ปัญญา เกิดจากการปฏิบัติ
พระครูภาวนาวิสุทธิ์
ในด้านวิปัสสนาอันนี้ก็ค่อยเป็นค่อยไป
ที่อาตมาว่า ตั้งสติที่ลิ้นปี่นี่เราต้องสะสมไว้ให้ได้
อาตมาเคยสอนเด็กมาแล้ว บางทีเขาเรียนวิชาการที่จะสอบ
คิดไม่ออกก็ให้ตั้งสติที่ลิ้นปี่เป็นวิธีปฏิบัติได้ผลมาแล้ว
คือการกำหนดโดยหายใจยาว ๆ ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ กำหนดคิดหนอ ๆ ยาว ๆ
นี่สำหรับนักศึกษาเด็กชั้นระดับวิทยาลัย อีกสักครู่หนึ่งเขาคิดออก
ตอบได้ตามนั้นแล้วไม่เคยผิดพลาด อันนี้เป็นวิธีปฏิบัติสำหรับที่ลิ้นปี่
บางทีเราไม่รู้ตัวว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร
ถ้าเรามีสติกำหนดตรงลิ้นปี่รู้หนอ ๆ พอสติดีปัญญาเกิด เราก็รู้อะไรขึ้นมาเหมือนกัน
อันนี้ไม่ใช่วิธีฝึก แต่เป็นวิธีปฏิบัติที่เกิดเฉพาะหน้า ก็ปฏิบัติอย่างนั้น
แต่ฝึกที่ว่า
พองหนอ ยุบหนอ
การเดินจงกรมนั้นเป็นการฝึกตามระเบียบที่กำหนดนั่นเอง ปัญญานี้ไม่ใช่วิชาการ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ ต้องทิ้งตำรับตำราวิชาการ
โดยปฏิบัติตามหลักเหตุผลนี้ โดยทิ้งทิฐิ ทิ้งตำรับตำราหมด กำหนดไปเรื่อย ๆ
เป็นการสะสมหน่วยกิตให้เกิดปัญญา
คือรอบรู้เหตุผลในอารมณ์ที่เกิดขึ้นแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเขามาถามปัญหาท่าน ถ้าท่านมีปัญญาในเรื่องนี้
ท่านจะแก้ปัญหาให้เขาได้ประการหนึ่ง ประการที่ ๒
ถ้าเรามีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนผงเข้าตาเรา เราสามารถใช้ปัญญาแก้ไข
ก็คือความสามารถให้เกิดความสุขในครอบครัวได้ นี่ปัญญาอย่างนี้
ไม่ใช่มานั่งแล้วเกิดปัญญา ไปเห็นโน้นเห็นนี้
ปัญญาที่รอบรู้เหตุผล คือ ปัญญาช่วยตัวเองได้
สามารถจะขจัดปัดเป่าความชั่วจากตัวได้ แล้วกิเลสที่เกิดขึ้นแก่ตัวเรา
สามารถยับยั้งได้ทันเวลา ไม่ใช่ปัญญารู้ว่าต้องค้าขายอย่างนั้นได้กำไร
อย่างนี้ได้กำไร ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ปัญญาที่เราประสบมาจากการวิปัสสนานี้
มันบอกกันไม่ได้ และให้กันไม่ได้ด้วย มันเป็นพรสวรรค์ของใครของมัน
บางท่านที่เป็นวิทยากรก็มีเทคนิคอีกอย่างหนึ่ง
บางท่านก็มีอีกอย่างหนึ่งสามารถแก้ปัญหาในส่วนนั้นได้
ปัญญาของวิปัสสนานี้เราจะรู้ได้
