช้อย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่งเห็นหลวงพ่อเดิมท่านกำลังเป่าหัวศิษย์ว่า “เพี้ยงดี เพี้ยงดี” ไม่เห็นท่านท่องคาถาสักบท อาตมาก็คิดว่า เอาละเป็นไงเป็นกัน ให้เราท่องคาถาเสียยืดยาว แต่พอถึงคราวท่านเองกลับไม่ท่อง ใช้ปากเป่าเพี้ยง ๆ เท่านั้นเอง ก็เลยต้องถามท่านว่า “หลวงพ่อให้คาถากระผมไปท่องมากมาย ผมก็ท่องกะว่าจะดีให้ได้ แต่พอเห็นหลวงพ่อเป่า เพี้ยงดี เพี้ยงดีให้กับคนอื่น ไม่เห็นหลวงพ่อท่องคาถาอะไรเลย แค่จับหัวแล้วก็เป่าเพี้ยงดี เพี้ยงดี อย่างนี้ผมไม่ท่องเสียเวลาเปล่าหรือครับ”

            หลวงพ่อเดิมท่านก็มีเมตตา สั่งสอนให้อาตมาหูตาสว่างกันตอนนั้นเอง ท่านบอกว่า “คาถาน่ะไม่ขลังหรอก เขาเอาไว้ท่อง เอาไว้เป็นองค์ภาวนาเพื่อให้จิตเป็นหนึ่งเดียว จิตเป็นสมาธิต่างหาก เหมือนเราจะเดินข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเปรียบเหมือนกำลังจิตที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นอำนาจอันมหาศาล ต้องอาศัยการภาวนาคาถา เพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง ใช้คาถานั่นแหละเป็นองค์ภาวนาต่างสะพานข้ามฟากไป แต่พอจิตข้ามฟากไปถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง คือ เป็นหนึ่งเดียว เป็นพลังอันมหาศาลแล้ว ก็รื้อสะพานคือคาถาที่ภาวนาทิ้งไปได้เลย จิตที่เป็นหนึ่งเป็นพลังมหาศาลแล้ว เขาเรียกว่า จิตตานุภาพ ฉันจึงไม่ต้องท่องคาถา แต่ใช้เจริญจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วเป่าลมปราณ อธิษฐานให้เขาสมหวังว่า เพี้ยงดี ๆ เข้าใจหรือยังล่ะ ไปท่องต่อไป ท่องให้จิตมันข้ามฟากให้ได้”

         จากนั้นท่านอธิบายต่อว่า “ตอนแรกก็ยกระดับจิตขั้นประถมก่อน แล้วภาวนาขึ้นถึงมัธยม แล้วก็เจริญให้เป็นเอกัคคตารมณ์เป็นการเจริญภาวนา เจริญจิตให้เป็นเอกัคคตา เมื่อจิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสทั้งหยาบและละเอียดแล้ว จะต้องการอะไรก็ได้ทุกประการ คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง แต่หลวงพ่อคิดแต่เมตตาให้เขา ขอให้เขาพ้นเคราะห์ ขอให้เขารวย ขอให้เขาดี ขอให้เขามีปัญญา แล้วก็เป่าเขาไป ดังนั้นคุณจงทองต่อไปเถอะ ทำจิตให้เป็นเอกัคคตาให้ได้แล้วก็จะรู้เองว่า เพี้ยงดีของหลวงพ่อเป็นอย่างไร”

            อาตมานวดหลวงพ่อทุกคืน ตลอดเวลาหกเดือนที่อยู่กับท่าน มันก็น่าแปลกที่ไม่มีพระสักองค์ที่มานวดท่าน มาขอของดีจากท่าน เหมือนใกล้เกลือกินด่างกันหมด ดูซิอาตมาจึงว่า แม้อาตมาจะอยู่กับหลวงพ่อไม่นาน แต่อาตมาได้ของดีจากท่านมามากพอสมควร คิดถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็น่าเสียดายว่า เราหนอเราทำไม ไม่รู้จักหลวงพ่อก่อนหน้านี้นาน ๆ เสียดายเหลือเกิน

            ยิ่งคุยกับท่านยิ่งสนุกลืมเรื่องสึกไปเสียสนิท หลวงพ่อท่านก็ดูเหมือนรู้ว่าอาตมาซึ่งเปรียบเสมือนม้าที่พยศกำลังค่อย ๆ เชื่องลงแล้ว ในวันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เป็นฝ่ายพูดให้อาตมาได้สำนึกขึ้นว่า “นี่คุณมาอยู่กับฉันก็นานแล้ว เรียนกรรมฐานไหมล่ะจะสอนให้ อย่าไปสึกเลย คุณนะอยู่ในผ้าเหลืองแล้วจะเจริญก้าวหน้ากว่าเป็นฆราวาส”

            แต่อาตมานั้นเป็นผู้เกลียดพระมาเป็นทุนเดิม ก็เลยบอกกับหลวงพ่อว่า “ยังไงเสียผมก็ต้องสึกแน่ ๆ เพราะผมไม่เคยชอบครองเพศสมณะเลยจริง ๆ ผมไม่ค่อยจะอยากอยู่เป็นพระ ผมจะต้องสึก”

            หลวงพ่อท่านก็กล่าวเป็นสุภาษิตสอนใจ ที่อาตมาจำได้ทุกวันนี้ว่า “ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรักก็ยิ่งห่างไกล จำไว้ให้ดีนะคุณ ยิ่งเกลียดเขาเรายิ่งต้องแผ่เมตตาให้ แล้วความเกลียดมันจะหายไป ความรักมันจะเกิดขึ้นตรงนี้”

            กล่าวจบแล้วหลวงพ่อเดิมก็เอามือชี้ไปที่หัวใจแล้วก็มองดูหน้าอาตมา อาตมานั่งนิ่งรู้สึกซาบซึ่งในคำของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง และก็มาเปรียบเทียบดูว่า อาตมาแต่ก่อนเกลียดจริงเชียวพวกผู้หญิงน่ะ ไม่อยากให้เข้าวัด แต่เอาซิ เดี๋ยวนี้คนที่มาช่วยทำงานทำการทำครัว ช่วยดูแลญาติโยม ส่วนมากเป็นผู้หญิง เขาถึงว่าเกลียดอย่างไหน ยิ่งใกล้อย่างนั้น

            อาตมาขอเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง คนที่มาหาหลวงพ่อเดิมไม่ได้มารับแหวน รับมีด รับเหรียญ รับรูปหล่ออย่างเดียว แต่มาขอรอยเท้าหลวงพ่อ อาตมานี่แหละเป็นคนเอาครามมาทาเท้าหลวงพ่อ แล้วเอาหมอนรอง เอาผ้าขาวปูแล้วหลวงพ่อก็เหยียบรอยเท้าลงไป แล้วก็เป่าเพี้ยงดี เอาให้คนที่ต้องการเอาไป ดูเอาซิความดีของหลวงพ่อเดิมนะ แม้แต่รอยเท้าเขาก็เอาไปบูชากัน นี่แหละอำนาจแห่งทาน ศีล และภาวนาของท่าน อาตมายังจำภาพเก่า ๆ ได้ดีไม่มีวันลืม เพราะท่านก็เลยไม่สึกออกไปมีลูกมีเมีย ท่านช่างรู้เข้าไปจนถึงใจอาตมาลึกมาที่สุด

