กระแสจิต กระแสใจ กระแสไฟแห่งปัญญา

พระราชสุทธิญาณมงคล

บรรยายที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กทม.

๒๒ เมษายน ๒๕๔๑

P12001

 

                ต่อไปนี้ อาตมาจะขอชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องกระแสไฟฟ้าแห่งจิต กระแสจิต กระแสใจ กระแสไฟฟ้าอันเดียวกัน จิตคืออะไร จิตคือธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์รับรู้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเทปบันทึกเสียง ถ้าจิตใครมีกระแสไฟมันก็สว่าง ถ้าไม่มีไฟมันก็มืด จิตของท่านขาดปัญญาท่านจะไร้เหตุผล จิตนี่เป็นกระแสไฟฟ้าแน่นอนที่สุด หลับตาส่งกระแสจิตตรงนี้ (อุณาโลม บริเวณกลางหน้าผาก ระหว่างคิ้ว) เปิดสวิตช์ปั๊บเดี๋ยวมันก็จะถึงเยอรมันเลย จะไปเยอรมันหรือไปไหน แต่ปัญหาอยู่ว่ารวมกระแสตรงไหน ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลนะ อาตมาทดสอบมาหมดแล้ว แล้วกำลังแรงดัน กำลังแรงส่ง มันอยู่ตรงไหน

            อันนี้ก็เปรียบเทียบเหมือนไดนาโมมันปั่นไฟ ไฟฟ้ามันก็อยู่ตรงนี้ แต่มันไม่ออกไปหรอก มันยังไม่ได้ส่ง มันก็เตรียมพร้อมที่จะส่ง เหมือนจิตนี่มันเตรียมที่จะส่ง สมาธิเตรียมพร้อมที่จะส่งกระแส แต่ไม่ทำกันเอง คนเรานี่มีสมาธิอยู่ในตัวเองด้วยกันทุกคน แต่มักจะใช้สมาธิไม่ถูกทาง ปัญญาของท่านมีติดมากับตัวด้วยกันทุกคน ความรู้อยู่ในตำรา สนใจไหม สนใจก็ศึกษาเอาเอง ตรงนี้น่าจะตีความให้เข้ามาในตัวเอง ปัญญาของท่านทั้งหลายมีอยู่พร้อมมูลบริบูรณ์ดีแล้ว ปัญญาของท่านติดมากับตัวท่านทุกคน ไม่มีเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่าท่านผู้ใดใครทั้งนั้น แต่ใครหนอจะใช้ตำรานี้ สนใจตำราก็ต้องไปหาตำรามาอ่าน มาดู มาเขียน เรียนวิชา อย่างนั้นซิ ปัญญามันมีอยู่สองทางคือ โลกียปัญญา และโลกุตตรปัญญา

          โลกียปัญญาจำเป็นไหม จำเป็นมาก คือปัญญาทางโลก ก็ต้องเรียนวิชาหาความรู้ ถ้าไม่เรียนหรือจะรู้ ไม่ดูหรือจะเห็น ไม่ฟังหรือจะได้ยิน ไม่ทำหรือจะเป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย น่าเสียดายน่าสงสาร คนทำชั่วนี่ไม่น่าเกลียดเท่าไร มันน่าจะเกลียดคนทำชั่ว โปรดตีความด้วย บ้านอาตมานี่แต่ก่อนลูกหลานทำชั่ว เกลียดโกรธไม่มองหน้าเลย

            แต่เราปฏิบัติไปกระแสไฟมันสูงขึ้นถึงสามสายแล้วนั้น จะหันมุมกลับได้เลยนะ ถ้ากระแสไฟอ่อนคอมพิวเตอร์มันจะไม่ทำงาน พัดลมก็ไม่หมุน วิทยุก็ไม่ดัง คนกระแสไฟอ่อนก็เปรียบกับคนสมาธิไม่มี จะคิดผดไม่คิดถูก ถ้ากระแสไฟมันครบวงจรของมัน จะทำงานถูกต้อง สติจะครบ สติตัวต้น สติตัวกลาง สติตัวปลาย มันจะครบวงจรพร้อมที่จะส่งกระแสไม่ผิดไม่พลาด ถ้ากระแสไฟท่านอ่อน สมาธิท่านไม่ค่อยมีจะทำงานใช้ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ในการทำงาน และจะหาโอกาสและวาระอันดีงามก็หาไม่ได้

            คนเรามีหู มีตา มีปาก มีฟันเหมือนกันหมดทุกคน แต่กฎแห่งกรรมแยกประเภทสรรพสัตว์ ไปสูงไปต่ำ ไปดีไปชั่ว กฎแห่งกรรมมันแยกประเภทไป ไม้ไผ่ยังต่างปล้อง พี่น้องยังต่างใจ ท้องเดียวยังไม่เหมือนกัน สามีภรรยาก็เหมือนกันไม่ได้ เราคนเดียวก็เหมือนกันไม่ได้ ตามอารมณ์เดี๋ยวเช้าดี พอสายบ่ายเย็นไม่เข้าท่า กลางคืนไม่ดี แค่ตัวเราคนเดียวยังรักษาอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ จะรักษาอารมณ์ทั้งครอบครัวได้หรือ ถ้าท่านไม่มีกระแสไฟ

