ธรรมบรรยายแก่คณะของคุณวีโก้ บรูน

พระราชสุทธิญาณมงคล

P13002

       คุณวีโก้  บรูน  ชาวนอร์เวย์  นำคณะครูสอนวิชาศาสนาเปรียบเทียบ  จากโรงเรียนต่าง ๆ ในประเทศเดนมาร์ก  จำนวน ๓๐ คน  ซึ่งสอนนักเรียนระดับมัธยมปลาย  เข้าฟังการบรรยายธรรม   ณ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี

            ขอเจริญพร คุณวีโก้  บรูน ในฐานะที่คุณวีโก้ได้เคยเดินทางมาอยู่ประเทศไทยศึกษาวิชาอักษรศาสตร์ ปริญญาโท ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีศรัทธาได้ถือโอกาสมาบวชที่วัดอัมพวัน  เป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน  เมื่อ พ..๒๕๑๐ นั้น  วีโก้ได้ศึกษาพุทธศาสนามามีทั้งภาคทฤษฎีวิชาการ  และปฏิบัติการ

            พุทธศาสนานั้นเน้นทั้งด้านวิชาการและด้านปฏิบัติการ  พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการ  ตามที่พระองค์ก่อนเสด็จบรรพชา  ท่านได้ ๑๘ ดอกเตอร์  ๑๘ ศาสตร์  แต่ไม่ได้อยู่อันเดียวเป็นวิชาที่ไม่มีใครสอน  วิชานั้นหาครูสอนไม่ได้  ได้แก่  ) วิชาแก้ไขปัญหาชีวิต  ) วิชาแก้ปัญหาทุกข์  ไม่มีในศาสนาอื่น

            ขอให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ทราบว่า  พระพุทธเจ้าเน้นวิชาการ  มีลูกมีหลานขอให้เรียนเป็นดอกเตอร์  เรียนให้มีวิชาความรู้ให้ได้  “นกไม่มีขน  คนไม่มีความรู้”  จะดีได้อย่างไร  นกไม่มีขนบินไม่ได้  คนไม่มีความรู้จะเก้อเขินในสังคม  แต่วิชาแก้ไขปัญหาชีวิต  และวิชาแก้ทุกข์  ไม่มีครูสอน  พระพุทธเจ้าจึงทรงเสด็จบรรพชาไปศึกษาเอง  ต้องภาวนาเองให้มันผุดขึ้นมาเองเป็นปัญญา  ให้ตัวเรามีปัญญาจะได้แก้ไขปัญหาได้  ถ้าไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาไม่ได้  กว่าจะไปหาวิชานี้ได้ต้องใช้เวลานานถึง ๖ ปี  สำเร็จสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงได้มาสอนประชาชนให้พ้นทุกข์  พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาอย่างล้นพ้น  แต่น่าเสียใจด้วย  พระพุทธเจ้าได้วิชามาให้เราแต่เรากลับนำไปทิ้ง  ไปสร้างแต่ปัญหาตลอด  นี่แหละพระพุทธเจ้าสอนให้เราแก้ไขปัญหาชีวิต  ไม่ใช่สร้างปัญหาชีวิต  ให้คลี่คลายปัญหาไปสู่ทางที่ดีมีปัญญา  “เรียนให้รู้  ดูให้จำ  ทำให้จริง”  ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็หมดโอกาส  ศาสนาอื่นไม่มีที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้ 

            การปฏิบัติกรรมฐานแก้ปัญหาชีวิต  กำหนดจิต  คิดหนอ…  โกรธหนอ…  เป็นการแก้ปัญหาชีวิตที่ดีที่สุด  ถ้าพูดแต่ศาสนาพุทธ  เรียนแต่หนังสือ  เหมือนอย่างพระมหาเปรียญ ๙ ประโยค  แปลหนังสือได้  แต่ไม่เคยปฏิบัติ  จึงแก้ปัญหาไม่ได้  เหมือนอย่างท่านทั้งหลายที่มากันนี้เรียนแต่หนังสือ  รู้มาก  แต่ไม้รู้จริง  คนรู้จริงต้องปฏิบัติได้  “รู้จริง  ต้องทำ  รู้จำ  ต้องท่อง  รู้แจ้ง  ต้องคิดก่อน” 

            ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ลึกซึ้งมากมีอยู่ ๒ ประเด็น  คือ 

                                    ) คันถธุระ            ) วิปัสสนาธุระ 

            คันถธุระ  ต้องเรียน  มีเรียนตามลำดับและเรียนสันโดษ  เรียนตามลำดับคือเรียนวิชาไปตามขั้นตอน  เรียนสันโดษคือเรียนด้วยการปฏิบัติทั้งหมด  บรรยายแล้วปฏิบัติตามที่ครูสอน  อย่างที่วีโก้ได้ปฏิบัติมาแล้ว  เรียกว่าเรียนสันโดษ  วีโก้ก็มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาแล้วมาปฏิบัติเรียกว่ากรรมฐาน  การกระทำให้ฐานะดี  การกระทำให้จิตมีหลัก  มีสติ  มีปัญญา  มีการแก้ปัญหาได้  รูปนามขันธ์ห้าเป็นอารมณ์  รู้จริง  รู้แจ้ง  เห็นจริง  เห็นแจ้ง  จึงเรียกว่าวิปัสสนา  ส่วนมากเป็นครูอาจารย์มีแต่รู้คันถะ  รู้แต่วิชาการในหนังสือหรือเรียนจากครูบาอาจารย์ไม่เคยปฏิบัติเลย  จะรู้จริงไม่ได้  รู้จริงต้องปฏิบัติ  ปฏิบัติได้  แก้ปัญหาได้  ถึงจะสอนได้ดี  ถ้าคนปฏิบัติได้จริงแล้วจะรู้ซึ้ง  รู้เข้าใจ  รู้แก้ปัญหาได้ทุกประการ  เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนตรงนี้คนเราจะได้ไม่มีปัญหาในครอบครัว  จิตจะสงบ  จะไม่สร้างความเลวร้ายให้กับใคร  และตัวเองก็จะไม่ประพฤติชั่ว  และไม่ไปทางอบายมุข  อันนี้เป็นจุดสำหรับข้อปฏิบัติทั้งหมด 

