หลวงพ่อเทพนิมิต
อาตมาเคยสนทนากับโยมคุณตาท่านหนึ่ง (คุณธวัช ปุริปุณณะ)
ท่านเป็นคนเก่าแก่ของวัด ได้เล่าให้อาตมาฟังว่า ตรงบริเวณเขตปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมฝ่ายคฤหัสถ์นั้น
ในสมัยก่อนยังไม่มีสิ่งก่อสร้างมากมายเหมือนปัจจุบันนี้ จะมีก็เพียงกุฏิไม้หลังเล็ก
ๆ อยู่ทางด้านใต้เพียง ๒ หลังเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย
จนกระทั่งในเวลากาลต่อมา หลวงสมานวนกิจ
อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ได้นำพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่เคยมีชื่อปรากฏอยู่ในพุทธประวัติมาปลูก
จึงเรียกบริเวณนี้ว่า สวนพุทธประวัติ
ในบริเวณสวนพุทธประวัติมีศาลาปฏิบัติธรรมอยู่หลังหนึ่ง
ซึ่งโยมเสน่ห์ สารสุวรรณ เป็นผู้ริเริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖
โยมเสน่ห์ได้เล่าว่า ตอนที่โยมคิดจะสร้างศาลาหลังนี้ขึ้นนั้น
ได้เห็นพระพุทธรูปนั่งองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในบริเวณสวนพุทธประวัติก็เกิดความคิด
อยากจะสร้างศาลาเพื่อบดบังแสงแดดให้กับท่าน จึงตกลงใจจะสร้างศาลาหลังเล็ก ๆ
ขึ้นสักหลัง จึงไปถามแม่ใหญ่ว่า พระองค์นี้ทำไมมานั่งตากแดดอยู่ตรงนี้ครับ
ไม่มีใครคิดที่จะสร้างศาลาให้ท่านอยู่หรือครับ แม่ใหญ่ก็ตอบว่า
หลวงพ่อบอกว่าเดี๋ยวเจ้าของเขามาเข้าก็สร้างเอง
โยมจึงบอกกับแม่ใหญ่ว่า จะเป็นผู้สร้างศาลาให้ท่าน แม่ใหญ่ก็อนุโมทนา
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานที่ศาลาในสวนพุทธประวัติ
โยมคุณตาท่านบอกว่า เป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มาก คนที่มาปฏิบัติกรรมฐานอย่างตั้งใจจริง
ๆ ไปบอกกล่าวขอร้องให้ท่านช่วย ท่านก็มักช่วยเหลือให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ
ท่านประดิษฐานอยู่เป็นประธานอยู่ในเขตปฏิบัติธรรมของคฤหัสถ์ มีชื่อว่า หลวงพ่อเทพนิมิต
อาตมาสนใจประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อเทพนิมิตมาก
วันหนึ่งอาตมาจึงเข้าไปกราบเรียนถามหลวงพ่อถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้
หลวงพ่อมีเมตตาเล่าให้อาตมาฟังว่า
หลวงพ่อมีน้าชายอยู่คนหนึ่งชื่อ
ป่วน มีบ้านอยู่ที่บ้านตะลุง ตำบลงิ้วลาย จังหวัดลพบุรี มีอาชีพทำนา
ในบริเวณที่นาของแกนั้น มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง และข้าง ๆ ที่นาแกก็เป็นวัดร้าง
วันหนึ่งฝนตกหนัก
แกขับเกวียนออกไปทำนา แกก็ไถนาไปเรื่อย ๆ น้ำฝนก็ไหลเป็นร่องตามทางที่แกไถ
สักพักหนึ่งไถไปกระทบกับวัตถุสิ่งหนึ่ง แกก็คิดว่าคงจะเป็นก้อนหิน
จึงไม่ได้สนใจสังเกตดู ทั้งฝนกำลังตก ใจอยากรีบจะทำงานให้เสร็จ จึงไถนาผ่านเลยไป
พอตกกลางคืนแกฝันไปว่า
มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง มีแต่เศียร ลำตัวไม่มีมาบอกกับแกว่า ป่วนเอ๋ย
เจ้าขับรถชนหลวงพ่อจนศีรษะบิ่นไปแล้ว เจ้าต้องไปขุดเอาศีรษะหลวงพ่อออกมา
และนำมาบูชาที่บ้าน เจ้าจะได้ทำมาค้าขึ้น
น้าป่วนเลยตกใจตื่นขึ้น แต่ยังจดจำความฝันได้อย่างแม่นยำ
พอรุ่งเช้าแกจึงตรงไปที่นา
ไปขุดหาก็พบพระพุทธรูปองค์หนึ่งมีแต่เศียร
แกดีใจมากจึงนำกลับไปใส่ถาดบูชาอยู่ที่บ้าน
ปรากฏว่าในเวลากาลต่อมาความเป็นอยู่ของน้าป่วนดีขึ้นเรื่อย ๆ ที่นาก็งอกงามสมบูรณ์
แกจึงเริ่มมีเงินมีทอง และลูกหลานก็มีหลักฐานมีงานทำ
หลวงพ่อท่านได้บอกกับอาตมาอีกว่า
เศียรพระองค์นี้เป็นของเก่าแก่ เศียรเป็นหินทราย เป็นพระปางลพบุรี
ตอนที่น้าป่วนได้เศียรพระมา ก็นิมนต์หลวงพ่อไปที่บ้าน และนำเศียรพระมาให้ดูเสมอ
จนกระทั่งแกได้ตายลง ลูกหลานของแก่จึงได้ประชุมกันว่าจะเอาเศียรพระของคุณพ่อไปไว้ที่ไหน
ก็เลยนึกถึงหลวงพ่อได้จึงพากันมาที่วัด แล้วนำเศียรนั้นมาถวายหลวงพ่อ
หลวงพ่อนำเศียรพระใส่พานบูชาไว้ข้างที่นั่ง ยังไม่คิดว่าจะนำเศียรพระไปต่อ
หรือนำไปสร้างเป็นองค์พระ จนกระทั่งโยมนิพนธ์ นันทพงษ์ มาเล่าเรื่องความฝันให้หลวงพ่อฟัง
และขออนุญาตหลวงพ่อสร้างองค์พระและต่อเศียรให้หลวงพ่อเทพนิมิต
โยมนิพนธ์
นันทพงษ์ ได้เขียนประวัติการก่อสร้างหลวงพ่อเทพนิมิตมาดังนี้
ตอนกลางคืนของวันที่
๕ ก.ค. ๑๕๑๗ ข้าพเจ้าได้ฝันว่าเกิดป่วยขึ้น ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ได้ไปให้ นพ.สมหมาย
ทองประเสริฐ รักษา เพราะครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นคนไข้ประจำของท่าน ในฝัน
นพ.สมหมายบอกว่าอาการป่วยแบบนี้ต้องตัดศีรษะออกมารักษา รายอื่น ๆ
ที่เป็นเหมือนกันก็ต้องรักษาแบบนี้ แต่รายอื่นรักษาแล้วเอาศีรษะมาต่อเข้าก็ต่อ ติดเหมือนเดิมหมด
แต่ของข้าพเจ้ารักษาแล้วต่อศีรษะไม่ติด พอตื่นขึ้นก็จำความฝันได้อย่างแม่นยำ
รู้สึกไม่สบายใจมาตลอด พอตอนหัวค่ำปิดร้านค้าแล้วก็รีบไปหาหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน
เพราะตั้งใจไว้แต่ตอนตื่นนอนแล้วว่าจะต้องมาปรึกษาขอความเห็นจากท่าน
พอมาถึงกุฏิก็พบเศียรพระตั้งอยู่บนถาดในกุฏิหลวงพ่อ
เป็นเศียรของเก่าสลักด้วยศิลา พอเห็นก็มีความรู้สึกว่า
ความฝันเมื่อคืนนี้คงเกี่ยวข้องกับเศียรพระนี้แน่ แต่หลวงพ่อไม่อยู่
พบแต่พระปลัดประสิทธิ์ เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อได้นำเศียรพระมาจากไหน
ท่านปลัดประสิทธิ์บอกว่ามีคนที่ลพบุรีถวายให้ หลวงพ่อเพิ่งไปรับมาเมื่อวานนี้ (๔
ก.ค. ๒๕๑๗) ข้าพเจ้าได้นั่งรอพบหลวงพ่อจนดึก ได้เล่าความฝันให้ท่านฟัง
และได้เสนอขอสร้างพระต่อเศียรจากท่าน หลวงพ่อบอกว่าตั้งแต่ได้เศียรพระมามีผู้มาขอต่อหลายรายแล้ว