            อย่างเช่นท่านรองผู้ว่าการ หรือท่านผู้ว่าการ ขอประทานโทษ ท่านต้องมีกระแสไฟสูงมาก สูงกว่าพวกเราอีก ไม่งั้นท่านจะเป็นใหญ่เป็นโตได้อย่างไร กระแสไฟสูงมันคุมกระแสไฟต่ำ กระแสไฟยังต้องมีผลิต นี่ผลิตออกมาจากส่วนภูมิภาคยังไม่พอ ต้องมีไฟฟ้านครหลวงอีกนะ มันก็แยกประเภทไป เราทำสมาธิก็รวบรวมไว้ในคอมพิวเตอร์ แล้วก็ส่งกระแสไปไว้ที่ดาวเทียมก่อน คือตัวสติ ถ้ามีสติมากจะส่งได้มาก มีสติน้อยจะส่งได้น้อย มันจะริบหรี่ ๆ จะใช้มากกว่านี้ไม่ได้ เหมือนกับสมาธินี่ถ้าเก็บไว้ได้ ท่านจะไม่ต้องนอนก็ได้ พักในสมาธิเหมือนไฟฟ้ามาพักอยู่ที่หม้อแปลงไฟ เหมือนมาที่สถานีไฟฟ้า เราจะจ่ายไฟได้มากมาย แต่ถ้าท่านขาดสติขาดสมาธิ พูดอย่างภาษาเด็ก ๆ เรียกว่าไม่มีกำลังใจ กำลังใจตกแล้ว ท่านจะทำงานไม่ได้เลย เครื่องจะขัดข้องทางเทคนิค ตรงนี้สำคัญมาก แต่ท่านไม่เคยคิดเลยนะ กระแสไฟมันมีตัวตนหรือ อยากรู้มันมีไฟหรือไม่ ลองเอาสายบวกสายลบมา แล้วลองเอามือไปจับซิถึงจะรู้ว่ามี จิตก็เหมือนกัน ใครจะรู้ได้ แต่ความแรงของจิตเป็นอย่างไร มันจะรู้ที่การทำงานของท่าน งานของท่านจะถูกต้อง ต้องมี ๔ ประการคือ

๑.     ความรู้

๒.    ความคิด (จากรู้ต้องมาคิดถึงจะมีสติปัญญา)

๓.    ความตั้งใจ

๔.    ประสบการณ์จากปัญหาเหล่านั้น

สี่ประการนี่ถึงจะเป็นความถูกต้อง ถ้าไม่มีความรู้เลย ความรู้พื้นฐานก็ไม่มี ก็ใช้ไม่ได้ สอบตกเลย ความคิดก็ไม่มีพื้นฐาน ความตั้งใจก็จะลดน้อยถอยลงไป กระแสไฟมันก็ตก ประสบการณ์พฤตินัยหามีไม่ เพราะฉะนั้นคนเราต้องมีกิจกรรม กิจกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้คือ

๑.     ต้องแสวงหาความรู้ทุกอย่างทุกชนิดที่เราชอบ นี่พื้นฐานของคนอยู่ที่ความรู้ อยู่ที่วิชา คนไหนไม่มีความรู้ไม่มีวิชา พื้นฐานไม่ดีแล้ว ตึกก่อหลายชั้นไม่ได้ เหมือนอาคารสองนี่ ก่อไปตั้งหลายชั้นแล้ว ถ้าพื้นฐานไม่ดี มันจะก่อไปหลายชั้นอย่างนี้ได้หรือ น่าจะตีความหรือไม่

๒.    ต้องละทิฐิมานะ ละความชั่วให้หมด ละความเลวของตัวออกไป กำจัดกระแสที่มันไม่ดีออกจากจิตใจ คือ กิเลส เป็นเหตุให้ขัดข้องทางเทคนิค ทำอะไรไม่สำเร็จตามเป้าหมายและจุดประสงค์ น่าคิดตรงนี้ให้มาก

คนที่รู้ความชั่วมาหมดแล้วนี่ สร้างความดีได้สบายมาก จะสร้างได้ดีกว่าคนที่รู้ความดีโดยไม่รู้ความชั่ว อาตมาแนะนำบริษัทหลายบริษัท จะรับผู้จัดการบริษัท ไม่ต้องไปสอบวิชาการ เพราะทุกคนต้องมีวิชาการครบ ถามข้อเดียวพอเลย โกงเป็นไหม โกงไม่เป็นซื้อสัตย์ ไม่รับ ผู้จัดการโกงไม่เป็นไม่รับ ต้องรับผู้จัดการโกงเป็นพันอย่าง ถ้าโกงเป็นพันอย่างจะรับ เดี๋ยวนี้ผู้จัดการบริษัทมันโกงไม่เป็น มันถึงได้เจ๊ง ไม่รู้ว่าเขาโกงกันอย่างไร ไม่รู้นโยบาย ขาดกระแสไฟด้วยกัน

คนขับรถเหมือนกัน ถ้าจะรับต้องถามว่าเคยขับรถชนบ้างไหม ถ้าคนไหนเคยขับรถชนมามากต้องรับไว้ก่อน ให้นั่งก่อน แล้วถามทำไมชน ชนเพราะอะไร เพราะเมาหรือเพราะหลับ อย่างนี้ไม่รับ แต่หากเป็นเพราะเหตุสุดความสามารถเพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้ อันนี้ค่อยรับ คนนี้เข้าท่า มีประสบการณ์ ประสบการณ์มาก บางคนเพิ่งขับรถไม่เคยชนไม่เคยเฉี่ยว อย่าไปรับ

ผู้จัดการบริษัทถ้าโกงได้ทุกชนิดรับไว้เลย แต่ก็ขอเจริญพรหมายเหตุท้ายไว้สักข้อหนึ่ง อย่าโกงบริษัทเรา อย่าโกงตัวเอง เราโกงคนอื่นได้ แต่อย่าโกงตัวเอง คนโกงตัวเองนี่เลวที่สุด คนโกหกคนอื่นได้หลายร้อยคนนี่ไม่เป็นไร อย่าโกหกตัวเอง

