พุทธศาสนาในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อ

โดย...  รศ.ดร. พินิจ รัตนกุล

H17001

            หลวงพ่อเป็นพระนักปฏิบัติและเป็นผู้ใฝ่หาความรู้แสวงหาความจริงยากที่จะหาใครมาเปรียบได้  ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่ยาวนานและการแสวงหาความรู้ตลอดเวลาทำให้หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ที่พร้อมไปด้วยความเมตตาและดวงปัญญาที่ใสสว่าง เป็นเสมือนเพชรน้ำหนึ่งโนวงการพระสงฆ์ปัจจุบัน  ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมผู้คนทุกประเภทตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงครูอาจารย์จำนวนมากมาย จึงเดินทางจากสารทิศมาวัดอัมพวัน เพื่ออาศัยกระแสเมตตาของหลวงพ่อบำบัดทุกข์และอาศัยแสงสว่างจากปัญญาของหลวงพ่อช่วยให้เข้าใจพระธรรมคำสอนและมองเห็นวิธีการที่จะนำพระธรรมนั้นมาแก้ไขปัญหาในชีวิตส่วนตัว และในหน้าที่การงาน

            วัดอัมพวันเป็นสถานที่แห่งความสุขสำหรับทุกคน     ความสุขของผู้มาวัดอัมพวันเริ่มต้นเมื่อได้รับการต้อนรับด้วยสันถวไมตรีอันดียิ่งจากหลวงพ่อ  และ/หรือจากลูกศิษย์ที่มาช่วยงานด้วยความเต็มอกเต็มใจ ความสุขจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อหลวงพ่อแก้ไขข้อข้องใจต่างๆ ของผู้นั้นได้หมดสิ้นและยังแถมธรรมะเป็นยารักษาใจควบคู่ไปด้วย  ด้วยเหตุนี้วัดอัมพวันจึงเป็นเสมือนแดนสุขาวดีของคนจำนวนมากที่ต้องการหนีทุกข์หาสุข   หลวงพ่อเป็นความหวังของคนทุกคนที่แสวงหาที่พึ่งทางใจท่ามกลางคลื่นลมของทะเลสังสารวัฏ

            ผู้ที่ได้ฟังหรืออ่านคำสอนต่าง ๆ ของหลวงพ่อจะมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนถูกต้องมากขึ้น  หลวงพ่ออธิบายธรรมะแต่ละเรื่องด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและนิยมนำตัวอย่างจากชีวิตจริงของบุคคลประเภทต่างๆ   ที่หลวงพ่อได้รับทราบมาประกอบคำอธิบายตลอดเวลา สิ่งนี้ทำให้คำอธิบายธรรมะแต่ละข้อเป็นประโยชน์ มีชีวิตชีวาและสนุกเพลิดเพลิน การฟังธรรมะที่หลวงพ่อสอนด้วยความสนอกเพลิดเพลินอาจทำให้ผู้ฟังมองไม่เห็นแก่นธรรมที่หลวงพ่อด้วยการสื่อให้ทราบได้แก่นธรรมนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของพุทธวิทัศน์หรือความรู้ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนาที่เป็นผลรวมของการปฏิบัติและการศึกษาหาความรู้ของหลวงพ่อ การมองไม่เห็นแก่นธรรมที่อยู่ในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อ     จะทำให้ผู้ฟังไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมะมากเท่าที่ควรและจะทำให้การไปวัดอัมพวัน เป็นการทำบุญทำทานเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นการแสวงหาธรรมะมาใส่ใจให้เป็นบุญกุศลที่ใหญ่หลวง

            แก่นธรรมที่แสดงให้เห็นในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อเป็นประโยชน์ทั้งในการแก้ไขปัญหาส่วนตัวและปัญหาต่างๆ ที่สังคมและโลกกำลังประสบอยู่ นอกจากนั้นยังช่วยให้เราเข้าถึงสัจจะธรรมได้มากขึ้นด้วย ดังนั้นการที่หลวงพ่อนำแก่นธรรมมาเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ  นั้นจึงเป็นความเมตตาที่มีคุณค่ามหาศาล

            แก่นธรรมในพุทธศาสนาเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย  เพราะศาสนุพทธเป็นศาสนาแห่งความจริงคือไม่ได้เป็นศาสนาที่มองโลกและชีวิตในแง่ร้ายหรือในแง่ดี  คนมองโลกในแง่ร้ายคือคนที่มองเห็นแต่สิ่งไม่ดีแล้วนำสิ่งนั้นมาขยายให้ใหญ่โตเกินความเป็นจริงจนดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกมีแต่ความเลวร้ายหรือความมืดมิดที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้  ในขณะที่คนมองโลกในแง่ดีจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างดีไปหมด  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม  โลกจะยังคงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีอยู่นั่นเอง

            ในทางตรงข้ามกับทัศนะทั้งสอง พุทธศาสนามองดูชีวิตตามความเป็นจริงทุกแง่ทุกมุม  คำสอนที่ว่าชีวิตคือความทุกข์นั้นไม่ได้สร้างขึ้นมาจากจิตนาการหรือทฤษฎีหนึ่งทฤษฎีใด  แต่เกิดจากการที่พระพุทธเจ้าทรงวิเคราะห์ประสบการณ์ของมนุษย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนจนทรงรู้แจ้งในธรรมชาติแท้จริงของชีวิต พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิเสธว่าชีวิตมนุษย์มีทั้งความสุขและความทุกข์ผสมกันแต่ทรงชี้ให้เห็นว่าความสุขในชีวิตมีปริมาณน้อยมากเมี่อเทียบกับความทุกข์ที่ประสบอยู่แม้แต่ความสุขก็มีความทุกข์แอบแฝงอยู่ด้วยเหมือนตัวหนอนที่ซ่อนอยู่ในผลไม้ที่ดูสวยงามน่ากิน ความทุกข์ดูเหมือนจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์  เพราะสามารถทำอันตรายใหญ่หลวงให้แก่มนุษย์ได้  ศาสนาพุทธไม่ต้องการให้เราทำตัวแบบนกกระจอกเทศที่ชอบซุกหัวในทรายทุกครั้งที่มีอันตราย  แต่ต้องการให้เรามองดูความทุกข์ที่เป็นเสมือนศัตรูให้เต็มหน้าแล้วพยายามค้นหาแนวทางที่จะเอาชนะศัตรูให้ได้  ถ้าหากว่าพระองค์ทรงสอนแต่เพียงว่าชีวิตคือความทุกข์อย่างเดียว  เราก็อาจกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงมองดูชีวิตในแง่ร้ายไม่ตรงตามความเป็นจริงและศาสนาพุทธเป็นศาสนาของความเศร้าสร้อย หรือความมืดมิด แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหยุดอยู่ที่ความทุกข์ที่ทรงพบเห็นเท่านั้น เมื่อทรงมองเห็นความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ  แล้วก็ทรงค้นหาสาเหตุ  ของความทุกข์เหล่านั้นและวิธีปฏิบัติที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงต่อไป หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงประกาศอย่างอาจหาญว่าศาสนาของพระองค์  แตกต่างจากศาสนาอื่นทั้งหลายเพราะเป็นศาสนาที่สอนเรื่องเดียวคือ ความทุกข์และวิธีพ้นทุกข์เช่นเดียวกับน้ำทะเลที่มีรสเดียวคือรสเค็ม       การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ  เพราะเป็นการค้นพบสาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ของมนุษย์และวิธีการดับทุกข์ที่จะทำให้มนุษย์มีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขและเสรีภาพที่แตกต่างจากที่เคยประสบมาโดยสิ้นเชิง โดยนัยนี้ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ยอมรับความจริงของชีวิต  เพราะความจริงเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ในระหว่างความฝันที่สวยงามและความจริงที่ไม่น่าชื่นชมยินดี ศาสนาพุทธสอนเราให้เลือกความจริงเพราะความฝันจะสลายได้เมื่อเราตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริง  ศาสนาพุทธต้องการให้เรามองดูชีวิตให้ทะลุปรุโปร่ง  และใช้ความจริงเป็นพื้นฐานของการสร้างความสุขให้เกิดขึ้น

