โบสถ์เทพนิมิต
ก่อนจะมีการก่อสร้างพระอุโบสถหนังใหม่นั้น
มีสิ่งมหัศจรรย์นิมิตปรากฏแด่ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ และคุณทองย้อย ชโลธร
เป็นเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนซึ่งสามัญชนธรรมดายากที่จะเข้าใจ เพราะไม่ได้รู้ได้เห็นหรือได้ประสบมากับตัวเอง
นอกจากผู้ที่มีจิตใจสูงหรือเข้าใจในหลักธรรมดีแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจโดยถ่องแท้
เนื่องจากมีเหตุการณ์แวดล้อมต่าง ๆ พอจะอนุโลมขนานนามสมมติได้ว่า โบสถ์เทพนิมิต
ขอให้ท่านปัญญาชนได้อ่านและพิจารณาในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนก่อสร้างพระอุโบสถเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
แต่ก็เป็นไปแล้วถูกต้องตามนิมิตนั้นทุกประการ
๑.
นิมิต ก่อนการสร้างพระอุโบสถ
ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์มีความดำริที่จะสร้างพระอุโบสถมาช้านานแล้ว
แต่ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอสนับสนุนแนวความคิดนี้ได้
และกาลเวลาสิ่งแวดล้อมยังไม่อำนวยให้
เพียงแต่บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ดี
สภาพของโบสถ์เก่าเป็นภาพติดตาตรึงใจเป็นการกระตุ้นเตือนท่านพระครูอยู่ตลอดเวลาว่า อยู่ไม่ไหวหนอ
เอียงหนอ ทรุดหนอ พังหนอ ไม่ปลอดภัยหนอ
อยู่มาวันหนึ่งในปี
๒๕๑๐ ได้มีอุบาสิกาเป้า ปาลวัฒน์วิชัย บ้านเดิมอยู่ อ.อินทร์บุรี
ได้มาเยี่ยมท่านพระครู ต่อจากนั้นได้เดินชมพระอุโบสถโดยรอบ
ขณะนั้นเองอุบาสิกาเป้าได้เห็นน้ำไหลขึ้นมาจากพื้นพระอุโบสถ จึงแปลกใจมาก
และได้พูดกับท่านพระครูว่า ชาวจีนถือว่าเป็นนิมิตดี ภาษาจีน เฮง
และได้พูดต่อไปอีกว่า พระอุโบสถชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว
จำเป็นต้องสร้างรอไปอีกสักหน่อย หากสร้างก็ควรใช้ที่เดิมนี่แหละจะดีมาก ๆ
กาลเวลาได้ผ่านมาถึงปี
๒๕๑๑ ในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี ๔ นาฬิกาเศษ
เกิดนิมิตและเสียงกระซิบของชายชราแว่วเข้าหูท่านพระครูพูดว่า โบสถ์พัง โบสถ์ท่านพังแล้วอย่าไปไหนนะ
ท่านพระครูต้องสะดุ้งลืมตาส่ายหาแหล่งต้นเสียงสักครู่หนึ่ง แต่ไม่ปรากฏตัว
และในเวลานั้นยังไม่มีคนใดตื่นนอนเลย ท่านพระครูจึงทำสมาธิต่อไปอีก
และได้ยินเสียงชายชรากระซิบซ้ำเช่นเดิม จนกระทั่งรุ่งเช้า
ท่านพระครูได้ทำกิจวัตรเรียบร้อยแล้ว รีบเดินไปสั่งงานหน้าวัด
จึงได้นึกถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในคืนนั้นว่าจะเป็นไปได้หรือ
ท่านพระครูสั่งงานเรียบร้อยแล้ว ได้เดินมาหาพระภิกษุเฟื่อง และได้ถามท่านว่า โบสถ์เราพังเมื่อไร
โบสถ์เราจะพังจริงหรือเปล่า
พระภิกษุเฟื่องตอบว่า โบสถ์ไม่ได้พัง ผมเพิ่งออกจากทำวัตรในโบสถ์เดี๋ยวนี้เอง