บางคนนี่ชมรมพุทธศาสตร์ ชมรมอะไรต่อมิอะไรหลายชมรม นักธรรมะ ธรรมโม ธรรมแมะ โกหกตัวเองทั้งนั้น ไปสอนให้เขาทำแต่ตัวเองไม่ทำ นี่เป็นการโกหกตัวเองตลอด พูดอย่างกับจะให้ลอยฟ้ามาดิน แต่ตัวเองไม่เอาหรอกไม่เอาเลย นี่โกหกตัวเองนะ

โกงคนอื่นนั้นโกงเข้าไป แต่อย่าโกงตัวเองได้ไหม ในเมื่อโกงตัวเองไม่ได้ หันมุมกลับ ไม่โกงตัวเองแล้ว จะซื่อสัตย์สุจริตเป็นนิจขยัน หนึ่งประหยัด สองซื่อสัตย์ สามสามัคคี สี่มีวินัย อย่าโกหกตัวเอง พูดแล้วต้องทำ ถ้าไม่ทำจะระยำอัปรีย์ หาดีไม่ได้ พูดแล้วเอาคำพูดไปทิ้งได้หรือไม่ ในเมื่อไม่โกหกตัวเองแล้ว คนนั้นจะไม่ขี้เกียจ มีกระแสไฟสูง หันมุมกลับ เหมือนฉายไฟสู่ที่กระจก มันจะย้อนมาหาตัวเองใช่หรือไม่ ในเมื่อไม่โกหกตัวเอง มีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้แจ่มแจ้งชัดเจนแล้วนั้น อย่างพวกครูโรงเรียน นักเรียนทั้งหลายจงฟังครูสอน ทำตามครูสอน แต่อย่าเอาอย่างที่ครูทำ เดี๋ยวครูต้องไปกินเลี้ยงหน่อยนะ แหม นี่ครูไร้วิญญาณครู ครูคนนั้นก็โกหกตัวเอง

เมื่อสองวันก่อนกรมอุตุนิยมวิทยา จังหวัดขอนแก่นพูดผิดเลย บอกจะเกิดอากาศผันผวน จะเกิดร้อนหนัก องศาเท่านั้นองศาเท่านี้ ปรากฏว่าฝนตกสามวันสามคืนเลย ตอนเช้าต้องขอขมาลาโทษ ว่าพูดผิดไปหน่อย อย่าให้มันผิดพลาดอย่างนั้นนะ แต่สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ทุกคนจะท่านผู้ใหญ่หรือผู้น้อยงานต้องไม่สมบูรณ์ทุกคน จะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ไม่มีงานใดจะร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือทองร้อยเปอร์เซ็นต์

ทำไมบกพร่อง กระแสไฟฟ้าบกพร่องตรงไหน ก็ขอเจริญพรว่าเราทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องหลายฝ่าย มีทั้งหัวหน้ากอง หัวหน้าฝ่าย ธุรกิจธุรการ งานเสมียน งานเลขา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า เขาไม่ได้ทำตาม เขาลืม บกพร่องตรงนั้น ยกตัวอย่างให้เห็นสั้น ๆ นิมนต์พระ ๙ วัด มอบหมายให้เขาไปรับ ๙ คน ๙ คัน แต่ลืมไป ๓ คน นี่บกพร่องไหม แต่เจ้าภาพนะหัวสมองหมุน มันต้องคิดหลายอย่าง จึงต้องมีพิธีการคอยแนะนำเจ้าภาพ เจ้าภาพนะเดี๋ยวแขกผู้ใหญ่มาก็ต้องไปต้อนรับ พิธีกรก็ต้องบอกถึงเวลาแล้ว ขอเชิญเจ้าภาพมาจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยเจ้าข้า พิธีกร คือ การกำหนด ตัวกำหนดคือพิธีกร สติตัวต้น คือ พิธีกร รำลึกก่อน แนะแนวก่อน สติตัวกลางคือ วิทยากรของตัวเอง คือ ความรู้สัมปชัญญะ รู้อะไรเป็นอะไร รู้ละเอียด รู้ถี่รู้ห่าง รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ เคารพผู้ใหญ่ สติตัวปลาย เรียกว่า ปัญญาแก้ไขปัญหาได้ ถ้าใครเจริญสติปัฏฐาน ๔ มาจะรู้ข้อเท็จจริง จะออกมาอย่างนี้ชัดเจนมาก

เพราะฉะนั้นกระแสไฟไม่ใช่เรื่องเหลวไหล อย่างโทรศัพท์ก็ต้องมีสาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีสายแล้ว มีศูนย์ มีดาวเทียม การเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็ต้องมีดาวเทียมนะ สะสมหน่วยกิตไว้ในคอมพิวเตอร์ อิริยาบถต่าง ๆ สะสมไว้บ้าง จะยืน เดิน นั่ง นอน จะเหลียวซ้ายแลขวา คู้แขน เหยียดขา ตั้งสติกำหนดจิตของตนไว้บ้าง เราจะได้อยู่ในกรอบขอบเขตของอริยสัจ ๔ เป็นการแก้ปัญหาชีวิตที่ดีที่สุด แต่ทำไมไม่แก้ปัญหา กลับไปสร้างปัญหา