            แก่นธรรมที่หลวงพ่อเน้นเป็นพิเศษเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสุขความทุกข์ของมนุษย์ความสุขและความทุกข์ของมนุษย์เป็นเรื่องที่ศาสนาทุกศาสนากล่าวถึงด้วยกันทั้งนั้นแต่ศาสนาพุทธแตกต่างจากศาสนาอื่นในข้อที่ไปขุดค้นและพบสาเหตุรากเหง้าของความทุกข์ภายในจิตใจของมนษย์สาเหตุภายนอกของความทุกข์  เช่น ภัยธรรมชาติ (อุทกภัย  วาตภัย)เป็นเรื่องของธรรมชาติที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้เต็มที่  เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยธรรมชาติที่เป็นของมันอย่างนั้น  แต่สาเหตุของความทุกข์ที่อยู่ภายในจิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ควบคุมและกำจัดได้ด้วยความสามารถของมนุษย์เอง ไม่มีศาสนาใดที่เชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์มากกว่าศาสนาพุทธ  ศาสนาพุทธเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้จนหมดสิ้น  จนในที่สุดสามารถพบความสุขและเสรีภาพที่สมบูรณ์แบบได้ด้วยตัวเอง  ความเชื่อมั่นนี้ไม่ได้เป็นความเพ้อฝันที่ให้ความสำคัญแก่มนุษย์มากกว่าที่เป็นจริง  เพราะเป็นความเชื่อที่ได้ผ่านการทดสอบแล้วจากประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย นอกจากนั้นศาสนาพุทธยังมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนให้เราแต่ละคนใช้พิสูจน์ความเชื่อดังกล่าวด้วยประสบการณ์ของตัวเองอีกด้วย

            คนทุกคนแสวงหาความสุขให้แก่ตัวเอง  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ช่วยคนให้ประสบความสำเร็จในการแสวงหาดังกล่าว  ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่มีผู้พบเห็นว่าชาวพุทธเป็นคนมีความสุข  มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและสดชื่นรื่นเริง  ไม่มีใบหน้าดำคร่ำเครียดหรือหดหู่เช่นที่เข้าใจ (ผิด) กัน ยิ่งปฏิบัติตามคำสอนของศาสนามากเท่าไร ชาวพุทธก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากจะพูดว่าชาวพุทธเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก  ก็คงจะไม่เกินความจริง  ทั้งนี้เพราะศาสนาพุทธมีคำสอนที่ช่วยให้คนทุกคนที่อยู่ในความทุกข์มีความสุขได้ตามความสามารถและความต้องการ  เช่น ศาสนาพุทธมีคำสอนสำหรับผู้ครองเรือนให้ปฏิบัติเพื่อจะได้มีความสุขจากสิ่งต่าง ๆ ที่โลกถือว่ามีความสำคัญต่อชีวิต  เช่นการมีอำนาจการมีทรัพย์  การใช้ทรัพย์  การรักษาทรัพย์  การมีมิตรภาพ เกียรติยศชื่อเสียง ชีวิตแต่งงานและครอบครัว และการมีความสำเร็จในอาชีพการงาน ความสุขจากการมีสิ่งเหล่านี้เป็นความสุขทางโลกที่ไม่คงทนถาวร  แต่มีความสำคัญต่อชีวิตของคนทั่วไปที่มีความทุกข์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ทำให้คนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ การปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธ จะช่วยให้เรามีความสุขจากสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานานที่สุดที่จะเป็นได้ คำสอนเรื่องสันโดษจะทำให้เราพอใจในความสุขที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าจะมากหรือน้อยหรือจะยาวนานแค่ไหน เลิกยึดความสุขในอดีตที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้วหรือเลิกเพ้อฝันถึงความสุขในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นแเละเมื่อความสุขทางโลกประเภทต่างๆ  หายไป (ซึ่งจะต้องหายไปอย่างแน่นอนเช่นเดียวกับดอกไม้ที่จะต้องโรยรา)  เราก็ไม่เศร้าโศกเสียใจจน กินไป เพราะสามารถใช้ความพยายามแสวงหาความสุขอื่นมาทดแทนได้

            สำหรับผู้ที่ต้องการมีความสุขที่คงทนถาวรกว่าความสุขทางโลกศาสนาพุทธมีคำสอนอีกประเภทหนึ่งเพื่อบุคคลดังกล่าวนี้โดยเฉพาะ โดยให้เรามีความสุขเป็นระยะ ๆ เริ่มต้นจากการที่เรามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะแสวงหาความสุขที่สูงกว่าความสุขทางโลก     ความตั้งใจแน่วแน่นี้เป็นความสุขาประเภทหนึ่งที่เกิดจากการมีใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตนทำถูกที่หันเหมาแสวงหาสิ่งที่ดีงามในศาสนาพุทธ  เมื่อมีศรัทธาในพระรัตนตรัยเราก็จะมีความสุขมั่นคงขึ้น  ความสุขที่เกิดจากการมีศรัทธานี้ไม่ใช่เป็นความสุขจากความงมงาย  เพราะศรัทธาในศาสนาพุทธเป็นผลจากการใช้ประสบการณ์ทดสอบคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่าชีวิตคือความทุกข์ว่ามีความจริงมากน้อยเพียงใด  เมื่อได้วิเคราะห์ทดสอบแล้วว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นดังคำสอนของพระพุทธเจ้า  ความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์จึงเกิดตามมา  การมีศรัทธาดังกล่าวทำให้เกิดความสุขที่เรียกว่าโสมนัสหรือความแช่มชื่นสบายใจที่เกิดจากการรู้ว่าหนทางที่จะพ้นทุกข์นั้นมีอยู่แน่นอน  ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง ดังนั้น หากเราปฏิบัติตามแล้วเราจะพ้นทุกข์ได้เช่นกัน เมื่อเราลงมือปฏิบัติตามคำสอนเราจะมีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ตามลำดับ  เริ่มจากมีปีติหรือความอิ่มเอิบใจ มีความสงบกายสงบใจ (ปัสสัทธิ)  มีจิตปลอดโปร่งเป็นอุเบกขา (อยู่ในสภาวะธรรมชาติ) ไม่มีทั้งอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ มีความสุขที่เกิดจากการมีจิตสงบและมีเอกัคคตารมณ์ (สมาธิ)  มีปัญญารู้แจ้งเข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง (ทิฏฐิวิสุทธิ) มีความหน่าย (ไม่เพลิดเพลินติดใจ) ในสังขารทั้งปวงที่เป็นโทษ (นิพพิทา) มีความไม่ติดพันไม่ยึดติดในสิ่งใด (วิราคะ) มีความหลุดพ้นจากอวิชชา(วิมุตติ) และมีการดับกิเลสตัณหาอุปาทาน (อรหัตผล) ความสุขระดับต่าง ๆ นี้เป็นความสุขที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยวัตถุ  เริ่มต้นจากความสุขระดับธรรมดาที่เกิดจากความอิ่มเอิบใจ  ความสงบกายใจไปจนถึงความสุขที่ สมบูรณ์แบบ  คือการหลุดพ้นจากโลภโกรธหลงที่ร้อยรัดชีวิตเข้ากับสังสารวัฏความสุขประเภทต่าง ๆ  เหล่านี้เป็นความสุขท่ามกลางความทุกข์และมีความเกี่ยวพันกันเป็นสายโซ่เป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน

            ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั้ง ๆ ที่ชีวิตคือความทุกข์ ชาวพุทธสามารถมีความสุขได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ครองเรือน อุบาสก อุบาสิกา หรือพระภิกษุสงฆ์ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่ช่วยให้มนุษย์มีความสุขได้จากการกระทำของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยอำนาจภายนอกหรืออำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ  ทั้งสิ้น เช่น ในเรื่องของความสุขทางโลก เราต้องรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่อย่างฉลาด เช่นใช้อำนาจจากการมีฐานะตำแหน่งช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์หรือเมื่อมีทรัพย์สิน เงินทองก็รู้จักแบ่งทรัพย์ที่มีออกเป็น  ๔ ส่วนคือ ส่วนหนึ่งใช้เลี้ยงตนและทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นอีก   ส่วนใช้ลงทุนเพื่อเพิ่มพูนทรัพย์และเก็บอีกส่วนหนึ่งไว้ใช้ยามจำเป็น     และถ้าหากในการใช้ทรัพย์นั้นเราไม่ใช้ให้เกินฐานะหรือรายได้เราก็ จะมีความสุขยิ่งขึ้น เพราะไม่ต้องเป็นหนี้สินผู้ใด นอกจากนั้นความสุขทางโลกจะมีมากขึ้น ถ้าหากเรามีความประพฤติดีงามมีศีลและรู้จักให้ทานสงเคราะห์ผู้อื่นตามกำลังที่เราจะทำได้  ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวไว้ว่า  "สีเลน สุคติง ยันติ สีเลน โภคสัมปทา" บุคคลใดปฏิบัติศีลย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา บุคคลใดรักษาศีลบริสุทธิ์แล้ว บุคคลนั้นจะมีทรัพย์สินเยือกเย็นบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ  ในทำนองเดียวกันในเรื่องของความสุขทางธรรมที่ ไม่อาศัยวัตถุ  เราต้องสร้างขึ้นมาเองด้าย การกระทำของเราเช่นกัน โดยเริ่มจากการมีศรัทธาในพระรัตนตรัย การสงบกาย สงบใจและการมี ปัญญารู้ว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร ไปจนถึงการไม่หลงใหลยึดติดในสิ่งสมมติต่าง ๆ Ltละการมีจิตอิสระจากกิเลสตัณหาอุปาทาน