แต่ท่านไม่ให้ บอกว่าจะให้คนที่ฝันเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าเล่าความฝันให้ท่านฟัง
ก็ได้รับความกรุณาจากท่านให้สร้างและต่อเศียรพระองค์นี้
ข้าพเจ้าดีใจมากคิดว่าได้สะเดาะเคราะห์ที่ฝันน่ากลัวนี้แล้ว
และท่านได้ให้ธรรมะเป็นการสั่งสอนแนะนำว่า การยังพระปฏิมาที่ชำรุดให้สมบูรณ์เป็นบุญกุศลอย่างสูง
ทำให้อายุยืนและจะประสบผลสำเร็จในกิจการที่ประกอบอยู่อย่างดี
เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้ชื่อจากท่านว่า หลวงพ่อเทพนิมิต หลังจากนั้นกิจการค้าของข้าพเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตลอดมา
ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๒๓ ข้าพเจ้าก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าและครอบครัวขอน้อมรับพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ด้วยความซาบซึ้งอย่างสูงสุดหาสิ่งใดเปรียบมิได้
การที่ข้าพเจ้าสร้างเป็นพระปางสมาธิ
เพราะข้าพเจ้าต้องการสร้างเป็นปางตรัสรู้ เพื่อให้เกิดปัญญาบารมี ต้อมาได้มีท่านผู้มาจาก
กทม. ได้มาขอพรจากหลวงพ่อเทพนิมิต และได้ประสบผลสำเร็จ มาขอสร้างเป็น ศาลาจตุรมุข
เพื่อให้เป็น ที่ประดิษฐานหลวงพ่อเทพนิมิต ได้ออกแบบมา
ข้าพเจ้าเห็นแบบแล้วสวยงามมาก
แต่ความตั้งใจเดิมของข้าพเจ้าต้องการให้เป็นปางตรัสรู้ จึงไม่ตกลงให้สร้าง
ปกติข้าพเจ้ามีเวลาว่างก็จะมากราบหลวงพ่อเทพนิมิตเป็นประจำ
อยู่มาวันหนึ่งประมาณ ๒ ทุ่มเศษ ข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อเทพนิมิตอีก ได้พบเศียรพระพรหมเป็นศิลาสลักเช่นกัน
สวยงามมาก วางอยู่บนแท่นหน้าหลวงพ่อเทพนิมิต ได้ถามหลวงพ่อก็ไม่ทราบที่มา
ข้าพเจ้าก็เลยขออนุญาตสร้างพระพรหมอีก ๑ องค์ เพราะเป็นพื้นที่ อำเภอพรหมบุรี
และมารดาของข้าพเจ้าก็เป็นชาวพรหมบุรีด้วย ก็ได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อให้สร้างเช่นกัน
ธรรมดาข้าพเจ้าสนใจสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำมาตั้งแต่สมัยอยู่อำเภอพรหมบุรี
โดยได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากหลวงพ่อมาตลอด การที่ได้สวดมนต์ไหว้พระ
และทำสมาธิเป็นประจำทำให้เกิดปัญญา สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น มีความรู้ความเข้าใจบางอย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักตัวเองดีขึ้น รู้จักชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมทั่วไป
ยอมรับความจริงที่เกิดกับตัวเองทุก ๆ อย่าง ทำให้ลดความทุกข์ลงได้มากเมื่อมีทุกข์
สมัยอยู่พรหมบุรี
หลวงพ่อท่านปฏิบัติเข้านิโรธสมาบัติเป็นประจำทุกปี พอทราบวันออกจากนิโรธ
ข้าพเจ้าก็นำดอกไม้ ธูป เทียน อาหารมาถวายท่านทุกครั้ง