ก็ขอเจริญพรพี่น้องทุกคน อย่าไปหาหมอดู จะทำให้ไขว้เขว โยมผู้หญิงชอบหาหมอดู อาตมาขอสมมุตินามแทนชื่อ เป็นหมอดู ผู้หญิงชอบดูกันนัก ดูเรื่องอะไร ดูเรื่องแฟนจะไปเจ้าชู้ แฟนจะได้ขั้นไหม จะได้เป็นอธิบดีไหม เดี๋ยวลูกจะแต่งงาน ต้องไปดูว่าวันได้ เดือนถึงกันไหม มีโหวงเฮ้งไหม นี่ระวังนะ น่าจะตีความตั้งสติตั้งหลักไว้ก่อนว่า จิตใจเข้ากันได้ไหม ไฟฟ้าไซเกิ้ลเดียวกันไหม ไฟแรงสูงแรงต่ำมาผสมกันได้หรือ มันก็จะเกิดช้อตกัน เลยก็เลิกกันเลย ขอฝากคุณแม่ไว้ด้วย ถ้าลูกสาวของเรา ปลุกเสกขึ้นมาดีแล้ว ได้สามีอย่างไรก็ดีหมด ตรงนี้น่าจะคิดตรงนี้ก่อน ชอบไปหาหมอดู สะเดาะเคราะห์บ้าง เวลาเคราะห์ไม่ดีสะเดาะเคราะห์หายเลย มักง่ายมักได้สร้างเวรสร้างกรรม ต้องยอมรับใช้หนี้ซิ ยกตัวอย่างโยมไปยืมเงินเขามา แล้วไปให้ท่านรองผู้ว่าการใช้แทนได้ไหม ไม่ได้ ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ไม่หันมุมกลับ หาวิธีคิดบ้างหรือ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำตัว มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ประจำตัว สะสมไว้ในอิริยาบถ เวลามีทุกข์มันจะตีออกมาแก้ให้ อันนี้น่าคิดคือตัวปัญญา เราต้องใช้ทั้งสองปัญญา โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ให้ลูกเรียนโลกุตตระปัญญา คือการเจริญสติ

อาตมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ และเรียนพุทโธมาก็สิบปี หลวงพ่อภาคอีสานสายหลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์ หลวงพ่อลีวัดบางปิ้ง อโศการาม เป็นอาจารย์เรา เรียนให้หมดทุกอาจารย์ แต่นำมาประยุกต์ว่าอันไหนจะแก้ปัญหา จะเอาอันนี้มาแก้ เปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไร

ขอฝากไว้ด้วย เอาที่เขาสอนที่เขา อย่าเอาที่เราไปสอนเขา เข้าใจไหม สมมุติเช่นโยมกินเหล้าเล่นการพนันถ้าเอาที่อาตมาไปสอนแล้ว กินเหล้าไม่ดี เล่นการพนันไม่ดี เขาจะไม่ให้ห้าแสนหรือ รู้จักห้าแสนไหม ต้องเอาที่เขาสอนที่เขาแล้วเขาจะชอบ โยมทานเหล้าใช่ไหม โยมเล่นการพนันใช่ไหม ต้องยกตัวอย่างสาธิตให้เขาเห็น มีคนไปที่วัดเป็นคันรถ ไปถึงกราบ ๆๆ เมามาแล้ว ใส่แหวนเพชรด้วย พวกผู้หญิงก็ถาม “หลวงพ่อคะ ฉันชอบเล่นการพนัน ชอบเล่นหวย” ผู้ชายก็ถาม “หลวงพ่อครับกินเหล้าดีไหม ผมชอบมาก” อาตมาต้องตอบว่า “ดี ดีมาก” พอฟังดังนี้ก็พูดต่อกันว่า “วัดนี้สอนแปลกโว้ย” ก็ลงจากรถมาเลย “เจอพระดีเข้าแล้ว ไปวัดไหนก็ว่าเขาเรื่อยเลย ว่ากินเหล้าเล่นการพนันไม่ดี เอ๊ะหลวงพ่อวัดอัมพวันนี่แปลกบอกว่ากินเหล้าดี เล่นการพนันดี เจ้าชู้ก็ดี ดีหมด” อาตมาเลยได้แฟนเยอะเลย เต็มกุฏิเลย ดีอย่างไรเราก็ยังไม่อธิบาย ให้ไปทานข้าวก่อน เลี้ยงกาแฟ โอวัลตินอย่างดี มีปาท่องโก๋ให้อีกด้วย พอกินของเราแล้วก็กลับมากราบ ตอนแรกไม่ได้กราบ ยกมือไหว้เฉย ๆ แต่พอกินอิ่มกราบเลย เราได้ตำราแล้ว

พอกราบแล้วเป็นอย่างไร เราก็สอนเขาไม่ให้รู้ตัว อย่าไปว่าเขานะ พระเดี๋ยวนี้ไปเที่ยวด่าเขา จะสอนทีก็ด่าที จะไม่มีแฟน ไม่มีลูกค้า ไม่มีหน้าไม่มีตา ไม่มีกระบอกเสียง เอาละ ทีนี้จะสอนละ เขาก็ถามอีกว่า “หลวงพ่อครับ กินเหล้าดียังไง” อาตมาก็บอกว่า “ดีที่โยมชอบ แต่ไม่ดีสำหรับอาตมา อย่างเช่นอาตมานี่ถ้าดื่มเหล้า โยมจะทำบุญไหม” เขาก็ตอบว่า “ไม่ทำครับ ถ้าท่านดื่มสุรา ผมไม่ใส่บาตรเลย” อาตมาก็บอกว่า “ถูกต้องแล้ว เพราะอาตมาเป็นพระ” ส่วนโยมผู้หญิงก็ตอบว่า “ดีแล้วที่โยมชอบ แต่อาตมาถ้าไปเล่นไพ่ โยมจะใส่บาตรให้กินไหม” อาตมาเลยให้ข้อคิดเขาว่า “โยมจ๋าโยม โยมแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา รับศีลรับทานการกุศล โยมจะดื่มเหล้าได้ไหม จะเล่นไพ่ได้ไหม” โอ้โฮ กราบอีกแล้ว นี่สอนโดยไม่รู้ตัว ให้เห็นชัดและเด่นแจ้งชัดทุกประการ เข้าหลักคนเชื่อยากสอนง่าย คนเชื่อง่ายสอนยาก นี่ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง

ดังนั้นโยมอย่าไปว่าเขา เขาจะกินเหล้าอย่างไรก็ตาม จะเล่นการพนันอย่างไรก็ตาม แต่เราสร้างความดีไปแก้ให้กลับร้ายกลายเป็นดีได้ เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาเอาความไม่ดีมาอย่าเอาความไม่ดีไปแก้ไข คนตระหนี่ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหลเอาความจริงใจเข้าไปสนทนา

การเจริญพระกรรมฐานเป็นการแก้ปัญหา แต่ทำไม่ไม่เจริญกัน เจริญตัวนี้แปลว่าเดินหน้า วัยแปลว่าเสื่อม มันเสื่อมไปทุกวัน อยู่ในวัยเจริญคืออยู่ในวัยหนุ่มสาว กำลังงอกงาม ถ้าอายุมากไปแล้ว ความเจริญก็เสื่อมถอยน้อยลงไป แต่ถ้าใครเจริญพระกรรมฐาน แม้สังขารจะเสื่อม แต่จิตใจไม่เสื่อม สติปัญญาจะอยู่ครบ จะจำความได้ทุกประการ

กรรมฐานนี้อาตมาไปได้มาจากหลวงพ่อในป่าที่จังหวัดขอนแก่น ตจปัญจกกรรมฐาน นี่กว่าจะรู้ได้ใช้เวลานานมาก ตอนนั้นอาตมาบวชได้ ๓ พรรษา อายุ ๒๔ ย่าง ก็ไม่คิดว่าจะมาบวชมาเรียนอะไรอย่างนี้ เพราะวิชาทางโลกเราก็มามายพอจะช่วยตนเองได้ บวชด้วยความจำเป็น ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา เมื่อสมัยก่อน บวชให้แม่เท่านั้น

ก็เล่าได้ว่า หลวงพ่อในป่า ที่เคยให้กรรมฐานพระบัวเฮียว และองค์นี้สำคัญมาก เคยให้กรรมฐานพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินที่ยกกรีฑาทัพมาจากเชียงใหม่ ไปกวาดต้อนพวกไพรี จนมาถึงสุพรรณบุรี จึงมาเจอพระในป่า ท่านก็บอกว่า “มหาบพิตรนี่บาปมาก ฆ่าแม่ทัพนายกองเยอะ ฆ่าข้าศึกนี่ไม่เป็นไร แต่ฆ่าผู้มีพระคุณนี่บาปมาก” พูดเท่านี้พระเจ้ากรุงธนบุรีถวายดาบเลย คืนให้กับพระองค์นี้” แล้วก็เจริญกรรมฐานจนสิ้นไป

อาตมาก็ได้กรรมฐานจากพระองค์นี้ แต่ที่ได้ตรงนั้นปัจจุบันน้ำท่วม กลายเป็นเขื่อนอุบลรัตน์ไปหมดแล้ว หลวงพ่อองค์นี้ท่านยังอยู่นะ เหินไปเหินมา เรานึกถึงท่าน ๆ ก็มาทันที เปิดสวิตช์เข้าซิ เปิดกระแสไฟเข้า มันจะย้อนกลับมาหาเราทันที โยมขว้างฟุตบอลใส่ฝาผนังอย่างแรง จะไปไหนก็มาหาเรานะ นี่ยกตัวอย่างหลวงพ่อในป่า เรื่องกระแสไฟฟ้า ถ้ามันจูนเข้านะ คอมพิวเตอร์จะตีออกมาเลยทันที ท่านจะบอกเราได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลนะ

เรามักเข้าใจผิด เข้าใจว่าจิตอยู่ในสมอง จิตอยู่ที่หัวใจ เข้าใจผิด หัวใจมันเป็นจิตที่ไหน มันเป็นอวัยวะที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายเท่านั้น สมองนี่ก็ไม่ใช่จิต มันเป็นคอยล์ ทรานซิสเตอร์ ถ้าหากว่ามันล้มฟาดลงไปนะ คอยล์นี่เส้นทองแดงมันเล็กมาก ถ้ามันไม่ติดกันมันก็ช้อตนะ ช้อตแล้วไม่พูดเลยนะ ทำไมไม่พูด หาคำตอบได้แล้วทำไมไม่พูด กระแสไฟไม่เดิน ในเมื่อกระแสไฟไม่เดินแล้วมันจะพูดหรือ แต่รู้ ใครพูดอะไรรู้หมด แต่พูดไม่ได้ ทรานซิสเตอร์มันเสื่อม เหมือนหม้อแบตเตอรี่มันเสื่อม เก็บไฟไม่อยู่ ถ้าคนไหนหม้อแบตเตอรี่ดี ไฟหมดชาร์จได้ แต่แบตเตอรี่ใครเก็บไฟไม่อยู่ ตอบได้คำเดียวตาย ช่วยไม่ได้ ไม่ต้องมาให้อาตมาแผ่เมตตาหรอกรู้เลย แผ่ไปแล้วย้อนกลับ แสดงว่าคนนี้ตายไม่เคยพลาดเลย

การเจริญสติ มีประโยชน์มากเลยไม่ต้องเสียสตางค์ ท่านทำไมเอาสติไปทิ้งเล่า เอาสติไปทิ้งหมด แม้แต่สักห้านาทีท่านก็ไม่มีหรือ สติอย่าเป็นสติปลอม อย่ารู้มากเกินไปนัก รู้มากกันเยอะ เป็นดอกเตอร์กันเยอะ แต่รู้จริงหามีไม่ รู้จริงต้องทำ รู้จำต้องท่อง รู้แจ้งต้องคิดก่อน แล้วค่อยทำ