            เรื่องรอยเท้านี้ ท่านได้อธิบายให้อาตมาฟังว่า “รอยเท้าของฉันเหยียบไว้เป็นที่ระลึกว่า ฉันคือหลวงพ่อเดิมที่ในหลวงพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็น พระครูนิวาสธรรมขันธ์ หมายถึงว่าเป็นที่ตั้งแห่งความดี ฉันไม่เบียดเบียน ฉันสร้างความเจริญในถิ่นกันดาร ฉันทำดีเพื่อให้พระศาสนารุ่งเรือง เมื่อได้รอยเท้าของฉันไปแล้ว ก็จงระลึกว่า หลวงพ่อเดิมท่านทำดี เราควรทำความดีเจริญรอยตามรอยเท้าของท่านไปเป็นคนดี คิดดี ทำดี อยู่แต่ในศีลธรรมอันดีงาม นั้นแหละรอยเท้าของฉันจึงจะขลัง ไม่ใช่เอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก แต่ไม่เคยมีใครถามฉันสักราย เห็นแต่เอารอยเท้าไปติดตัวแล้วหายเงียบไป”

            เมื่ออาตมาได้ฟังคำของท่านแล้ว ในตอนนั้นอาตมาซึ้งในคำพูดของท่านมาก ตั้งแต่บวชมาจนคิดจะสึก ก็เพิ่งพบหลวงพ่อเดิมนี่แหละ ที่ท่านมีปรัชญาอันซาบซึ้งใจของอาตมา อาตมากล้าพูดได้เลยว่า หกเดือนที่อยู่วัดหนองโพ ทำให้อาตมากลายเป็นพระเต็มตัว ความคิดที่จะสึกหมดไปเพราะเห็นแล้วว่า พระที่ดีอย่างหลวงพ่อยังมี พระที่ไม่ดีเราเคยเห็นนั้นเทียบกับท่านไม่ได้ เหมือนเพชรกับแก้ว ที่ไม่อาจมาเคียงคู่กันได้เลย

            หลวงพ่อเดิมได้ให้แง่คิดเพิ่มเติมต่อไปว่า “คุณฟังฉันให้ดี ๆ นะ คนที่มาวัดนั้น ร้อยละแปดสิบเป็นพวกคนโง่ จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง เพราะเขายังห่างธรรมะ ร้อยละยี่สิบเข้ามาหาธรรมะ มาสนทนาธรรมกับฉัน มีเพียงไม่กี่คนที่ถามฉันเหมือนที่คุณถามฉัน เมื่อมีคนถามฉันก็จะบอกเขาว่า เอารอยเท้าฉันไปนะ ฉันเป็นอุปัชฌาย์ของเธอ ฉันเป็นพระที่เธอนับถือ ฉันไม่เก่งอะไรหรอก แต่ฉันสร้างความดี เธอจงเอารอยเท้าฉันไปดูให้ติดตา แล้วทำความดีตามรอยเท้าของฉัน แล้วเธอจะประสบแต่ความสุขความเจริญ

         มีหลายรายเอารอยเท้าฉันไปแล้ว เอาไปประกอบกรรมชั่ว ไปปล้นไปจี้เขา ไปลักวัวลักควายเขา ต้องถูกยิงตามคาที่ ตายโหง ถึงมีรอยเท้าฉันอยู่กับตัวก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่เดินตามรอยเท้าฉันไปในทางที่ดี แต่กลับแหกคอกไปในทางชั่วแล้วจะมาหวังพึ่งอะไรได้เล่า”

         นี่คือปรัชญาชีวิตในรอยเท้าของหลวงพ่อเดิม ที่ท่านฝากเอาไว้กับบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้ได้คิดกันต่อมา

            อยู่กับหลวงพ่อเดิมเป็นเดือน ๆ เข้าก็เลยขอลาท่านกลับวัดพรหมบุรี และได้มีโอกาสกลับไปวัดหนองโพอีกในเวลาต่อมา คราวนี้ตั้งใจจะไปลาท่านขอสึกแน่ ๆ เมื่อเจอหน้าท่านคราวนี้ ท่านจ้องมองอาตมาอยู่นานเหมือนจะค้นลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ ครู่ใหญ่ท่านก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนโล่งใจ พร้อมกับกล่าวกับอาตมาว่า

            “อย่าไปไหนไกลฉันเลย ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรกว่า ไม่เกินสามเดือน ฉันจะมรณภาพจากเธอไปแล้ว จงอย่าห่างฉัน ช่วงนี้แหละสำคัญที่สุดเธอจำไว้”

            เมื่อได้ยินท่านว่าดังนี้ อาตมาก็ใจหายวาบ เพราะเห็นว่าหลวงพ่อชราภาพมากและท่านก็ไม่หลงไม่ลืม ดังนั้นการปลงอายุสังขารของท่านจึงเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นที่แน่นอนว่า ท่านกำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้วหรือ

            ช่วงนั้นเอง เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว และเจ้าคณะอำเภอท่าตะโก มาหาหลวงพ่อที่วัดบ่อยมาก อาตมาจำได้ว่าท่านผลัดเปลี่ยนกันมานมัสการหลวงพ่อเดิม แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากเรื่องปลงอายุกับพระเหล่านั้น บอกกับอาตมาองค์เดียว นี่ท่านเมตตาอาตมาเป็นพิเศษทีเดียว

            อาตมาก็รบเร้าเรื่องคาถามหาเมตตาจากหลวงพ่อ ท่านก็สอบเป็นปรัชญาเรื่อยไป อาตมาก็อยากจะสึก แต่ก็ไม่กล้าจะรบเร้าท่านมาก ท่านคอยห้ามเอาไว้ ส่วนใหญ่จะว่าไม่ได้ฤกษ์สึก ในที่สุดอาตมาก็รุกเร้าเอาจนท่านอ่อนใจให้คาถามาบทหนึ่ง ซึ่งเป็นคาถาที่ศิษย์หลวงพ่อเดิมใช้กันทุกคน คาถามีดังนี้

