พระราชสุทธิญาณมงคล ผู้เผยแผ่วิปัสสนาดีเด่น

 

H12002

 

            ยุวพุทธกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้อาราธนาพระเดชพระคุณพระราชสุทธิญาณมงคลรับโล่เกียรติคุณ ในฐานะผู้เผยแผ่วิปัสสนาดีเด่น จากสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ผู้แทนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในงานฉลองอายุครบ ๔๘ ปี แห่งการก่อตั้งยุวพุทธิกสมาคมฯ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๑

 

คำประกาศเกียรติคุณ พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม)

พระเถระผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอนุเคราะห์สาธุชนทั้งกลางวันกลางคืน

 

          พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ณ ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี อุปสมบทเมื่อ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ณ วัดพรหมบุรี อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีท่านเจ้าคุณพรหมนคราจารย์ วัดแจ้งพรหมนคร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรวิริยคุณ วัดพุทธาราม เป็นพระกรรมวาจารย์

            หลังจากอุปสมบทแล้ว พระภิกษุจรัญได้ศึกษาพระธรรมวินัย ณ สำนักวัดพรหมบุรี และสอบได้นักธรรมโท หลังจากบวชได้เพียงพรรษาเดียว ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ศึกษาวิชากรรมฐานกับ พระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) ณ วัดหนองโพธิ์ จังหวัดนครสวรรค์ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ศึกษาวิชากรรมฐานกับ หลวงพ่อลี และท่านเจ้าคุณอริยคุณาธร จังหวัดขอนแก่น ศึกษาวิชาสมถวิปัสสนากับพระภาวนาโกศลเถร (สด จันทสโร) ณ วัดปากน้ำ อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ ปีต่อมาได้ศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ) ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ จังหวัดพระนคร

            นอกจากนี้ท่านยังได้เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับพระในป่าที่จังหวัดขอนแก่น และเดินธุดงค์รอนแรมหาที่สงบ เพื่อบำเพ็ญภาวนาตามป่าเขาลำเนาไพรทางภาคเหนือ ท่านเป็นผู้มีประสบการณ์ในการปฏิบัติทั้งด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพราะได้ใช้เวลาศึกษามานับสิบปีจนเชี่ยวชาญ สามารถสอนผู้อื่นได้ ท่านเริ่มสอนวิปัสสนากรรมฐานให้กับญาติโยมและศิษยานุศิษย์ที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อันเป็นปีที่ท่านมารักษาการเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งนี้ ท่านได้พัฒนาวัดอัมพวันให้เจริญรุ่งเรือง โดยการสร้างศาลาปฏิบัติธรรมขึ้นสองหลัง คือ ศาลาภาวนา-กรศรีทิพา และศาลาสุธรรมภาวนา กุฏิที่พักสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม มีห้องน้ำสะอาดสะอ้านจำนวน กว่าสามร้อยห้อง ปีหนึ่ง ๆ มีผู้เข้าปฏิบัติทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี และคฤหัสถ์ ที่เป็นคฤหัสถ์ก็มี ทั้งข้าราชการ ประชาชน นิสิต นักศึกษา นักเรียน ซึ่งใน ปีหนึ่ง ๆ มีจำนวนนับหมื่นคน และทางวัดต้องใช้จ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอาหาร เดือนหนึ่ง ๆ เป็นจำนวนหลายแสนบาท

            ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ พระราชสุทธิญาณมงคล เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับพระราชทานรางวัลและโล่เกียรติคุณเป็นอันมาก  สถาบันต่าง ๆ เช่น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ก็ได้ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพราะเหตุแห่งคุณความดีของท่าน ท่านได้อุทิศชีวิตให้กับพระศาสนาและสังคมมาโดยตลอด เมื่อมีญาติโยมมาถวายปัจจัยท่านก็นำไปบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน และสถาบันการศึกษา และถวายเข้ากองทุนมูลนิธิ “ชัยพัฒนา” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

            พระราชสุทธิญาณมงคล ท่านมีเมตตาต่อผู้คนทุกถ้วนหน้า แม้กับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ท่านก็สงเคราะห์ช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ ท่านตั้งปณิธานมุ่งมั่นในการสร้างคนแทนการสร้างวัตถุ จึงทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ให้กับงานวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นงานสร้างคน ชีวิตของท่านมีแต่ให้กับช่วย ดังที่ท่านมักพูดเสมอว่า “เรามีแต่ให้กับช่วย ไม่เคยอยากได้ของใคร”

            เมื่อท่านได้รับนิมนต์ไปดูงานยังต่างประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา ท่านก็ได้ให้การสงเคราะห์ช่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เชื้อชาติ หรือศาสนา ศิษยานุศิษย์ของท่านจึงมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม เมื่อท่านกลับมายังประเทศไทยแล้วก็ยังมีชาวต่างประเทศบินตามมาเรียนธรรมะกับท่าน และที่โทรศัพท์มาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนทนาธรรม ถามปัญหาและขอความช่วยเหลือทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านก็เมตตาช่วยเหลือแม้ท่านเองแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนก็ตาม ด้วยเหตุที่ท่านเป็นผู้ที่เมตตาอย่างล้นเหลือเช่นนี้ จึงเป็นที่เคารพสักการะของมวลศิษย์ทุกถ้วนหน้า ในวันสำคัญ ๆ เช่น วันคล้ายวันเกิดของท่าน (วันที่ ๑๕ สิงหาคม) วันกตัญญูต่อบรรพบุรุษ (วันที่ ๑๕ เมษายน) และวันที่ท่านประสบอุบัติเหตุรถคว่ำคอหัก (วันที่ ๑๔ ตุลาคม) ที่วัดอัมพวันจะมีการบำเพ็ญกุศล มีศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือท่านมาร่วมงานเป็นจำนวนหมื่น เพราะระลึกถึงคุณความดีของท่านที่มีเมตตาต่อมวลมนุษย์ทั้งโลก

            ท่านทุ่มเทให้กับการเผยแผ่วิปัสสนามากว่า ๔๐ ปี โดยทำงานอย่างหนักทั้งกลางวันกลางคืน เป็นที่พึ่งของสาธุชนจำนวนนับแสนคนที่ได้หมุนเวียนเข้าปฏิบัติวิปัสสนาที่วัดอัมพวัน สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูในฐานะ “ผู้เผยแผ่วิปัสสนาดีเด่น”