การสร้างพระหลวงพ่อเทพนิมิต
และการสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิตามคำแนะนำสั่งสอนของหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล
เป็นประจำทำให้ชีวิตและครอบครัวของข้าพเจ้าอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา
ปัจจุบันนี้
ศาลาปฏิบัติธรรมที่ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อเทพนิมิตนั้น
กำลังดำเนินการก่อสร้างใหม่ให้สวยงาม และสามารถรับผู้ที่มาปฏิบัติกรรมฐานได้เป็นจำนวนมากขึ้นกว่าศาลาหลังเดิม
โดยผู้ริเริ่มในการก่อสร้างศาลาหลังใหม่นี้ขึ้น คือ โยมพยุงศรี เจียรพฤฒิเวศน์
ซึ่งโยมพยุงศรีได้เล่าประสบการณ์สำคัญที่เป็นเหตุให้ต้องมาเป็นผู้สร้างศาลาหลวงพ่อเทพนิมิตหลังใหม่นี้ต่ออาตมาว่า
เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๓๑ โยมมีความคิดที่อยากจะหาที่สงบ ๆ เพื่อจะเจริญกรรมฐาน
ได้ไปเสาะแสวงหาตามวัดที่ใกล้เคียงหลายวัด แต่เมื่อเข้าไปตรวจดูสถานที่ของวัดต่าง
ๆ นั้นแล้ว ไม่เกิดความรู้สึกชื่นชอบเลย
จนกระทั่งโยมไปพบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ซึ่งปกติในสมัยเรียนหนังสือเด็กคนนี้จะเกมาก มาชวนโยมให้ลองมาดูวัดของหลวงพ่อจรัญ
ที่อยู่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี โยมก็นึกขึ้นในใจว่าชักเข้าท่า
เพราะโยมเป็นคนจังหวัดอ่างทอง โยมจึงตกลงใจเดินทางมาที่วัด
มาถึงวัดโยมก็เข้าไปกราบหลวงพ่อ
ท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรโยมจนกระทั่งได้กล่าวกับท่านว่าโยมจะมาปฏิบัติกรรมฐาน
หลวงพ่อท่านจึงสั่งเด็กผู้หญิงว่า ให้ลองพาเขาเดินไปดูให้ทั่ว
ๆ วัดก่อนซิ ว่าจะอยู่ได้ไหม โยมก็เกิดตกใจคิดว่า
โยมไม่เคยพบท่านมาก่อนเลย ท่านทำไมคล้ายจะรู้ว่าโยมตั้งใจจะมาดูวัด
และได้ดูมาหลายวัดแล้วจึงเกิดความประทับใจท่าน
เป็นเหตุให้โยมเข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดในเวลาต่อมา
ในปี
พ.ศ. ๒๕๓๒ โยมเกิดป่วยไปให้หมอทำการรักษาผ่านไปเก้าคน โยมก็ไม่มีดีขึ้น หมอก็วินิจฉัยว่าโยมคงเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด
เพราะถ้าหากโยมถูกมีดบาดเพียงเล็กน้อย เลือดจะไหลไม่หยุด โยมก็ท้อแท้ใจ
โยมป่วยมาจนกระทั่ง
พ.ศ. ๒๕๓๔ โยมต้องทำการผ่าตัดมดลูก จึงไปกราบเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบ
ท่านก็บอกว่ายังไม่ต้องทำการผ่าตัดตอนนี้ และได้ให้ยาที่ปั้นเป็นลูกกลอนมาให้
และเปลี่ยนชื่อโยมว่า แม่ฉาย
หลังจากนั้นหกเดือนหลวงพ่อจึงอนุญาตให้ทำการผ่าตัดและเรียกโยมว่า แม่สุขใจ
พอโยมผ่าตัดเสร็จท่านถึงได้เรียกโยมว่า แม่พยุงศรี
หลังจากผ่าตัดแล้ว
โยมได้มาปฏิบัติกรรมฐานให้ หลวงพ่อเทพนิมิต เพราะได้บอกกับท่านว่า หากการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว
จะมานั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้ท่าน ระหว่างที่โยมนั่งโยมมีเวทนามาก โยมปวดมาก
โยมก็นึกในใจว่าขอให้หลวงพ่อช่วยให้ปวดน้อยลง เพราะปวดขนาดนี้ปฏิบัติไม่ได้แน่
ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเทพนิมิตบอกว่าให้นั่งต่อไป โยมก็นั่งต่อไปแต่ยังปฏิบัติได้ไม่ดีนัก
ในบางครั้งที่โยมมานั่งกรรมฐานที่หน้าหลวงพ่อเทพนิมิต
ท่านก็จะมาสอนโยมในสภาพเป็นรูปนิมิต ขณะอยู่ในสภาวะของการนั่งเจริญกรรมฐาน ท่านสอนโยมว่า
ให้หายใจลึกลงไปอีก หายใจให้แรงกว่านี้ เท่านี้ใช้ไม่ได้ ลึกลงไปอีก
บางครั้งก็สอนให้หายใจยาวไปอีกหน่อย ท่านจะสอนโยมอยู่ตลอด
ต่อมาในปี
พ.ศ. ๒๕๓๕ โยมเกิดฝันไปว่าหลวงพ่อจรัญนั่งรถไปหาโยมที่บ้าน โยมจึงตัดสินใจไปหาท่าน
พอพบท่านที่วัด หลวงพ่อก็ถามโยมว่า มีเวลาว่างบ้างไหม
มานั่งกรรมฐานหน่อยซิ โยมก็รับปาก
จากนั้นโยมก็มากราบบอกกับหลวงพ่อเทพนิมิต
ตอนนี้ลูกมีภารกิจมาก เงินทองที่ต้องใช้จ่ายก็มากเหลือเกิน
ตอนนี้ลูกได้ไปยืมที่แปลงหนึ่งของคนเขามาจำนอง ลูกอยากพ้นสภาวะนี้เหลือเกิน
ขอให้หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ลูกจะได้มีเวลามานั่งปฏิบัติกรรมฐานให้หลวงพ่อได้ หลวงพ่อเทพนิมิตท่านก็นั่งยิ้ม
ๆ แต่ไม่ยอมตอบอะไร
จนกระทั่งโยมไปเล่นหุ้น
ก็ปรากฏว่าสามารถหาเงินมาไถ่ถอนเรื่องที่ได้ โยมจึงไปกราบขอบคุณหลวงพ่อเทพนิมิต
โยมพิจารณาเห็นว่าหลังคาของศาลาหลวงพ่อเทพนิมิต
มีสภาพทรุดโทรมมาก โยมจึงตั้งใจจะซ่อมแซมหลังคาให้ท่าน
หลังจากนั้นผ่านมาอีกหนึ่งอาทิตย์
เป็นคืนวันโกน โยมก็ฝันไปว่า มีพระองค์หนึ่งไปยาโยม แต่ไปเฉพาะเศียรเท่านั้น
โยมจึงโทรศัพท์ไปกราบเรียนหลวงพ่อ เล่าให้ท่านฟังว่า โยมฝันเห็นพระองค์หนึ่งที่วัด
มีแต่เศียรใส่พานอยู่ในสภาพเก่าแก่มาก พระเกษข้างบนก็ทั้งแตกทั้งคด ตรงคิ้วมีรอยเป็นแผลมาลอยให้โยมเห็น
หลวงพ่อก็บอกกับโยมว่า
ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้ คงเป็นหลวงพ่อเทพนิมิต
โยมถึงรู้ว่าตอนที่หลวงพ่อจรัญได้หลวงพ่อเทพนิมิตนั้น ท่านมีแต่เศียรซึ่งก่อนหน้านั้นโยมไม่ทราบเลย
พอมาพบท่านก็เห็นท่านทั้งองค์แล้ว
พอโยมรู้ว่าเป็นหลวงพ่อเทพนิมิต
โยมจึงตัดสินใจมุงหลังคาให้ท่านใหม่ และหาลิเกมาฉลองให้ท่านดู
ซึ่งตามปกติหลวงพ่อท่านไม่ยอมให้มีหนังมีลิเกที่วัด แต่โยมเล่าความฝันให้ท่านฟัง
ท่านก็บอกว่าโยมมีนิมิตที่ถูกต้องจึงอนุญาตให้มีลิเกที่วัด
ในบางครั้งที่โยมมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด
หลวงพ่อเทพนิมิตท่านจะสอนโยม โยมจะเห็นในลักษณะเหมือนภาพของโทรทัศน์
จะกะพริบไปเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่งเห็นเป็นพระองค์หนึ่งสูงมาก