                        นะ       เมตตา

                        โม        กรุณา

                        พุธ       ปรานี  

                        ธา        ยินดี

                        ยะ        เอ็นดู

                        มะ       คือตัวกู

                        อะ        คือคนทั้งหลาย          

            อุ          เมตตาแก่กูสวาหะ

                        นะ โม พุทธายะ

            เมื่อได้คาถานี้มา อาตมาแสนดีใจว่าได้คาถาเมตตามหานิยม เอามาท่องจนขึ้นใจ เอาละวะคราวนี้ได้การละ สึกเมื่อใดจะได้เอาไปใช้ให้สมกับที่รอ แต่จนแล้วจนรอดหลวงพ่อเดิมก็ไม่สึกให้สักที ก็คอยว่าเมื่อใดหลวงพ่อจะเมตตาสึกให้ ก็ไม่มีแววสักที

            อาตมาท่องจนขึ้นใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าคาถานั้นแท้ที่จริงอยู่ในพระกรรมฐานนั่นเอง เพราะพระกรรมฐานสอนให้แผ่เมตตา ต้องมีเมตตาต้องมีปรานีกัน ต้องเห็นคนอื่นเขาเหมือนกับเราจึงจะมีเมตตา ถ้าไม่มีเมตตาปรานีแล้ว ท่องคาถาไปก็เปล่า ๆ ทั้งเพ พอมานั่งกรรมฐานจริงจัง ภายหลังหลวงพ่อเดิมมรณภาพไปแล้ว จึงกระจ่างมองเห็นภาพท่านสอนคาถาเมตตาให้ทุกอิริยาบถ

            อาตมาก็คิดที่จะสึกเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่ง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าวันนี้ต้องสึกให้ได้ คิดไปว่าพอกราบลาหลวงพ่อแล้ว ก็จะเดินไปหาทายก ไปบอกให้ทายกทราบว่าจะสึก แล้วก็จะเอาเงินสองบาทไปจ้างเขารีดเสื้อผ้าให้หน่อย

            ตอนนั้นอาตมาจำได้ว่ามีกางเกงอย่างดี เสื้ออย่างดี นาฬิกายี่ห้อไวเลอร์เรือนหนึ่ง ไม่เดินเสียด้วย คงโก้พิลึกละ อ้ายตอนที่เป็นฆราวาสก่อนบวชนี่เฟี้ยวสมวัย ในตอนนั้นเตรียมรีดเสื้อไว้แล้ว ก็พอดีค่ำจึงเข้าไปถวายการนวดเพื่อจะได้บอกหลวงพ่อว่าผมจะสึกพรุ่งนี้ละขอรับ แต่ยังไม่ทันจะบอกหลวงพ่อก็บอกกับอาตมาถึงสิ่งที่หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยได้บอกใคร ทำเอาอาตมานิ่งอึ้งเป็นครู่ใหญ่ ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า

         “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย ฉันบอกคุณคนเดียว รู้แล้วนิ่งไว้ อย่าแพร่งพราย เขาจะเสียขวัญกัน อีก ๑๕ วัน ฉันจะมรณภาพแล้ว ขอให้เธอจำคำฉันไว้ให้ดี ๆ”

            จากนั้นท่านกล่าวต่อไปว่า “ฉันต้องการมอบวิชาการอย่างหนึ่งให้เธอไว้เป็นคนแรกและคนสุดท้าย ฉันเห็นว่าเธอนั้นเหมาะที่สุดแล้ว”

            อาตมาได้ยินก็ดีใจ เพราะคิดว่าจะเป็นคาถาเรียกพระเข้าตัวแน่ แต่ก็ผิดคาด หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า “วิชาที่หลวงพ่อจะมอบให้เธอคือ วิชาคชศาสตร์ การต่อช้างป่า การกำราบช้างตกน้ำมัน การดูแลช้าง วิชาคชศาสตร์ต้องคนมีวาสนาบารมีพอจึงจะเรียนได้ ฉันเห็นว่าเธอนี่แหละจะรับไว้ได้ ฉันจึงมอบให้ ฉันเรียนมาจากปู่ย่าตาทวดฉัน เมื่อสมัยปู่ย่า ตระกูลของฉันต่อช้างป่าถวายในหลวงกรุงศรีอยุธยา ปู่ทวดฉันเคยเล่าให้ฟังว่า เคยต่อช้างเผือกได้ ๒ เชือก ที่กำแพงเพชรแล้วนำไปถวายองค์พระราชากรุงศรีอยุธยา เป็นช้างคู่เมือง”

            อาตมาเมื่อได้ยินดังนั้นก็เลยตอบท่านไปตรง ๆ ว่า “ไม่เอาละครับหลวงพ่อ ผมไม่เคยอยากได้เลยครับ ผมอยากได้คาถาเมตตามหานิยมให้ผู้หญิงรัก หรือคาถาเรียกพระเข้าตัวก็ได้ครับ” เท่านั้นเองท่านลุกขึ้นจากท่านอน มาเป็นท่านั่งตัวตรง พร้อมทั้งยกมือของท่านชี้หน้าอาตมา และกล่าวด้วยเสียงอันมีอำนาจสะท้านเข้าไปถึงหัวอกว่า

         “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกให้ เธอยังเป็นเด็กเป็นผู้อ่อนอาวุโส ผู้ใหญ่เขาให้อะไรก็รับไว้ซิ ไปปฏิเสธทำไมกัน อย่าหยิ่งจองหองไม่เข้าเรื่อง”

         อาตมาก็ว่า “ต่อไปทำไมครับช้างป่า มันอยู่ในป่าก็เรื่องของมัน มันตกน้ำมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ แล้วเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเจริญมากแล้วไม่ต้องใช้ช้างป่ากันแล้วละครับหลวงพ่อ”

         หลวงพ่อเดิมท่านจึงใช้คำคำมาพูดกับอาตมา ซึ่งทำให้อาตมาถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะท่านมาไม้สูงจริง ๆ ท่านถามว่า “มีเสื้อตัวเดียวกับมีเสื้อสิบตัว อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ ลองบอกมาซิ”

         “สิบตัวดีกว่าครับหลวงพ่อ”

         “ก็นั่นนะซิ ยังไม่ได้ใส่ก็รีดเก็บแขวนไว้ เวลาจะใช้ก็หยิบมาสวมง่าย ไม่ต้องไปรีดให้เปลืองเวลา พ่อแม่ปู่ย่าตายายให้ก็เก็บไว้ มันเป็นประโยชน์ในเวลาข้างหน้านะ”

         อาตมาก็นึกไม่อยากได้ไม่อยากจะเรียน อยากจะสึกท่าเดียว ก็เลยบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ผมไม่เรียนครับ ผมจะสึกอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว จะเรียนไปทำไมกัน ผมจะขอลาสึกครับหลวงพ่อ”