            พระพุทธเจ้าสอนอริยมรรค  มรรค ๘  อริยสัจ ๔  อย่างที่เรียนกัน  อยากจะเรียนถามว่า  มรรค ๘ มีอะไร  ปฏิบัติได้ไหม?  มรรค ๘ สรุปเหลือ ๓  คือ  ไตรสิกขา ๓  คือ ศีล  สมาธิ  ปัญญา  ทุกคนถ้าเรียนแต่วิชาการจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้  เช่น  ศีล  จะเข้าใจผิดคิดว่าศีล ๕  ศีล ๘  ศีล ๒๒๗  อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้  ต้องรู้ว่าศีลแปลว่าปกติ  ปกติมาจากไหน  คนที่จะปกติได้จะต้องมีสติสัมปชัญญะ  นี่ถึงจะเรียกว่าศีล

            ศีล  แปลว่า  มีมารยาท  กายจะยืน  เดิน  นั่ง  นอน  เหลียวซ้ายแลขวา  มีสติสัมปชัญญะ  วาจาก็พูดมีสัจจะความจริงต่อประชาชน  จริงต่อตัวเอง  และจริงต่อคนอื่น  ถ้าคนขาดสติสัมปชัญญะหมดโอกาสที่จะมีศีล  ถ้าไปสอนตามหนังสือไม่ได้ความ  ต้องสอนภาคปฏิบัติ  ถ้าใครปฏิบัติได้จะรู้ว่าศีลแปลว่าปกติ  คนที่ปกติจะดีมีสติสัมปชัญญะนั้นจะเรียบร้อยทุกอย่าง  จะทำอะไรก็มีปัญญาทุกอย่าง  นี่คือศีลชัดเจน  ตั้งแต่ ปาณาฯ ถึงสุราฯ นั้นไม่ใช่ศีล  แปลว่าองค์ปฏิบัติ  ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะแล้วนั้น  จะไม่ฆ่าสัตว์  คนมีสติสัมปชัญญะสูงขึ้นเป็นชั้นที่สองจะไม่อยากได้ทรัพย์ของคนอื่น  จะไม่เห็นแก่ตัว  ถ้าคนมีสติสัมปชัญญะดีมีปกติดีแล้วไม่ขาดสติ  จะไม่ล่วงประเวณีกับลูกเขา  เมียเขาในสังคม  จะไม่หลอกลวงโลกหวังเอาลาภ  ไม่พูดเท็จ  ไม่พูดส่อเสียด  ไม่พูดคำหยาบ  ไม่พูดเพ้อเจ้อ  ถ้าเรามีสติชั้นห้าเราจะไม่ดื่มสุรา  เพราะสติมันครบวงจร

            ถ้ามีสติสัมปชัญญะดีแล้ว  จะมีสมาธิโดยอัตโนมัติ  แต่ถ้าคนขาดสติสัมปชัญญะจะไม่มีสมาธิ  สมาธิจะไม่เกิด  จะเป็นคนวุ่นวาย  เป็นคนฟุ้งซ่าน  เป็นคนคิดมาก  เป็นคนแก้ปัญหาไม่ได้  สมาธิแปลว่า  จับจุดนั้นเป็นจุดเดียว  ไม่คิดหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน  คิดแต่เรื่องเดียว  อย่าคิดหลายเรื่องในขณะนั้น  หลายเรื่องมันสับสน  เป็นสมาธิไม่ได้  ถ้าคนไม่มีสติสัมปชัญญะทำสมาธิไม่ได้เลย  สมาธิแปลว่าจับจุดงานอย่าทิ้งงานและหน้าที่รับผิดชอบ  คือสมาธิภาวนา

            เพราะฉะนั้นการสอนพระพุทธศาสนาจึงไม่เหมือนกัน  การปฏิบัติกรรมฐานไม่เหมือนกัน  ปฏิบัติไม่ถูกต้องเยอะ  ปฏิบัติที่ถูกต้องมีสติ  ใช้สติปัฏฐานสี่เป็นแนวปฏิบัติ  จะบอกว่า พุทโธ  ไปสวรรค์นิพพานไม่ถูกต้อง  เพราะว่าแค่สมบัติมนุษย์ยังรักษาไม่ได้  จะไปสวรรค์ได้อย่างไร  การสอนพุทธศาสนาไม่ใช่สอนง่าย  ถ้าเป็นครูอาจารย์ปฏิบัติไม่ได้อย่าไปสอน  ไม่ขลัง  ดูหนังสือแล้วมาสอนใครก็สอนได้  ปฏิบัติไม่ได้  ไม่ได้ผล  น่าจะพูดข้อปฏิบัติ  ไม่ใช่เอาหนังสือมาพูด  เพราะฉะนั้นสมาธิแปลว่าสัจจะ  ทำงานอย่าทิ้งงาน  คนที่ทิ้งงานนี้จะเสียเวลามาก  คนที่มีสมาธิไม่มีเดี๋ยว  ไม่พลัดวันประกันพรุ่ง  ต้องทำงานให้เสร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งโครงการไว้  แล้วงานนั้นเสร็จทันเวลา  ไม่เสียเวลา  เหมือนคนไทยชาวพุทธที่ไม่ปฏิบัติ  โกงเวลาเก่ง  มาทำงานก็สาย  กลับก่อนเวลา