            จึงอาจสรุปได้ว่าในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อความสุขเป็นสิ่งที่คนแต่ละคนสร้างขึ้นมาเองไม่มีผู้ใดจะช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขได้ ผู้ใดต้องการมีความสุขผู้นั้นต้องทำใจของตนให้มีความสุขเอง ตัวอย่างที่มองเห็นได้ง่ายในชีวิตประจำวันคือความจริงที่ว่าความทุกข์มักเกิดจากการมีคนอารมณ์ที่ไม่ดี  เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความวิตกกังวล และจากการมีทัศนคติ คับแคบมองดูสิ่งต่าง ๆ ในแง่มุมเดียวเดียว  ในเรื่องความโกรธและความเกลียดนั้น  อารมณ์นี้เป็นเหมือนศัตรูภายในที่สามารถทำอันตรายให้แก่เราได้มากที่สุดทั้งทางกายและทางใจ     ดังนั้นเราจึงควรหาทางควบคุมและกำจัดอารมณ์นี้ก่อนที่จะสายเกินไป  ก่อนที่เราจะเป็นคนก้าวร้าวและใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหาต่างๆ  การที่จะห้ามไม่ให้คนโกรธและเกลียดนั้นคงทำไม่ได้แน่นอน            แต่ถ้าหากเราเก็บอารมณ์นี้ ไว้โดยไม่หาทางทำอะไรเลยความโกรธ และความเกลียดก็จะมีกำลังมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ เมื่อเราโกรธและเกลียดอะไร คนมักจะแนะนำให้เราระบายความโกรธและความเกลียดออกมา เช่นด้วยการขว้างปาสิ่งของต่าง ๆ  หรือตะโกนด่าว่าคนที่เราโกรธและเกลียดเมื่อเราอยู่คนเดียว  เพราะเชื่อว่าวิธีดังกล่าวนี้จะทำให้ความโกรธและความเกลียดลดปริมาณลง  เช่นเดียวกับไอน้ำที่เมื่อถูกปล่อยออกไปบ้างจะไม่อัดแน่นจนทำให้หม้อระเบิด แต่พุทธศาสนามองเห็นว่า  วิธีดังกล่าวไม่ได้ทำให้ความโกรธและความเกลียดหายไป  ความโกรธและความเกลียดที่มีอยู่ในตัวเราและที่มีการแสดงออกนั้น  สามารถจะเกิดขึ้นมาอีกได้ภายหลัง  การปล่อยให้อารมณ์นี้มีการแสดงออกเหมือนกับเป็นการเลี้ยง อารมณ์นี้ให้อยู่ต่อไปในตัวเรา เมื่อมีอะไรมากระตุ้นก็จะแสดงตัวให้ปรากฏอีก วิธีที่ศาสนาพุทธใช้ในกรณีนี้คือการเตรียมตัวให้ดีก่อนที่อารมณ์โกรธและเกลียดจะเกิดขึ้น  เช่นด้วยการฝึกจิตให้รู้จักสงบโดยมีความเมตตาและขันติเป็นพื้นฐาน เมื่อความโกรธและความเกลียดเกิดขึ้น  จิตที่ฝึกฝนไว้แล้วจะสามารถเผชิญหน้ากับความโกรธและความเกลียดด้วยความสงบและสามารถวิเคราะห์ธรรมชาติของอารมณ์นี้อย่างถี่ถ้วน  เมื่อมองเห็นว่าความโกรธและความเกลียดเป็นอารมณ์ที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเรา ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เราจะมีอารมณ์นี้ นอกจากนั้นการมีความเมตตา ความอดทนและขันติที่บ่มเลี้ยงมาจะช่วยให้อารมณ์โกรธและเกลียดหายไปได้ง่ายขึ้น  เพราะความเมตตาทำให้เรามีความปรารถนาดีต่อผู้ที่ทำให้เราโกรธและเกลียด  ขันติทำให้เรามีความอดทนต่อคำพูดที่ร้ายแรงของคนอื่น  ทำให้เราเป็นคนมีเหตุผลและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น ไม่ยึดตัวเองเป็นใหญ่  ดังนั้นถ้าหากเราต้องการให้ตัวเองมีความสุขเราจึงต้องปรับเปลี่ยน อารมณ์ที่ไม่ดีเช่นความโกรธและความเกลียดให้เป็นอารมณ์ที่ดีเช่นความเมตตาด้วยตัวเอง  เมื่อจิตทรงอารมณ์ที่ดี ปฏิกิริยาหรือ ทัศนคติที่เรามีต่อสิ่งต่าง ๆ ก็ดีไปด้วย ไม่นำความทุกข์มาให้แก่ตัวเราและผู้ที่เกี่ยวข้อง

            ในเรื่องของความหวาดกลัวและวิตกกังวลนั้นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน  ความวิตกกังวลเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุทั้งทางกายและทางใจ  ในกรณีที่มีฐานจากกาย  (เช่นจากประสาทหรือการขาดสารเคมีในสมอง) การใช้ยารักษาเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้จิตไม่เอนเอียงไปทางอารมณ์นี้ แต่ในกรณีที่ความหวาดกลัวและความวิตกกังวลเป็นเรื่องของจิตใจอย่างเดียว  พุทธศาสนาแนะนำให้เราแก้ไขด้วยการใช้ปัญญาและการปรับเปลี่ยนอารมณ์  เช่นเมื่อเราทำอะไรลงไปแล้วมีความหวาดกลัวและวิตกกังวลว่าคนอื่นจะมองดูเราหรือมีความคิดเกี่ยวกับเราในแง่ไม่ดี  เราก็ต้องหันมาพิจารณาดูที่เจตนาของการกระทำนั้นเป็นสำคัญ ถ้าหากว่าเราทำสิ่งนั้นด้วยความปรารถนาดีหรือความเมตตาที่มีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริงการกระทำนั้นไม่ได้เกิดจากความเห็นแก่ตัวหรือมุ่งร้ายผู้ใด  และเราได้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองแล้วอย่างรอบคอบที่สุดที่มนุษย์ปุถุชนจะทำได้ เราก็ไม่ควรหวาดกลัวหรือ วิตกกังวลว่าจะมีผู้พูดถึงเราอย่างไร หรือผลจากการกระทำจะเป็นอย่างไร เจตนาที่ดีมีความสำคัญมากในพุทธศาสนาและเป็นที่มาของความสุข ถึงแม้ว่าภายหลังเราพบว่าเราไม่ประสบความสำเร็จตามความคาดหมาย  แต่เราก็สามารถมีความสุขได้เพราะมีความเมตตาเป็นฐานแต่ถ้าหากเราทำได้สำเร็จจนมีผู้ยกย่องความสุขที่ประณีตจะไม่เกิดขึ้นถ้าหากเราทำสิ่งนั้นเพราะความเห็นแก่ตัวแต่อย่างเดียว ความหวาดกลัวและความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ จะหายไป ถ้าหากเรายอมรับความจริงว่าขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วทุกคนย่อมทำความผิดพลาดได้ ในกรณีที่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ได้ทำดีที่สุดแล้ว เราต้องพยายามแก้ไขเท่าที่จะทำได้  แต่ถ้าหากไม่มีทางแก้ไขได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปวิตกกังวล  เพราะถึงจะวิตกกังวลมากเพียงใดก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา  ในกรณีเช่นนี้เราต้องปรับเปลี่ยนอารมณ์วิตกกังวลให้เป็นอารมณ์อุเบกขาจึงจะมีความสุข