            ตอนนั้นหลวงพ่อเดิมท่านถอนหายใจใหญ่แล้วกล่าวกับอาตมาว่า

            “เธอฟังหลวงพ่อให้ดีนะ หลวงพ่อจะว่าให้ฟัง ผู้ใหญ่น่ะเขาเห็นการณ์ไกลกว่าเด็กมาก ไม่ใช่เขาพูดอะไรส่งเดชก็หาไม่ ที่หลวงพ่อมอบวิชาคชศาสตร์ให้นี้ ก็เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยปฏิบัติฉันมาเป็นเวลานาน ฉันไม่เคยให้ใครเลย คนหนองโพหรือคนที่อื่นฉันไม่เคยสอนให้ใครมาก่อนเลย ต้องการให้เธอสืบวิชาไว้ไม่ให้ตายตามหลวงพ่อไป เข้าใจหรือยังล่ะ”

            เมื่อฟังท่านพูดอย่างนี้ อาตมาก็ได้แต่นิ่ง ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการยอมรับหลวงพ่อเดิม จากนั้นท่านก็ไล่ให้ไปจำวัดเพื่อจะเริ่มสอนในวันพรุ่งนี้ต่อไป

            เคยมีพระไปเจอช้างที่เขาใหญ่ แล้วก็ไปดูมันใกล้ ๆ ถือว่าเคยเป็นพระธุดงค์มาไม่เคยกลัวช้าง แต่ที่ไหนได้มันตกน้ำมันอยู่โทรมเลย มันเลยเหยียบเสียตายไป ก็เพราะไม่รู้ว่าช้างตกน้ำมันเป็นอย่างไร ช้างมีสัญชาตญาณอย่างไร ช้างมีหูทิพย์ตัวไหน จึงต้องเอาชีวิตไปให้ช้างเหยียบแล้วแทงด้วยงาจนมรณภาพ

            การฝึกสอน เริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิตามที่ท่านสอนโดยที่ท่านควบคุมเอง และยังได้สอนกสิณให้อีกด้วย หลวงพ่อท่านสอนกสินอย่างละเอียด ทีละขั้นตอนแล้วให้ทดลองทำ อาตมาก็ทำตามได้ความรู้ทางด้านการเพ่งกสิณอย่างเต็มที่ พอได้ความรู้อย่างดีแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านก็ว่า

            “เห็นไหมถ้าเธอไม่เรียนวิชาคชศาสตร์แล้ว เธอก็จะไม่ได้กสิณจากหลวงพ่อ และไม่ได้อะไรเลย มามือเปล่าก็กลับไปมือเปล่า อย่าเป็นคนหยิ่งยโสแมลงป่องเลย ผู้ใหญ่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่พูดเรื่อยเปื่อยหรอก”

            อาตมาซาบซึ่งใจเหลือเกิน ตั้งแต่นั้นมาพระเถระผู้ใหญ่ให้อะไรสอนอะไรก็เอาไว้หมด ไม่เคยรังเกียจหรือถือดีว่าเคยได้ยินได้ฟังหรือเคยทำมาแล้ว ไม่ว่าท่านจะให้อะไรก็น้อมรับไว้หมด ทำให้กลายเป็นคนอ่อนโยนว่านอนสอนง่าย เป็นคนมีความนุ่มนวล และเข้าถึงกับคนได้ดีจนทุกวันนี้ อาตมาก็ยังระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมไม่หาย เพราะหากไม่ได้ท่าน อาตมาก็คงจะสึกไปเป็นฆราวาส ไม่ได้นุ่งผ้าเหลือง มานั่งสอนธรรมะให้ญาติโยมหรอก อันว่าของที่เขาให้มานะ ถ้าไม่ได้ใช้เอง เห็นคนไหนสมควรก็ให้ไปใช้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย มีของไว้มาก ๆ ก็เอาไว้แจกเป็นทานจริงไหมล่ะ

            การเรียนกสิณนั้น เรียกหลายอย่าง กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณในวิชากสิณ หลวงพ่อสอนให้หมดไม่ปิดบัง ทำให้อาตมาเรียนเพลิน ไม่รู้ว่าเอากำลังมาจากไหน รับไว้อย่างเต็มที่ความคิดเรื่องสึกเริ่มเลือนหายไป คิดแต่ว่าเรียน ๆ ๆ ให้มากที่สุด พอได้ที่แล้ว วันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เรียกอาตมาไปเรียนวิชาคชศาสตร์ง่าย ๆ ก่อน ท่านสอนว่า

         “ช้างนั้นมีหูทิพย์ แต่ไม่ทุกตัว ต้องมีวิธีดู ให้ดูที่เทวดารักษาตัวช้าง ก็ดูด้วยกสิณที่เธอได้เรียนไปนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดเอา”

            อาตมาจึงมารู้ตอนนี้เองว่า หลวงพ่อต้องการให้เรียนกสิณก่อน เพราะกสิณคือหลักในการทำให้จิตแข็งแกร่ง เป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคสึก ที่กำลังกัดกินใจอาตมาจนกร่อนไปด้วยความเร่าร้อน กสิณดับได้เหมือนเอาน้ำเย็น ๆ สาดลงบนกองไฟ ดับร้อนรนให้มอบดับ

            หลวงพ่อเดิมท่านสอนต่อว่า “การที่จะทำให้ช้างละพยศหายตกมันได้นั้น ไม่ยากแล้ว ให้กำหนดเห็นเทวดารักษาช้างแล้วก็แผ่เมตตาให้เทวดา เทวดารับแล้วก็จะบังคับช้างให้เชื่องแล้วไม่ตกมันต่อไป พระที่ท่านมีกสิณท่านจึงแผ่เมตตาให้เทวดา ไม่ใช่แผ่ให้ช้าง แผ่ให้ช้างละก็แบบเป็นกล้วยปิ้งหมด”

         จากนั้นท่านเล่าความหลังเมื่อท่านเป็นเด็กว่า ตอนนั้นหลวงพ่อตามโยมพ่อไปทำไร่ที่ท่าตะโก ที่นั่นมีช้างป่ามาก มันเข้ามากินของในไร่เสียหายหมด พวกชาวไร่พอเช้าขึ้นก็ด่าพ่อล่อแม่ช้างกันเป็นการใหญ่ เคียดแค้นที่ช้างมันเข้ามากินของในไร่ พอตกดึกไม่มากินเปล่า ๆ แล้ว มาช่วยรื้อกระท่อม และก็รื้อถูกกระท่อมด้วยกระท่อมไหนด่าว่า ก็รื้อกระท่อมนั้น เจ้าของวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิต ทำไมช้างรู้ เพราะเทวดาบอกเขานำมาเล่นงานเอา พวกช้างตกมันนั้นมันดุและร้ายที่สุด จะสยบได้ต้องเพ่งเมตตากรรมฐานให้มากที่สุด จะเผลอไม่ได้เลยต้องแน่วแน่อย่างที่สุด ไม่งั้นแล้วจะต้องเอาชีวิตไปสังเวยมัน มันไม่เห็นแล้วว่าตอนนั้นเป็นใคร เพราะมันตกมัน ใจมืดบอดไปหมด เทวดาที่รักษาช้างเท่านั้นจะต้านช้างและเอาช้างนั้นไว้ได้ ถ้าเทวดาไม่เอาด้วยละก็ตาย