ท่านพระครูไม่เชื่อ ต้องการรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง
และต้องการจะทดสอบว่าเป็นไปตามเสียงกระซิบของชายชรานั้นจริงเท็จประการใด
ท่านพระครูจึงได้ชวนพระภิกษุเฟื่องเดินมุ่งหน้าไปยังโบสถ์
และยืนพิจารณาสภาพของโบสถ์ทั่ว ๆ ไป สักครู่ได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะและบางส่วนเชิงชายหน้าโบสถ์ก็ยุบลงมาเสียงแบบนกปีกหัก
เมื่อประสบเหตุการณ์ต่อหน้าและเป็นไปตามเทพนิมิตเช่นนี้
ท่านพระครูได้อธิษฐานจิตและพังเพยออกมาว่า อย่าเพิ่งพังลงมาเลย
ผลัดขอแรงคนเขามารื้อเสียก่อน
และเชิงชายโบสถ์ก็ยุติการพังลงชั่วคราว ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์
๒๕๑๑ (วันอังคาร แรม ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีจอ)
หลังจากนั้นท่านพระครูได้ป่าวประกาศพระเณรและชาวบ้านข้างวัด
เพื่อขอแรงรื้อเฉพาะเชิงชายโบสถ์ตามที่ได้สัญญากับเทพไว้ ส่วนตัวพระอุโบสถ
ยังมิได้รื้อ เห็นว่ามีความจำเป็นนากรทำสังฆกรรมและยังมีความปลอดภัยตามสมควร
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นการบีบบังคับให้ท่านพระครูจะต้องร้อนรน
เหมือนไฟสุมขอนได้แต่คิด ๆ อยู่เสมอว่า จะหาเงินที่ไหน
ใครเขาจะมีศรัทธาในการสร้างพระอุโบสถใหม่ เพราะจะต้องใช้ทุนทรัพย์เป็นจำนวนมามาย
และการเรี่ยไรในสมัยนี้ก็ไม่ถูกต้องตามระเบียบคำสั่งของเถระสมาคมด้วย
หากจะมีการเอ่ยบอกบุญจากผู้มีจิตศรัทธาและสานุศิษย์ก็คงจะได้บ้างเป็นบางส่วน
จึงได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ได้เรี่ยไรทำการก่อสร้างอุโบสถวัดพรหมบุรี
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระคุณเจ้าได้เสียสละเวลา แรงกาย ทุนทรัพย์ส่วนตัว
เดินทางด้วยเท้า และโดนยานพาหนะทุกประเภทเช่น โดยสารเรือ รถยนต์ จักรยานยนต์
ซึ่งแล้วแต่จะหาได้ แต่ละท้องถิ่น
คนเรี่ยไรเพื่อการกุศลมีสภาพไม่ต่างกับคนขอท่านเท่าใดนัก
ท่านได้พบปะสนทนากับชาวบ้านในถิ่นต่าง ๆ มีการพูดเสียดแทง สะเทือนใจ
บางท่านมีจิตเป็นกุศลพอพูดรู้เรื่องกันบ้าง
ท่านพระครูเดินทางเรี่ยไรไปเกือบทั่วทุกแห่งหนกว่าจะได้เงินครบตามที่กะไว้ก็ต้องใช้เวลาถึง
๗ ปี จึงได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓
และเหตุการณ์ที่ประสบอยู่ในขณะนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำร้อยเหมือนในครั้งนั้นอีกหรือ
ท่านพระครูได้พิจารณาหาทาง และอธิษฐานจิตสอบถามองค์เทพอันศักดิ์สิทธิ์ถึงภารกิจหน้าที่ที่หนักหน่วง
จะดำเนินการและลงเอยในรูปใด และต่อมาอีกไม่นานนัก
เสียงกระซิบจากชายชราในร่างเดิมบอกว่า ไม่ต้องกลุ้มใจ
ไม่ต้องเดือดร้อน ญาติพี่น้องที่เขาเคยสร้างไว้ จะมารวมกันสร้างเอง
