พระพุทธเจ้าหลวง
กับ
วัดอัมพวัน
๒๔ ต.ค. ๓๒
H4001
เมื่อ ร.ศ. 125 ตรงกับ
พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จทางชลมารคจากพระราชวังบางประอิน เข้าสู่บางเสด็จ เพื่อนมัสการพระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี
และเสด็จผ่านวัดอัมพวัน ครั้งนั้น เจ้าอาวาสมีสมณศักดิ์ที่ พระครูพรหมนครบวรราชมุนี
ชินสีห์ ภานุวาร สังฆปาโมกข์ ท่านสร้างพลับพลา ประดับธงทิวที่หน้าวัด
และนำพระสงฆ์สวดถวายพระพรชัยมงคล
พระปิยมหาราชทรงรับสั่งให้นำเรือพระที่นั่งแวะเข้ามาสนทนากับพระครูพรหมนครฯ
สังฆปาโมกข์ แล้ว พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ พร้อมทั้งพระราชหัตถเลขา ว่า
ถวายวัดอัมพวัน ร.ศ.
๑๒๕ จุฬาลงกรณ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙
พระภาวนาวิสุทธิคุณ (ครั้งเป็นพระปลัดจรัญ) มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน
รักษาการ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส
ครั้งนั้นพระบรมฉายาลักษณ์
ร.๕ แขวนอยู่บนศาลา วันหนึ่งเกิดพายุใหญ่ หอบกระเบื้องมุงหลังคาศาลาหล่สนมาเป็นพัน
แล้วพัดพาเอาพระบรมฉายาลักษณ์ปลิวลงแม่น้ำเจ้าพระยาไปด้วย
ดุจปาฏิหาริย์
พระบรมฉายาลักษณ์ ลอยไปลอยมาอยู่บริเวณหน้าวัดในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเวลาถึง ๓
คืนแล้ว หลวงพ่อจึงลงไปพบหยิบมาคลี่ดู เห็นเป็นพระบรมฉายาลักษณ์
จึงนำมาใส่กรอบรักษาบูชาไว้ที่กุฏิเจ้าอาวาสดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
ต่อมา คุณชาญ
กรศรีทิพา ผู้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างหอประชุม ภาวนากรศรีทิพา
มีความเคารพเลื่อมใสในพระปิยมหาราชเป็นอย่างยิ่ง
จึงขอพระบรมราชานุญาตหล่อพระบรมรูป ร.๕ ขึ้น ในวงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ บาท
แล้วอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ หน้าหอประชุมดังกล่าว
เป็นสิริมิ่งขวัญของวัดอัมพวันสืบมา
ครั้นถึงวันที่ ๒๓
ตุลาคม ๒๕๓๒ คล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระปิยมหาราชเจ้า
หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณได้เชิญชวนศิษยานุศิษย์ให้มาพร้อมใจกันถวายบังคม
หลวงพ่อได้กล่าวนำรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหาราชพระองค์นั้น แล้วบำเพ็ญกุศล
สดับปกรณ์ถวายพระราชกุศลเป็นกาลพิเศษ
ในปีนี้ประธานฝ่ายฆราวาสเป็นผู้นำถวายพระราชกุศล ซึ่งทางวัดได้จารึกชื่อไว้ คือ ม.ร.ว.
คุณหญิงพรรณเรือง อัตถากร มารดาของ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร วิทยากรประจำวัดอัมพวัน
เมื่อวานนี้เป็นวันคล้ายวันสวรรคต
ขององค์สมเด็จพระปิยมหาราช มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าฯ ที่เราจะลืมมิได้
นักเรียนนายร้อย จปร.