ภายหลังจึงไปเห็นองค์จริงท่านอยู่วัดอินทร์ บางขุนพรหม บางครั้งโยมก็มีนิมิตไปว่า
เห็นพระแก่องค์หนึ่งเข้ามาถามโยมว่า นี่โยมรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร
โยมก็ตอบไปว่า ไม่รู้จักค่ะ เพราะท่านไม่บอกชื่อ
ท่านจึงตอบโยมว่า ข้าชื่อชุ่ม
และมีผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากแต่งตัวดี มาบอกโยมว่า ชื่อ กาหลง มาหาโยม
โยมจึงแผ่เมตตาให้ท่านเหล่านั้น
โยมมีนิมิตไปอีกว่า
เห็นพื้นดินแห้งแล้งมาก แม่น้ำในคลองก็แห้ง มีแต่น้ำครำ
ปลาที่อยู่ในน้ำก็เอาท้องลอยขึ้นมามากมาย ตึกรามบ้านช่องก็ล้มแผ่นดินแยกออก
ผู้คนกรีดร้องโวยวาย ค่อย ๆ หล่นไปตามรอยแยกนั้นทีละคน บ้างก็หล่นมาจากหลังคา
บ้านเมืองมีแต่ความมืด มีแต่ความร้อนมาก เมื่อหนาวก็จะหนาวมาก ความร้อนความหนาวก็เกิดสลับกันไป
โยมก็ได้แต่กำหนดตามที่หลวงพ่อสอน สักพักโยมก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเทพนิมิตท่านบอกว่า
กำหนดไปอีก กำหนดไปอีก โยมก็ทำตาม
ปรากฏว่าโยมไปเห็นพงหญ้าสูงใหญ่ ขึ้นเขียวชอุ่มสวยงามมาก แล้วมีคนออกมาเรียกโยมว่า
เข้ามานี่ มาดูซิว่าสวยไหม โยมก็นึกตอบออกไปว่า
ถ้าเข้าไปเดี๋ยวไม่ได้กลับมาหาหลวงพ่อ จะทำอย่างไร
ตอนนี้ก็จะหมดเวลาแล้วจะกลับไปหาหลวงพ่อจรัญแล้ว
คนหลายคนที่เฝ้าอยู่ที่นั่นก็ร้องเรียกโยมอีก ก็เลยรับเข้าไป
แต่ก็ให้เขารับปากว่าจะอนุญาตให้โยมกลับ พวกเขาก็พยักหน้าตอบตกลง โยมก็เข้าไปดู
แล้วก็ออกมา พอโยมออกจากกรรมฐานก็ดูเวลา ปรากฏว่าเวลาได้ผ่านไปถึงสามชั่วโมงครึ่ง
นิมิตในครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ทำการย้ายหลวงพ่อเทพนิมิตออกจากฐาน
เพื่อที่จะก่อสร้างศาลาหลังใหม่ นิมิตก็เกิดขึ้นในคืนนั้นว่า หลวงพ่อเทพนิมิตท่านมาหา
มาแต่เศียรเหมือนครั้งแรก และได้ยินเสียงเขาทุบปูนดังปึ้งปึ้ง โยมก็นึกต่อว่า
ทำไมเขาถึงต้องทุบแรงอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทุบอะไร พอรุ่งขึ้นเช้าวันต่อมา
มีคนโทรศัพท์บอกโยมว่า เขากำลังกะเทาะหลวงพ่อเทพนิมิตออกแล้ว
โยมก็เลยตั้งจิตอธิษฐานบอกกับหลวงพ่อเทพนิมิตว่า ถ้าเกิดทำอะไรอันเป็นเหตุให้กระเทือนและรบกวนถึงหลวงพ่อ
ลูกก็ขออโหสิกรรม และลูกจะสร้างศาลาให้หลวงพ่อใหม่ ให้สวยงามและกว้างขวาง
สามารถให้ญาติโยมใช้เป็นที่ปฏิบัติได้มากขึ้น
ศาลาหลังใหม่ของหลวงพ่อเทพนิมิตนี้
คงเสร็จสมบูรณ์ภายในไม่ช้า เพื่อที่จะให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
และด้วยผลบุญใด ๆ ที่โยมได้สร้างและกระทำลงไป โยมก็ขออุทิศให้หลวงพ่อ แม่ใหญ่ ผู้ช่วยเหลือหลวงพ่อทุก
ๆ คน รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ภายในวัดอัมพวันแห่งนี้ด้วยเทอญ
---------- จบ
----------