ต่อจากนั้นเหตุการณ์ต่าง
ๆ ดูเหมือนว่าจะมีเค้าเป็นความจริงขึ้นแล้ว ประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๑
พระครูได้หยั่งทราบเป็นภายในได้เรียกช่างชำนาญสร้างโบสถ์ งบประมาณค่าก่อสร้าง
ตามที่กะไว้อย่างคร่าว ๆ และท่านพระครูได้ติดต่อช่างหล่อพระประธานซึ่งอยู่ จ.นนทบุรี
ให้พิจารณาแบบ ขนาด ตลอดจนลวดลายของฐานพระประธาน ตลอดจนวงเงินที่ใช้จ่าย
ท่านพระครูได้เดินทางขึ้นล่องจากวัดไปยังที่ต่าง
ๆ เพื่อติดต่อนายช่าง ตัวอย่างโบสถ์ พระประธาน ฯลฯ จนนับครั้งไม่ถ้วน
จนร่างกายผ่ายผอมฉันอาหารไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ไม่ฉันอาหารเสียเลย
ต่อมาในเดือนตุลาคม
๒๕๑๑ ได้มีเจ้าภาพ ๓ รายมาจองกฐินเพื่อจะทอดที่วัด เจ้าภาพผู้ศรัทธานั้นได้แก่ คุณทองย้อย
ชโลธร (จ.ลพบุรี) โยมฟัก ยุติโยธิน (จ.พิจิตร) และโยมปรุง
ศรีพวงวงศ์ (จ.นครราชสีมา)
ท่านพระครูได้แนะแนวทางว่าให้เป็นกฐินสามัคคีร่วมกันเถิด
ชาติหน้าจะได้พึ่งพาอาศัยกัน เราอยู่คนเดียวในโลกนี้ไม่ได้
เราทำบุญต่างคนต่างก็ได้กุศลด้วยกัน
แต่มีงานใหญ่ที่อยากปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องพระอุโบสถหลังเก่าได้พังลง
หากจะนำรายได้ส่วนนี้มาช่วยสร้าง จะขัดข้องประการใด
โดยบอกพวกที่มาร่วมได้ทราบเจตนากันเสียก่อน หากคนอื่นใดไม่รู้ความจริงจะพูดกันไปคนละเรื่อง
เมื่อได้ปรึกษากันแล้ว เจ้าภาพทั้ง ๓ รายก็เห็นด้วย
และจะดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของท่านพระครู ทางฝ่ายคุณทองย้อย ชโลธร
ได้นัดประชุมกรรมการจัดงานทอดกฐินสามัคคีวัดอัมพวัน ได้ดำเนินการวางแผนตั้งกรรมการ
เจ้าหน้าที่ และกำหนดการต่าง ๆ ซึ่งมีเอกสารหลักฐานปรากฏอยู่ที่วัดอัมพวันแล้ว
ผลของการประชุม สรุปสาระสำคัญได้ว่า
ก. จะทอดกฐินสามัคคีร่วมกัน
เจ้าภาพอีก ๒ รายซึ่งมาจากจังหวัดพิจิตร และจังหวัดนครราชสีมา
ข. เงินรายได้สมทบทุนสร้างพระอุโบสถวัดอัมพวัน
ค. จะเริ่มงานใน
๒-๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๑
ง. จัดเจ้าหน้าที่เตรียมรับรองในเรื่องอาหาร
ที่พักแรมและอื่น ๆ
จ. จัดเจ้าหน้าที่เรี่ยไรแบ่งเป็นสาย
ๆ
เมื่อถึงวันงานทอดกฐิน
เจ้าภาพทั้ง ๓ ได้มาร่วมพิธีพร้อมเพรียงกัน
การดำเนินงานต่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
คณะกรรมการได้รับเงินจากผู้บริจาคเป็นมูลค่าทั้งสิ้น ๒๔๐,๐๐๐ บาท
เป็นที่น่าอนุโมทนาชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันความดีเด่นในผลงานและการปฏิบัติต่าง ๆ
ที่ท่านพระครูได้ยึดมั่นในอุดมการณ์และความปรารถนาดีต่อทุก ๆ คน
จึงดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผลตามที่ปรารถนา
๒.