            การเพ่งกสิณและแผ่เมตตาไปสยบช้างตกมันนั้น มันต้องเพ่งให้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้นไม่ได้ ต้องรีบถอนหนี เพราะช้างเป็นสัตว์ร้ายมันเอาตายแน่ จะแผ่เมตตาจะปราบช้างต้องดูกาลเทศะด้วย ไม่ใช่แผ่ดะไป อันนี้ขอบอกขอเตือนพระธุดงค์มือหัดใหม่ว่า อย่าไปริอ่านทำพลาดเข้าแล้วจะกลายเป็นเหยื่อข้างตกมันไปง่าย ๆ ควาญที่เคยเลี้ยงดูมันมา เวลามันตกมัน มันยังขยี้เสียยับเยิน นับประสาอะไรกับคนอื่น

            เทวดารักษาช้างนั้นสำคัญที่สุด ช้างบางตัวก็มีเทวดารักษา บางตัวก็ไม่มี ต้องกำหนดจิตให้เห็นจึงจะสามารถแผ่เมตตาให้กับเทวดารักษาช้างนั้นได้ ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เทวดาแล้วละก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เมื่อได้เข้าป่าไปผจญช้างตกมันหรือช้างป่าที่ดุร้ายหมายชีวิต ต้องเจริญกสิณให้จิตหยั่งลึกประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้จงได้ แล้วเพ่งดูเทวดาที่รักษาช้าง เมื่อเห็นแล้วก็ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาออกไปให้เต็มที่ เพื่อให้เทวดารักษาช้างได้รับละจัดการกำราบช้าง บทที่ใช้แผ่ออกไปก็จะว่า “เมตฺตญฺจ สพฺพโลกสฺมิง มานสมฺภาวเย อปริมาณํ”

            ในจังหวะเดียวกันก็แผ่กระแสแห่งเมตตาธรรมออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต เหมือนคำบาลีที่แผ่ออกไปว่า เมตฺตญฺจ อปริมาณํ อันหมายความว่า เมตตานั้นไร้ขอบเขตจำกัด สรรพสัตว์ตลอดจนอินทร์พรหมยมยักษ์ ย่อมได้รับกระแสแห่งความเมตตานี้โดยทั่วกัน กสิณคุมเอาไว้ให้มั่น นั่นแหละคือการกำราบช้าง

            การคุมจิตใจในการแผ่เมตตานั้น หลวงพ่อเดิมท่านให้ใช้คาถาภาวนาในช่วงลมหายใจว่า “เมตฺตาคุณฺณํ อรหํเมตฺตา” เจริญไว้ทุกลมหายใจอย่าให้ขาดให้ตกหล่นเพราะเป็นช่วงสำคัญมาก เมื่อเทพยดาที่รักษาช้างได้รับเมตตานั้นแล้ว ก็จะบังคับช้างให้เบี่ยงเบนแล้วออกไปให้พ้นจากที่ ๆ ประจันหน้ากันอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือ เหมือนกับนักเลงโตสั่งลูกน้องว่า คนนี้เขาเป็นคนดี อย่าได้ไปทำร้ายเขา ไปที่อื่นเสีย อย่างนี้แหละ เมตตาของหลวงพ่อเดิมท่านว่า เป็นสุดยอดแห่งคุณธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก หากโลกขาดเมตตาแล้วทุกคนในโลกจะพินาศหมด เพราะเข่นฆ่ากันจนไม่มีใครเหลือ

            อันนี้อาตมาขอแทรกไว้ตรงนี้ว่า เวลาไปมีเรื่องกับใคร อย่าใช้ความโกรธ เราต้องดูว่าเขามีผู้ใหญ่คอยคุมอยู่ มีผู้บังคับบัญชาต้องเข้าไปให้ถึงคนใหญ่ไปบอกให้รู้ มีเรื่องกับลูกเขา เขามีพ่อมีแม่ก็ต้องบอกพ่อแม่เขาให้รู้เอาไว้ จะได้ห้ามปรามไม่ให้มามีเรื่องอีก ต้องเข้าให้ถูกตามช่องจึงจะใช้ได้ ไม่บอกเทวดาที่รักษาช้างเขาก็วางเฉย เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจ ไม่วิ่งหนีให้ทันก็มีหวังแบนแต๋อยู่ใต้อุ้งเท้าช้างแน่

            นี่แหละหลวงพ่อเดิมท่านให้วิชาคชศาสตร์แก่อาตมา เพื่อสอนว่าถ้าจะปราบช้างให้เจริญกสิณแล้วจึงจะปราบช้างได้ เรียนกสิณแล้วใจก็ไม่คิดสึก เรียกว่าได้สองต่อ คือ ต่อแรกทำให้อาตมาเป็นพระมาได้จนทุกวันนี้ ต่อที่สองก็คือวิชาคชศาสตร์ ไม่ตายอาตมารับสืบทอดเอาไว้ได้ในที่สุด นี่แหละอาตมาจึงว่าหลวงพ่อเดิมท่านไม่ใช่ธรรมดา แต่ท่านเป็นอัจฉริยะ จริง ๆ อาตมายอมรับ

            อาตมาปรารภจะได้คาถาเมตตาชนิดที่เรียกว่า ภาวนาแล้วผู้หญิงจะติดเป็นตังเม หลวงพ่อก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา ในที่สุดก็จดคาถาให้ว่า

                        นะกาโรกุกะกะสันโธ สิโรมัชเฌ

                        โมกาโรโกมะนาคะมะโน นลาถิเต

                        พุทกาโรกัสสะโปพุทโธจะเทวเนตเต

                        ธากาโรศากยะมุนีโคตโม จะเทวกัณเณ

                        ยะกาโรศรีอริยะเมตตรัยโย ชิวหาถิเต

                        ปัญจะพุทธานะมามิหัง

            เมื่อหลวงพ่อเดิมให้มา อาตมาก็ท่องไปเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ได้สึก พอมาเรียนพระกรรมฐานและสติปัฏฐานสี่ในตอนหลังนี้ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า คาถาที่หลวงพ่อให้ไม่ใช่คาถาเมตตาที่ไหนเลย แต่เป็นคำสอนของพระบรมศาสดาทั้งนั้นเช่น

            ให้ระมัดระวังศีรษะ ให้รู้จักน้อมคารวะผู้มีคุณธรรม หน้าผาก ก็ให้ผ่าเผยด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม ดวงตา ให้สำรวมระวังในการมองดู เพราะนั่นเป็นทางเกิดกิเลสต่าง ๆ ให้สำรวมระวัง หูให้ฟังไว้หู ให้หูหนักเข้าไว้อย่าหูเบา และลิ้น นั้นให้ระวังสำรวมในรสอาหารอย่าไปติดมันเข้า เพราะมันทำให้เกิดกิเลส ดังนั้นคาถาเมตตาของหลวงพ่อเดิมจึงรวมเอาคำสอนของพระบรมศาสดาเรื่อง การสำรวมระวังอินทรีย์ ทั้งนั้น แต่เมื่อคนเกิดไปภาวนาด้วยความมั่นใจแล้ว ก็ทำให้ขลังได้เหมือนกัน