สำหรับทัศนคติคับแคบที่เป็นสาเหตุหนึ่งของความทุกข์นั้น  เกิดจากการยึดถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างเช่นกัน อันมีผลให้เรามีจิตใจคับแคบ มองดูสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของเราเท่านั้น เมื่อทำอะไรลงไปก็วิตกกังวลว่าการกระทำนั้นจะไม่เกิดผลตามที่เราต้องการ และเมื่อผิดหวังที่สิ่งนั้นไม่เป็นไปตามความต้องการหรือความคิดที่เรายึดถือ  เราก็โมโหและมีความทุกข์      ในกรณีเช่นนี้ศาสนาพุทธกล่าวว่าสาเหตุของความทุกข์  คือความหลงผิดที่ทำให้เกิดการยึดมั่นใน  "อัตตา" หรือใน "ตัวกู ของกู" ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติและเกิดอุปาทานหรือการหลงใหลในสิ่งต่างๆ ยิ่งมี อุปาทานมากเท่าใด ความหวาดกลัวและวิตกกังวลว่าจะสูญเสียสิ่งนั้นย่อมมีมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัวและวิตกกังวลว่าจะพบสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมยินดีเช่นกลัวความมืด กลัวความสูง   กลัวผี   ความหวาดกลัวและวิตกกังวลต่าง ๆ ที่เรามีอยู่เป็นเรื่องของการยึดมั่นในอัตตา ความต้องการที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของเรา แต่ถ้าหากจิตได้รับการฝึกฝนมาแล้วจะมีปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง เราจะรู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีหรือคนรักเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ไม่มีผู้ใดห้ามหรือบังคับให้เป็นอย่างอื่นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการสิ้นสุดลงในเวลาใดเวลาหนึ่ง ดังนั้นการวิตกกังวลว่าเมื่อเราไม่อยู่แล้วหน่วยงานเราจะอยู่ไม่ได้จึงเป็นการสร้างความทุกข์ให้แก่ตัวเอง เพราะในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่แทนกันไม่ได้ แม้จะไม่มีผู้นั้นอยู่โลกก็จะหมุนต่อไป

            ดังนั้นการมีจิตใจเปิดกว้าง ไม่มองดูสิ่งต่าง ๆ ตามมุมมองของเราเท่านั้น ยอมรับความเป็นจริงของโลกและยอมปรับเปลี่ยนมุมมองให้สอดคล้องกับความเป็นจริง  จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตที่มีความสุข  จิตใจที่เปิดกว้างไม่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง  นอกจากจะทำให้ไม่มีความหวาดกลัวและวิตกกังวลแล้ว  ยังเป็นที่มาของความสุขจากมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัวหรือชีวิตในสังคมทั่วไปด้วย  ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความสุขและความทุกข์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เอง ศาสนาพุทธเรียกการกระทำที่เป็นบ่อเกิดของความสุขและความทุกข์ว่ากรรม

            แก่นธรรมอีกอย่างหนึ่งที่เป็นหัวใจของคำสอนของหลวงพ่อคือกฎแห่งกรรม            คำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมเป็นคำสอนที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนที่นับถือ "พระเจ้า" เป็นสรณะสูงสุด และเชื่อว่า  "พระเจ้า" เป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ขึ้นมา   และเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกและชะตากรรมของมนุษย์แต่ละคนไว้ล่วงหน้า   ทำให้มนุษย์ไม่สามารถลิขิตชีวิตให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง   หรือช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ด้วยความสามารถของตัวเอง พุทธศาสนามีคำสอน ตรงข้ามกับความเชื่อที่กล่าวมาทั้งหมด  คือไม่สนับสนุนส่งเสริมให้มนุษย์นับถือ "พระเจ้า" เป็นต้น แต่เน้นความสำคัญของกฎธรรมชาติ (นิยาม) และความสามารถของมนุษย์ที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นอริยบุคคล และมีอิสรภาพสมบูรณ์ได้ พุทธศาสนาสอนให้มนุษย์มีความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของตนเอง และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาของตนเองการกำหนดให้กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติ  ทำให้ศาสนาพุทธไม่ต้องอธิบายต่อไปว่ากฎแห่งกรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ที่ไหน ทำไมจึงมีอำนาจเช่นนั้น เพราะกฎแห่งกรรมมีลักษณะเหมือนกฎธรรมชาติอื่น เช่น กฎแห่งความโน้มถ่วง คือเป็นสิ่งที่เป็นของมันอย่างนั้น (อิทัปปัจจยตา) อย่างไรก็ตามมีผู้สงสัยว่าทำไมกรรมหรือการกระทำที่จงใจจึงมีผลกรรมที่มีอำนาจมากมายเช่นสามารถข้ามกาลเวลาและอวกาศไปสร้างนามรูปในภพภูมิต่าง ๆ ให้มีลักษณะหนึ่งลักษณะใดได้ นอกจากนั้นหากการกระทำไม่ส่งผลดีหรือผลชั่วเช่นการกระทำของพระอรหันต์  กรรมยังมีอำนาจที่จะตัดสายใยของชีวิตที่ผูกติดกับสังสารวัฏได้เด็ดขาด  ทำให้ชีวิตนั้นไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป  อำนาจและการทำงานของกรรมเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่เข้าใจและสงสัยว่า ถ้าหากไม่มีดวงวิญญาณอยู่ในตัวคนที่จะตาย อะไรไปเกิดใหม่  แม้แต่ชาวพุทธเองก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่ไปเกิดใหม่คือดวงวิญญาณโดยมีกรรมเป็นสิ่งกำหนดนามรูปให้แก่ชีวิตใหม่ดังที่เราชอบพูดกันในงานศพว่า  "ขอให้วิญญาณของผู้ตายไปสวรรค์"  ความเชื่อเช่นนี้ขัดแย้งกับคำสอนเรื่องอนัตตาของพุทธศาสนาที่ปฏิเสธว่าในขันธ์ ๕ (รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร วิญญาณ) มีดวงวิญญาณที่เป็นอมตะอยู่  ในคำสอนของศาสนาพุทธ วิญญาณหรือจิตเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์  (วิญญาณขันธ์) ดังนั้นจึงเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่คงทนโดยธรรมชาติเช่นเดียวกับขันธ์อื่น ๆ การที่ศาสนาพุทธอธิบายเรื่องของการเกิดใหม่ว่าเป็นเรื่องของกรรมวิบากหรือพลังกรรมเท่านั้น  ไม่มีอะไรไปเกิดใหม่ (อนัตตา)  และพลังกรรมนี้ปรากฏอยู่ในการสืบต่อไประหว่างจิตที่กำลังเคลื่อนจากสภาวะปัจจุบัน (จุติจิต) และจิตที่อยู่ในสภาวะใหม่ (ปฏิสนธิจิต) นั้นเกินความสามารถที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้   ดังนั้นความเชื่อเรื่องดวงวิญญาณไปเกิดใหม่จึงยังคงมีอยู่ในบรรดาชาวพุทธที่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม

            นอกจากพุทธศาสนาจะใช้กฎแห่งกรรมอธิบายการเกิดใหม่แล้วศาสนาพุทธยังใช้กฎแห่งกรรมอธิบายความแตกต่างของมนุษย์ในเรื่องต่าง              ทั้งทางกายและทางใจ  เช่นอธิบายว่าการที่มนุษย์มีร่างกาย  ความสามารถและฐานะความเป็นอยู่แตกต่างกันเพราะทำกรรมมาไม่เหมือนกัน กฎแห่งกรรมจึงทำหน้าที่เป็นกฎทางจริยธรรมที่ค้ำจุนความยุติธรรมให้มีอยู่ในโลก ด้วยการแยกความดีความชั่วออกจากกันอย่างเด็ดขาด พร้อมทั้งกำหนดให้คนแต่ละคนได้รับ "ผล" จากการกระทำของตนเป็นสัดส่วนกับความดีความชั่วที่มีอยู่  การที่พุทธศาสนาโยงกฎแห่งกรรมเข้ากับการเวียนว่ายตายเกิดในชาติต่าง ๆ ทำให้ความสงสัยว่าคำสอนเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนั้นเป็นความจริงหรือไม่หายไป เพราะผลของกรรมดีและกรรมชั่วนั้นมีหลายสาเหตุ  และอาจแสดงให้เห็นในปัจจุบันหรือในชาติภพต่อไปได้  นอกจากนั้นความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดยังทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะแก้ตัว  " จากความผิดพลาดในอดีตได้หลายครั้ง  ถ้าหากไม่มีการเวียนว่าย ตายเกิดแล้ว คนดีจะได้รับผลตอบแทนดีชั่วนิรันดร และคนชั่วก็จะถูกลงโทษชั่วนิรันดรเช่นกัน วิธีอธิบายเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาโดยใช้กฎแห่งกรรมเป็นพื้นฐาน  เป็นของใหม่สำหรับชาวตะวันตกที่เติบโตมาในวัฒนธรรมของศาสนาคริสต์  มีจิตใจความนึกคิดหล่อหลอมด้วยคำสอนในศาสนานี้      ดังนั้นจึงเข้าใจเรื่องกฎแห่ง