มาอบรมที่นี่ไม่ทราบกี่พันคน พระองค์ทรงเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน เรียกว่าโรงเรียนนายร้อย
จปร. เมื่อก่อนนี้เรียกว่านายร้อยทหารบก
เราควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของมหาบพิตร
พระราชสมภารเจ้า ท่านเสด็จประพาสยุโรป ทรงเห็นว่า อ๋อ! เมืองใหญ่ข่มเหงเมืองเล็ก
มันจะฮุบเอาประเทศไทย เขามีอำนาจทางทหารมาก เครื่องมืออุปกรณ์ทั้งหลายดีกว่าเรา
และเราก็เรียนไม่ทันฝรั่ง เขาจึงมาข่มเหงน้ำใจเรา ขอส่วนน้อยของเราไปมิใช่น้อย
เมื่อก่อนเมืองไทยเรา
มีอาณาเขตกว้างขวางถึงกลันตัน ไทรบุรี สิงคโปร์ เสียมราฐ พระตะบอง เวียงจันทน์
เชียงตุง ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เป็นของไทยมาแต่เดิมที
ทำไมมีอาณาเขตกว้างขวางมาก
ผมเคยสอนนักเรียนนายร้อยว่า เราสูญเสียประเทศไทยไป ๑๔ ครั้ง เหลืออยู่ตอนนี้แค่ ๒
เสี้ยว สูญเสียไปตั้ง ๓ เสี้ยว
มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า
ท่านคำนึงถึงเหตุการณ์นี้ ท่านเสด็จยุโรปหลายประเทศ มีประเทศเยอรมัน รัสเซีย
และฝรั่งเศส เป็นต้น ทรงใช้พระบรมราโชบายทางการทูตรักษาเอกราชของชาติไทยไว้ได้ตราบเท่าทุกวันนี้
เหตุใดจึงเรียกพระบรมรูปทรงม้า
โบราณเขาเล่าผมก็ไม่ทราบนะครับ ว่า ฝรั่งนำม้ามาให้ ทรงตั้งใจจะเอามากัด
เอามากินพระองค์ท่าน ม้าของเขาดุร้ายกาจมาก แต่แล้วกลับสยบให้กับพระพุทธเจ้าหลวง
พระองค์จึงได้ทรงม้า ฝรั่งยอม ยอมกลัวทีเดียว มีเรื่องเล่ามาอย่างนี้
คนยุคก่อน
ไล่ทหารไม่ถูก ต้องไป เสียค่ารัชชูปการ ปีละ ๖ บาท แล้วต้องไปเข้าเดือน
ต้องไปอยู่เดือนหนึ่ง คือไปเข้าเวรยาม ทหารนอกเกณฑ์ ความรู้ไม่ค่อยมีกัน
แต่มีปัญญานะครับ เพราะมีสมาธิภาวนา เป็นต้น
ท่านทั้งหลายย้อนไปหาปู่ทวด
ย่าทวดว่าจริงไหม ปู่ทวดไปเข้าเดือนไหม ผมนี่ทัน ปูเล่า ยายเล่า บอกหลานเอ๊ย
คนผู้ชายไม่ค่อยมีอยู่หรอก นี่ต้องให้เก็บข้าวตากเข้าไว้ เผื่อเกิดสงครามนะหลานนะ
ผมนี่ประสบมาเองนะครับ
ข้าวสุกเหลือทิ้งไม่ได้ต้องตาก เอาใสปีบไว้เผื่อเกิดสงคราม นี่ติดมาจากคนโบราณ
ถ้าพม่าเข้ามาประชิดติดประเทศไทย เราจะได้เอาข้าวตากใส่ย่ามไปกินตามทาง
มีเงินกลม เงินเหรียญ
เงินแบน ฝังหมด ไม่ให้พม่าเอาไป ถ้ารอดตายกลับมาขุดเอาไปใช้ ถ้าตายแล้วชาติก่อน
เป็นอดีตชาติมา มีผีมาเข้าฝันบอกของคุณไปขุดมา ก็ของของเราเมื่อคราวไปฝังไว้
และเราก็ไปขุดของเรามา ถ้าไม่มีบุญวาสนา ไม่ใช่ของเรา ขุดอย่างไรก็ไม่ได้