แบบ ขนาด ของพระอุโบสถ
ได้มีการหรึกษาหารือระหว่างท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์กับคณะกรรมการอยู่เสมอ
ทั้งแบบทรวดทรงขนาดตลอดจนส่วนประกอบของอุโบสถ และงบประมาณค่าก่อสร้าง
ซึ่งท่านพระครูได้ให้นโยบายไว้ว่า ให้เป็นแบบธรรมดาสร้างง่าย ๆ ราคาย่อมเยา
และให้ใช้ประโยชน์ทางศาสนกิจหลาย ๆ อย่าง
พระคุณเจ้าต้องการแบบทรงไทย
ขยายกว้างออกไปโดยรอบพระประธานเป็นเนื้อปูนปั้นให้มีลีลาอ่อนช้อย
ส่วนคุณทองย้อย ชโลธร ต้องการอัดพื้นด้วยไม้สัก (อัดปาเก้) ดูเก๋ดี
และประตูหน้าต่างควรจะเป็นมุ้งลวดยุงจะได้ไม่กัด ส่วนคุณสมเจตน์ วัฒนสิทธุ์
ถามว่าจะประดับไฟฟ้าแบบไหน มีช่อระย้าสลับสีหรืออะไรขอให้บอกมา เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าเรามีเยอะ
เมื่อได้ฟังการสนทนาแล้วรู้สึกปลื้มใจ เพราะจิตเป็นกุศลด้วยกันทั้งนั้น
ต่อจากนั้นมานายช่างได้นำแบบแผนผังตลอดจนรูปองค์พระประธานมาให้
และมีการแก้ไขบ้างเล็กน้อย พอสรุปรายการใหญ่ ๆ ให้ทราบดังนี้
สร้างทับที่เดิม
ทำเป็นรูปแบบศาลาทรงไทย ขยายตามกว้างออกไปโดยรอบ มีขนาดกว้าง ๖ วา ๒ ศอก ยาว ๑๓ วา
๒ ศอก
ประดับตกแต่งโคมไฟหลากสี
พื้นไม้สัก กรุด้วยมุ้งลวด ตามบานประตูหน้าต่าง
ใต้ฐานพระประธานบรรจุพระพิมพ์แบบปางพระประทานพรและแบบปางสมาธิเนื้อผงผสมแร่
๑๖ อย่าง
ด้านหน้าพระอุโบสถ
จะมีแผ่นศิลาหินอ่อนจารึกรายชื่อผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์
มีใบเสมาแนบติดผนังโบสถ์โดยรอบ
คิดไว้ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ บาท อาจจะเพิ่มวงเงินอีกเล็กน้อย เนื่องจากราคาอุปกรณ์ก่อสร้างสูงขึ้นเรื่อย
ๆ และแนวความคิดในการประดับตกแต่งมีแปลก ๆ อยู่เรื่อย ๆ
๓.