กรรมและสังสารวัฏได้ยาก  และมักเข้าใจ (ผิด)  กันว่าในพุทธศาสนากฎแห่งกรรมเป็น "พระเจ้า" ที่บังคับคนแต่ละคนให้มีชีวิตเป็นไปตามชะตากรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้  นอกจากนั้นการที่พุทธศาสนาเน้นกรรมส่วนบุคคลโดยสอนให้คนแต่ละคนรับผิดชอบชีวิตของคนเองเต็มที่นั้น ทำให้เข้าใจ (ผิด) ด้วยว่าพุทธศาสนาปัดความรับผิดชอบที่สังคมและรัฐบาลพึงมีต่อคนในสังคมออกไป  เพราะสอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนแต่ละคนนั้นเป็นเรื่องของ "กรรม" ที่ผู้นั้นได้ทำไว้เอง ความเข้าใจผิดนี้จะหมดไปเมื่อเราศึกษาคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมให้ลึกซึ้ง  เพราะคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมในศาสนาพุทธเน้นความสำคัญูของสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับผลหรือแรงกรรมกล่าวคือสอนว่าวิบากกรรมในอดีตของคนแต่ละคนจะแสดงผลให้ปรากฎในปัจจุบัน       มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่ตัวเราและ/หรือผู้อื่นสร้างขึ้นมาในปัจจุบัน เช่นความทุกข์จากความยากจนที่เรากำลังประสบอยู่ และเป็นผลจากการกระทำไม่ดีของเราในอดีตจะลดน้อยลง ถ้าหากสิ่งแวดล้อมในสังคมที่อยู่ดี  เช่น มีองค์กรเอกชนและรัฐบาลให้ความช่วยเหลือเรืองสวัสดิการแก่คนยากจน ดังนั้น ในกรณีของคนยากจน สังคมและรัฐบาลจึงมีพันธะหน้าที่ที่จะสร้างปัจจัยต่าง ๆ ในสังคมขึ้นมาบรรเทาความทุกข์ยากลำบากของคนจน ในทำนองเดียวกันโรงงานต่างๆ  ก็มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่คนงาน  และให้ความช่วยเหลือแก่คนงานที่ประสบอันตรายในการปฏิบัติงาน            ในเรื่องของทารกที่พิการแต่กำเนิดบิดามารดามีหน้าที่เลี้ยงดูลูกที่พิการให้มีคุณภาพชีวิตมากที่สุดด้วยการให้ความรักและความเอื้ออาทรอย่างเต็มที่

            แก่นธรรมต่อมาที่พบในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อต่อจากกฎแห่งกรรมคือวิธีทางของการหลุดพ้นหรือบรรลุนิพพานคำสอนเรื่องนิพพานเป็นคำสอนที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนทั่วไปเช่นเดียวกัน เพราะคำสอนนี้เกี่ยวข้องกับคำสอนเรื่องอนัตตาที่สวนทางกับความเชื่อเรื่อง "อัตตา" หรือความเป็นอมตะของวิญญาณที่คนทั่วไปมักจะยึดถือ พุทธศาสนาถือว่า"อัตตา" เป็นสิ่งสมมุติไม่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเมื่อวิเคราะห์แยกองค์ประกอบของขันธ์ ๕ หรือนามรูปแล้วไม่พบ "อัตตา" หรือ "ดวงวิญญาณ" ที่มีลักษณะเที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นที่เชื่อกันในศาสนาฮินดูและศาสนาคริสต์ แต่พบว่าองค์ประกอบทุกส่วนมีไตรลักษณ์คืออนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาเป็นธรรมชาติทั้งนั้น คำสอนเรื่องอนัตตาเป็นคำสอนที่ไม่มีอยู่ในศาสนาใด ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจและยอมรับได้ยาก แม้แต่ชาวพุทธเองก็มีปัญหาเกี่ยวกับคำสอนนี้ ศาสนาพุทธเห็นว่าการยึดติดในอัตตาทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ และความหลงที่เป็นอกุศลมูล หรือบ่อเกิดของกิเลสต่างๆ   วิบากกรรมจากกิเลสต่างๆ  นี้ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ในสังสารวัฏ ดังนั้นถ้าหากจะตัดขาดจากสังสารวัฏ เราจึงต้องกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดจากจิตใจ แต่โดยเหตุที่อกุศลมูลทั้งสามนี้เกิดขึ้นจากการยึดมั่นใน "อัตตา" ดังนั้นในการกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง เราจึงต้องเลิกยึดมั่นใน "อัตตา" และเนื่องจาก "อัตตา" เป็นสิ่งสมมุติที่เราสร้างขึ้นมาจาก "อวิชชา" หรือการขาดความรู้เรื่องไตรลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังนั้นเราจะกำจัด "อัตตา" ได้ด้วย "วิชชา" หรือไตรลักษณ์ "วิชชา" ทำให้ "อัตตา" กลับคืนไปอยู่ในสภาวะดังเดิมคือเป็นสิ่งสมมุติไม่มีอยู่จริง เมื่อ "อัตตา" ที่เป็นเหมือนเสาหลักให้กิเลสต่างๆ เกาะอยู่หายไป กิเลสตัณหาต่าง ๆ ก็พลอยหายไปด้วยเหมือนกับความมืดที่หายไปเมื่อมีแสงสว่าง   ศาสนาพุทธเรียกสภาวะของจิตที่ปราศจากอัตตาและกิเลสว่า "นิพพาน" และเรียกผู้มีจิตในสภาวะนี้ว่า  "พระตถาคต"  (พระพุทธเจ้า) หรือ "พระอรหันต์" ผู้ที่มีจิตในสภาวะนิพพาน (สอุปาทิเสสนิพพาน) มีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่น และชื่นชมชีวิตที่มีอิสรภาพสมบูรณ์ เมื่อสิ้นชีวิตลงจิตที่ไม่มีอัตตาและกิเลสต่าง ๆ ก็จะดับไปเหมือนกับตะเกียงที่ดับเพราะไส้ตะเกียงและน้ำมันหมด (อนุปาทิเสสนิพพาน) ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจิตที่กล่าวมายังคงอยู่หรือไม่เมื่อนามรูปดับไปแล้ว จึงเป็นปัญหาที่ไม่สมควรจะถาม เพราะในทัศนะของพุทธศาสนาการเกิดเป็นเรื่องของแรงกรรมที่มีอัตตาและกิเลสเป็นฐาน  เมื่อไม่มีปัจจัยให้เกิด การเกิดก็ไม่สามารถมีขึ้นได้ การที่พุทธศาสนานิกายมหายานเรียกจิตในสภาวะนิพพานว่า "สุญตา"  หรือ "ธรรมชาติของพุทธ" หรือ "จิตเดิม" ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าจิตที่มีความสงบในลักษณะดังกล่าวที่ไม่มีตัวตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งใดนั้นเป็นความว่าง