เสียเวลาเปล่า ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้ทำไว้ อันนี้เป็นกฎแห่งกรรมนะครับ
ใครทำใครได้เขาบอกไว้ชัด
การทหารได้เปลี่ยนมาเป็นยุคใหม่เพราะพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณของพระปิยมหาราชพระองค์นั้น
เลิกทาส ก็พระองค์ท่าน
เรานี่เป็นขี้ข้าเขามาตลอดนะครับ สมัยก่อนเราไปเอาเงินเขามา ๑ ตำลึง
ไม่มีให้เขาต้องเอาลูกไปขัดดอกจนกว่าจะหมดค่าดอกค่าต้น ใช้ต้นเขาแล้ว
เอาลูกไปขัดดอก คือ ไปเป็นขี้ข้าเขา
เอาไปให้เขาใช้อย่างนี้มีมานานตั้งแต่พุทธกาลก่อนโน้น
เอาเงินเขามาแล้ว เรามีนาอยู่
๒ แปลงทำอย่างไรต้องยกนาให้เขาไป ทำแบ่งครึ่งกับเขา ทำแทบตายได้ข้าวไม่กี่ถัง
แต่เหลือจากนั้นต้องให้เจ้าของเงินที่เราไปกู้เขามานะครับ ถึงขนาดนี้นะ
ขอฝากไว้ด้วย ในวันปิยมหาราช ท่านจะได้ทราบบ้าง
สำหรับภิกษุที่เกิดมาไม่กี่ปีนะครับ ๒๐ กาลฝนคือ ๒๐ กว่า ๆ ถ้าแก่กว่านั้นแล้วคงเข้าใจ
ก่อนรัชสมัยพระปิยมหาราช
ถ้าจับผู้ร้ายได้ ไม่ยอมรับ ใช้บีบขมับ ตอกเล็บ เฆี่ยน โบย และให้ไปเข้าคุกขี้ไก่
ไก่นอนข้างบน คนนอนข้างล่าง ไก่ถ่ายมูลลงมาก็ถูกคน นี่เรียกคุกขี้ไก่
เอาหนามแหลมไปตอกเล็บ เจ็บขนาดไหน บางทีไม่ได้เอาของเขาไป ก็ต้องยอมรับ นี่มันทำลายน้ำใจกันมาก
พระองค์ท่านทราบดีนะครับ
ที่ทำลายน้ำใจกัน มันเลวร้ายกันมากหลาย ใช้อำนาจป่าเถื่อนไปเบียดเบียนจิตใจราษฎร
ในเวลากาลต่อมา
เรื่องสมัยเก่ามาเล่ากันใหม่ ถ้าใครเป็นผู้ร้ายไปฆ่าเขาตาย
ยกตัวอย่างว่าฆ่าเขาในเขตเมืองพรหมนคร แล้วขึ้นศาลตัดสิน
มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงตัดสินเองต่อหน้าพระที่นั่ง ท่ามกลางมุขอำมาตย์
เสนาบดเป็นต้น ตัดสินประหารชีวิตนาย ก. ศาลมีกฎเกณฑ์ว่า ฆ่าเขาที่ไหน
ต้องนำไปประหารที่นั่น
ผมมานึกได้เมื่อคืนนี้
เมื่อสมัยผมจำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมบุรี ข้างศาลาหลังเก่าเป็นที่ประหารชีวิตนายปลอด
ต้องมีเพชฌฆาตมาประหารชีวิตที่นั่น เพราะมาฆ่าเขาตายที่บางงา
เป็นคนที่ไหนผมก็ไม่ทราบ
เจ้าเมืองเขาประกาศก่อน
ว่าวันที่เท่านั้นเขาจะนำนายปลอด มาประหารชีวิตที่นายปลอดมาฆ่าเขาตายที่บางงา
ขอให้ประชาชน ราษฎร พสกนิกร โปรดมาดูตัวอย่าง อย่าทำอย่างนี้ต่อไป
เอาแห่ตระเวนน้ำตระเวนบก ๓ วัน ๓ คืน อย่าเอาอย่างนายปลอด เป็นคนใจร้าย
เป็นเวรกรรมของเจ้าปลอด ฆ่าเขาตายที่ไหน ก็ถูกประหารที่นั่น