คนนี้มีทุกข์เราจะแก้ทุกข์ให้เขาอย่างไร
เราจะพูดตามวาระจิตเหมือนพระพุทธเจ้าไปทรงโปรดกับสัตว์ทั้งหลาย รู้วาระจิตของคน
อย่างนั้นแก้ไขได้ตามขั้นตอน
แต่ปัญญาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญญาในเรืองทำมาหากินโดยเฉพาะ
แต่มันเป็นผลพลอยได้อันหนึ่ง เช่น ปัญญารอบรู้ในสังขาร
รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในตัวเรา แก้ปัญหาได้เดี๋ยวนี้
ตามปกตินี่เราไม่รู้ว่าปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร
ปัญญานี้ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดโดยเฉพาะ
แต่มันเกิดปัญญาสามารถแก้ปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้าได้ทันท่วงที
อันนี้หายากอย่างที่ว่า เห็นหนอ นี่ที่อาตมาว่านี้
อาตมาก่อนจะรู้เป็นเวลานาน โมหะเกิดขึ้นในตัวเราสามารถยับบั้งได้ทันท่วงที อาตมาว่าขอให้จับให้ได้ว่า
คนเดินมานี้มีธุระอะไร แต่เราทำกันไม่ได้ ไม่เคยกำหนดนั่นเอง
จึงไม่มีประสบการณ์กับปัญหาเรื่องนี้ บางทีผู้หญิงมา ผู้ชายมา
เราจะได้มีปัญญารู้ว่าเขามาธุระอะไร เรื่องอะไรกับเรา
นี่ไม่ใช่เป็นวิชาการแต่มันมีปัญญาเกิดขึ้นจากสติตัวเดียวเท่านั้น
ดูหน้าตารู้อันนี้ ก็สังเกตเหตุการณ์ อันนี้บอกกันยากนะ ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ
จะเห็นชัด ถ้าเราเป็นนักวิชาการ เรา ไปเชื่อตำราแล้วไม่ปฏิบัติ
ผลที่เกิดจากภาคปฏิบัติจะไม่มี
การศึกษา
ภาคปฏิบัตินี้ยากมาก คือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาแทรกแซงเรา ก็ขอเจริญพรว่า
ให้ กำหนดทีละอย่าง ศึกษาไปทีละอย่าง ทีนี้มันฟุ้งซ่าน
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา เพราะไม่ได้ปฏิบัติมานาน
เราไม่ได้ฝึกทางนี้ ไม่ต้องวิจัยประเมินผล ให้เกิดขึ้นเอง เกิดขึ้นด้วยปัญญาของเรา
ปัญญาตัวนี้สำคัญ ไม่ใช่ปัญญาสามารถทางวิชาการ แต่กลับเป็นปัญญาทางใน
เช่นมีเวทนากำหนดทีละอย่าง มันก็ปวดอย่างที่อาตมาเจริญพรแล้ว ยิ่งปวดหนัก ๆ
เดี๋ยวมันจะเกิดอนิจจังไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์จริง ๆ นะ ทุกข์นี่คือตัวธรรมะ
เราจะพบความสุขต่อเมื่อภายหลัง แล้วเวทนาก็เกิดขึ้นสับสนอลหม่านกัน
แล้วความวัวไม่ทันหาย ไอ้โน้นแทรกไอ้นี่แซงตลอดเวลาทำให้เราขุ่นมัว