            คำอธิบายความหมายของนิพพานที่กล่าวมาทำให้นักวิชาการหลายคนกล่าวหาว่าพุทธศาสนามีปรัชญาความคิดแบบ นัตถิวาท (nihilism) ที่สอนว่าไม่มีอะไรมีอยู่  ตายแล้วสูญ ซึ่งตรงข้ามกับปรัชญูาสัสสตาวาท  (etem81ism) ที่เชื่อว่าวิญญาณหรืออัตตามีลักษณะนิรันดร์           ที่จริงแล้วศาสนาพุทธไม่ได้เอนเอียงไปทางปรัชญาสำหนักหนึ่งสำนักใด  พระพุทธเจ้าทรงสอนเรืองปฏิจจสมุปบาท เพื่อชี้ให้เห็นว่าตามความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งที่มีอยู่  มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน สิ่งที่เป็น "ผล" จากการเกิดของสิ่งหนึ่งจะเป็น "เหตุ" ที่ทำให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดมีขึ้น อัตตาหรือดวงวิญญาณอมตะไม่มีอยู่ในธรรมชาติ ทุกสิ่งที่มีอยู่นอกจากจะเป็นเหตุปัจจัยกันแล้วยังมีธรรมชาติเป็นไตรลักษณ์ด้วย และถึงแม้ว่านิพพานที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธจะเป็นสภาวะของจิตที่ว่างจากอัตตา  แต่ก็เป็นจิตที่บริสุทธิ์สว่างและสงบซึ่งเป็นคุณสมบัติทางสร้างสรรค์ทั้งนั้น นอกจากนั้นนิพพานในพุทธศาสนายังไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายสิ่งต่าง ๆ ที่ปรัชญานัตถิวาท ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ อัตตาเป็นสิ่งสมมุติไม่มีตัวตนจริง ดังนั้นจึงทำลายไม่ได้ นิพพานเกิดขึ้นเมื่อเราเลิกหรือปล่อยวางความยึดมั่นในอัตตาด้วย "วิชชา" หรือไตรลักษณ์ ดังนั้นนิพพานจึงไม่ได้เป็นสิ่งลึกลับแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็มีผู้พยายามอธิบายนิพพานให้มีลักษณะตรงข้ามโดยปราศจากไตรลักษณ์เป็นฐาน  เช่นอธิบายนิพพานในแนวความคิดเรื่องความเป็นอมตะของอาตมันที่สอนในปรัชญาเวทานตะของศาสนาฮินดูมาเป็นฐานของคำอธิบายโดยกล่าวว่านิพพานเป็นสภาวะที่อาตมัน ไปรวมกับสิ่งสูงสุดหรือปรมาตมันหรือพระพรหม ในศาสนาฮินดูสภาวะนี้เกิดมีขึ้นเมื่อเราเพ่งพินิจไปในตัวเองจนพบอัตตา (อาตมัน)  ที่เป็นอมตะซ่อนเร้นอยู่ในรูปนาม  คำอธิบายนี้ขัดแย้งกับคำสอนในพุทธศาสนาเรื่องอนัตตาและปฏิจจสมุปบาทเพราะเป็นการนำปรัชญาความคิดของศาสนาฮินดูมาอธิบายปรัชญาความคิดในพุทธศาสนาที่มีลักษณะตรงข้าม

อย่างไรก็ตามเราคงจะต้องยอมรับว่าปัญหาเกี่ยวกับความหมายของนิพพานยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่  เพราะในคัมภีร์ต่าง ๆ ในพุทธศาสนามีคำอธิบายความหมายของนิพพานหลายอย่าง แล้วแต่ว่าคำนี้จะอยู่ในบริบทใด นิพพานจึงเป็นเสมือนดวงจันทร์ที่มีเมฆหมอกบังมองเห็นไม่ชัดแจ้ง แต่เมื่อเราปฏิบัติตามหลักของไตรสิกขาหรือมรรค ๘ ที่เป็นทางไปสู่เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนาได้ครบถ้วน  เราจะทราบเองว่านิพพานหมายถึงอะไรแน่  เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเมฆหมอกที่บังดวงจันทร์จะหายไปเอง  ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ใสสว่างในท้องฟ้า

            การปฏิบัติเป็นหัวใจของพุทธศาสนา  เพราะเป็นเครื่องมือให้พระธรรมคำสอนซึมซาบเข้าไปในจิตใจเหมือนกับลิ้นที่ได้ลิ้มรสอาหาร การปฏิบัติที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามมรรค ๘ ที่นำไปสู่นิพพาน ศาสนาพุทธไม่ได้ต้องการให้เราปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ให้เราใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากการปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ผ้อื่นและสังคมที่อยู่ด้วย  การช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์เป็นสิ่งสำคัญูที่สุดในชีวิตของชาวพุทธนิกายมหายาน     เพราะเป็นการดำเนินชีวิตในแนวทางของพระโพธิสัตว์ แต่สำหรับชาวพุทธนิกายเถรวาท การบำเพ็ญภาวนาต้องมาก่อนการช่วยเหลือผู้อื่น  เพราะเมื่อจิตบริสุทธิแล้วการช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นอย่างแท้จริง  ไม่มีเจตนาที่เห็นแก่ตัวแฝงอยู่  เราอาจยอมรับว่าการให้ความสำคัญแก่จิตภาวนามากกว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวที่ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ใด และเป็นการเห็นแก่ตัวเพื่อจะได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นเต็มที่  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสังคมนิยมสอนให้เราทำตัวเองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและสังคมให้มากที่สุด เช่น  ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง  ไม่ได้สอนให้ทอดทิ้งสังคมเช่นที่เข้าใจ (ผิด)  กัน ถึงแม้ว่าพระสงฆ์นิกายเถรวาทจะถือว่าจิตภาวนาเป็นหน้าที่สำคัญของพระสงฆ์แต่ในขณะเดียวกันพระสงฆ์นิกายนี้ก็ไม่ได้บำเพ็ญภาวนาจนถึงกับทอดทิ้งสังคมและไม่ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น  ดังเห็นได้จากการที่นอกเหนือจากการสอนและการให้คำปรึกษาหารือแก่ชาวบ้านเรื่องปัญหาชีวิตเป็นประจำแล้ว       พระสงฆ์จะทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อยกคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ ให้ดีขึ้นด้วย เช่น เป็นผู้นำในการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ธนาคารข้าว ธนาคารกระบือ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมธรรมชาติในการจัดทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ พระสงฆ์ (หรือที่รู้จักกันว่าพระพัฒนา) มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ชาวบ้านช่วยเหลือตัวเองให้ได้เป็นสำคัญ และเมื่อเห็นว่ากิจกรรมใดที่ชาวบ้านทำเองได้ พระสงฆ์ก็ถอนตัวออกจากกิจกรรมนั้นและหันไปปฏิบัติทางจิตภาวนาต่อไป แต่เมื่อชาวบ้านไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พระสงฆ์นิกายเถรวาทก็จะหยุดบำเพ็ญภาวนาชั่วคราว และใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่แนะนำให้ชาวบ้านร่วมมือกันแก้ไขปัญูหาเหล่านั้นด้วยตัวเอง เช่นกระตุ้นและส่งเสริมให้ชาวบ้านมีความมั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น ไม่ให้ท้อแท้หมดหวังเมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากราชการ เมื่อชาวบ้านช่วยตัวเองได้พระสงฆ์ก็จะถอนตัวไปภาวนาต่อไป

            เราอาจสรุปได้ว่าศาสนาพุทธที่ปรากฏในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อที่แสดงออกในคำสอนต่างๆ  นั้นเป็นศาสนาแห่งความเป็นจริงมุ่งสอนเราให้รู้แจ้งในธรรมชาติแท้จริงของชีวิตพร้อมทั้งสนับสนุนส่งเสริมให้เราเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าชีวิตคือความทุกข์ และใช้ความจริงนั้นเป็นฐานของความสุข โดยนัยนี้ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาแห่งความสุข มีคำสอนเกี่ยวกับความสุขระดับต่างๆ ที่เราสามารถมีได้ ตั้งแต่ความสุขจากการมีวัตถุไปจนถึงความสุขที่เกิดจากการมีจิตที่สงบ สว่างเบิกบาน และเป็นอิสระ การที่ศาสนาพุทธให้ความสำคัญแก่การพัฒนาจิตให้มีสภาวะดังกล่าว โดยไม่ให้อยู่ในอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง และให้มีความรักความเมตตา ศาสนาพุทธจึงได้เชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งสันติภาพสอนคนให้อยู่ด้วยกันด้วยความรัก  ความเมตตา ความเอื้ออาทรต่อกัน และการเคารพความแตกต่างของกันและกัน  ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางลัทธิการเมืองหรือทางความเชื่อศาสนา       ความรักความเมตตาเป็นฐานของคุณธรรมต่างๆ  ที่จำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ด้วยสันติสุข  เช่นขันติธรรมหรือการเป็นคนใจกว้างไม่ยึดถือความคิดเห็นและความเชื่อของตนเป็นสำคัญ ความปรารถนาดีต่อกัน และการช่วยเหลือสงเคราะห์กัน นอกจากนั้นศาสนาพุทธยังเป็น ศาสนาแห่งมนุษยนิยมมีความมั่นใจในศักยภาพของมนษย์ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นทกข์  และมีความสุขที่แท้จริงได้ด้วยการกระทำของตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจภายนอกตัว ดังเห็นได้จากคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมหรือกรรมนิยาม ที่ให้กรรม (หรือการกระทำที่มีเจตนาเป็นองค์ประกอบ) ของคนแต่ละคนเป็นสิ่งกำหนดชะตากรรมของผู้กระทำ ในทำนอง "หว่านพืชไว้อย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น"  การใช้เจตนาเป็นฐานสำคัญของการกระทำที่เป็นกรรม มีผลให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งทางสายกลาง ไม่สุดโต่งเกินความจริง เช่นสอนว่าในการบำเพ็ญเพียรภาวนา ปัญญาที่รู้แจ้งจะเกิดขึ้นเมื่อเราไม่หมกมุ่นอยู่กับกามสุข (กามสุขัลลิกานุโยค) หรือไม่ทรมานกายให้เดือดร้อนขั้นอุกฤษฏ์ (อัตตกิลมถานุโยค) และสอนว่าความตายไม่ได้เป็นตายแล้วสูญ (นัตถิวาท) หรือเป็นการที่ดวงวิญญาณที่เป็นอมตะออกจากร่าง (สัสสตาวาท) แต่เป็นการที่จิตดวงปัจจุบันที่ใกล้ดับ(จุติจิต) และจิตดวงใหม่ (ปฏิสนธิจิต) มีความสืบเนื่องกัน  ศาสนาพุทธถือว่าชีวิตที่มีความสุขเป็นชีวิตที่อยู่ในทางสายกลางหรือความพอดี คุณธรรมพื้นฐานในพุทธศาสนามีลักษณะเช่นนี้ เช่นความกล้าหาญอยู่ระหว่างความกล้าแบบบ้าบิ่น และความขี้ขลาดตาขาว สันโดษอยู่ระหว่างความไม่พอใจอะไรสักอย่างและความโลภหรือความอยากได้ไม่สิ้นสุด  การที่จะรู้ว่าความพอดีอยู่ที่ไหนนั้น  เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาเอง ซึ่งจะทำให้เรามีความคิดกว้าง ไม่ติดอยู่ที่ประโยชน์ ระยะสั้นเท่านั้น แต่คำนึงถึงประโยชน์ระยะไกลควบคู่ไปด้วยเช่นศาสนาพุทธไม่ได้ห้ามไม่ให้เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติ แต่เตือนให้เราใช้ด้วยความระมัดระวังและประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ให้ใช้ด้วยความโลภ

            ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของศาสนาพุทธที่ปรากฏในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อคือเป็นศาสนาแห่งเหตุผล พุทธธรรมไม่ได้สร้างขึ้นมาจากจินตนาการของพระพุทธเจ้า แต่จากประสบการณ์และปัญญารู้แจ้งของพระองค์  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ศึกษาวิเคราะห์ได้  ด้วยเหตุนี้พุทธธรรมจึงแตกต่างจากคำสอนของศาสนาอื่นที่เป็นเรื่องของ "ศรัทธา" อย่างเดียว พระพุทธเจ้าทรงเน้นให้พุทธศาสนิกชน ใช้เหตุผลและประสบการณ์ในการศึกษาพระธรรมให้มากและไม่ต้องการให้ผู้ใดนับถือศาสนาพุทธด้วย "ศรัทธา" แต่อย่างเดียว เพราะความเชื่อศาสนาที่มีแต่ "ศรัทธา" อย่างเดียวย่อมนำอันตรายมาสู่ศาสนิกชนและสังคมได้ เนื่องจาก "ศรัทธา" และ "ความงมงาย" มักจะอยู่ด้วยกัน แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าพุทธศาสนาไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ "ศรัทธา" หรือความเชื่อที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ พุทธศาสนาสอนว่า "ศรัทธา" ที่แสดงออกมาด้วยการยึดมั่นในพระรัตนตรัยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมและในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะช่วยให้เรามี "ที่พึ่งทางใจ" แต่การยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนี้ แตกต่างจากการที่ศาสนิกชนศาสนาอื่นที่ยึดถือ "พระเจ้า" เพราะองค์ประกอบของพระรัตนตรัยที่มีพระพุทธ  พระธรรม  และพระอริยสงฆ์นั้นมีความสัมพันธ์กันในทางเหตุผล  กล่าวคือ พระพุทธ หมายถึงพระพุทธเจ้า หรือพุทธสภาวะ (ความบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากความเศร้าหมองทั้งปวง)  พระธรรมเป็นคำสอนที่จะนำไปสู่สภาวะนี้  และพระอริยสงฆ์เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของผู้ปฏิบัติตามคำสอนจนประสบความสำเร็จ การมีศรัทธาหรือการยึดพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจจะเป็นผลดลบันดาลใจให้เราปฏิบัติตามพระธรรม  เพราะพระอริยสงฆ์เป็น  "ข้อพิสจน์"  ของพระธรรมและ "พระพุทธ" ดังนั้น  ถ้าหากขาดองค์ประกอบอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ขาดพระอริยสงฆ์ องค์ประกอบอื่นก็จะมีความสำคัญน้อยลงด้วย ดังนั้นความเชื่อในพระรัตนตรัยใน พุทธศาสนา  จึงมีทั้งเหตุผลและประสบการณ์เป็นพื้นฐานสำคัญ ไม่ใช่เป็นเรื่องของ "ศรัทธา" เท่านั้น ศาสนาพุทธยอมรับว่า "ศรัทธา" เป็นเสมือนพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อยหรือท้อถอย แต่ในขณะเดียวกันศาสนาพุทธก็เตือนให้เรามีศรัทธาที่มีเหตุมีผลจะไค้ไม่ตกเป็นทาสของ "ความหลง" หรือ "ความงมงาย" ในการทำบุญ การมีแต่ศรัทธาอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีเหตุผลคือใช้ปัญญาวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนที่จะทำบุญอะไร มิฉะนั้นจะไม่ได้บุญตามความต้องการ

            ถึงแม้ศาสนาพุทธจะได้ชื่อว่าเป็นศาสนาของเหตุผลแต่ก็ไม่ได้มองข้ามความสำคัญของอารมณ์ในชีวิต เพราะเชื่อว่าอารมณ์และจิต (ความคิดหรือความเชื่อ) มีความสัมพันธ์กันมาก และอารมณ์เป็นเครื่องชี้วัดว่าจิตของเราดีหรือเลว มีความสุขหรือมีความทุกข์ โตยเหตุที่อารมณ์มีความสำคัญเช่นนี้  เราจึงต้องสนใจเรื่องคุณภาพของอารมณ์ให้มาก เราจะมีความสุขไม่ได้ถ้าหากเรามีแต่อารมณ์ที่ไม่มีคุณภาพ มีแต่ปริมาณเท่านั้น ศาสนาพุทธแบ่งอารมณ์ออกเป็น ๒ ประเภทคือ อารมณ์อกุศล (อารมณ์ลบ) และอารมณ์กุศล (อารมณ์บวก) อารมณ์ประเภทแรกได้แก่อารมณ์ที่เป็นอันตรายแก่ตัวเราและผู้เกี่ยวข้อง เช่นความเกลียด ความอิจฉาริษยาและความรัก (ที่เห็นแก่ตัวเพราะเกิดจากกิเลสและราคะ)            อารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตใจมัวหมอง      และนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงได้ส่วนอารมณ์กุศลได้แก่พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ถ้าหากจิตใจเราทรงอารมณ์เหล่านี้ได้ จิตใจก็จะสงบและมีความสุขตลอดเวลา เมตตาทำให้เรารักคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูและรู้จักให้อภัย  กรุณาทำให้เราสงสารเห็นอกเห็นใจคนอื่นและช่วยเหลือผู้นั้นให้มีความสุข มุทิตา ทำให้เรายินดีชื่นชมในคนอื่นที่ได้ดี ไม่มีความอิจฉาริษยา และอุเบกขาทำให้เราวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบไค้ในบรรดาอารมณ์พรหมวิหาร ๔ นี้ อารมณ์ที่คนพูดถึงกันมากคือความเมตตา (กรุณา) ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ทรงอารมณ์นี้มีความสุขแล้ว ยังทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมีความสุขไปด้วย ความเมตตามีผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายมาก ดังเห็นได้ว่าผู้ทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่นมักเป็นผู้มีสุขภาพทางกายและใจดีกว่าคนที่หมกมุ่นอยู่ กับตัวเอง  จนไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเลย

            ในคำสอนของพุทธศาสนา  อารมณ์อกุศลทั้งหมดที่กล่าวมามีรากเหง้ามาจากอวิชชาคือ ความไม่รู้แจ้งเกี่ยวกับธรรมชาติแท้จริงของตัวเรา คือเชื่อ (แบบผิด) ว่า เรามีตัวตนหรือ "อัตตา" และ "อัตตา" นี้แตกต่างจาก  "อัตตา" ของผู้อื่นในทุกด้าน    ความเชื่อเช่นนี้ทำให้เราเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะมีศูนย์กลางชีวิตที่ "อัตตา" ของตน ความเห็นแก่ตัวเป็นรากเหง้าของอารมณ์อกุศลทุกอย่าง ดังนั้นในการปรับเปลี่ยนอารมณ์อกุศลให้เป็นอารมณ์กุศลเราจึงต้องมี "วิชชา"            หรือปัญญารู้แจ้งเกี่ยวกับตัวเอง ไม่หลงผิด เมื่อปัญญาทำให้ความหลงหรืออุปาทานเรื่อง "อัตตา" หายไป อารมณ์กุศลก็เข้ามาแทนที่อารมณ์อกุศลที่หายไปพร้อม "อัตตา" เหมือนความสว่างที่เกิดขึ้นเมื่อความมืดหายไปพุทธศาสนาใช้การภาวนาเป็นวิธีสำคัญในการปรับเปลี่ยนอารมณ์ เช่น เมตตาภาวนาที่สามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์อกุศล  เช่นความเกลียดชังและความมุ่งร้ายให้กลายเป็นอารมณ์เมตตา ขึ้นมา การภาวนาด้วยวิธีนี้จะทำให้เราสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้นในตัวทีละน้อย เช่นความรักที่เรามีต่อสามี (ภรรยา) หรือลูกมีเพิ่มมากขึ้น และเราสามารถเป็นมิตรกับคนที่เราไม่เคยเอาใจใส่มาก่อนเลยได้ ในขณะเดียวกันความเกลียดชังหรือความมุ่งร้ายที่เรามีต่อผู้อื่นก็จะลดน้อยลงและหาย

ไปในที่สุด  เมื่อจิตใจเราทรงอารมณ์เมตตา  เราก็สามารถแผ่เมตตาไปช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขได้  เพราะกระแสจิตที่มีความเมตตามีพลังมาก จนอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในตัวผู้อื่นได้

            นอกจากนี้ศาสนาพุทธยังเป็นศาสนาที่ไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิวัฒนาการของชีวิตและโลก หรือเรื่องธรรมชาติของสสาร ศาสนาพุทธอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ  ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจในรูปของกฎธรรมชาติ โดยไม่อ้างอิงอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติในฐานะเป็นเหตุปัจจัย  ซึ่งกันและกัน ยังสอดคล้องกับความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า สรรพสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาลล้วนแต่พึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต คงจะไม่เกินความจริงถ้าหากจะกล่าวว่าไม่มีความคิดทางวิทยาศาสตร์อะไร  ตั้งแต่ความคิดเรื่องวิวัฒนาการของดาร์วินจนถึงความคิดของไอน์สไตน์  เรื่องสัมพันธภาพที่ขัดแย้งกับคำสอนในพุทธศาสนา ไอน์สไตน์เองถึงกับกล่าวว่าถ้าหากมีศาสนาใดที่เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์ศาสนานั้นคือศาสนาพุทธ       ไอน์สไตน์คงไม่รู้ว่าการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์หรือยืนยัน ฯ พระธรรมคำสอนว่าเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด ความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์เรื่องกฎธรรมชาติ สอดคล้องกับคำสอนของพุทธศาสนาเรื่องนิยามหรือกฎของการเป็นเหตุและผล (law of causality ) ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ในฐานะเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน  แม้แต่ความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าสสารเป็นพลังงาน  ก็เป็นสิ่งที่ศาสนาพุทธกล่าวไว้  ๒๕๐๐  กว่าปีมาแล้ว  ในทำนองเดียวกัน  การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่าจิตมนุษย์ไม่มีดวงวิญญาณ (soul) อยู่นั้น  เป็นการค้นพบหลังพุทธศาสนา ๒,๕๐๐ กว่าปีเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นการที่ วิทยาศาสตร์มองดูจักรวาลว่าเป็นสิ่งเกิดขึ้นเองตามขบวนการวิวัฒนาการทางธรรมชาติ  ไม่มีเป้าหมายอะไรกำหนดล่วงหน้าไว้นั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นทัศนะของพุทธศาสนาที่ถือว่าจักรวาลเป็นสิ่งกว้างใหญ่ไพศาล  มีวิวัฒนาการยาวนานโดยมีกฎธรรมชาติว่าด้วยแรงดึงดูดและแรงผลักดันเป็นปัจจัยสำคัญ  จักรวาลไม่มีความหมายอะไรอยู่ในตัวเพราะไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมา เป็นเพียงขบวนการทางธรรมชาติที่สิ่งต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันในรูปของเหตุ (เกิดขึ้นก่อน) และ ผล (เกิดภายหลัง) เท่านั้น ไม่สนใจใยดีต่อมนุษย์ว่า จะเป็นอย่างไร ดังนั้น ในการมีชีวิตอยู่มนุษย์จึงต้องช่วยตัวเองและสร้างความหมายให้แก่ชีวิตของตนและจักรวาลด้วยการกระทำของตนเอง

            การเน้นว่าศาสนาพุทธไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์  ไม่ได้เป็นการยกความสำคัญของวิทยาศาสตร์ให้เหนือศาสนา  การชี้ให้เห็นความสอดคล้องในความคิดทางวิทยาศาสตร์และคำสอนในศาสนาพุทธ            มีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาพุทธที่ศาสนาอื่นขาด คือ เป็นศาสนาที่มีคำสอนไม่ขัดแย้งกับการค้นพบที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์ ความจริงแล้ว วิทยาศาสตร์และศาสนาพุทธต่างก็มีคุณค่าในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงเข้าหากัน ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาพุทธต่างก็แสวงหาความรู้เกี่ยวกับโลกและชีวิตเหมือนกัน  แต่มีวิธีการแสหงหาความรู้แตกต่างกัน วิทยาศาสตร์สนใจแสวงหาความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ศาสนาพุทธหาความ รู้เกี่ยวกับโลกภายในตัวของมนุษย์ที่มีฐานอยู่ที่จิต  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ  ทางธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่เป็นคนงมงาย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจเปลี่ยนทัศนคติของเราที่มีต่อโลกและชีวิตและเปลี่ยนชีวิตเราให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น  แต่ไม่ว่าจะมีประโยชน์ต่อชีวิตมากเพียงใด ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถเปลี่ยนจิตใจของมนุษย์ได้  ไม่ว่าจะมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากเพียงใด มนุษย์ก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัวและอยู่ในอำนาจของความโลภ  ความโกรธ  และความหลงอยู่เหมือนเดิม  แต่ความรู้ที่ได้จากศาสนาพุทธสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในจิตใจของมนุษย์ได้ ทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสตัณหาและอุปาทานอย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์และศาสนาพุทธควรจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเพื่อจะได้ก่อให้เกิดองค์รวมของความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ที่ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ  นอกจากนั้นความสัมพันธ์นี้ยังจะช่วยให้ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มีทิศทางที่แน่นอน  ไม่นำอันตรายมาสู่มนุษย์และโลกที่อยู่  และในขณะเดียวกันความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เราเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของจักรวาลชีวิต และธรรมชาติของสรรพสิ่งต่างๆ  อย่างเป็นระบบความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยเสริมให้เราเห็นคุณค่าคำสอนในศาสนาพุทธมากขึ้นด้วย

ลักษณะประการสุดท้ายของพุทธศาสนาที่ปรากฏในพุทธวิทัศน์ของหลวงพ่อ คือเป็นศาสนาที่มีหลักจริยธรรมสากลที่สามารถนำไปใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับวัดความเจริญก้าวหน้าของคนแต่ละคนและสังคมปัจจุบันได้และสำหรับกำหนดทิศทางของการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีในเรื่องต่าง ๆ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ สังคม และธรรมชาติ การมีทรัพย์ อำนาจ เกียรติ และชื่อเสียง จะมีประโยชน์อะไรถ้าหากจิตใจเรายังอยู่ในบงการของโลภ โกรธ หลง การมีเศรษฐกิจโชติช่วงชัชวาล  จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อคนในสังคมมีแต่ความวิตกกังวล ความกระวนกระวายใจและความว้าเหว่อ้างว้าง การพัฒนาประเทศจะมีประโยชน์อย่างไร ถ้าหากการพัฒนานั้น  นำไปสู่การเสียดุลยภาพทางธรรมชาติที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์  เทคโนโลยีสมัยใหม่จะประโยชน์อะไร  ถ้าหากถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น สังคม และโลกที่อยู่