            ภาคปฏิบัติไม่ใช่ของง่าย  แต่ก็ไม่ใช่ของยากถ้าตั้งใจ  ถ้าไม่ตั้งใจเรียนผ่านไปเฉยๆ ไม่มีประโยชน์แล้วก็จะมาว่าศาสนาพุทธไม่มีประโยชน์  สมาธิมีอยู่มาก  คือจับงานอย่าทิ้งงานและหน้าที่รับผิดชอบ  ถ้าคนไม่มีสติสัมปชัญญะจะไม่รับผิดชอบ  แค่ตัวเองก็ยังไม่รับผิดชอบตัวเอง  แล้วจะไปรับผิดชอบคนอื่นเขาได้หรือ  เดี๋ยวนี้คนชาวพุทธบางแห่งไม่รับผิดชอบตัวเอง  ไม่ใช่ชาวพุทธแท้  แต่เป็นชาวพุทธแบบฟอร์ม  เป็นชาวพุทธเศษกระดาษ  เรียนมาด้วยกันทั้งนั้นแต่ไม่ปฏิบัติ  เหมือนชาวพุทธแบบฟอร์ม  รู้แต่ข้าวขันแกงโถไปวัดตักบาตร  สมาธิคือไม่ผัดวันประกันพรุ่ง  ถ้าใครผัดวันประกันพรุ่ง  ไม่เอางานเอาการคนนั้นขาดสมาธิ  ทำไมขาดสมาธิ  เพราะขาดสติสัมปชัญญะ  ถ้ามีสติสัมปชัญญะครบวงจร  วิสัยทัศน์กว้างขวาง  วิสัยทัศน์กว้างไกล  คนนั้นจะมีอัธยาศัย  มีน้ำใจ  จะมีเมตตา  เรียกว่าสมาธิภาวนา  มันผุดขึ้นเอง  ถ้าสมาธิได้จากการอ่านหนังสือทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล  ต้องให้มันผุดขึ้นมาเอง  ในเมื่อมันผุดขึ้นมาแล้วก็จะเกิดปัญญาแก้ไขปัญหาได้  นี่คือสมาธิ 

            มีสติสัมปชัญญะดี  มีสมาธิดี  แล้วก็เกิดมั่นใจในตัวเอง  สมาธินั้นทำงานเสร็จทันเวลา  คิดได้เร็ว  และความคิดนั้นถูกต้อง  และนำไปใช้ได้ทันที

            สมาธินั้นประกอบด้วย สติ  สัมปชัญญะ  คือ  สติปัฏฐาน ๔  จะทำอะไรเรียบร้อย  จะขยัน  ไม่นอกหน้าที่การงาน  จะขยันเฉพาะในหน้าที่การงานของตนเท่านั้น  คนที่ขยันนอกหน้าที่การงานนั้นเป็นคนขาดสมาธิ  ขาดสติ  คนที่มีสติสัมปชัญญะกำหนดกรรมฐานได้จะจัดงานอะไรก็เรียบร้อย  ทำอะไรก็ไม่บกพร่อง  ทำอะไรก็ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน  ทำอะไรก็ไม่เห็นแก่ตัว  คนที่มีสมาธิจะไม่กลัวลำบาก  ความยากจะไม่เกิดขึ้นแก่เขา 

            ปัญญา  ถ้าปฏิบัติได้  มีสติได้  จะเกิดปัญญามี ๒ ประการ  โลกียปัญญา  และ โลกุตตรปัญญา,  โลกียปัญญา  คือปัญญาทางโลก  โลกุตตรปัญญา  คือปัญญาทางธรรม  ควบคู่กันไป

            โลกียปัญญานั้น  พระพุทธเจ้าสอนเน้นวิชาการ  คนเกิดมาในโลกนี้ถ้าไม่มีความรู้จะไร้ความหมาย  โลกียปัญญา  หมายความว่าแผนงานของชีวิตที่จะต้องดำเนินงาน  ประกอบกิจหน้าที่การงาน  จะเป็นวิชาแพทย์  วิชาวิศวกร  วิชาต่างๆ นั้น  เป็นโลกียปัญญา  ไม่เรียนไม่ได้  เป็นภาคบังคับ 

            แต่มีวิชาความรู้ดีอย่างไรก็ตาม  ความรู้นั้นเอามาแก้ปัญหาชีวิตไม่ได้  ความรู้นั้นเอามาแก้ปัญหาได้เฉพาะการงานที่ทำตามหน้าที่ที่ได้เรียน  เช่น  เป็นวิศวกรไฟฟ้า  ต้องเรียนไฟฟ้าให้จบ  เป็นวิศวกรโยธาต้องเรียนให้จบ  เป็นนักธุรกิจ  หรือเป็นรัฐศาสตร์การปกครองต้องเรียนให้จบ  แต่วิชาการเหล่านี้ทั้งหมดไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาชีวิตของเขาได้  ถึงเขาจะมีความรู้ก็รู้มาก  แต่ขาดความรู้จริง  ถ้ามีความรู้จริงที่จะแก้ปัญหาได้แน่นอนต้องเข้าไปสู่โลกุตตรปัญญา 