นี่จุดมันอยู่ตรงไหน ท่านรู้หรือยัง อาตมาประสบมาตอนคอหัก อาตมารู้ล่วงหน้าหกเดือน ว่ารถต้องชนคอหัก แต่ทำไมรอดได้ เพราะหายใจทางสะดือได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลนะ มีนายแพทย์มีพยานหลักฐานเยอะ เดี๋ยวนี้ยังอยู่ครบ คนที่นำไปส่งโรงพยาบาลก็ยังอยู่ เมื่อ ๒๐ ปีผ่านมาแล้ว ถึงคราวตายแล้วแต่ไม่ตายได้ ยังไม่หมดอายุแต่ตายได้ กาลมรณะ ชะตามรณะ ตายด้วยอุบัติเหตุ ตายด้วยเหตุผลอย่างนี้ ไม่ควรจะตายเลย ผ่าไปเที่ยวเหลวไหลก็ไปตายซะกลางถนนหนทาง เหมือนตะเกียงโดนลมดับ ถ้ากันลมไว้ได้แสงไฟก็ยังอยู่แน่นอน

นี่อาตมาถึงได้รู้ว่าจุดประสาทมันอยู่ที่ไหน พอคอติดปั๊บ ปวดที่ก้นกบ ปวดเต็มที่เลย ปวดหนอนึกได้เลย เมื่อสมัยญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาตมาไปที่นั่น ญี่ปุ่นขึ้นมารำวง คนไทยเมาเข้าไปก็เข้าไปจับก้นเข้าให้ ญี่ปุ่นนี้โมโหมาก จับหัวเขกนี่ไม่เป็นไร ถ้าตบก้นไม่ได้จะเคืองมาก เราก็มารู้ตอนคอหักนี้เอง ขอประทานโทษตอนคอยังไม่ติดไม่มีรู้สึกเลย ไม่มีความรู้สึกตัว และพูดได้แต่ไม่รู้ว่าพูดตรงไหน แต่รู้ตรงลิ้นปี่ นี่คิดหนอ เอาเลยนะทำงานให้มันถูกจุด กินละมุดจะได้ไม่ถูกเม็ด

ชมรมนี่ทำให้มันถูก เดี๋ยวอย่างโน้นบ้าง เดี๋ยวอย่างนี้บ้าง เดี๋ยวพุทโธบ้าง เดี๋ยวสัมมาอรหังบ้าง เดี๋ยวไปสวดบทเจ้าแม่กวนอิมบ้าง เดี๋ยวฮ่องเต้บ้าง อะไรก็ไม่ทราบ พื้นฐานไม่มีเลยหรือ คนเราขาดวิชาความรู้พื้นฐาน

ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าก้นกบเป็นประการใด เราก็อธิษฐานบุญกุศลที่ข้าพเจ้าสร้างมา ข้าพเจ้าใช้หนี้โลกมนุษย์หมดหรือยัง ถ้าใช้หมดแล้วให้ไปเลย ถ้ายังไม่หมดข้าพเจ้าขอใช้ในชาตินี้ได้ไหม ถ้าได้ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าฟื้นมาใช้หนี้โลกมนุษย์ให้หมดด้วย ถ้าใช้หนี้หมดแล้วข้าพเจ้าขอเจริญพรลา พอพูดเท่านี้ก็พอดีกับตอนที่หมอสมหมาย ทองประเสริฐ ใช้ให้บุรุษพยาบาลเข็นรถไปเย็บหนังศีรษะให้เรียบร้อย จะได้เตรียมบอกทางวัดให้เตรียมตัวมารับและจัดปี่พาทย์มอญได้ เจ้าบุรุษพยาบาลก็รีบไสรถเต็มที่ ก็โครม ตกร่อง คอติดเลย ติดแล้วทำไง หายใจทางจมูกไม่ได้ เสลดเต็มคอหมด เลยดิ้นชักงอเลย หายใจไม่ออก แล้วก็ปวดก้นกบทั้งสองนี่ ปวดเต็มที่เลย ปวดกระดูกแทบจะหลุด เราถึงได้รู้ว่า อ๋อ จำไว้เลยนะ จุดประสาทมันอยู่ที่ก้น ถ้าล้มลงไปกระแทกพร้อมกัน ต้องตายทุกราย ถ้าล้มข้างเดียว ผู้หญิงซ้าย ผู้ชายขวา ถ้าตรงนั้นนะ จะเป็นอัมพาต จำไว้นะ อย่าล้มในห้องน้ำนะ ห้องน้ำมันมีผีนะ ถ้าไม่ต้องการให้ห้องน้ำมีผี ก็ต้องช่วยกันรักษาความสะอาด แล้วผีจะหนีหมด ถ้าห้องน้ำบ้านใครสกปรก ระวังล้มไปนะ ผีจะซ้ำเลย