ทำให้เราฟุ้งซ่านตลอดเวลา
เราก็กำหนดไปเรื่อย
ๆ ทีนี้ถ้าปัญญาเกิดขึ้นเป็นขั้นตอน มันก็จะรู้ในอารมณ์นั้นได้อย่างดีด้วยการกำหนด
มันมีปัญหาอยู่ว่า เกิดอะไรให้กำหนดอย่างนั้น อย่าไปทิ้ง อริยสัจ ๔ แน่นอน
เกิดทุกข์แล้วหาเหตุที่มาของทุกข์ เอาตัวนั้นมาเป็นหลักปฏิบัติ แล้วจะพบอริยสัจ ๔
แน่นอนโดยวิธีนี้ อันนี้ขอเจริญพรว่าค่อย ๆ ปฏิบัติ กำหนดไปเรื่อย ๆ พอจิตได้ที่
ปัญญาสามารถตอบปัญหาสิบอย่างได้เลยในเวลาเดียวกัน คนมาเรื่องโน้นเรื่องนี้
เดี๋ยวคอมพิวเตอร์ตีสามารถจะแยกประเภทบอกเขาได้ อารมณ์ฟุ้งย่านต้องเป็นแน่เพราะเราเพิ่งปฏิบัติไม่นาน
แต่อาตมาทำมานานแล้ว
๓๐ กว่าปีแล้ว แล้วทำอย่างจริงจังถึงจะได้รู้ว่าตัวเวทนาเป็นตัวธรรมะ
ตัวทุกข์นี่เป็นตัวธรรมะแล้วตัวสุขนี้เป็นเรื่องเล็กไปเลย
เมื่อก่อนนี้เราก็หาไอ้เรื่องสุข ต้องการมีความสุขความเจริญด้วยกันทุกคน
แต่เราไม่ผ่านความทุกข์เลย เราก็สุขเจือปนในความทุกข์ไม่แน่นอน
ความสุขเป็นอนิจจังอย่างแน่นอน
อาตมาก็ทำมาหลาย
ๆ อย่างเลยจัดจดนี้ได้
เราจึงแบ่งวาระจิตออกไปทำงานและโอกาสที่มันจะเกิดปัญญาเหตุผลข้อเท็จจริง
สามารถจะเอาปัญญาของเรานี้ไปช่วยคนอื่นได้ บอกหนทางคนอื่นได้
แต่นี่มันก็ไม่ใช่วิชาการ คือ พองหนอยุบหนอให้ชัด ๆ ไว้ถ้ามันชัดไม่ได้ในตอนใหม่ ๆ
ก็ค่อยเป็นค่อยไปอย่างที่อาตมาว่า นอนตั้งสติไปเรื่อย ๆ
อาตมาว่าเรายึดทางสายเอก
ทางอื่นอาจจะถูกของท่าน แต่เราไม่เคยปฏิบัติ เราก็อาจจะว่าของท่านไม่ถูก
ให้มีสติก็ใช้ได้ แต่อาตมาว่าอย่างนี้ง่าย ๆ ก็คือ สติปัฏฐาน ๔ กาย
เวทนา จิต ธรรม ปฏิบัติได้ทุกเวลา อายตนะธาตุอินทรีย์เป็นหลักของเรา
อินทรีย์เป็นหน้าที่รับผิดชอบ เกิดจิตที่อินทรีย์ หน้าที่สัมผัส
มันก็ปรุงแต่งขึ้นมาโดยเฉพาะ ตั้งสติไว้แล้วก็ดับวูบลงไป อันนี้เป็นคำสอนทางสายเอกนะ
พระพุทธเจ้าว่าทางสายเอกนั้นทำได้ทุกเวลา
จะยืนเดินนั่งนอน เหลียวซ้ายแลขวามีสติสัมปชัญญะทุกเวลากาล จะหยิบก็มีสติ
หยิบแล้วให้รู้ตัวว่าหยิบอะไร อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ละเอียดอ่อน
โดยอิริยาบถที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นสติปัฏฐาน ๔ มีสติหมด แต่ที่เราฝึกปฏิบัตินะ