คนก็แห่เรือมาจากพระนครศรีอยุธยา เป็นมณฑลกรุงเก่า แห่กันมาคนล้นหลาม
มีคนมาดูเต็มวัดเลย
ก่อนที่จะประหารชีวิต
สมภารเล่าว่า หลวงพ่ออิ่ม เป็นศิษย์สายหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก
เป็นสมภารองค์แรกของวัดนั้น
ท่านเป็นผู้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดนักโทษเรื่องกฎแห่งกรรม อย่าเสียใจเลย
เราไปทำเขามา นึกว่าใช้เวรกรรม อโหสิ ตั้งสติ กรรมฐาน
พอฟังเสร็จแล้ว
ให้รับประทานอาหารให้อิ่ม จะประหารชีวิตในชั่วโมงต่อไป เครื่องบวงสรวง
บูชายันต์อยู่ข้างศาลา
คุณยายเล่าว่า
เพชฌฆาตสองคนรำ มีชื่อคาเอาดินอุดหู มีเครื่องเซ่นบวงสรวง มีหัวหมูบายศรี
แต่คนลงดาบฟันจริง ๆ อยู่ข้างหลัง อีกคนหนึ่งบอกว่า คิดถึงพ่อแก้วแม่แก้ว
คิดถึงพระรัตนตรัยนะ คิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไว้ เดี๋ยวก็จะตายแล้ว
นายปลอดเป็นลมแล้วเป็นลมอีก เขาจูงขึ้นมาจากตีนท่า เพราะแห่มาจากอยุธยา
นี่เรื่องจริงนะ
ที่วัดพรหมบุรีนี่นะครับ โยมทองดี โยมทองคำ แจ่มยิ่ง เล่าให้กระผมฟังว่า
ท่านยังเป็นเด็ก แต่เดี๋ยวนี้ท่านตายไปนานแล้ว
คนแห่ไปดูการประหารชีวิตเหมือนอย่างกับงานวัด คนเป็นหมื่นไม่รู้มาจากไหน
ผมเกิดไม่ทัน
สมภารท่านเล่าบ่อนายปลอดยังอยู่ข้างศาลาเก่าที่เขาฝังนายปลอด ศพยังอยู่
ยังไม่ได้เผา ฝังไว้ลึกมาก ประหารแล้วผลักลงบ่อไป ไม่รู้กี่คนที่วัดพรหมบุรี
เมื่อผมมาบวชแล้ว
นายปลอดยังไปเที่ยวเข้าเขาเลย ผมยังไปถามประวัติตอนผีเข้า นายปลอดบอกหมดเลย
ผมบันทึกไว้
ผมบวชที่วัดนั้น
เดี๋ยวนี้หลุมผียังอยู่ ผมจะไปชี้ให้ถูกเลย ไม่มีใครเอาขึ้นมาเผาเลยครับ
ไม่เหมือนหลังวัดอัมพวันที่บริเวณต้นมะขาม ผมเผา ๒๐ ศพนะ มะขามจึงกายสิทธิ์ขึ้นมา
นี่แหละเรื่องเก่ามาเล่าให้ท่านฟัง บริเวณต้นมะขามวัดเราก็เคยเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ
มาเป็นเวลาหลายปี ครั้งกรุงศรีอยุธยาโน้น
เหตุการณ์ผ่านมา
ในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์ท่านให้เลิกหมดทุกอย่าง เลิกประหารชีวิตแบบนี้ อุจาด
ประจาน ให้ไปตระเวนน้ำตระเวนบก พระพุทธเจ้าหลวงให้เลิกหมด
มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า
พระองค์ท่านได้ทรงให้เลิกทาส เลิกประจานต่อหน้าธารกำนัล
ไม่ให้เอาผู้ร้ายประจานตามถนนหนทางอีกต่อไป ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันในประเทศสยาม
ตามพระราชโองการนี้
นี่ยังก้องอยู่ในโสตประสาท
เราควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณถวายพระราชกุศลท่าน
ขอพระองค์ทรงโปรดรับทราบด้วยญาณวิถี
ต่อมามีเรื่องอัศจรรย์
ดลบันดาลดังต่อไปนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ผมมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว
เกิดพายุร้ายพัดพาหลังคาศาลาหลังเก่ากระเบื้องหลุดเป็นพัน
สายอัสนีบาตฟาดเป็นการใหญ่ เกิดอภินิหารหรือเกิดเพราะลมร้ายก็ไม่ทราบ
มีพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่
๕ อยู่ที่ศาลาบานหนึ่ง พระพุทธเจ้าหลวงทรงลงพระนามไว้ อยู่บนศาลาการเปรียญ ถวายวัดอัมพวัน
ร.ศ. ๑๒๕ เมื่อคราวเสด็จชลมารคบางประอินมาวัดพระนอนจักรสีห์
สมัยนั้นมีพระครูพรหมนครบวรราชมุนีชินสีห์ภานุวัตร
(สังฆปาโมกข์) เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ เป็นเจ้าคณะเมืองใหญ่ ยังไม่มีตัวจังหวัดสิงห์บุรี
มีเมืองพรหมนคร เมืองอินทร์ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองสุพรรณบุรี บ้านช้าง
บ้านตาล บ้านพรานแสวงหา บ้านกุ่ม บางบาล อำเภอวิเศษไชยชาญ ตัวตะพาน กบเจา
ที่ยกทัพไปค่ายบางระจัน ดังนี้
ตอนนั้นมีเรือโพธิ์ประจักษ์
เรือเขียว เรือแดง มากหลาย วิ่งกันไม่พัก น้ำก็เต็มฝั่ง ระยะเดือน ๙ เดือน ๑๐
มีพายุร้าย ฝนกระหน่ำ ๗ วัน ๗ คืน ดีเปรสชั่นเข้ามาพัดรูปพระบรมฉายาลักษณ์ลงน้ำไป
กรอบรูปไปทางหนึ่ง พระบรมฉายาลักษณ์ม้วนพันกลม ลอยไปลอยมา ๓ วัน ๓ คืน น้ำก็ไม่วน
แต่เพราะประการใดเล่า
พระบรมฉายาลักษณ์ ไม่ลอยไป ลอยไปได้แล้วก็ลอยขึ้นมาอีก แปลกมาก ผมเห็นกับตา
ผมก็ไปลงสรงน้ำ
เพราะครั้งนั้นยังไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องตักน้ำใช้เองนะครบ
มีแพท่าเรือเมล์จอดตลอดเวลา มีศาลาน้ำเก่า ๆ ๒ หลัง
เพิ่งมาสร้างกันใหม่ทั้งหลังเลย
เอาขันไปตักน้ำสรงที่แพท่า
สรงแล้วผลัดผ้าเรียบร้อย มองเห็น เอ๊ะ! อะไร ลอยตุ๊บป่อง ๆ
น้ำก็ไหลล่องทำไมลอยขึ้นมาเหนือน้ำ พอลอยลงไป เดี๋ยวลอยขึ้นมาอีกแล้ว ไหลไปไหลมา ผมก็ตัดสินใจหยิบดู
ผมกลัวจะเป็นผีลอยน้ำ ขาว ๆ ตุ๊บป่อง เลยก็จับขึ้นมา ขาดหลุดวิ่นหมด ค่อย ๆ
คลี่ปะเอาบ้าง
เห็นว่าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระพุทธเจ้าหลวงนะครับ
ทรงเขียนว่า ถวายวัดอัมพวัน ร.ศ. ๑๒๕ ลงพระนาม จุฬาลงกรณ์
ด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง
ผมก็อัญเชิญมาใส่กรอบอยู่ที่กุฏิผม
