เพื่อนตายของแท้

 

พระเทพสิงหบุราจารย์

P16001

 

อาตมาเคยปฏิบัติธรรมมา  มันมีทุกข์หลายเรื่องหลายอย่าง  แล้วมาโดนประสบการณ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุ ถึงได้รู้ว่าเวทนาเป็นอย่างนี้ สามารถต่อสู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้  พระพุทธเจ้าจึงสอนเวทนา  เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน  เรียกว่าเจริญสติปัฏฐานสี่  อาตมาต้องทนทุกข์ทรมาน ๓ เรื่อง  คือ

กรรมที่หนึ่ง  ตกเหวที่แม่สอด  ทรมานอย่างที่สุด รถตกลงในเหวไปค้างอยู่บนยอดยาง  ลึกมาก  กว่าจะตะกายมาจากเหว แสนทนทุกข์ทรมานอย่างที่สุด  อย่างที่เราทุกข์เวทนาจากการปวดเมื่อย ถึงกับน้ำตาร่วงเลย  เราจึงได้รู้ว่ามีเวทนาจากการตกเหว อาตมาปฏิบัติมาเป็นเวลาแรมปี  จึงได้พบ  เวรกรรมที่เราได้รู้จากการปฏิบัติ กล่าวคือ เมื่อตอนที่อาตมาเป็นเด็ก  ตอนนั้นก็โตแล้วจะเข้ากรุงเทพฯ อยู่มัธยม ๓   จะขึ้น มัธยม ๔  อาตมาไปที่บ้านกล้วย  ซึ่งขึ้นกับอำเภอท่าวุ้ง มันมีตลิ่ง มีต้นกอพง ปรากฏว่ามีคนเมาเดินมา อาตมาตอนนั้นไม่ชอบคนเมา คนเมาเดินเซไปเซมา อาตมาเลยถีบลงตลิ่งไปเลย  กว่าจะขึ้นมาได้ก็คืนกับ ๑ วัน  แล้วอาตมาก็เดินเลยไป อาตมารู้ต่อายหลัง เมื่อตอนที่แกหายเมาแล้ว แกก็ไปคุยตามวัดลำพระราม  บอกว่ามีคนที่ไหนไม่รู้ไปถีบแก  ขอให้มันได้รับเวรกรรมอย่างที่มันถีบเรา ตาคนนั้นอายุ ราว ๗๐ ปี  เมื่อสมัยอาตมาเป็นเด็ก   เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมประการใด   แกล้งเขา แล้วอาตมาก็เคยขว้างหัวเขา  เราก็รู้ได้จากกัมมัฏฐานทั้งหมด  ทำให้เรารู้ล่วงหน้าได้  อย่างกฎแห่งกรรมนี้ แน่นอนที่สุด 

บางแห่งสอนไปสวรรค์นิพพาน สอนที่จะพ้นทุกข์กันไป  ให้เอาแค่กฎแห่งกรรมนี้ก่อน ให้เรารู้เวรกรรม ที่จะได้ใช้หนี้กันไป  เราจะได้ไม่ปฏิเสธทุกข้อหา ตอนที่อาตมาตกเหวที่แม่สอด กว่าจะขึ้นมาได้ มีผ้าติดตัวเพียงผืนเดียว อย่างอื่นหายหมด พอขึ้นมาได้ เขาก็หาว่าเราเป็นคนบ้า  คนที่หาหน่อไม้แถวนั้น  ก็เอาก้อนหินขว้างเรา หัวหูบวมหมด มันหาว่าบ้า  อาตมาก็บอกว่าเราเป็นพระ  มันก็บอกว่า พระอะไรไม่ห่มผ้าห่มผ่อน พอเขาขว้างเรา  เราก็วิ่งเป็นคนบ้าไป  อันนี้ก็เป็นเวรกรรมที่ฝังใจเราจนกระทั่งบัดนี้  จึงได้มาสอนเด็กว่า อย่าไปแกล้งใครเขา  อย่าไปทำบาปทำกรรม  แค่เถียงพ่อ เถียงแม่ ยังเห็นทันตา กร้าวร้าว ต่อพ่อแม่  กร้าวร้าวต่อผู้มีบุญคุณ 

กรรมที่สอง   ก็รถคว่ำ    ครั้ง  นี่เพราะรับจ้างต้มเต่า ทรมานที่สุด  ต้องปวดแสบปวดร้อนตลอด  ถูกน้ำร้อนลวก ไฟลวก อันนี้เป็นเวรกรรมที่เราได้รู้จากกัมมัฏฐาน  ถ้าเราไม่ได้ทำกัมมัฏฐาน  ไม่ได้ทนต่อทุกข์เวทนาแล้ว  จะทนต่อเวรกรรมไม่ได้เลย  บางคนไม่เข้าใจเวทนา บอกว่าไม่เป็นเรื่องเป็นราว  นั่งแล้วปวดเมื่อยแล้วก็เลิกกันไป  ก็ไม่รู้จริงว่า ที่ปวดนั้นคืออะไร  เราจะไปต่อสู้เวรกรรม  เราจะรู้ไหมว่า  เวรกรรมจะมาซัดเราในวันใด  ฟ้าผ่าลงมาที่อาตมาผ้าผ่อนไหม้หมดเลย  แล้วต้องทนทุกข์ทรมานตั้ง ๖  เดือน  หูก็ไม่ได้ยิน ต้องสื่อสารกันด้วยการเขียนหนังสือ 