            เมื่ออาตมาเรียนจบแล้ว หลวงพ่ออาพาธหนักทรุดลงทันที เหมือนกับว่าท่านทรงสังขารอยู่เพื่อสอนวิชาคชศาสตร์ให้อาตมาได้ใกล้ชิดอยู่จนกระทั่งมรณภาพ เพราะอยู่กับท่านมาตลอดหกเดือนจนคุ้นเคย ลูกหลานหลวงพ่อเขาก็ช่วยกันพยาบาลอย่างใกล้ชิด อาตมาก็อยู่หน้ากุฏิเพราะไม่มีที่และหลวงพ่อก็อาพาธหนัก

            ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมจนวาระสุดท้ายมาถึง วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส เมฆไม่มี อากาศร้อนอบอ้าวมันแล้งจริง ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาเหนือท้องฟ้าบ้านหนองโพ และฝนก็เทลงมาไม่ลืมหูลืมตา มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก อาตมามารู้ตอนหลังนี่ว่า หลวงพ่อเดิมท่านปรารภก่อนหน้าที่ฝนจะตกว่า น้ำในสระบ้านหนองโพมีกินกันพอหรือไม่ ลูกหลานก็บอกว่าถ้าฝนไม่ตกในสี่ห้าวันนี้ต้องอดกันแน่ เพราะน้ำแล้งลงไปมาก

            หลวงพ่อท่านก็ให้ลูกหลานช่วยแต่งจีวรครองให้ท่านอย่างรัดกุม แล้วท่านก็หลับตา มือสองข้างพนมไว้ที่หน้าอก ปากสวดพร่ำภาวนาคาถา และเจริญกสิณของท่านไปเพียงไม่นาน เมฆฝนก็ก่อตัวขึ้นจนดำมืดไปหมด แล้วฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนน้ำไหลลงจนถึงค่อนสระจึงขาดเม็ด และเมื่อฝนขาดเม็ด หลวงพ่อเดิมท่านก็ขาดใจเหมือนฝน

            อาตมารู้ว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกหลานหลวงพ่อที่อยู่ด้านในร้องไห้ และออกมาร้องบอกคนข้างนอกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว หลวงพ่อมรณภาพแล้วให้ตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณ อาตมารู้สึกใจหายแม้จะเป็นศิษย์เพียงหกเดือนสุดท้าย แต่อาตมาได้รับสมบัติตกทอดจากหลวงพ่อเดิมอย่างมหาศาลคือกสิณ และความเป็นพระมาจนทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเดิมป่นนี้อาตมาก็คงไม่ได้มาเล่าเรื่องทั้งที่ครองผ้าเหลืองอยู่หรอก

            อาตมาอยู่ช่วยงานศพหลวงพ่อเดิมตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน มีการตั้งศพหลวงพ่อเพื่อสวดพระอภิธรรม ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก (เดิมเป็นมหาห้อง) เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานจัดงานศพเพราะเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อเดิมอย่างยิ่ง ตอนนั้นอาตมาได้เข้าใกล้ชิดท่านเพราะท่านเคยมาเยี่ยมหลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อเดิมก็คงจะบอกกับท่านมหาห้องว่า พระจรัญรูปนั้นเขาจะสึกไปเป็นฆราวาสแล้วท่านยับยั้งเอาไว้ พอว่างแขกท่านก็เรียกอาตมาเข้าไป อาตมาก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า

         “เธอใช่ไหมชื่อจรัญ มาจากวัดพรหมบุรี”

            อาตมาก็ตอบรับท่านไป และท่านก็ให้โอวาทพร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า “ฉันจะบอกกับเธอตรงนี้โดยไม่ปิดบังว่า ฉันเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ฉันนี่แหละคือศิษย์ของหลวงพ่อเดิมองค์หนึ่ง ที่ได้ดีมาทุกวันนี้ก็ด้วยบารมีหลวงพ่อเดิม และเธอเป็นศิษย์ที่หลวงพ่อเลือกสรรแล้ว”

            อาตมาได้ฟังก็งง เพราะนอกจากเจ้าคณะจังหวัดจะเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแล้วยังกล่าวว่า หลวงพ่อเดิมเลือกอาตมาเป็นศิษย์ที่เลือกสรรแล้ว จึงเรียนถามท่านเจ้าคณะจังหวัดไปว่า “กระผมไม่เข้าใจขอรับ ทำไม่พระคุณท่านจึงว่าหลวงพ่อเดิมเลือกสรรกระผมแล้ว”

            ท่านก็ตอบว่า “เธอฟังฉันให้ดี ๆ นะ วิชาคชศาสตร์นี้ไม่ใช่ฆราวาสหรือสงฆ์ในหรือนอกบ้านหนองโพ หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยถ่ายทอดให้ แต่เธอคนเดียวนี่แหละที่หลวงพ่อมอบให้ จึงนับเป็นวาสนาบารมีของคุณโดยแท้ มีผู้มาขอเรียนกับหลวงพ่อตรง ๆ หลวงพ่อก็ได้แต่หัวเราะ อย่างเก่งก็บอกว่า รอไปก่อนนะยังไม่ถึงเวลา จนแล้วจนรอดหลวงพ่อก็ไม่พูดถึง เป็นอันว่าไม่ได้เรียน”

            อาตมาเข้าใจทันทีว่า หลวงพ่อเดิมท่านเมตตาต่ออาตมามากเป็นพิเศษ ท่านจึงถ่ายทอดวิชาคชศาสตร์ให้จนครบถ้วนกระบวนความ เหมือนท่านจะมีญาณพิเศษหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว อาตมาจะได้เข้าไปในป่า เรียนวิชากับหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง แล้วจะต้องออกเดินธุดงค์เดี่ยว หาความชำนาญ จนไปพบช้างป่าตัวเบ้อเริ่มส่งเสียงร้องแปร๋น ๆ กางหูชูงารี่เข้ามาจะกระทืบอาตมาให้แบนติดเท้า อาตมาจึงเข้าที่ ทำกรรมฐาน และเจริญกสิณจนแน่วแน่แล้วแผ่เมตตาให้เทวดาประจำตัวช้าง ช้างที่กำลังวิ่งแปร๋นเข้ามามีอันเป็นหน้าหงาย แหงนสะบัดหูชูงา สะบัดงวงไปมา เข้ามาทำร้ายอาตมาไม่ได้ เทวดารั้งเอาไว้จนอยู่ บอกว่าอย่าไปทำร้ายพระสงฆ์ ท่านไม่ใช่ผู้เบียดเบียน เจ้ามาเกิดเป็นเดรัจฉานก็นับว่ามีกรรมแล้ว ถ้าไปแทงท่านตายก็เป็นกรรมหนักเข้าไปอีก ไม่ต้องมีโอกาสได้เป็นคนกัน