ไปดูได้นะครับ ตั้งแต่นั้นมา วัดอัมพวันก็มั่งคั่งสมบูรณ์มาโดยลำดับ
ต่อมามีตาแป๊ะแก่อายุประมาณ
๔๐ ปี มากับภรรยาและลูก ๑ คน ผมจำไม่ได้ละเอียด ผมยังหนุ่มนี่ เป็นเจ้าอาวาสอายุ
๒๘ ปี พรรษาย่าง ๙ พรรษา เดี๋ยวนี้เราอายุ ๖๒ ปี มันต่างกันอย่างไรคิดเอาเอง
เขาขับรถ ๑๐
ล้อมาให้เจิมรถ สมัยนั้นถนนไม่มี สะพานบางงาไม่มี ต้องข้ามเรือจ้าง
รถต้องไปข้ามท่า และพอดีเขามาสร้างสะพานไม้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
เป็นผู้ให้เงิน
ตาแป๊ะแก่คนนี้กับภรรยาของเขาและลูกผู้หญิงอีก
๑ คน มาจากเพชรบูรณ์ ขับรถถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เลาะหลังบ้านมา รถก็มาจอด
มีแต่ป่าดงพงไพร หลังวัดมีต้นตาลเป็นร้อย ๆ
ท่าน้ำก็มีเรือแคนวิน นิลกาฬ
เรือเขียว เรือแดง เรือสีเลือดหมู โพธิ์ประจักษ์ โพธิ์พิทักษ์
เรือหลวงนายฤทธิ์มาทีหลัง นี่เรื่องเก่าเล่าถวาย และผมก็มาเจิมรถให้
เด็กหญิงลูกสาวชื่ออะไรจำไม่ได้
อยู่ชั้นประถม ๓ นะครับ จะขึ้นประถม ๔ เป็นเด็กแก่น ๆ ผัวมัวไปทางโน้น เด็กนั่นขึ้นไปที่นั่งผม
เอาชอล์คไปเขียนรูปพระพุทธเจ้าหลวง และก็บอกกับเด็กที่ประชุมว่า พระสังข์ทอง
เหมือนกับที่เคยดูละครมา ใส่ชฎาอย่างนี้ คือพระสังข์ทอง
ผมก็มัวไปเจิมรถ
กลับมาเด็กดิ้นเลยนะครับ ดิ้นตึ้ง ๆๆ ไป แล้วก็ลุกขึ้นนั่งสูบบุหรี่ กินหมาก
ทำปากยื่นปากยาว ผมก็ถามว่า ทำอะไรน่ะ
เตี่ยก็บอก
ลูกไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย มาเสียคนที่วัดอัมพวันซะแล้ว เขาก็ขัดสมาธิ
ทำท่าประทับทรงแล้ว
ผมก็ถามว่า เป็นใครหรือ
ท่านตอบดีมาก โยม! โยมรู้แล้ว
พระคุณเจ้า จำโยมได้ไหมล่ะ
เราบอกว่า เอ๊ะ จะจำอะไรได้ล่ะ
อีหนู
ไม่ใช่หนูนะ
เอ! เราจะลองดูว่าจริงหรือเปล่า
ที่เข้าประทับทรง
เด็กเข้าทรงก็ชี้หน้าไปที่เตี่ยบอกว่า
เลี้ยงลูกให้ดี ๆ นะ ลูกคนนี้มีบุญนะ นี่ พ.ศ. ๒๕๐๐ นะครับ
ผมจดไว้ทุกข้อ
แล้วผมก็ทำโมโหขึ้นมาว่า
เอ๊! ดวงวิญญาณอะไร
มาเที่ยวเข้าวุ่นวายเหลือเกิน แล้วผมก็ถามว่า
พระมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า
ถ้าเป็นจริงนะ พระองค์อยู่ที่พระบรมรูปทรงม้าหรืออยู่ที่ไหนกันแน่
ไม่มีเสียงตอบ
กลับถามว่า พระคุณเจ้า เมื่อเช้าอยู่ที่ไหน? พูดอย่างกับผู้ใหญ่
บอกว่า เมื่อเช้าอาตมาฉันเช้าที่ลพบุรี
เพลอยู่ที่ไหน? เสียงถามต่อ
เพลฉันที่ร้านเจ๊เป้า
ช่างทอง สิงห์บุรี
เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?