            โลกุตตรปัญญานั้น  เป็นปัญญาที่จะต้องแก้ไขปัญหาชีวิต  เป็นการแก้ปัญหาทุกข์  เป็นการแก้เหตุการณ์ที่เกิดเฉพาะหน้าได้

            โลกียปัญญาเป็นภาคบังคับ  เช่นประเทศไทยต้องเรียนภาคบังคับ ๑๒ ปี  ๖ ปีแรกชั้นประถมศึกษา  ๖ ปีหลังชั้นมัธยมศึกษา  แต่จะเข้ามหาวิทยาลัยปริญญาตรี โท เอก ไม่บังคับ  แต่รัฐบาลกระทรวงศึกษาธิการต้องบังคับ ๑๒ ปีเป็นภาคบังคับ  ไม่อย่างนั้นขาดความจำเป็นของชีวิต  แต่เราจะเรียนทางโลกไปแค่ไหน  ถึงจะเรียนสูงมากมายเท่าไรก็ตาม  ก็ทำให้วิชาการสูงขึ้น  แต่ขาดความดีของชีวิตคือโลกุตตรปัญญาแล้วไม่สามารถจะส่งเสริมวิชาการให้ดีได้  ถ้าวีโก้มีด้านวิชาการมากดี  แต่วีโก้ขาดความดี  ขาดปัญญาแก้ไขปัญหา  วีโก้จะไร้ความหมาย  เหมือนวีโก้ปลูกเรือนสวยไม่มีบันได  บ้านสวยไม่มีบันได  จะขึ้นบ้านไม่ได้  สรุป  “ความรู้ต้องคู่กับความดี”  ความดีเท่านั้นจะส่งเสริมวิชาการให้วีโก้เด่นในสังคมต่อไป

            นี่แหละมีความสำคัญมาก  แต่คนขาดความสำคัญข้อนี้  ไม่ได้ปฏิบัติแล้วจะรู้ซึ้งในศาสนาพุทธไม่ได้  ศาสนาพุทธนี้บริสุทธิ์  ไม่มีโอกาสที่จะไปเบียดเบียนใครเขาได้  บังคับไม่ได้  แล้วแต่ใจของคน  ถ้าจิตใจคุณมีกุศล  คุณก็ปฏิบัติเอง  ถ้าจิตใจของคุณไม่มีกุศลก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้คุณเข้ามาในข้อปฏิบัติของศาสนาพุทธได้  เพราะฉะนั้นปัญญาตัวนี้สำคัญมาก  ปัญญาทั้งสองอย่างสำคัญ  บางแห่งพระท่านจะพูดว่า  ปัญญาโลกุตตระตัวเดียว  ไม่พูดปัญญาทางโลกียะ  ถ้าคนเราเกิดมาไม่มีวิชาความรู้ใช้ไม่ได้  พระพุทธเจ้าสอนภาคบังคับ  เดี๋ยวนี้ทำถูกแล้ว เรียน ๑๒ ปี  แต่พระพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว  ไม่อย่างนั้นท่านจะเป็นดอกเตอร์ ๑๘ ศาสตร์ได้อย่างไร  แต่ท่านออกบวชนี้เพื่อต้องการไปหาวิชาแก้ปัญหาให้เรา  แต่เรากลับเอาไปทิ้ง  เลยเรียนแต่วิชาการ  เรียนแต่หนังสือแล้วมาสอนกัน  ไม่มีผลในทางย้อนกลับมาหาจิตใจ  เลยก็มาว่าศาสนาพุทธไม่เป็นประโยชน์  เพราะฉะนั้นปัญญาโลกุตตระมี ๓ ลักษณะ  เหมือนลักษณะทางโลกและทางธรรมรวมกันดังต่อไปนี้ 

                  . สุตมยปัญญา  ปัญญาเกิดจากการฟัง  เช่นการฟังจากครูอาจารย์ให้เกิดปัญญา

                  . จินตมยปัญญา  ปัญญาเกิดจากความคิด  คิดก่อน  ถ้าไม่คิดเกิดปัญญาไม่ได้

ความคิดกับการฟังนั้น  ถ้าตั้งใจฟัง  สนใจฟัง  ทบทวนกำหนดจดจำได้ปัญญา  แต่ก็ยังไม่เกิดประโยชน์  ประโยชน์จะมาต้องคิดก่อน  ว่าคิดด้วยปัญญาไหม  ที่ฟังนี้เอาไปใช้อะไรได้บ้าง  ใช้เป็นประโยชน์ไหม  ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ฟังเสียประโยชน์  ปัญญาเกิดจากความคิด  คิดแล้วว่าใช้ประโยชน์ได้  ก็เอามาใช้  คิดก่อนคือมีสติกรรมฐาน  อย่างนี้เรียกว่าสองปัญญา

                  . ภาวนามยปัญญา  ภาวนาให้เกิดปัญญา  ภาวนามยปัญญานี้ทุกคนไม่ได้ทำ  แต่สุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา  มีคนทำมากแล้ว  มีคนปฏิบัติได้  แต่ภาวนาไม่มีคนทำ  ภาวนามยปัญญาเรียกว่าเจริญภาวนา  เจริญสติปัญญา  เรียกว่าเจริญกรรมฐาน  น้อยคนที่จะทำ  ภาวนาให้มันเกิดขึ้นเอง  เรียกว่าอ่านหนังสือไม่มีตัว  มันผุดขึ้นมาเอง  ปัญญาเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม  เป็นปัญญาแก้ไขปัญหาได้  สมมติว่า  วีโก้มีความทุกข์หนังสือแก้ไม่ได้  มีปัญหาในครอบครัว  วิชาไหนในเล่มใดที่จะแก้ปัญหาได้  ไม่มีเลย  ต้องใช้ปัญญาในตัว  ปัญญาในตัวนี้คือภาวนาให้มันเกิดปัญญา  “ปัญญาติดมากับตัว  ความรู้อยู่ในตำรา  สนใจศึกษาเอง” 

            ปัญญาเกิดจากการภาวนานี้  ของใครของมันต้องฝึก  จะไปเอาปัญหาของคนอื่นเขามาแก้ไม่ได้  แต่ปัญหาที่จะแก้ให้คนอื่นได้มีอยู่ ๒ อย่าง  ได้แก่  วิชาการที่สอน  และขัดข้องทางวิทยานิพนธ์  อาจารย์ที่ปรึกษาสามารถจะเป็นที่ปรึกษาสอนได้  แต่โลกุตตรปัญญานั้น  ทุกคนเป็นที่ปรึกษาให้ไม่ได้  ต้องทำขึ้นเอง  ภาวนามยปัญญา  เช่น  พองหนอ  ยุบหนอ  เกิดขึ้นตั้งสติไว้ที่ลมหายใจนั้น  และมันจะเกิดขึ้นเองว่ามีปัญหาอะไรจะออกมาแก้ได้  ที่เราเจริญกรรมฐานกำหนดจิตเป็นการฝากฝังหน่วยกิตไว้ที่คอมพิวเตอร์  จิตเป็นธรรมชาติที่จะต้องคิดอ่านอารมณ์  รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง  ไม่มีตัวตน  คือจิต  ในเมื่อมีสติสัมปชัญญะอยู่ที่จิตภาวนาแล้วนั้น  มันจะผุดขึ้นมาแก้เอง  ว่าปัญหาของคุณนี้มันจะแก้ได้อย่างไร  เราเท่านั้นเป็นผู้รู้จริง  คนอื่นรู้ไม่จริงหรอก  ภาวนามยปัญญาทำให้รู้จริง รู้แจ้ง  เห็นจริง  เห็นแจ้ง  ไม่ต้องคนอื่นมาบอก  ไม่ต้องไปหาหมอดู  อะไรจะรู้จริงเท่าเราเองไม่มี  อย่างวีโก้ทำชั่ว  รู้เอง  ทำดีก็รู้เอง  แล้วเราก็แก้ของเราเอง  มันจะผุดขึ้นมาสอนเราเอง  ทำให้เราช่วยตัวเองได้  ทำให้พึ่งตนเองได้  ทำให้สอนตัวเองได้ 

            ภาวนานี้พึ่งตัวเองได้  ช่วยตัวเองได้  สอนตัวเองได้แน่นอน  ตัวปัญญาสอน  บอกให้เรารู้ว่าควรแก้อย่างไร  เขาเหล่านั้นจะยอมรับโดยไม่มีปัญหา  จะยอมรับเหตุผล  แต่ถ้าคนอื่นมาสอนเราจะไม่ยอมรับ  ถ้าเราสอนตัวเองโดยที่รู้จริงรู้แจ้ง  ของเราเอง  เข้าใจเองจะสอนตัวเองได้ง่าย  เราจะไปสอนคนอื่นเขาก็ไม่ยอมรับ  ถ้าเขารู้จริงรู้แจ้งด้วยตัวเองแล้ว  เขาจะสอนตัวเองได้ดีมาก  เมื่อเรารู้จริงในตัวเองแล้ว  สอนตัวเองได้ดีมาก  ต้องยอมรับทุกข้อหา  ตรงนี้คือจุดมุ่งหมายของชาวพุทธสำคัญมาก  คนอื่นจะมาสอนเราเท่าไร  ก็สู้เราสอนตัวเองไม่ได้  ในเมื่อเราสอนตัวเองได้แล้ว  มีปัญหาอะไรก็แก้ได้ทั้งนั้น  เช่น  เราโกรธ  ปัญญาแก้ได้  โกรธคือไม่พอใจ  ถ้าสติดี  โกรธนั้นจะหายไป  จะไม่โกรธค้างคืนให้อารมณ์ค้าง  ถ้าเราเป็นครูอาจารย์มีปัญหาโกรธค้างคืนจะสอนไม่ได้ดี

            การแก้ปัญหาชีวิตนี้มีความสำคัญสำหรับชาวพุทธ  พระพุทธเจ้าสอนทุกวีถีทาง  รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า  อย่าอารมณ์ค้าง  โกรธ  เสียใจ  ไม่สบายใจแล้ว  ไม่แก้  ถ้าเราเจริญสติปัฏฐานสี่  เจริญกรรมฐานแก้ได้ทันที  จะทำอะไรก็สำเร็จ  เช่นพ่อค้าแม่ค้าถ้าอารมณ์ค้างขายของไม่ได้  ไม่มีใครซื้อ 

            ตัวปัญญานี้  แปลว่าความรู้  รอบรู้  รู้จริง  รู้แจ้ง  เรียกว่าตัวปัญญา  ปัญญาตัวนี้ไม่ใช่ปัญญาที่จะต้องรู้วิชา  พระพุทธเจ้านี่ยอดพัฒนา  พัฒนาจิตได้ดีมาก  ตัวปัญญานี้แก้ไขปัญหาได้  ถ้าใครเก็บความทุกข์เอาไว้ไม่มีปัญญาจะแก้ไขปัญหา  ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองเลย  มีแต่ความทุกข์ตลอด  ไม่มีความสุข  ถ้ามีปัญญามันก็ปัดทุกข์ออก  ความสุขมาแทนที่ได้

            ปัญญาจะรู้กาลเทศะ  รู้กาลเวลา  รู้กิจลักษณะ  รู้ว่าเด็ก  รู้ว่าผู้ใหญ่  รู้หน้าที่การงาน  รู้เหตุการณ์ของชีวิตได้เช่นนี้แล้ว  สามารถจะแก้ปัญหาได้  ศัพท์ไทยก็คือ รู้บาป  รู้บุญ  รู้คุณ  รู้โทษ  รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์  และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่างกันอย่างไร 

            ปัญญาตัวนี้ไม่มีใครจะสร้าง  ไม่มีใครจะปฏิบัติกัน  มีแต่จะเรียนรู้กันทุกศาสนาอย่างวิชาศาสนาเปรียบเทียบ  แต่ทุกศาสนาเขาเรียนจบอย่างวิชาการตามหนังสือ  แต่โดยวิธีปฏิบัติทุกศาสนาไม่เคยปฏิบัติ  อย่างศาสนาอิสลาม  คริสต์  ฮินดู  ดีหมดเขาสอนให้เป็นคนดีทั้งนั้น  แต่ตื้นลึกหนาบางไม่เหมือนกัน 

            โดยวิธีปฏิบัติกรรมฐาน  คือ

) พัฒนาจิต 

) พัฒนาการศึกษา 

) พัฒนาเศรษฐกิจ 

) พัฒนาสังคม 

        จิตเป็นธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์ของตัวเอง  อารมณ์ดีหรือไม่ดี  ไม่มีตัวตนที่จะเอามือคลำได้  เหมือนอย่างร่างกายของวีโก้  แต่จิตมีอำนาจใช้กายของคุณวีโก้ให้เดินมาได้  มันเป็นความคิดเท่านั้น  จิตเป็นธรรมชาติทุกอย่างสั่งได้  สั่งให้เราเดิน  สั่งให้เรานั่ง  สั่งให้เราทำงาน  ถ้าจิตของเราขาดสติสัมปชัญญะขาดผู้ควบคุมดูแลเขาจะเดินผิดทาง  เขาจะทำงานไม่ถูกต้อง  ถ้าจิตดีแล้วทำดีหมดทุกอย่าง  ถ้าจิตไม่ดีทำเสียหมดทุกอย่าง  จิตสำคัญมากที่สุด  ถ้าจิตใจเราไม่ดีแล้ว  กายก็เลว  จิตใจก็อ่อนไหวไปหมด  จึงต้องพัฒนาจิต  ต้องการให้มีหลักธรรมยึดเหนี่ยวทางจิต  เพื่อดำเนินงานทางสังขารร่างกายให้ถูกต้อง  จิตที่เป็นธรรมชาติไม่มีตัวตน  ถ้าหากปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วคนนั้นจะดีเด่นเห็นชัดและเห็นไกล  ปัญญาจะเกิดขึ้นตรงนั้น  พระพุทธเจ้าจึงเน้นพัฒนาจิต  ตั้งสติไว้ทุกประการ  อารมณ์ของจิตก็คือลมหายใจ  หายใจเข้า-หายใจออกนี้เป็นอารมณ์ของจิตโดยไม่มีตัวตน  ตั้งสติไว้ที่อารมณ์นี้เท่านั้น  ถ้าอารมณ์ดีจิตดีแล้ว  ทำงานดีหมด  คนก็ใจเย็นลงใจไม่ร้อน  ทำอะไรก็ดีมีประโยชน์  ปัญญาเกิดตอนใจเย็น 

            การปฏิบัติกรรมฐานเราจะเห็นได้ชัดเจน  ลมหายใจเข้า-ออก  เป็นตัวหนังสือได้  สามารถโทรจิตไปเป็นตัวหนังสือได้  ทุกคนไม่ลึกซึ้ง  เรียนไม่จริง  ปฏิบัติไม่จริง ทุกคนจึงไม่สามารถสอนได้จริง  สอนได้แต่เพียงผิวเผิน  ทุกศาสนาไม่ได้ปฏิบัติจนถึงขั้นของเขา  จะไปว่าศาสนาพุทธไม่ดี  ศาสนาคริสต์ไม่ดี   ศาสนาอิสลามไม่ดี  ไม่ใช่  แต่ปฏิบัติไม่ถึงขั้นของเขา  ไม่ถึงที่ของเขา  เดินทางไม่ถึงจุดมุ่งหมายของเขา ดีได้อย่างไร 

            จิตนี้อยู่ตรงไหน  จิตอยู่ตรงไหนต้องพัฒนาตรงนั้น  บางท่านเรียนศาสนาพุทธมาก็จริง  แต่อาจจะไม่ทราบว่าจิตอยู่ตรงไหน  แก้ไขจิตอย่างไร  ทำจิตให้ดีได้อย่างไร  เขาไม่ทราบแน่นอน  จิตอยู่ที่อายตนะธาตุอินทรีย์  จิตอยู่ที่ตา  จิตอยู่ที่หู  จิตอยู่ที่จมูก  จิตอยู่ที่ลิ้น  จิตอยู่ที่กายสัมผัสร้อนหนาว  เรียกว่า ทวาร ๖ 

            ทวาร ๓  คือ  ทวารกาย  ทวารวาจา  ทวารจิต  เป็นบ่อบุญและบ่อบาป  เป็นที่มาของบุญและบาป 

            ทวาร ๖  เป็นที่มาของจิต  จิตอยู่ที่ทวาร ๖  คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  จิต 

            ทวาร ๙  เป็นที่มาของอสุภกรรมฐาน  คือ ตา ๒  หู ๒  จมูก ๒  ปาก ๑  ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑

            ทวาร ๖ ที่มาของจิต  จิตเป็นธรรมชาติที่จะต้องคิดอ่านอารมณ์  รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง  ทวาร ๖ นี้สำคัญมาก  คนชาวพุทธชอบทำบุญ  ถวายสังฆทาน  สร้างโบสถ์  สร้างวิหาร  เป็นการสงเคราะห์คนอื่น  แต่การปฏิบัติสร้างความดีเป็นการสงเคราะห์ตัวเอง  คนไทยไม่สนใจเท่าไร  คนชาวพุทธชอบทำบุญ  ไม่ชอบสร้างบุญ  ทำบุญคือสงเคราะห์คนอื่น  สร้างบุญนี่คือการสร้างให้ตัวเองมีความสุข  บุญแปลว่าความสุข  ทุกคนต้องการมีความสุข  แต่ทำไมเอาทุกข์มาใส่ไว้ในใจ 

            พัฒนา  แปลว่า  ทำให้ความเจริญเกิดขึ้นแก่ตัวเอง  มือ ๒  เท้า ๒  สมอง ๑  เป็นที่พึ่งให้พัฒนาจิตได้  พัฒนาที่ตา  กำหนด เห็นหนอ…  ส่งกระแสจิตออกไปทางหน้าผากนี้  เห็นด้วยปัญญา  เห็นคนนี้นิสัยเป็นอย่างไรบอกได้ทันที  ถ้าทำภาวนาได้  ตั้งสติไว้ที่ตา  ตั้งสติไว้ที่หู  หูได้ยินเสียงไม่มีตัวตน  ตั้งสติไว้  กำหนดว่า เสียงหนอ…  ถ้าสติดี  จะรู้ว่าเสียงคนที่พูดกับเราโกหก  นี่มีประโยชน์มาก  ลมหายใจเข้า-ออก  เหม็นหรือหอมตั้งสติไว้ตรงนี้เป็นการพัฒนา  เหม็นก็ไม่สนใจ  หอมก็ไม่สนใจ  ชอบเป็นโลภะ  ไม่ชอบเป็นโทสะ  ขาดสติเป็นโมหะ  ทวารปาก  ลิ้นรับรส  เปรี้ยว  หวาน  มันเค็ม  มีสติไว้  เกิดปัญญา  กายสัมผัสร้อนหรือหนาว  อ่อนหรือแข็งที่นั่งลงไป  ตั้งสติไว้  มีสติปัญญาตรงนี้ถึงจะถูกต้อง

            ภาคปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา  ทำให้ใจใสสะอาดบริสุทธิ์  ทำให้มีเมตตา  ทำให้แก้ปัญหาได้  ทำให้โลภ  โกรธ  หลงลดลงไปได้  ทำให้ใจเย็นลงได้มาก  ด้วยลมหายใจเข้า-ออก  การคิด  และการแก้ปัญหาชีวิตนั้นอยู่ที่ลิ้นปี่  โดยหายใจยาวๆ  กำหนดโกรธหนอตรงนี้  คิดไม่ออก  เอาไปสอนนักเรียนนักศึกษาได้  ให้หายใจยาวๆ  คิดหนอ…  คิดออกมาจนได้  ออกมาเป็นตัวปัญญาที่ถูกต้อง  คิดให้เกิดปัญญาตรงนี้ 

            ท่านสาธุชนและครูบาอาจารย์ทั้งหลายถ้าจะแก้ปัญหาให้แก้ตรงนี้ที่ลิ้นปี่นั่น  หายใจยาวๆ  คนเราหายใจสั้น  ใจร้อน  ไม่มีปัญญา  หายใจให้ยาวๆ  ตั้งสติไว้จะมีปัญญามากมาย  จะเห็นอะไรดูด้วยปัญญา  อย่าดูด้วยกิเลส  อย่าดูด้วยความ โลภ  โกรธ  หลง  ต้องดูด้วยปัญญา  โดยตั้งสติไว้ที่หน้าผากนี้  เสียงหนอ…  ตั้งสติไว้ให้มั่น  ถ้าเรามีสมาธิอยู่เดิม  แก้ปัญหาได้เดี๋ยวนี้  ถ้าหากว่าไม่ได้ฝึกไว้ก่อน  ไม่มีสมาธิ  แก้ปัญหาไม่ได้  ต้องมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อน  เสียงหนอ…  จะรู้ว่าคนนี้โกหก  มีประโยชน์ต่อนักธุรกิจ  นักบริหารประเทศชาติ  กลิ่นหนอ…  เหม็นไม่พอใจเป็นโทสะ  หอมชอบเป็นโลภะ  ขาดสติสัมปชัญญะกลายเป็นคนโมหะไม่มีปัญญา  ลิ้นรับรสอาหาร  ถ้าขาดสติอยากจะกินโน่นกินนี่  โดยไม่รู้จักการประมาณในการรับประทานอาหาร  ต้องพัฒนาตรงนี้อีกอย่างหนึ่ง  กายสัมผัสร้อนหนาว  ต้องมีสติ  ถ้าเราไม่มีสติทนร้อนทนหนาวไม่ได้  หนาวนักไม่ทำงาน  ร้อนนักไม่ทำงาน  เช้าไม่ทำงาน  สายไม่ทำงาน  บ่ายเย็นไม่ทำงาน  แก้ปัญหาไม่ได้  เพราะฉะนั้นต้องมีสติอยู่ที่กาย  คือจิตต้องพัฒนากายด้วย 