เชี่ยวชาญแล้วไม่ต้องกำหนด มันเกิดขึ้นเอง เวลาเรายกมือขึ้นหรือจะหยิบอะไรนี่
สติจะบอกว่าหยิบมาทำอะไรและเกิดประโยชน์อย่างไร ปัญญามันจะสอดคล้องต้องกัน
เรายึดหลักที่สติปัฏฐาน
๔ เป็นข้อปฏิบัติ เพราะเราทำได้ผลมาแล้ว มันเกิดปัญญารอบรู้เหตุผลชีวิตของเราที่จะต้องเกิดขึ้นในวันหน้า
อันนี้เป็นอีกรูปหนึ่ง บางแห่งก็ปฏิบัติกันอีกอย่างหนึ่ง
แต่ก็คงถูกจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันอย่างที่อาตมาเคยพูดเสมอ คือ คลำช้าง
มันก็คือช้างด้วยกัน เป็นช้างตัวเดียวกัน จะไปว่าของท่านผิดก็ไม่ได้หรอก
แต่การที่แก้จริตในสมถะ
๔๐ ประการนั้น
ก็ต้องแก้จริตไปแล้วแต่ชอบเพ่งรูปสวยก็ไปสำเร็จมรรคผลนิพพานเหมือนกัน
แต่ต้องเจือจางหายไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ไปเป็นทางวิปัสสนาได้
แต่บางแห่งก็ไม่ถูกเหมือนกัน ไปทางไสยศาสตร์ ไปกำหนดทางอื่นไปก็เยอะ ก็แล้วแต่
การหายใจออกยาวหรือสั้นนั้นไม่สำคัญ
ๆ อยู่ข้อเดียว คือกำหนดได้ในปัจจุบัน คือ พองหนอ ยุบหนอ กำหนดได้
หากเรากำหนดไม่ได้ เร็วไป ช้าไป กำหนดไม่ทันก็กำหนดใหม่
อันนี้ไม่ต้องคำนึงถึงว่าพองยาวหรือยุบยาว หรือยุบยาวไป พองสั้นไป
อันนี้ไม่ต้องกำหนด เราเพียงแต่รู้ว่ากำหนดได้ในปัจจุบันหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ
ก็กำหนดเรื่อย ๆ ไปอย่างนี้เท่านั้นก็ใช้ได้
ทีนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพองยาวเท่านั้นยุบยาวเท่านั้นเท่านี้
แต่บางครั้งจะรู้เอง จะรู้ว่าพองมีกี่ระยะยุบมีกี่ระยะ บางครั้งมันจะเกิดมาเอง
ว่าพองยาวยุบสั้น บางทีบางครั้งยุบยาวยุบลงไปลึกเดี๋ยวพองสั้นมันเกิดขั้นเองนะ
อันนี้มีข้อหมายอยู่อันหนึ่งว่า กำหนดให้ได้ในปัจจุบัน
อาตมากว่าจะปฏิบัติพองยุบได้ก็ต้องฝึกอยู่นาน
เพราะปฏิบัติพุทโธมาตั้ง ๑๐ ปี ธรรมกายสัก ๖ เดือน ทีนี้เราก็มาเลื่อนทำสติปัฏฐาน
๔ เดี๋ยวพองหนอ ยุบหนอ เดี๋ยวพุทโธ อาตมาได้แก่ตัวเอง บางทีกำหนดได้
อ้าวมาตรงนี้อีกแล้ว ทำมานาน ๑๐ ปี มันก็ฝังอยู่นาน แล้วก็ค่อย ๆ ไป
อาตมาว่าอย่างนี้แหละดี พองหนอยุบหนออย่างนี้แหละ แต่ก็อดไปติดที่พุทโธไม่ได้
เพราะเราทำพุทโธมาก่อน ๑๐ ปี ทีนี้หนักเข้าอารมณ์ก็ไปหลาย ๆ กระแส
แต่พุทโธใช้สติปัฏฐาน ๔ ก็เหมือนกัน ก็ได้เหมือนกันนะ