ดังนั้นอาตมาจะขอเจริญพรต่อไปว่า การเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี่เน้นตรงนี้ ด้วยยืนหนอ ๕ ครั้ง ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เดี๋ยวนี้คืนขอนแก่น กตัญญูต่อสถานที่ที่ไปได้ของดีจากหลวงพ่อดำในป่ามา ก็มีได้ไม่กี่องค์ที่ได้จากหลวงพ่อองค์นี้ ถ้าหากเราคิดถึงหลวงพ่อในป่าองค์นี้นะ ต้องนั่งสมาธิให้ได้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ พอจิตนิ่งปั๊บ ส่งกระแสเลย เรานึกถึงหลวงพ่อผู้มีพระคุณ ข้าพเจ้ามีความสงสัยตรงนี้ พอจูนเข้าไปแล้วปั๊บ เดี๋ยวมาทันที ถ้าจูนผิดไม่มีมา อันนี้เรื่องจริง นี่แหละกระแสไฟฟ้าละ ทำไมอยู่ที่ใดก็มาได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวท่านอยู่โน่น แต่ส่งกระแสจิตคือไฟฟ้านี่ ส่งไม่มีสายมาก็ได้ แต่ฝากดาวเทียม ดาวเทียมตัวนี้คือสติ รวบรวมเอาไว้ให้มาก ๆ เก็บอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา คู้แขน เหยียดขา ตั้งสติไว้

แล้วจิตเกิดทางไหน จิตเกิดทางอายตนะธาตุอินทรีย์ ถ้าจะพูดให้สั้นก็คือทวาร ๖ คนเรามีสามวาระของทวาร ทวาร ๓ คือที่มาของบ่อบุญบ่อบาป ทวารกาย ทวารวาจา ทวารใจ เป็นที่มาของบุญบาป ทวาร ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่มาของกระแสจิต กระแสจิตเข้าตรงนี้คือกระแสไฟฟ้า ตาเห็นรูปกำหนด กำหนดอย่างไร เอาไปใช้แก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้ไหม กำหนดจิตตั้งสติไว้ที่หน้าผาก ตั้งกระแสไว้ตรงนี้ ชัดเจนแล้ว ตั้งสติไว้ “เห็นหนอ” เห็นอะไร ก็มาจาก “ยืนหนอ” ๕ ครั้ง ถ้ายืนถึงสะดือแล้วก็หนอลงไปช้า ๆ ยืนจากปลายเท้าถึงสะดือ “หนอ” ถ้าทำได้จังหวะจูนเข้าขั้น สติกับจิตเป็นอันเดียวกัน จะแยกรูปนามออกได้

ไปสอนลูกหลานด้วยนะ ถ้าครูกำลังสอนนะ ให้ส่งกระแสจิตจากตรงนี้ออกไป จะจำได้ไม่ลืม มันมีกระแสไฟสูง สมาธินี่มันเป็นกระแสไฟ การส่งกระแสไฟต้องใช้สติให้มาก ถึงจะดันสมาธิไปสู่จุดมุ่งหมายอันนั้นได้ ถ้าเราขาดสติดันผิดดันถูก เหมือนปืนไม่มีกำลังส่ง ตกปากกระบอก อันนี้นะ “ยืน...หนอ” นี่พอทำได้นะ พอเราเห็นคนเดินมานี้ เราก็แวบเดียวก็ได้แล้วอัตโนมัติ ศีรษะลงปลายเท้า ปลายเท้าลงศีรษะปั้บ สติมันจะบอกว่าคนนี้คบไม่ได้ คนนี้โกหก เดี๋ยวจะมาโกหกเราแล้ว สติมันจะบอกทันที คนนี้เป็นมิตรตอนกู้ เป็นศัตรูตอนทวง จะมายืมเงินเราแล้ว อย่าให้เลย อย่าให้ ให้ไปเวลาจะทวงก็จะเป็นศัตรูกัน เวลาจะกู้พูดดีทุกอย่าง เวลาจะทวงหันหลังให้เลย เป็นศัตรูกันแล้วน่าเสียดายมาก

หูได้ยินจะแก้ไขปัจจุบันตรงนี้ ตั้งสติไว้ที่หูได้ไหม “เสียงหนอ เสียงหนอ” พอสมาธิดี สติดี รูปนามแยกเลย ที่มันด่า นี่เราจะแยก เราไม่รับไม่อัดเทป อย่าไปอัดนะ เพราะถ้าจิตเลวนะมันจะอัดของเลวไว้ มันชอบอัดไอ้ที่เขาด่า เวลาพูดเพราะ ๆ ไม่ค่อยอัดนะ ลืมอัดเสียทุกที คนที่จิตเลว ๆ นี่มันชอบอัดของไม่ดีของคนอื่นเขา เขามาด่าเลวก็อัดเลย อัดไปก็อัดอั้นตันอุรา กินไม่ได้นอนไม่หลับไปอันมันทำไม เราเท่านั้นเองเป็นคนสร้างปัญหาให้กับตัวเรา สร้างปัญหาให้กับตัวเราอยู่ตรงนี้ “เสียงหนอ” ขอประทานโทษ ขออนุญาตกล่าวนะ “มึงด่าใครวะ” “กูด่ามึง” “อ๋อนึกว่าด่ากู” “มึงเอาไปให้หมด” เท่านี้เองนะ รูป นาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เสียงกับหูคนละอัน ไม่ใช่อันเดียวกัน ถ้าอันเดียวกันก็น่าโกรธ ทำไมไปสร้างปัญหาให้ผูกพันกับความชั่ว คนเราก็ร้าย เวลาเขาทะเลาะกันชอบไปมุงดู มันเป็นเพราะอะไร แล้วก็รถคว่ำ ไฟไหม้ก็ชอบไปดูความหายนะของคนอื่นเขา ทีหายนะของตัวเองทำไมไม่ดู หนังสือพิมพ์ก็เหมือนกันเรื่องเลว ๆ ชอบเอาไปลง เรื่องดี ๆ ไม่เอาไปลง พอถามเข้าก็บอกว่า “หลวงพ่อ อย่าให้ใครรู้นะ ผมจะบอกให้ฟังนะ ถ้าเอาเรื่องดี ๆ จะไม่มีคนอ่าน” นี่ประเมินผลได้เลย คนชั่วเยอะเหลือเกิน คนอิจฉาเยอะเหลือเกิน น่าเสียดายจริง ๆ นะ ถ้าหากท่านทั้งหลายมาเจริญพระกรรมฐานโดยไม่ต้องเสียเงิน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เยอะ