            มันเป็นเสี้ยวชีวิตแห่งความเป็นความตายทีเดียว เพราะช้างมันแล่นเข้ามาเกือบจะถึงอยู่แล้ว มันจึงเบนออก หลังจากนั้นอาตมาได้มองเห็นภาพหลวงพ่อเดิมทุกอิริยาบถ นึกถึงคำที่ท่านว่าผู้ใหญ่เขาให้อะไรอย่าหยิ่งยโสโอหัง ให้เอาไว้ก่อน วันหน้าจะเป็นประโยชน์ อาตมายกมือขึ้นจบที่หน้าผากระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิม

            ไม่แต่เท่านั้น อาตมายังได้นำวิชาคชศาสตร์นี้ไปใช้ประโยชนได้อีก ก็เรื่องแม่ชีอายุ ๖๐ เคยเกิดเป็นช้างมาก่อน ระลึกชาติได้ พอมาที่วัดอาตมาก็สอบสวนได้ความอย่างนี้

            พรานทองดีมีช้างตัวเมียอยู่ตัวหนึ่ง เป็นลูกช้างเก็บจากป่ามาตั้งแต่เล็ก ๆ พรานเลี้ยงไว้ เจ้าช้างนี้ก็ประหลาดชอบตามพรานทองดีไปวัด ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ไปหมอบฟังเทศน์จนโตก็ยังทำอย่างนั้นเป็นประจำ พรานทองดีแกก็รักของแกมาก เลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก แต่พรานทองดีแกบุญน้อยแกตายเสีย ช้างก็ตกเป็นของลูกหลานเห็นว่าอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องหาหญ้าหาของให้กินก็เลยขายต่อไป

            แม่ช้างน้ำตาไหลร้องไห้ไม่อยากจากบ้านพรานทองดีซึ่งเหมือนกับพ่อของมันไป แต่ควาญช้างที่ซื้อไปก็เอาตะขอสับลากไปจนได้ เดินไปร้องไห้ไปในที่สุดไปตรอมใจ ไม่ยอมกินอาหาร พอไปถึงเมืองศรีเทพ (เพชรบูรณ์) ก็ล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง เพราะมันเสียใจ พอตายแล้วก็ได้กลับมาเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ข้างบ้านพรานทองดีที่ภูพาน อายุได้ ๑๒ ปีก็ร่ำลาพ่อแม่ไปบวชชี แล้วระลึกชาติได้ อายุ ๖๐ มาที่วัด อาตมาสอบสวน ก็เอาความรู้ที่หลวงพ่อเดิมท่านสอน มาสอบว่าช้างตัวผู้นิสัยอย่างไร ช้างตัวเมียมีนิสัยอย่างไร แล้ววันหนึ่ง ๆ ทำอะไรบ้าง

            คนที่นั่งฟังอาตมาถามแม่ชีเป็นข้อ ๆ ก็งงไม่รู้ว่าอาตมาเอาอะไรมาถาม จนในที่สุดอาตมาก็ยอมรับว่าจริง เพราะถ้าคนไม่เคยเป็นช้าง และไม่เคยรู้เรื่องวิชาคชศาสตร์ที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดมาแล้ว จะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉาน และขาวสะอาดเป็นอันว่าระลึกชาติได้จริง นี่เห็นไหมว่า หลวงพ่อเดิมเหมือนมีตาทิพย์มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้

            อาตมาขอแทรกคำกลอนไว้ตรงนี้ให้เป็นคาถาแก้จน คาถาทำให้มีกินมีใช้ คาถาว่าอย่างนี้ “ไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมทำหรือจะเป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย”  ดังนั้นต้องเรียน ต้องรู้ ต้องทำให้เป็น อย่าดูถูกการเรียน เขาให้เรียนอะไรก็เรียนไว้ไม่เสียหาย ช่วยตัวเองได้ในเวลาจำเป็น

            เมตตาที่หลวงพ่อเดิมท่านสอนนี้ ท่านให้อาตมาไว้ผจญภัยจริง ๆ เพราะแม้แต่ไปต่างแดน ก็ได้ใช้เมตตานี้เหมือนกันที่ศรีลังกาโน่น มันร้ายกว่าช้าง เพราะมันเป็นคน คนที่มีใจอำมหิตโหดร้าย เมตตาที่หลวงพ่อเดิมสอนนี้ทำให้อาตมาสำหรับกำราบได้แม้แต่คนใจทมิฬ

            อีกเรื่องหนึ่งที่อาตมาได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากหลวงพ่อเดิม เรื่องมีอยู่ว่าวันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านได้เอ่ยเล่าถึงวัดสมัยโบราณ สร้างปุโรหิตาจารย์และถ่ายทอดตำราพิชัยสงคราม ปุโรหิตาจารย์นั้นสมัยนี้ก็เทียบเท่ากับเสนาธิการ ในการวางแผนการรบ ถ้าเสนาธิการดี รู้รอบพิชัยสงครามย่อมกำชัยชนะมาสู่ผืนปฐพีของตนได้อย่างไม่ยากนัก เพราะตำรับพิชัยสงครามก็คือการหยั่งรู้กำลังศัตรู และการเดินทัพของศัตรูท่านได้ตั้งปัญหาถามอาตมาว่า

            “นี่เธอ ตอนกลางคืนเธอเดินอยู่ในป่าทึบ เธอรู้ไหมว่าทิศไหนเป็นทิศไหนกันแน่” และหลวงพ่อเดิมท่านก็สอนอาตมาว่า “เมื่อจะหาทิศทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นทิศให้ดูดาวเหนือ ถ้าดูดาวเหนือไม่เป็นก็ต้องใช้อย่างอื่นแทน ถ้าเธอเดินผ่านหน้าวัดเธอจะรู้ได้ทันทีว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ถ้าไม่มีโบสถ์แล้วดูดาวไม่เป็นก็ต้องดูต้นไม้ เธอต้องรู้จักต้นไม่ว่า ต้นไม้แบบนี้ขึ้นอยู่ในทิศเหนือ หรือมีกิ่งก้านเอนไปทางทิศเหนือ หรือต้นไม้อย่างนี้ชอบขึ้นหรือเอนไปทางทิศใต้เป็นต้น และถ้าหากไม่มีต้นไม้ ก็ให้ใช้วิชากสิณที่เธอเรียน ให้เธอนอนคว่ำลงไปกางแขนทั้งสองข้างออก เจริญสมาธิจนแน่วแน่ อธิษฐานจิตจะเกิดพลังความร้อนแผ่กระจายจากทรวงอกไปยงแขนข้างใดข้างหนึ่ง ข้างไหนร้อนนั่นแหละแขนชี้ไปทิศเหนือ”