แต่ทำอารมณ์เดียวที่ท้องนี่ทำให้เราเห็นได้ชัด
พองหนอยุบหนอเป็นประการใด
บางทีมันจะวูบไปตอนพองหรือวูบไปตอนยุบ นี่ก็จับได้ชัดดีกว่ากันเท่านั้นเอง
มีนิมิตอะไรบ้างไหม บางคนบอกว่านั่งหลายชั่วโมงแล้วไม่เห็นอะไร คงจะไม่ได้ดี
บางคนเขาว่าอย่างนั้น ข้อเท็จจริงทำวิปัสสนาไม่ต้องการเห็นนิมิต
ถ้ามีนิมิตในสมถะเกิดขึ้นแล้วก็กำหนดเห็นหนอไม่เอาเสีย
บางแห่งบางคนประสาทไหวติงมันมีอุปาทานยึดมั่น นิมิตเยอะ
เดี๋ยวนิมิตเกิดอย่างนี้อย่างนั้นกัน บางทีนั่งแค่ ๕ นาทีเทพธิดาลอยมาแล้ว
เห็นโน้นเห็นนี่กันมากมายก็ต้องกำหนดได้ มันเป็นวิธีปฏิบัติ
เวลายืน
ทีกระหม่อมตั้งสติให้ดี วับลงไปที่ปลายเท้า ยืนหนอที่ปลายเท้าพอดี
สำรวมที่ปลายเท้าขึ้นมาบนศีรษะ ยืนสำรวมนึกมโนภาพ จากปลายเท้าถึงกระหม่อมพอดีหนอ
มันจะมีพิจารณาตัวเองโดยเฉพาะ เกิดภาพกายขึ้นมาโดยเฉพาะ
แล้วนึกมโนภาพจากกระหม่อมถึงปลายเท้า ทั้งหมด ๕ ครั้ง แล้วก็ลืมตา
มันมีความรู้สึกว่า มันชาไป ชาตามตัว แต่มันเกิดคิดในใจขึ้นมาเอง ถ้าเรายืนหนอ
บางที่จิตเรามันถากมาทางซ้ายทางขวาจะไม่รู้สึก หากถากทางด้านขวา
ทางด้านซ้ายจะไม่รู้สึก
วิธีปฏิบัตินี้ก็ให้กำหนดยืนหนอให้เห็นตัวทั้งหมด
ให้นึกมโนภาพว่าตัวเรายืนแบบนี้ ให้กึ่งกลาง
ศูนย์กลางจากที่ศีรษะลงไประหว่างหน้าอกแล้วก็ลงไปถึงระหว่างเท้าทั้งสอง
แล้วมันจะไม่มีความไหวติงในเรื่องขวาหรือซ้าย บางที่ถ้าเราไปทางขวา
ทางซ้ายเราไม่มีความรู้สึก แต่ไม่ใช่อัมพาต มันเกิดเอง ยืนนี่กำหนดไปเรื่อย ๆ ช้า
ๆ ให้จิตมันพุ่งไปได้ตามสมควร จากคำว่ายืนหนอ ยืนจากซ้ายหนอขึ้นบนศีรษะพอดี
บางทีจิตนี่มันลงไปทางซ้ายบ้างขวาบ้าง
ทีนี้เราก็แวบลงไปในมโนภาพให้รู้สึกว่าเรายืนท่านี้ลงไปเท่านั้น
พองยุบก็เหมือนกัน
ตอนแรกก็ชัดดี พอเห็นหนักเข้าก็เลือนลางบางทีแผ่วเบา จนไม่มองเห็นพองยุบ
ถ้ามันตื้อไม่พองไม่ยุบให้กำหนดรู้หนอ หายใจยาว ๆ รู้หนอ ๆ ตั้งสติไว้ตรงลิ้นปี่
กำหนดพองหนอ ยุบหนอ เดี๋ยวชัดเลย ถ้าหากว่าพองหนอยุบหนอนี่มันไม่ชัดแผ่วเบามาก
เรายังกำหนดได้ก็กำหนดไป เอามือจับคลำดูก็ได้ว่ามันจะชัดไหม เดี๋ยวก็ชัดขึ้นมา
ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ให้กำหนดตัวรู้เสีย รู้หนอ ๆ ตั้งสติไว้แล้วกำหนดพองหนอ