เดี๋ยวนี้อาตมาก็อยู่ที่วัดอัมพวัน
โยมก็เช่นเดียวกัน
แหม! เราเลยเลิกถาม
ตอบแจ๋วเลย และพูดสั้น ๆ ให้ฟังว่า
พระคุณเจ้าจดนะ เอาละ
ก่อนจะบอกนี่ บอกเตี่ย แม่เขาก่อน เลี้ยงลูกให้ดี
จะเป็นใหญ่เป็นโต
ตาเตี่ยบอก โอ้! เป็นไปไม่ได้
อั๊วจนน่ะ มีรถคันเดียวก็รับจ้างเข้าแทบตาย ลูกสาวคนนี้เป็นใหญ่เป็นโตได้อย่างไร
เป็นจีนนอกพูดไทยไม่ชัด ผมจดไว้เลย เดี๋ยวนี้หมวยคนนี้จบปริญญาเอกแล้ว
และมีครอบครัวอยู่ที่อเมริกา
นี่พระคุณเจ้า
โยมจะบอกอะไรนะ จดนะ ท่านจำไว้นะ
ข้อ ๑. ที่วัดนี้จะเป็นแหล่งที่มาของราชการ
จะมีหอประชุม ใน พ.ศ. นั้น พ.ศ. นี้ บอกชัดเจนมาก
ข้อ ๒. ที่จำได้แน่ชัดอีกข้อหนึ่งคือ พ.ศ. ๒๕๓๐
เจ้าประคุณสมเด็จอาจารย์ขรัวโต จะมาประทับในโรงอุโบสถของท่าน
และโบสถ์ของท่านจะต้องสร้างใหม่ เป็นรูปทรงแบบไหน ผมจดไว้หมด
ข้อ ๓. จะมีสำนักขึ้นมา เป็นอย่างไร ผมจด
ไม่ต้องเล่าหรอก มันปรากฏอยู่แล้ว
ข้อ ๔. จะมีหลวงปู่แสง (เป็นอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต
พรหมรังสี) พ.ศ. ๒๕๓๐
จะมีผู้ศรัทธานำมาถวาย แหม! น่าคิดพิจารณา ผมจดบันทึกไว้ทุกข้อนะครับ
ข้อ ๕. ในเวลากาลต่อมา วัดนี้จะแปลงสภาพ
ข้างหลังจะเป็นข้างหน้า ข้างหน้าจะเป็นข้างหลัง ผมก็จดไว้ เป็นจริงเลย เห็นไหม
หลังวัดเป็นป่าดง
กลายเป็นหน้าวัด ข้างหน้ากลายเป็นหลังวัดไปเสียอีกแล้ว คือเป็นแม่น้ำ
ไม่มีคนเดินเข้า นี่พระพุทธเจ้าหลวงนะครับ
พอถึง พ.ศ. ๒๕๓๐ โยมเส็ง
โยมผ่องศรี ใจบุญ สองสามีภรรยาร่วมทุนกันสร้างหลวงปู่แสง เป็นอาจารย์สมเด็จโต
วันมณีชลขันธ์
โยมเส็ง โยมผ่องศรี
เกิดนิมิต หล่อหลวงปู่โต พรมน้ำมนต์ที่กล่าวว่า
หญ้าคาเราอย่าข้อง
พี่น้องเราอย่าคา
หญ้า ๑ กำมือถือชูมัด
จุ่มสลัดน้ำมนต์ลงบนหัว เพื่อขัวไล่ไสกิเลสที่หมองมัว ออกจากตัวไปใจเยือกเย็น หมดกิเลสตัณหาใจมีสุข
อาจจะออกจากทุกข์ได้ หลวงปู่โต ท่านบอกจริงครบทุกประการ ก็นำมาถวายไว้ในโรงอุโบสถ
อยู่ต่อมาสองวัน
เด็กที่นครสวรรค์มาบอก เด็กวิทยาลัยครูมาบอก หลวงพ่อ หนูฝันไปว่า
สมเด็จหลวงพ่อโตองค์ที่อยู่ในโบสถ์น่ะ ท่านไปบอกหนู บอกว่า ให้ไปบอกสมภารที
เราไม่อยากอยู่ในโบสถ์ มันข้ามหัวไปข้ามหัวมาทุกวัน อยากจะอยู่กุฏิธรรมดาเล็ก ๆ
ก็ได้ ให้เอาออกจากโบสถ์ไป อยู่ในโบสถ์นี่มาข้ามหัวเราทุกวัน
เดินผ่านไปผ่านมาทั้งพระและเณร
แหม! เรานิ่ง
เราอยากเอาไว้ในโบสถ์ หนักเข้ามาบอกอีกหลายเจ้า ผมเลยสร้างวิหารไว้ขณะนี้
นี่พระพุทธเจ้าหลวงบอกนะครับ
