มักกะลีผล
พระราชสุทธิญาณมงคล
H9007
เมื่อสมัยเป็นเด็ก อาตมาอยู่กับคุณยาย ตอนนั้นอาตมาไม่ได้สนใจเรื่องบุญกุศล และเรื่องพระเวสสันดรแต่ประการใด แต่คุณยายสนใจมากในเรื่องเทศน์คาถาพัน และเทศน์มหาชาติ ฟังจบถือว่าได้บุญมาก
คุณยายนิมนต์พระมา
๓ องค์ องค์หนึ่งเดินพระคาถาพันจบหนึ่งพัน อีกสององค์ปุจฉาวิสัชนา
แล้วว่าแหล่ว่าทำนองด้วย ตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ทุกรายการจบลงในวันนั้น
ปีหนึ่งคุณยานจะต้องมีคาถาพัน ๒ ครั้ง
อาตมาเป็นเด็กก็ไม่เข้าใจ
ยายให้ฟังก็คอยรีบวิ่งไปเล่น ยายจึงเอาเชือกผูกขาไว้กับเสาให้จบหนึ่งพัน
เลยฟังแย่แลย ฟังส่งเดชไม่รู้เรื่อง ตอนมาบวชจึงได้ทราบข้อเท็จจริง
ได้ฟังเรื่องพระเวสสันดรจอมปราชญ์ มีป่าหิมพานต์
พอดีคุณยายมาซักไซ้อาตมา
จึงได้บอกกับคุณยายว่า เรื่องพระเวสสันดรโกหก ไม่จริง ไม่ยอมรับและไม่ยอมเชื่อ
คุณยายจึงได้เล่าให้ฟังว่า
หลานเอ๋ย
ตอนยายเป็นสาว ๆ เคยทำปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อช้าง หลวงพ่อช้างเคยไปป่าหิมพานต์
ท่านได้สำเร็จญานสมาบัติ เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดตึกราชา อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
ยายไปส่งปิ่นโตทุกวัน ท่านฉันข้าวเวลาเดียวอยู่ในป่าช้า
วันหนึ่งไปพบแขกคนหนึ่งมาจากไหนไม่ทราบ
ยายถามหลวงพ่อ ท่านบอกว่า แขกมันเหาะมาจากป่าหิมพานต์มาตกขาแข้งหักไปไม่ได้
ท่านจึงรักษาให้ ยังอยู่ด้วยกันที่นี่ ยายก็รับฟัง เพราะยายยังเป็นรุ่น ๆ สาว
ไปส่งปิ่นโตแทนยายชวด
ในที่สุดแขกหายแล้วก็เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
ตัวเขาเป็นโยคี เหาะมาจากป่าหิมพานต์ เหาะมา ๒ คน คนหนึ่งสำเร็จฌาน แต่แขกคนนี้สำเร็จปรอทจากพระโยคีที่สำเร็จฌาน
ทำปรอทให้อม แล้วก็เหาะมาได้ พอดีเกิดมาเถียงกัน เลยปรอทหล่น แขกก็เลยตากขาหัก
เชื่อไม่เชื่อไม่เป็นไรนะ
ผลสุดท้ายแขกก็อ้อนวอนหลวงพ่อช้างให้ไปส่งที่ป่าหิมพานต์
และบอกว่าที่ป่าหิมพานต์สนุกสนาน มีผู้หญิง
มีทั้งต้นมักกะลีผลอยู่ปากทางที่จะเข้าไปเฝ้าองค์พระเวสสันดรจอมปราชญ์ ผู้มีปัญญา อยู่ที่ป่าหิมพานต์โน้น
เลยเขาหิมาลัย ๑๖ โยชน์ แขกเล่าไว้ชัด
หลวงพ่อช้างก็บอกว่าไม่อยากไปรู้
แต่แขกก็อ้อนวอนมาตามลำดับ ก็เสียอ้อนวอนแขกไม่ได้ แขกบอกว่าถ้าหลวงพ่อไปนะ
ไปรับประเคนของใคร อย่าฉัน ถ้าฉันจะกลับไม่ได้แน่นอน
ถ้าหลวงพ่อสำเร็จแค่ฌานสมาบัติไม่ให้ฉัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้
หลวงพ่อช้างบอกไม่ไป แขกบอกมีมักกะลีผล แขกก็คิดถึงบ้านในป่าหิมพานต์ของเขา
ก็ให้ตำราปรอท ขอให้หลวงพ่อช้างทำปรอทให้ ใส่ปากอมก็เหินไปได้
หลวงพ่อช้างก็บอกว่ายังงั้นได้ ท่านสำเร็จฌานไปได้องค์เดียว
แต่เอาแขกใส่ย่ามไปคงไม่ได้
ในที่สุดก็ให้ยายของอาตมาไปซื้อปรอท
ซื้อยาซัด อาตมายังได้ตำราไว้ ณ บัดนี้ ซัดปรอทแล้วก็ไปส่งแขกที่ป่าหิมพานต์
ไปพบมักกะลีผลก็มาเล่าให้ยายฟัง ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็ก เวลาต่อมายายอายุ ๙๙
ก็ถึงแก่ความตาย อาตมาก็ฝังใจเรื่องนี้ตลอดมา
เคยเห็นรูปที่
เหม เวชกร เขียนไว้ที่ฝาผนังวัดพระปรางค์มุนี เขียนต้นมักกะลีผลเหมือนของจริงด้วย
ใบเหมือนใบมะม่วง มีลูกพวงหนึ่ง ๕ ผล แต่อาตมาก็เชื่อแน่ไม่ได้ว่าต้นไม้ออกลูกเป็นคน
เสพสังวาสได้เหมือนคนเรา ก็ไม่ยอมเชื่อด้วยประการใด
ในเวลาต่อมา
อาตมามาบวช จิตสำนึกเดิมมันยังนึกถึงเรื่องนี้อยู่ เพราะยายเล่าทุกวัน
เล่าละเอียดด้วย เพราะมีคาถาพันปีละ ๒ ครั้ง มีพระเทศน์ปุจฉาวิสัชนา ว่าทำนองด้วย
ยายว่าได้ครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตั้งแต่ทศพรถึงนครกัณฑ์ ยายไม่ค่อยรู้หนังสือแต่ว่าได้
เพราะจำพระเทศน์ได้
ต่อมา
พ.ศ. ๑๕๑๕ อาตมามาอยู่วัดอัมพวันแล้ว พอดี หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย กับ นายสัญญา
ธรรมศักดิ์ นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในสมัยนั้น
มานิมนต์อาตมาไปประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกที่ประเทศศรีลังกา
ไปตรงกับช่วงวันวิสาขบูชาพอดี
อาตมาก็จดบันทึกหลักฐานว่า
ข้าพเจ้าจะไปประเทศศรีลังกานั้นจะไปที่ไหนบ้าง
๑. ข้าพเจ้าฝังใจนัก
อยากจะขึ้นไปดูเขาสีคิริยา ที่พวกทมิฬหินชาติจับองค์พระมหากษัตริย์ขังไว้
แล้วฆ่าพระเณรตายหมดทั้งศรีลังกา นอกเหนือจากวงศ์ลังกาที่หนีเข้าป่าไปเท่านั้น
พระมหากษัตริย์ก็กลับกูพระนครมาได้
จึงมีศุภราชสารตราส่งมายังกรุงสยามแห่งพระนครศรีอโยธยา ได้ขอพระอุบาลีวงศ์
ไปดำรงตำแหน่งสังฆนายก และเป็นสังฆราชแห่งประเทศศรีลังกา ต่อจากสยามวงศ์ศรีอยุธยา
มีพระสังฆราชถึง ๑๕ พระองค์ เรียกว่าสยามวงศ์มาจนทุกวันนี้
๒. ต้องการไปบูชาและนมัสการเวียนเทียนศรีมหาโพธิ์
ที่นางศรีอมิตตาลูกสาวของพระเจ้าอโศกมหาราชเอาไปจากอินเดียต้นเดิม
เอามาปลูกไว้ในประเทศศรีลังกา
๓. ต้องการไปทัศนศึกษาเกี่ยวกับวัดกรณีให้จงได้
ทราบข่าวมาว่า สมภารวัดกรณีได้ฆ่านายกรัฐมนตรีตาย
นางศิริมาโวจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนสามี
๔. ต้องกาจจะไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วในวันวิสาขปุณมีดิถีเพ็ญกลางเดือน
๖ และได้เขาไปโดยอัศจรรย์ดลบันดาลหลายประการ แต่จะไม่ขอเล่าเรื่องนั้น
๕. ต้องการจะพิสูจน์ภาษาไทยจากไทยอาหม
เป็นต้น ว่าเขาพูดอย่างไร ใช้หนังสือหลักฐานอย่างไร
ต้องการจะไปพิสูจน์
๕ รายการก็ได้ครบจบทั้ง ๕ รายการที่ตั้งใจอธิษฐานไปทุกประการ
การเดินทางไปขึ้นเขาสีคิริยา
ไปพร้อมกันทั้งรถบัสประมาณ ๓๐ กว่าคน พอถึงตีนเขาสีคิริยา หาคนขึ้นเขาไม่มี
อาตมากับแม่เนื่อง อิ่มสมบัติ อดีตเลขาของนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นอายุ
๗๐ เศษแล้ว