พิธีบวงสรวงสังเวยเทพารักษ์
การทำพิธีบวงสรวงสังเวยเป็นลัทธิพราหมณ์
ซึ่งจะมีแทรกปะปนกับพิธีทางศาสนาพุทธควบคูกันมาช้านาน
ในคราวทอดกฐินสามัคคีเมื่อ
๒ พ.ย. ๑๑ ท่านพระคุณเจ้าพระราชสิงหวรมุณี เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี
ได้มาเป็นประธานสวดพระพุทธมนต์เย็น
ก่อนเดินทางกลับได้เดินดูพระอุโบสถอันเก่าแก่ทรุดโทรม
พระคุณเจ้าได้สั่งท่านพระครูว่าก่อนจะทำการรื้อพระอุโบสถ
ขอให้ทำพิธีบวงสรวงสังเวยบอกเล่าให้ถูกต้องตามประเพณีนิยมแต่โบราณกาล จะได้มีความเจริญรุ่งเรือง
ท่านพระครูได้น้อมรับคำสั่งมาเตรียมงานและได้ปรึกษากับกรรมการและชาวบ้านข้างวัดต่อไป
อยู่มาในคืนวันหนึ่ง
พวกชาวบ้านได้มาหาท่านพระครูและได้เสนอการทำพิธีบวงสรวงครั้งนี้ว่า
จะต้องมีตั้งศาลเพียงตา มีเหล้า ๒ ไห หัวหมู ๑ หัว ไก่ ๒ ตัว เหล้าแม่โขง ๒ ขวด
และทำบายศรี ด้วยผลสุดท้ายยังลงเอยกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างชำนาญด้วยกันทั้งนั้น
จึงเดือดร้อนถึงองค์เทพ (ชายชรา) จะต้องตัดสินใจจะเอาอะไร แค่ไหน อย่างไร
ชายชราได้กระซิบสั่งท่านพระครูในยามดึกสงัดคืนนั้นว่า ไม่ต้องมีเหล้า
ไม่ต้องมีสาโท ไม่ต้องมีไก่ ไม่ต้องมีหัวหมูบายศรี
และไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นให้เดือดร้อน และไม่ต้องเชื่อพวกนั้น
เพราะพวกนั้นจะหาเรื่องกินกันต่างหาก
พอวันรุ่งขึ้นท่านพระครูเดินทางไปหาคุณทองย้อย
ชโลธร ที่บ้าน จ.ลพบุรี เพื่อเล่าเรื่องการรื้อโบสถ์ตามนิมิตฝันที่เกิดขึ้น
พอท่านพระครูพูดไปได้เล็กน้อย คุณทองย้อยฯ
ก็พูดขึ้นว่าคืนนั้นได้ฝันเหมือนกันว่า มีชายชรามาบอกให้รื้อพระอุโบสถได้เลย
จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดใจที่ชายชราไปเข้าฝันในคืนเดียวกันทั้ง ๒ คน
และได้พร้อมใจกันทำพิธีบวงสรวง เมื่อ ๑๑ พ.ย. ๑๑
ตามที่ท่านเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีได้สั่งไว้
๔.
การก่อสร้างพระอุโบสถ
ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์
และ คณะกรรมการได้พิจารณาเลือกช่างก่อสร้างที่มีฝีมือดีและค่าแรงสมเหตุผล
บางอย่างก็ขอแรงจากชาวบ้านมาช่วยในการรื้อถอน ปรับพื้นและขุดหลุมเสาเป็นต้น
แม้แต่ไม้ที่จะนำมาทำแบบ ก็ได้จากแนวความคิดของคุณทองย้อย ชโลธร โดยติดต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำมาจ้างเลื่อยด้วยฝีมือชาวบ้าน
แม้แต่ทรายก็ขอแรงชาวบ้านขนจากท่าวัดมาสู่บริเวณก่อสร้างหรือหินชนิดต่าง ๆ
และปูนก็ได้คุณหมอปราโมทย์ ณ นคร อำนวยการเกณฑ์และบรรทุกมาส่งที่วัด
จะซื้อเฉพาะวัสดุก่อสร้างที่เห็นว่าจำเป็นจริง ๆ การควบคุมงานต่าง ๆ ส่วนใหญ่
เป็นเรื่องของนายช่างก่อสร้าง ส่วนคุณทองย้อย ชโลธรได้ตรวจตราดูแลอย่างใกล้ชิดและพูดรับรองว่า
โบสถ์นี้แข็งแรง รับรองว่าไม่พัง แน่ ๆ เพราะได้ควบคุมแนะนำทางเทคนิคเป็นพิเศษ
คุณลุงปุ่น
เชยโฉม ไวยาวัจกร วัดอัมพวัน อดีตปลัดอำเภอพรหมบุรี อายุ ๖๕ ปี
อยู่บ้านเลขที่ ๑๐ หมู่ที่ ๕ ต.พรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
ได้เล่าประวัติความเป็นมาของโบสถ์ดังนี้
วันที่โบสถ์พังตรงกับวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๑ หลวงพ่อท่านบอกว่า มีเสียงบอกว่า โบสถ์จะพังแล้ว ท่านให้คนไปตามมาดูโบสถ์พร้อมกันท่าน
พอไปถึงยืนดูสักครู่หนึ่ง
จึงได้ยินเสียงไม้ลั่น ได้แหงนดูพบว่าจันทัน
เชิงชายของโบสถ์ด้านทิศตะวันออกจะหลุดออกจากกัน
เลยไปขอแรงชาวบ้านมาช่วยรื้อหน้ามุขโบสถ์ด้านทิศตะวันออกก่อน
ต่อมาได้มีการประชุมกัน
จะมีผู้มาช่วยสร้าง จึงได้ทำการรื้อพระอุโบสถทั้งหลัง เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน
๒๕๑๑
ภายในพระอุโบสถมีพระประธานอยู่
๑ องค์ หน้าตักกว้าง ๔ ศอก แบบสุโขทัย ปางสะดุ้งมาร เนื้อปูนปันสีขาว
ก่อนจะรื้อพระอุโบสถ ได้อัญเชิญท่านมาอยู่ที่วิหารในเขตกรรมฐานของพระภิกษุสงฆ์
ขณะอัญเชิญมามีการชำรุด
เพราะองค์ท่านหนักมากแรงกระแทกกับพื้น
ปูนที่องค์จึงร้าวทำให้เห็นลักษณะภายในว่าเป็นหินสีเขียวคล้ำคล้ายใบเสมา
หลวงพ่อจึงได้ให้ช่างบูรณะองค์ท่านให้ดีดังเดิม
แต่ไม่ได้ลงรักปิดทองแต่ประการใด และยังคงประดิษฐานที่วิหารตลอดมา
แม่สุ่ม
ทองยิ่ง เล่าให้ฟังว่า ได้เคยนั่งดูองค์ท่านทราบว่า
คนที่สร้างโบสถ์เขานำมาเอง ใส่เรือฉลอมมาจอดที่หน้าวัด
อัญเชิญประดิษฐานในพระอุโบสถตั้งแต่นั้นมา
เมื่อ พ.ศ.
๒๕๒๗ หลวงพ่อมีโครงการอบรมครูอาจารย์ทั่วประเทศ เป็นรุ่นที่ ๒ อาจารย์นิตยา
เสถียรโชค เข้ารับการอบรมด้วย ขณะที่เจริญสมาธิอยู่ได้รับสัมผัสว่า
องค์ท่านให้ปิดทองให้ผิวกระดำกระด่างเต็มทีแล้ว ได้ถวายความเห็นหลวงพ่อไว้
ขณะเดียวกันหลวงพ่อเล่าว่า
มีชาวบ้านไปรายงานให้ฟังว่า ได้ฝันถึงพระประธานองค์เก่า ท่านบอกว่าอยากอยู่ที่เดิม
ท่านเป็นใหญ่ในที่นี้ ทำไมนำท่านมาไว้อย่างนี้
พอดีกับ ดร.กิ่งแก้ว
อัตถากร มีความคิดจะอัญเชิญพระประธานองค์เก่าเข้าประดิษฐานในพระอุโบสถ
และสร้างพระอัครสาวกถวาย ได้ถวายความเห็นหลวงพ่อดังนี้
ของเก่าที่เป็นผลงานที่แสดงเจตนารมณ์อันแรงกล้าของบรรพบุรุษ
หรือเจ้าของเดิม เราควรรักษา ถ้าทรุดโทรม ก็ควรปฏิสังขรณ์ ถ้าหมดสภาพจะต้องสร้างใหม่
ก็ควรหุ้มของเก่าไว้เพื่อไม่ให้สูญสลายไปทั้งหมด
โดยปกติ
ในพระอุโบสถ จะนิยมสร้างรูปพระอัครสาวกสำหรับพระพุทธรูปประธานเสมอ
แต่ปรากฏว่าในพระอุโบสถวัดอัมพวันยังไม่มี และได้ฟังหลวงพ่อปรารภบ่อยครั้งว่า
ขาดผู้ที่ช่วยอบรมสั่งสอนธรรมในวัด
มีความคิดว่า
เราควรเจริญรอยตามประเพณี เพื่ออาราธนาคุณของพระพุทธ พระธรรม
และพระสงฆ์สาวกให้ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เมื่อเราเคารพและอาราธนาในองค์คุณของท่าน
เราก็ย่อมได้ผลและได้รับการประสิทธิ์ประสาทในองค์คุณเหล่านั้นครบถ้วนสมบูรณ์แบบเช่นกัน
ผู้มีศรัทธาสร้างพระอัครสาวกถวายได้แก่
คุณครรชิต คุณวิบูลพร อัตถากร พลเอกวีระ ไทยกล้า
มีศรัทธาปิดทองพระประธานองค์เก่าและพระอัครสาวกด้วย
ได้มีการสมโภชพระประธานองค์เก่าพร้อมทั้งพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร
ในวันจันทร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๒๘
ทางทิศใต้ของพระอุโบสถมีศาลพระภูมิตั้งอยู่
คุณลุงปุ่นได้เล่าให้ฟังว่า
เดิมมีต้นไม้ใหญ่ชื่อ
พญาสัตบรรณ อยู่ด้านใต้ของพระอุโบสถ ข้างในลำต้นเป็นโพรงหนา
หลวงพ่อเกรงว่าถ้าลมพัดแรง จะโค่นลงทับพระอุโบสถ จึงปรึกษาคณะกรรมการวัด
คณะกรรมการได้ลงมติให้โค่นต้นสัตบรรณ
จ้างคนญวนมาโค่น ค่าจ้าง ๘๐๐ บาท (ราคาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒)
ต่อมาชาวบ้านได้มาบอกหลวงพ่อว่า
เทพที่อาศัยที่ต้นสัตบรรณไม่มีที่อยู่ เขาขอให้สร้างที่อยู่ให้ด้วย
หลวงพ่อรับฟังเฉย ๆ
บรรดาศิษยานุศิษย์ประกอบด้วยคณะกรรมการวัดมีความเห็นว่า
ควรจะตั้งศาลพระภูมิให้ จึงได้ไปซื้อที่สิงห์บุรีมาราคา ๘๐๐ บาท
ที่วัดอัมพวันนี้
ก่อนที่หลวงพ่อจะมาอยู่ จะมีงานวัดประจำปีมีการแข่งเรือ การละเล่นต่าง ๆ เช่นละคร
เป็นต้น
เมื่อหลวงพ่อมาอยู่แล้ว
ท่านสอนให้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และไม่ได้สนใจเรื่องการจัดงานประจำปีอีกเลย
หลังจากตั้งศาลแล้ว ชาวบ้านจึงจัดให้มีละครประจำทุกปีที่หน้าศาล ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ
เดือน ๑๒ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลวงพ่อวัดอัมพวัน
ได้ดำเนินการสอนวิปัสสนากรรมฐานตามปณิธานที่ตั้งไว้ได้ราบรื่น
ก้าวหน้ามีมีอุปสรรคใด ๆ จนตราบเท่าทุกวันนี้.....
วิปัสสนาดีนักรักความสงบ พบความสุขแสนวิเศษกิเลสหาย
เกิดสมาธิสติดีอินทรีย์กาย สุขสบายสู่สถานนิพพานเอย
มีศีลธรรมนำสุขทุกสมัย เราเป็นไทยเพราะมีธรรมประจำชาติ
ถ้าไร้ศีลสิ้นธรรมต่ำอำนาจ ไทยทั้งชาติจะอยู่ได้อย่างไรกัน
.........................................