และก็จดไว้อีก เมตตาธรรมของวัดจะมาอีก
ข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนเข้าวัด ผมไม่เชื่อ
วัดอัมพวันเป็นวัดป่าไม่เจริญ มีพระ ๘-๙ องค์ ใครเขาจะมา นี่มาหมดแล้ว
หอประชุมใหญ่เกิดขึ้น
ศาลาหลังเบ้อเริ่มเกิดขึ้น ศาลาของท่านจะมี ๕ มุข ผมจดไว้ ช่างเขาออกแบบมี ๕
มุขจริง ๆ ตรงตามที่ผมจดไว้
ต่อไป เมตตาธรรมแห่งน้ำใจจะหลั่งไหลมาอีกมากมาย
จะมีเจ้าแม่กวนอิม มีคนนำมาให้ พร้อมกับปู่โกมารภัจจะมีพร้อมสรรพทุกประการ
พระสีวลี พระปางพุทธลีลา จะมีที่วัดของท่าน ผมจดไว้เลยนะครับ
ยังอยู่อีก ๒ ข้อ
ผมยังประกาศไม่ได้ ท่านห้ามพูด นี่พระพุทธเจ้าหลวงนะครับ
ในเวลากาลต่อมา
ท่านพลตรีสามารถ ไวยวานนท์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี พ.ต.อ. ประจันต์
พราหมพันธ์ ผู้กำกับการตำรวจลพบุรี มาตอนหลังเป็นใหญ่เป็นโตหมด เดี๋ยวนี้เกษียณหมดแล้ว
สมัยนั้นมาที่นี่เป็นประจำ มาช่วยกันสร้างโบสถ์ สมัยพระนารายณ์มหาราช
พวกลพบุรีมาช่วยสร้างมากกว่าสิงห์บุรีนะครับ นี่เป็นกฎแห่งกรรมอันหนึ่ง
ผลสุดท้าย พล ต.ต.
สามารถ ไวยวานนท์ เคยเป็นทั้งทหาร ตำรวจ เป็นทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านก็กราบนมัสการว่า
หลวงพ่อครับ
ผมขออะไรสักอย่างได้ไหมครับ หลวงพ่อจะให้ไหม? ขอพระบรมฉายาลักษณ์ไปอัดแจก
ตกลง
ก็นำไปถ่ายที่อำเภอพรหมบุรี เป็นภาพขาวดำ ถ่ายไว้มาก เขาให้ไว้แจก พอดีผมนั่งท้ายจักรยานไป รถก็ไม่มี เรือก็ไม่มีใช้ จะไปรับรูป พอไปถึงฝนตก ก็เลยฝากเขาไว้ เช้าถึงจะไปรับ
กลางคืนเกิดไฟไหม้ลุกในบ้าน
สองสามีภรรยาลุกช่วยกันดับไฟ ไหม้ที่รูป สาดน้ำกันเสียแย่เลย ปรากฏว่าเป็นไฟปลอม
เพราะเขาไม่ทราบว่าในถุงมีอะไร ก็เอาวางไว้ที่ระเบียงข้ามไปข้ามมา
ก็เลยจุดตะเกียงดูว่าเป็นอะไร
ตอนเช้าเขาถาม หลวงพ่ออะไรอยู่ในถุงแสดงไฟลุกได้ เขาเลยขอไว้ ๑๐ ภาพ
แสดงอภินิหารอย่างนี้นะครับ
ต่อมามีคนจีนที่กรุงเทพฯ
เคยอยู่ที่สิงคโปร์ มาขอถ่ายรูปสี ภาพที่รัชกาลที่ ๕ พระราชทาน ปรากฏว่าถ่ายไม่ติด
ต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าว จึงถ่ายติด
พอไปทำบล็อก ๆ
ก็แตกอีก ต้องบอกกล่าวและทำพิธีบวงสรวง บล็อกดีขึ้นมาทันทีสีดีขึ้น
เขาเห็นอภินิหารอย่างนี้ เลยทำถวายฟรี ไม่คิดเงิน แต่ขอไปแจกญาติพี่น้อง
๓๐๐ แผ่น
วันนี้ขอยุติไว้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวท่านจะได้ออกบิณฑบาตกัน ขอความสวัสดีจงมีแด่พระเถระภิกษุนวกะ
โดยทั่วหน้ากันเทอญ...