            และหลวงพ่อเดิมยังสอนวิชาเมฆฉายให้อาตมา ท่านสอนว่า “แม่ทัพสมัยก่อนโน้น เวลาจะออกทัพจับศึก นอกจากจะเตรียมอาวุธไว้ป้องกันตัว และคาถาอาคมแล้ว ยังทำเมฆฉายด้วย การยกร่างของตัวเองขึ้นไปบนก้อนเมฆทำนิมิตจะติดต่อกันทั้งร่าง ถ้าลางร้ายตัวนิมิตบนก้อนเมฆจะคอขาด แขนขาดต่อกันไม่ติด ก็รู้ล่ะว่าออกไปแล้วจะตาย ก็จะต้องสั่งเสียและฝากฝังลูกเต้าไว้กับพระเจ้าแผ่นดิน แล้วตัวเองก็ออกไปตายอย่างชายชาติทหาร นี่แหละพิชัยสงครามละเธอ”

            อาตมายอมรับว่าหลวงพ่อเดิม ท่านเป็นผู้รอบรู้หมดทุกด้าน สมกับที่ถ่ายทอดวิชามาจากยอดขุนศึกของพระเจ้ากรุงธนบุรี อันเป็นปฐมสมภารของวัดหนองโพโดยแท้ และวิชาต่าง ๆ เหล่านี้ตกทอดมายังหลวงพ่อเดิม และถ่ายทอดมายังอาตมาให้สืบทอดเอาไว้จนทุกวันนี้

            วิชาที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิชาการกำหนดรู้สภาวะของผู้คน ยกตัวอย่างเช่น อาตมาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ต้นไม้เขียวสดชื่น ไม้ดอกก็งดงาม แต่เมื่อกำหนดจิตเข้าไปสิ่งที่กระทบคือความรู้สึก ซู่ ซู่ วาบ วาบ สลับกันอย่างนี้ ท่านว่าไม่นานนักจะมีคนตายในบ้านนั้น คนไข้หนักก็จักไม่รอดได้

            บางบ้านผ่านไปต้นไม้ก็กรอบแดงไม่น่าดูเสียเลย แต่ได้กำหนดจิตเข้าไปดู ปรากฏว่ามีสัมผัสว่า ซู่ซู่ ซู่ซู่ ติดต่อกัน ท่านว่าบ้านนั้นกำลังจะรวยและมีโชคลาภ

            อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อตื่นขึ้นจากที่นอนแล้ว ถ้าหมั่นสังเกตจะพบว่า ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะได้เงิน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะเสียเงิน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อารมณ์ที่อยู่ในจิตจะบอกเหตุดีร้าย อาตมาก็เรียนเอาไว้จดเอาไว้ และวันหนึ่งก็ได้ใช้

            ตอนนั้นเขานิมนต์ไปฉันที่เชียงราย อาตมาก็เดินทางจากวัดตั้งแต่ตีหนึ่ง คนขับชื่อนายวิรัช อาตมาก็บอกกับเขาว่า “วิรัช ถ้าเกิดอารมณ์อย่างนี้เมื่อใดให้บอกฉันนะ จะได้นั่งสมาธิเข้าควบคุมไว้ ถ้าไม่บอกแล้วจะเกิดอันตราย”

            พอเลยตัวเมืองเชียงรายไปได้ไม่นานนัก นายวิรัชก็บอกว่า “เกิดอารมณ์อย่างที่หลวงพ่อบอกแล้วครับ” เอาอย่างไรดี อาตมาก็บอกว่า “หยุดพักเสีย ถ้าเดินทางต่อไปมันเกิดอาเพศ แล้วจะเป็นอันตราย”

            จอดรถพักผ่อนพอได้เวลาก็ให้ออกเดินทางไปเพียงอีกสามกิโลเท่านั้น เห็นรถโดยสารประสานงากับรถบรรทุกซุงแหลกยับ กระเด็นออกมาตายเกลื่อนกลาดเลือดแดงไปหมด นี่หลวงพ่อเดิมท่านพูดจริง ถ้าอาตมาไม่มีความรู้ แล่นไปก็คงโดนด้วย

            อาตมานับถือหลวงพ่อเดิมมาก เพราะท่านให้ชีวิตอันเป็นอมตะในสมณเพศแก่อาตมา ถ้าท่านไม่รั้งเอาไว้ อาตมาก็คงไม่ได้อยู่ในสภาพนี้แล้ว อาตมาสวดมนต์ไหว้พระแล้วแต้องกราบหลวงพ่อเดิมทุกคืน ระลึกถึงพระคุณท่านที่สร้างอาตมาให้เป็นพระสงฆ์ที่ดี อัฐิของท่าน อาตมาก็แบ่งเอามาไหว้มากราบระลึกพระคุณท่าน ท่านเป็นพระที่ลึกซึ้งและเยี่ยมยอดจริง ๆ จะหาพระอาจารย์อย่างท่านได้ยาก

            เมื่ออาตมาออกมาจากวัดหนองโพแล้ว ก็ปวารณาตัวเองเลยว่า “ข้าแต่หลวงพ่อเดิม ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์แห่งวัดหนองโพ ศิษย์ขอบวชจนตายไม่ยอมสึกหาลาเพศ เพราะหลวงพ่อคือดวงประทีป คือตัวอย่างที่ทำให้รู้ว่า พระคืออะไร พระที่ดีนั้นควรทำอย่างไร”

            ในวันพระราชทานเพลิงศพนั้น ผู้คนล้อมรอบเมรุที่เผาท่านเบียดเสียดเยียดยัดกัน ตำรวจก็เข้าไปกัน ไฟยังไม่ทันดับสนิท ต่างก็พากันเฮโลเข้ามาจะเก็บอัฐิเพราะความนับถือ อาตมาเป็นพระก็ได้เปรียบเพราะอยู่ใกล้ชิด จึงคว้าเอาไว้ก่อน เอาห่อผ้าเหลืองใส่ย่ามติดมา เพราะเป็นของมีค่าที่สุดในชีวิตของอาตมาในตอนนั้น

            นี่แหละอาตมาจึงว่า “รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม” หลวงพ่อเดิมท่านสอนอย่างนั้น เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ใช้แล้วคาถาอาคม เพราะต้องมาเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ก็ต้องละทิ้งเสียทั้งหมด เพราะไม่รู้จะใช้ไปทำไม แต่ก็ยังจำติดอยู่ในไส้ในพุง ไม่ใช่ไม่ใช้แล้วทิ้งลืมเลย คือไม่ทำอีกแล้วเท่านั้น เรื่องราวที่อาตมาได้อยู่กับหลวงพ่อเดิมก็มีอย่างนี้