ตาเห็นรูปกำหนดเห็น เห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยกิเลส ขอประทานโทษ ถ้าท่านกำลังโกรธ อารมณ์ค้างเห็นคนชั่วโกรธหมดไม่มีดีสักคน รัฐมนตรีก็ไม่ดี คนโน้นก็ไม่ดีคนนี้ก็ไม่ดี แล้วใครเป็นคนดี น่าจะตีความใหม่ได้ไหม คนเรามันอดอิจฉากันไม่ได้

ขอฝากไว้ด้วยนะ อย่าไปอ่านเรื่องไม่ดี อย่าไปดูเรื่องเลว ๆ มันเสียสายตา ฟังแต่ของดี อย่าไปฟังของชั่วมันจะเสียหู สูดกลิ่นแต่ของหอมของดี อย่าไปสูดของเหม็น ลิ้นรับรสเปรี้ยวหวานมันเคาก็ตามอย่าไปติดรส กายสัมผัสร้อนหนาวเกิดจิต มีกระแสไฟ ตาเห็นรูปเกิดจิต หูได้ยินเสียงเกิดจิต จมูกได้กลิ่นเกิดจิต ลิ้นรับรสเกิดจิต ตั้งสติเข้าไว้เท่านี้เป็นการแก้ปัญหา ง่ายมากแต่ไม่ทำ ไม่ได้สนใจตัวเอง โกหกตัวเองตลอด ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าว ขอประทานโทษ บนตัวเองได้ไหม วันนี้ทำงานเสร็จ บนก๋วยเตี๋ยว ๕ ชาม ถ้าโยมผู้ชายทำงานเสร็จ บนไวน์ห้าขวด พอเสร็จแล้วกินไวน์ไป ดีกว่าไปบนอย่างอื่น ไปบนอย่างอื่นทำไม บนตัวเองซิ วันนี้เรียนหนังสือเก่ง เรียนหนังสือจบหลักสูตร จบหน่วยกิต บนหมูสะเต๊ะ ๕ จาน พอเสร็จแล้วกินมันให้อิ่มไปเลย มันน่าอ่านตรงนี้ ไปบนทำไมอย่างอื่น ไปหาผีเจ้าเข้าทรง แต่ศาลไคฟงไม่มี

ขอเจริญพรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีศาลไคฟงไหม ถ้ายังไม่มีให้รีบสร้าง รีบสร้างเดี๋ยวนี้ มีแต่ไม่พึ่งเจ้า ไม่พึ่งตนเอง ไม่ช่วยตนเองเลย ไปพึ่งคนอื่น ไม่สอนตนเองเลย ไปสอนคนอื่นใช่ไหม ศาลไคฟงไม่กินเครื่องสังเวย อย่าไปบน ศาลไคฟงไม่ง้อ ชอบไปบนเจ้าแม่ เจ้าแม่ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง การเจริญกรรมฐานเป็นการช่วยตัวเอง เป็นการพึ่งตัวเอง เป็นการสอนตัวเองทุกอิริยาบถ ไม่พลาดไม่ผิด ชีวิตไม่เป็นหมัน อันนี้น่าคิด ขอฝากไว้

สุดท้ายนี้ขออนุโมทนาสาธุการกับท่านชมรมพุทธศาสตร์ ก็รู้สึกซึ้งในที่ท่านรองผู้ว่า ผู้อำนวยการกอง ท่านมาให้กำลังใจแก่ชมรมในวันนี้นั้น ก็ขอฝากทุกท่านไว้ว่า ให้มาร่วมแรงร่วมใจ สร้างกระแสไฟให้กับตนเองไว้ให้มากที่สุด อย่าไปสร้างนอกตัว หมายความว่าไปสร้างปัญญาในตัวให้ครบเครื่องไม่เปลืองเวลา เพราะมนุษย์ต้องการสิบข้อเท่านั้น ไม่มีอิจฉาริษยาแต่ประการใด เมื่อไม่มีอิจฉาริษยาแล้วก็จะได้ผลสมคาดปรารถนา ถ้ายังมีอิจฉากันอยู่ก็จะได้ผล ๕ ประการคือ

๑.     เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกความสามัคคีในงานของตน

๒.    เป็นอุปสรรคในการประสานงานที่ดี

๓.    ขาดขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานด้วยกัน

๔.    เป็นการสร้างศัตรูให้กับตัวเอง

๕.     ขาดความจริงใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน

ถ้าท่านเจริญกรรมฐานได้ ท่านจะรู้ว่ามนุษย์ต้องการอะไร มนุษย์ต้องการมากที่สุดมี ๑๐ ประการคือ

๑.     ความรัก

๒.    ความนิยมชมชอบ

๓.    ความเลื่อมใสศรัทธา

๔.    ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ

๕.     ความเอาใจใส่

๖.     ความเคารพนับถือ

๗.    ความเมตตา

๘.     ความเห็นอกเห็นใจกัน

๙.     ความเป็นกันเอง

๑๐.ความเป็นธรรมชาติ อย่าให้หรูหราอย่าให้ฟู่ฟ่า

ถ้าท่านชมรมพุทธศาสตร์ท่านทำได้ จะมีคนเห็นอกเห็นใจ และคนจะเข้าร่วมสมัครสมาน ร่วมใจสามัคคีสร้างความดีกันต่อไป ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทุกภาค อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป...