ทางไทยทีวีสีช่อง ๓
ออกอากาศ วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๓
เรื่อง
๑. รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
๒. พี่เดียร์ นางสาว ธรธิรา กุลชล
๓. ใบเตย ด.ญ.สุธาสินี อนรรฆมาศ
๔. หนูมายด์ ด.ญ.พีราภรณ์ เทพวิวัฒน์
น้องมายด์ กราบนมัสการ ค่ะ หลวงปู่ ถ้าเกิดลูกมายด์ นะคะ เป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของ คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ช่วยเหลือทางบ้านอย่างนี้ นะคะ ถือว่า ลูกมายด์ เป็นลูกกตัญญูหรือยังคะ
หลวงพ่อ อ้อ ช่วยบ้านเฉยๆ ก็เรียกว่ากตัญญู กตัญญูต้องแปลอย่างนี้ก่อน กตัญญูแปลว่ารู้พระคุณของบิดามารดา หนูเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือดี
และก็เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อแม่
และก็พ่อแม่ทำอะไรก็ช่วยเหลือ
เขาเรียกว่ากตัญญูเบื้องต้น
เป็นพื้นฐานของคนดี
สัญลักษณ์ของคนดี
ต้องมีกตัญญู
คนที่มีสัญลักษณ์ไม่ดี
จะไม่มีความกตัญญู
ไม่นึกถึงบุญคุณของพ่อแม่
คนที่มีกตัญญู
๑.
ต้องรู้บุญคุณคน
รู้พระคุณของสัตว์ที่เลี้ยงไว้
จะไปฆ่ามันไม่ได้
รู้พระคุณของบ้านเกิดเมืองนอน
ชาติภูมิมาติภูมิของตน รู้พระคุณของเครื่องอุปกรณ์ใช้สอยที่พ่อแม่หามาให้ รวมทั้งที่อยู่โรงเรียน ไปหาอะไรมาต้องเก็บหอมรอมริบไว้ ต้องรู้พระคุณ มือสอง เท้าสอง สมองหนึ่ง
ที่พ่อแม่ให้เรามา
คือพ่อให้หัวใจ
แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลือง เป็นตัวเรามา หนูต้องสร้างความดีไป อย่างนี้ เรียกว่ากตัญญูกตเวที
เรียกว่าสนองพระคุณ
กตัญญูแปลว่ารู้พระคุณ
กตเวทีแปลว่าสนองพระคุณ ต่อบิดามารดา รู้พระคุณที่พ่อแม่หาให้ พ่อแม่ต้องการให้หนูเรียนหนังสือให้เก่ง ต้องเชื่อพ่อแม่ พ่อแม่ว่าอย่าเถียง เถียงพ่อแม่ไม่ได้ บางคนเถียงพ่อแม่ด่าพ่อแม่ ถือว่าไม่กตัญญู ท่านเลี้ยงเรามา ต้องช่วยเหลือ ท่าน ต้องไปมาลาไหว้ด้วย บอกกับเพื่อนของหนู
ไปโรงเรียนต้องไหว้พ่อแม่ ๓ หน
ถึงจะเป็นคนที่กตัญญูต่อพ่อแม่
และไปลามาไหว้ ไปไหนๆ
ก็ต้องลา มาก็ต้องไหว้พ่อแม่ ว่าได้มาแล้ว อย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่าสนองพระคุณ ที่พ่อแม่ให้เรามา
ขอเจริญพรอย่างนี้นะหนูนะ
น้องมายด์ น้องมายด์
ก็ต้องของกราบพระคุณหลวงปู่มากเลย นะคะ ที่ช่วยสอนให้ น้องมายด์ และท่านผู้ชม
เป็นลูกกตัญญูได้ นะคะ
แล้วน้องมายด์
อยากให้เด็กๆ ทุกๆ คน
เป็นเด็กดี
ไม่ดื้อกับคุณพ่อคุณแม่นะคะ
ตั้งใจเล่าเรียน
เชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ แค่นี้ เราก็เป็นลูกกตัญญูแล้วคะ
หนูใบเตย กราบนมัสการหลวงตาคะ วันนี้ ใบเตย ได้อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ มีการฆ่ากันตาย เช่น
ลูกวางแผนฆ่าแม่ตายเพื่อหวังมรดก
หรือการทำร้ายร่างกายตนเอง คะ หลวงตา ถ้าบุคคลเหล่านี้คิดได้ และกลับใจ
คิดว่าจะลบล้างความผิดที่ได้เคยทำมาแล้วได้หรือไม่คะ
หลวงพ่อ หนูมาถามว่าลูกวางแผนฆ่าพ่อแม่
เพื่อหวังมรดกใช่ไหม
แล้วฆ่าพ่อแม่แล้ว
แล้วสำนึกผิด มาคิดทีหลัง
จะกลับตัว กลับไม่ได้แล้ว
จำไว้ต้องเป็นบาปอย่างร้ายแรง
ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ นิพพาน ปิตุฆาต มาตุฆาต พระพุทธเจ้าสอน
อริยูปวา อันตราย
เกิดอันตราย หลายชาติ ต้องตายกันหลายชาติ เพราะเหตุใด ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ พระพุทธเจ้าบอก
ปิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าผู้ทรงศีลทรงธรรม เกิดเวรกรรมในปัจจุบัน ตลอดกาล ห้ามสวรรค์
ห้ามนิพพาน
แต่เพียงแต่คิดว่าพ่อแม่ไม่ดี
ก็เจ๊งแล้ว
ทำมาหากินไม่ขึ้น
แต่มีอโหสิกรรมกับพ่อแม่ ว่าคิดไม่ดี กับพ่อแม่ ขอให้พ่อแม่ อโหสิกรรมให้
และให้พรลูก ก็สามารถจะทำได้ แต่ลงได้ฆ่าไปแล้วเนี่ย ตายไปแล้ว และจะมากลับใจ กลับไม่ได้แล้ว เจตนาร้าย
หนูใบเตย กราบขอบพระคุณหลวงตามากเลยคะ
ที่ให้คำชี้แนะคะ สุดท้ายนี้ ใบเตย
ก็อยากจะฝากเพื่อนๆ ไว้สักนิด
ว่าอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ควรใช้ด้วยการตัดสินใจ คะ
พี่เดียร์ กราบนมัสการคะหลวงตา วันนี้เราจะคุยกันเรื่องกตัญญู
และอกตัญญู รู้คุณ นะคะ เดียร์ มีเรื่องอยากจะถาม
ถ้าสมมุติจะต้องไปเรียนต่อนะคะ หรือว่าสำหรับบางคนที่มีครอบครัวแล้ว
ก็ต้องแยกครอบครัวออกจากพ่อแม่ไปแล้ว นี่นะคะ และไม่มีเวลามาดูพ่อแม่ยามเจ็บป่วย อย่างนี้
จะถือว่าเป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่า คะ
หลวงพ่อ ต้องยกตัวอย่างก่อน ว่าเราเป็นนักเรียนนักศึกษา ไปอยู่ต่างประเทศไกลแสนไกล กำลังไปเรียนหนังสือ กำลังสอบบ้าง อะไรบ้าง
คุณพ่อคุณแม่ป่วย
หรือเราไม่สามารถมาปฏิบัติได้
อย่างนั้น ก็ไม่ใช่เป็นคนอกตัญญู
แต่ไม่ได้มาปฏิบัติเพราะเราเรียนหนังสือ พ่อแม่ส่งเราไปเรียนหนังสือ อยู่ไกลแสนไกล
โดยมติของหลวงตา
ขนาดเขากำลังสอบ
พ่อแม่ตาย
เขาจะรีบโทรให้กลับมา
กำลังสอบปริญญาเอก
มีตัวอย่างอยู่ที่สิงห์บุรี
ถ้าบอกก็ต้องเสียเวลาสอบ
แต่แค่พ่อตาย เขามาก็ช่วยอะไรไม่ได้
ต้องเสียค่าเครื่องบิน
ต้องมาอยู่หลายวัน
ต้องไปปีหน้าถึงจะจบ
ปีนี้จะจบแล้ว
เลยเราก็มีมติว่า ให้เก็บศพพ่อเอาไว้ก่อน มาก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
ตายแล้ว นี่สมมุติ
รอลูกจนกว่าจะจบปริญญาเอกกลับมา
และก็มาดูศพฉีดยาไว้
และก็ทำศพให้แก่พ่ออย่างดี
อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาอื่น
แต่แยกครอบครัวไปเลย
แยกครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ
อยู่ไกล แสนไกล
แต่ไม่สามารถจะมาปฏิบัติพ่อแม่ได้ พ่อแม่ก็เฒ่าชะแล แก่ชรา
เราก็ไปมีบุตรธิดา
เราก็ไม่มีโอกาสมาดูพ่อแม่
นานๆ ทีหลายปี หน
ก็ไม่ใช่เป็นลูกอกตัญญู
อกตัญญูอย่างหนึ่ง กตัญญูอย่างหนึ่ง
มันคนละอย่างกัน
บางคนไปอยู่จนกระทั่งลูกเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่เคยมาหาพ่อแม่เลย ขาดอัธยาศัย แต่ไม่ใช่เป็นลูกอกตัญญู อกตัญญูเรียกว่าทำลายพ่อแม่ทำลายน้ำใจอย่างเลวร้าย
ที่พ่อแม่สอนให้ไปทำให้ดี
กลับไปทำความชั่ว
จะตรงกันข้ามกับพ่อแม่ และก็ไม่ได้สนใจต่อพ่อแม่เลย ทำลายพ่อแม่ตลอดรายการ คิดไม่ดีต่อพ่อแม่ ก็เรียกว่า อกตัญญู ก็ต้องแปลออกให้เป็น กตัญญูแปลว่ากระไร
กตัญญูแปลว่ารู้พระคุณท่าน
กตเวทีแปลว่าสนองพระคุณท่าน นี่เราไปอยู่ไกล ได้แต่กตัญญูเฉยๆ
รู้พระคุณท่าน คุณพ่อคุณแม่มีพระคุณต่อเรามากเหลือเกิน แต่ไม่มี กตเวที
อามิสบูชา ปฏิบัติบูชา
อามิสบูชาแปลว่าอะไร ผ้าผ่อนท่อน สะใบ
หยูกยารักษาโรค ให้แก่ท่าน เรียกว่า กตเวที
ปฏิบัติบูชา พ่อมาไม่มีทาน ให้มีทาน
พ่อแม่ไม่มีศีล ให้มีศีล
พ่อแม่ไม่มีภาวนา ให้ท่านสวดมนต์ภาวนา นี่เรียกว่าปฏิบัติบูชา
อย่างสูงยิ่ง
ปฏิบัติบูชา ไม่ทำลายน้ำใจ
พ่อแม่ พ่อแม่ไม่ชอบอย่างไง อย่าปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติขัดคอพ่อแม่ พ่อแม่เสียใจน้ำไหลออกตา เพราะลูก อย่างนี้ขาดกตเวที อกตัญญูนั้น อีกอย่างหนึ่ง คือทำลายอย่างร้ายแรง ทำลายพ่อแม่ แทบจะทำร้ายพ่อแม่เลย มันคนละอย่างกัน
แต่ทีนี้เราย้ายครอบครัวไปแล้ว
ไปมีสามีภรรยามีลูกมีเต้า
เราก็ไม่สามารถจะมาปฏิบัติพ่อแม่ได้
ย่อมเป็นธรรมดา
แต่ขาดกตเวที
กตัญญูรู้พระคุณแต่ขาดกตเวที
ที่จะมาปฏิบัติท่านเจ็บระโหย
ป่วยไข้ก็ไม่มีโอกาสจะมา
อย่างนี้อย่างหนึ่ง
ถ้าเราไปเรียนนี้อย่างหนึ่ง
เราเลยบอกเขาไม่ต้องบอกลูกกำลังสอบ
เรื่องตายไว้ก่อน
ถ้าลูกมาแล้วฟื้น ค่อยบอก
ต้องอธิบายหลายๆ อย่าง
นี่กตัญญูกตเวที
พี่เดียร์ เดียร์
ขอกราบขอบพระคุณหลวงตา
สำหรับท่านผู้ชม ไม่ว่า
เราจะอยู่ห่างไกลบุพพการีแค่ไหน เราก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณของเราได้คะ
ดร.ฉัตรสุมาลย์ ท่านผู้ชมคะ
ช่วงนี้เราคุยกันถึงเรื่องกตัญญู กตเวทิตา
แต่เราพบว่าในสังคมไทยเนี่ย
ภายใต้คำว่ากตัญญูเนี่ย
ลูกสาวบางคนต้องขายตัว
เพื่อที่จะเลี้ยงพ่อแม่
อันนี้เป็นความกตัญญูหรือเปล่า
ในความหมายของพระพุทธศาสนา
พ่อแม่มีความรับผิดชอบต่อลูกมากน้อยแค่ไหน อยากจะกราบนมัสการเรียนถามหลวงพ่อ คะ
ว่าเรียกร้องให้ลูกกตัญญูอย่างนี้ถูกต้องไหม คะ
หลวงพ่อ ก็ขอเจริญพร เป็นเรื่องกฎแห่งกรรมอย่างหนึ่ง อีกประการที่ สอง เป็นอาชีพ แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น มีประวัติตั้งแต่พุทธกาลแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดนาง สิริมา
สวยมาก พระยังหลง ขนาดพระบิณฑบาต เปิด ฝาบาตร ยังเบลอ
เลย นางสิริมามีบริวารถึง ห้า
หกร้อย และนางสวยหาตัวจับยาก แต่อย่ามาถามอาตมา นะว่าสวยแค่ไหน เพราะเราเกิดไม่ทัน อ่านประวัติมา อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าให้ปลง ให้ปลงเดี๋ยวเล่านานหน่อย นางสิริมา แม้กระทั่งจะตายก็ยังสวย พระบิณฑบาตกลับมา แขวนข้าว นอนก่ายหน้าผาก เจ็ดวันไม่ฉันข้าวเลย ต่อมานางสิริมาตาย พระพุทธเจ้าสั่งเลย สั่งให้นำศพนางสิริมาไปไว้ในป่าช้า ก็อืดขึ้นตาโปนแลบลิ้นออกมา แล้วขอนิมนต์พระไปบังสกุล พระเป็นหน้าที่จะต้องไปพิจารณาศพ พระเดี๋ยวนี้ไม่นิมนต์ไม่ไป ต้องมีผ้าทอดถึงจะไป
แต่การเผาศพของพระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาล เป็นหน้าที่ของพระ พระต้องพิจารณากรรมฐาน เอาอันนี้มาเป็นหลักก่อน พระองค์นั้นกำลังก่ายหน้าผาก นอนไม่บิณฑบาตเลย คิดถึงแม่สิริมา
เดี๋ยวก็มีการประกาศนิมนต์พระคุณเจ้าทุกรูป พระพุทธเจ้าให้ไปป่าช้า
ไปพิจารณาแม่สิริมา
ทุกรูปโดยเป็นกิจวัตร
ศพนางสิริมาก็แลบลิ้นน้ำเหลืองออก
หนอน มาก ขึ้นอืด พระก็ไป อนิจจา วะตะสังขารา พระองค์นั้นเห็นเข้าก็ตกใจเลย หิวข้าวกลับมา ตายจริงข้าวบูดหมดเลย
พระพุทธเจ้าเลยสั่งประกาศ
ใครจะซื้อแม่สิริมาบ้าง
คนก็แห่กันไป ดูนางสิริมา
หนึ่งพันกหาปน ทุกคน
ทุกคน พระองค์ที่จะซื้อก็ไม่ซื้อ ไปเห็นมีแต่น้ำเหลือง เจ้าเมืองต่างๆ อยากได้สิริมาก็ไปประมูลกัน ไม่มีใครเล่าเลย ไปประมูลพอเห็นเท่านั้น พัน กหาปน เหลือ ห้า กหาปน
เหลือ หนึ่ง กหาปน ให้ฟรี ไม่มีใครอยากได้เลย เนี่ย
เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าสอนมา
ใครตายให้ไปพิจารณา
เป็นหน้าที่ของพระใครตายต้องไปเผาศพ
ไปดูสรีระศพ ไปปลงให้มันตก
จะได้มีต้องกลัวตาย
เราต้องตายอย่างนี้แหละหนอ ขึ้นพองอย่างนี้
นกกาจิกกินอย่างนี้
หนอนกินอย่างนี้
ตลอดรายการไม่มีอะไรสวยเลย
มีแต่น่าเกลียดน่าชัง
สวยยังไงให้เปล่าๆ
ก็ไม่มีใครเอาแล้ว
แล้วก็ขอเจริญพร
พระภิกษุทั้งหลายโปรดพิจารณาศพ
เดี๋ยวนี้ศพสวยเลย ลายทอง
ผ้าไหมด้วย เมื่อสมัยก่อน ขอเจริญพร ก่อนจะฝังศพ
พระต้องไปพิจารณาก่อน
เอาผ้าไตรวางที่ศพ ที่เหม็นๆ
ผ้าพันศพที่เหม็นๆ
พระต้องปลงให้ตก
พระต้องพิจารณาตอนตีหนึ่ง
ในป่าช้า
เอาผ้าไตรวางบนแขนศพ ที่ถูกจับพนมมืออยู่ ตาก็โบ๋
แล้วก็วางศพนอนลงบนกระดานหก
พอพระเข้าพิจารณาผ้า
จะต้องเหยียบกระดานหก พอกระดานหกขึ้นจะเป็นเหมือนว่า
ศพกำลังประเคนผ้าไตร ประเคน
แล้วก็ชักผ้า
อย่างนี้เรียกว่าเหยียบกระดานหก
นี่พระต้องทำอย่างนี้
หลวงพ่อยังเคยไปชักผ้าบังสกุลแบบนี้มา แล้วมีอีกวัดหนึ่ง ขอเจริญพร ชื่อหลวงตารอด หลวงตารอดตีผี ท่านบอกว่าไม่เคยได้ชัก ซักที ไม่นิมนต์เรา ซักที เวลาจะเอาศพขึ้นศาลา ต้องสี่ทุ่ม ต้องให้เดิน จงกรมไป
แล้วก็ไปชักผ้าไหม
แล้วก็จุดตะเกียงไว้ริบหรี่
แล้วผีก็ตาโบ๋
พอเหยียบกระดานหก
ศพก็กระดกขึ้นมา
หลวงตารอดเลยตีใหญ่เลย เพราะความตกใจ คิดว่าผีสู้ กระดกมาเพื่อบังสกุล บังสุกุล เพื่อปลงให้ตก
ขอเจริญพรอย่างนี้
เดี๋ยวนี้พระมีไหม
ไปเห็นศพสวยๆ ชักผ้าไหม เหรอ แล้วศพเดี๋ยวนี้สวยทั้งนั้น
ไม่ได้ดูข้างในเลย
ดูแต่ข้างนอก
ข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง มะตูมแข็ง นอก มะกอกแข็งใน
ขอเจริญพรอย่างนี้