            การพัฒนาจิตจึงมีประโยชน์แก่ชีวิตมาก  เพราะฉะนั้น  หายใจให้ยาว ๆ ไว้  คนที่หายใจสั้นจะทำอะไรไม่สำเร็จ  ลมหายใจเป็นตัวหนังสือได้  คนมีโลภะหายใจอย่างนี้  กลิ่นตัวเหม็นอย่างนี้  คนมีโทสะอิจฉาเก่งต้องหายใจอย่างนี้  กลิ่นตัวต้องอย่างนี้  คนมีโมหะไม่สนใจใคร  ต้องหายใจระบบนี้  กลิ่นตัวต้องอย่างนี้ 

            ท่านทั้งหลายถ้าปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาได้  มีสติสัมปชัญญะจากที่สรุป มีศีล  สมาธิ  ปัญญา  คนมีศีลต้องมีสติสัมปชัญญะ  ศีล-สมาธิ-ปัญญา  ย่อลงเหลือ ๒ คือ  สติ  สัมปชัญญะ  สรุปเหลือ ๑ คือ  อยู่ด้วยความไม่ประมาท

            คนที่มีศาสนาต้อง 

) พึ่งตัวเองได้ 

) ช่วยตัวเองได้ 

) สอนตัวเองได้ 

            สุดท้ายนี้ก็ขอเจริญพรคุณวีโก้  บรูน  ที่ได้เคยมาบวชที่วัดอัมพวันเมื่อ พ..๒๕๑๐  ขอเรียนถามคุณวีโก้บ้าง  ว่าท่านได้อะไรจากการมาบวช?  ท่านมาบวชทำไม? 

 

            วีโก้  บรูน  เล่าว่า

“ขณะนั้นก็มาประเทศไทยเพื่อศึกษาเล่าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เป็นนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์  มาเรียนภาษาไทย  และเพื่อนที่รู้จักกันที่หอพักชาย  เขาก็พามาที่บ้านแป้ง  ซึ่งลุงของเพื่อนคนหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นั่น  แล้วก็มาเยี่ยมวัดอัมพวันด้วย  และเลื่อมใสในหลวงพ่อมาก  แล้วก็ตั้งใจไว้ว่าจะบวชเรียนกับหลวงพ่อด้วย  หลังจากนั้นซัก ๒-๓ สัปดาห์ก็ได้มาบวช  ตอนนั้นก็โกนศีรษะนุ่งขาวเพื่อเรียนขานนาคอยู่ก่อนที่จะบวช  หลังจากบวชที่วัดกลางธนรินทร์ บ้านแป้ง  อยู่ที่วัดกลางธนรินทร์ได้ไม่นาน  ก็ย้ายมาอยู่ที่วัดอัมพวัน  เพื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 

          ขณะที่เรียนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน  ก็อยู่ที่กุฏิไม้หลังเล็ก ๆ  ที่ได้รื้อไปนานแล้ว  โดยปฏิบัติธรรมอยู่ที่โบสถ์  ตอนนั้นตั้งใจพยายามฝึกหัดวิปัสสนากรรมฐานโดยที่หลวงพ่อสอนอยู่ทุกวัน”

            ขอเจริญพรทุกท่าน  อาตมาขอขอบคุณ  คุณวีโก้  บรูน  ที่ไม่ลืมวัดอัมพวันเมื่อ ๓๐ กว่าปีผ่านมาแล้วนั้น  วีโก้  ได้มาบวชอยู่ที่วัดอัมพวัน  ว่าปัจจุบันเป็นวีโก้  บรูน  ชาวนอร์เวย์  อดีตชาติเป็นฮอลันดา  นำเรือกำปั่นมาจอดที่หน้าวัด  มิฉะนั้นวีโก้จะไม่มีโอกาสมาที่นี่  แรงดลบันดาลให้วีโก้ได้มาบวชที่บ้านแป้ง  อยู่ที่วัดกลางธนรินทร์ โดยท่านเจ้าคุณพรหมโมลีเป็นเจ้าอาวาส  วีโก้  ไปถามปัญหา ๑๐ ข้อ  แต่ท่านเจ้าคุณพรหมโมลีตอบไม่ได้  จึงพามาที่วัดนี้  อาตมาก็ตอบไปโดยที่ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่ถูก  วีโก้ก็หายไปประมาณ ๑๐–๑๕ วัน  แบกหีบกลับมาขอบวช  มาเป็นนาคที่วัดอัมพวัน  บวชแล้วก็ได้อยู่ที่กุฏิที่หญิงสองร่างนางสองชาติได้มาสร้างไว้  เป็นกุฏิหลังแรกที่วัดอัมพวัน  วีโก้อ่านหนังสือแล้วก็นั่งสมาธิ  นั่งสมาธิแล้วดูหนังสือ  ดูหนังสือเที่ยวเดียวจำได้  ท่องขานนาค ๓ ชั่วโมงได้หมด  วีโก้มาบวชนี้ได้อะไรจากวัดอัมพวัน  กลับไปแล้วได้ผลประการใด  กลับมาอีกหลายครั้ง  มาทำวิทยานิพนธ์ที่จังหวัดเชียงใหม่  เขียนวิทยานิพนธ์เรื่องผี  และได้พาภรรยาที่เป็นง่อยมาให้ดู 

            สุดท้ายนี้ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน  ขอเจริญพร.

 

----------------------------------------------------