ยุบหนอเดี๋ยวชัด จิตฟุ้งซ่านมากไหม ถ้ามีบ้างก็ให้กำหนดสติปัฏฐาน ๔
นั้นมีกำหนดอย่างนี้ อย่างที่ทางพุทโธนั้นไม่ใช่
อาตมาเคยทำมานานกว่าจะเข้าเบาะเข้าแสใช้เวลานานหน่อย ต้องค่อย ๆ กำหนดไป
แต่เรื่องวิปัสสนานี่มีอย่างหนึ่งที่น่าคิด
คือประการแรก
ปัญญาที่จะเกิดขึ้นได้นั้นมันมีกิเลสมากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้นในตัวเราทั้งหมด
เราจะรู้กฎแห่งกรรมความเป็นจริง จากภาพเวทนานั้นเอง ประการที่ ๒
รองลงไปมีอะไรก็กำหนดสติปัฏฐาน ๔ ให้ยึดหลักนี้ไว้
มีอะไรเกิดขึ้นก็ให้กำหนดเหตุนั้น ไม่ใช่ดิ่งลงไปเฉย ๆ ปัญญาที่จะเกิดนั้นไม่ใช่เกิดเพราะดิ่งเฉย
ๆ คือความรู้ตัวเกิดขึ้นโดยสติสัมปชัญญะภาคปฏิบัติจากการกำหนดนี่เอง
เวทนาที่ปวดเมื่อยนั้น มันปวดตามโน้นตามนี้เราก็หยุดเอาทีละอย่าง
อย่างที่อาตมากล่าวแล้ว กำหนดเวทนาให้ได้ คือ เวทนากำหนดได้เมื่อใด
มากมายเพียงใดซาบซึ้งเพียงนั้น มันเกิดเวทนาอย่างอื่นขึ้นมาก็เป็นเรื่องเล็กไป
อันนี้ข้อสำคัญอยู่ตรงนี้
บางครั้งมันอาจจะนึกได้
ไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ไม่ต้องไปคำนึงถึงกรรมนั้นเลย
ให้มีข้อปฏิบัติเพื่อไม่ให้มีอารมณ์ฟุ้งซ่านไปอยู่ในกรรม
ก็ด้วยการกำหนดเวทนานั้นเอง นี่วิธีปฏิบัติไม่ต้องเอาอย่างอื่นแล้ว
กำหนดเวทนาที่เกิดขึ้นกับเราเองโดยเฉพาะ เดี๋ยวมันจะแจ้งชัดขึ้นมาเอง
เจ็บมากให้กำหนด เราจะแผ่เมตตาตอนทำกรรมฐานไม่ได้ มีหลักปฏิบัติคือ
พอเรานั่งกำหนดเรียบร้อยดี ๑ ชั่วโมง หมดสัจจะที่เราอธิษฐานไว้ เราก็อโหสิกรรม
วิธีปฏิบัติอโหสิกรรมต่อการกระทำ เวรกรรมที่ทำไว้อดีต เราอโหสิให้ได้
อโหสิแล้วก็แผ่เมตตาให้แก่เขาโดยวิธีนี้
ยกตัวอย่าง
นักศึกษามาจากขอนแก่นเรียนที่วิทยาลัยครูอยุธยา ปวดทนไม่ไหว กำหนดก็ไม่หาย
ก็มานึกได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ให้ไปจับเขียดก็ไปหักขามัน มันกำลังเป็น ๆ เด็กคนนี้เล่าให้ฟัง
อาตมาถามว่า หนูกำหนดหายไหม ไม่หายเจ้าค่ะ
กำหนดยิ่งปวดใหญ่ เมื่อก่อนเคยนึกถึงเขียดไหม ไม่เคยนึกเลย
หนักเข้าทำอย่างไร ก็แก้ไขปัญหาด้วยการแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล หายปวดเลย
เดี๋ยวนี้เป็นอาจารย์ไปแล้ว สำเร็จ คบ. ก็ใช้วิธีปฏิบัติอย่างที่เราปฏิบัติกันมา........