กรรมที่สาม  อีกคราวที่ทรมานอย่างแสนสาหัส คือ คอหัก  ที่เข้าเฝือก ซึ่งคันก็คัน  และพอคอติดกันแล้วจึงได้ปวดก้น  จึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ว่า ก้นกับประสาทเป็นอันเดียวกัน  อย่าไปตีก้นลูก  ก็รู้จักกัมมัฏฐาน และรู้จักประสบการณ์ของเราเอง  อันนี้เป็นหลักสำคัญของผู้ปฏิบัติ  ตัวปวดเมื่อย ตัวไม่สบายใจ ไม่สบายกาย นั้นเป็นตัวหลัก  ความดี มันไม่มีความสบายหรอก  ความชั่วมันสบาย ไม่ปวดไม่เมื่อย มันเป็นความชั่วโดยไม่รู้ตัว  ความดีต้องลำบากทุกอย่าง  ต้องทนทุกข์ทรมาน จึงจะได้ดิบได้ดี 

อาตมาต้องทนทุกข์ทรมานมามากมาย  เราจึงได้รู้ว่ากัมมัฏฐาน ช่วยเราได้เยอะ อย่างเช่นทรมานแสนสาหัส ก็กลายเป็นเรื่องเล็กไป  ถึงคราวตายยังช่วยให้เรารอดพ้นจากอันตรายได้  แล้วก็รู้ล่วงหน้าตั้ง ๖ เดือน  ว่ารถจะชน  คอจะหัก  สติที่เราได้สะสมจากการปฏิบัติกัมมัฏฐาน  เอาไว้ในจิต  มันไม่มีตัวตนเหมือนอย่างอัดเทป จิตนี้มันเล็ก มันไม่มีตัวตน แต่มันก็อัดเข้าไป ทั้งดีทั้งชั่ว แล้วมันก็หมุน  พอหมุนไปถึงตอนชั่ว ตอนนั้นได้รับกรรมแน่  พอหมุนต่อไปอีกไปถึงตอนดี เราก็มีโชค  มีทั้งสุข  มีทั้งทุกข์  มีทั้งอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  มันหมุน เรียกว่าวัฏฏะจักร  คือ จิตของท่านเองมันหมุน  คือเราทำความดีวันนี้  พรุ่งนี้เราทำความชั่ว   อีกวันหนึ่งอารมณ์ดี  อีกวันหนึ่งอารมณ์ไม่ดี  จิตมันก็อัดไว้เลยพอมันหมุนไปถึงอารมณ์ชั่ว อารมณ์ไม่ดี เราจะได้รับทุกข์ในวันนั้น 

พอฉะนั้นการทำกัมมัฏฐานนั้น  ครูสอบอารมณ์เขาจะไม่บอกล่วงหน้า ว่านี่มันญาณอะไร  มันเป็นอย่างไร  เขาจะไม่บอก เพียงแต่เขาถามอยู่เฉยๆ   พอบอกอาการ สภาวะธรรมเกิด ครูอาจารย์เขาก็รู้แล้วเราได้ญาณอะไร  ได้ถึงตรงไหน  ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าทำแล้วไม่ได้เรื่องได้ราว  นั่นแหละมันได้เรื่องแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันได้เรื่อง  บางคนบอกว่า เดินจงกรมสบาย  นั่งสบาย ไม่มีเวทนา แสดงว่าไม่ได้เรื่อง ไม่ได้อะไรเลย  ถ้าเราทุกข์ปวดเมื่อยแสนสาหัส  เราต้องกำหนดไว้ให้ได้ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันจะได้แยกเวทนาออกไป  สภาวะก็ได้ แล้วอัดเข้าไว้ จิตนั้นไม่มีตัวตนที่จะคลำ  ถ้าบอกว่าจิตอยู่ที่หัวใจนั้น  ที่ต่างประเทศเขาเปลี่ยนหัวใจกัน แล้วทำไมคนนี้ถึงไม่เป็นเหมือนคนนั้น  มันเป็นแค่อวัยวะ  จิตมันไม่มีตัวตน เป็นอมตะ ไม่ตาย  ถึงแม้เราสละร่างกายสังขาร ถึงแก่กรรมไปแล้ว  สังขารทั้งหลายก็ต้องเสื่อมก็ต้องเน่า  ไปตามสภาวะ  แต่จิตเน่าไม่ได้  จิตไม่ตาย  มันก็เดินทางต่อไป  จิตนี้อายุเป็นหมื่นๆ ปี  เหมือนอย่างเราเมื่อชาติก่อนเราเคยเป็นอะไร อยู่ที่ไหน จิตดวงนั้นแหละ  แต่มันมีกระแส  ๑๒๑  อารมณ์  เราถึงได้รู้  ถ้าหากว่าจิตดวงไหนมันหมุนเข้าไป  พอเทปมันหมุนมา  ถึงแม้เราไม่เราทำสมาธิ เราก็ระลึกชาติได้  ว่าเราเคยไปที่ไหน  เรามักจะฝันถึงเรื่องที่อยู่ในเทปอันนี้  มันบอกในฝัน 

ความฝันนี่ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล  แต่ที่ฝันมันเป็นจิตเหลวไหล อารมณ์ไม่ดี ธาตุทั้ง ๔ ขาดไป  มันก็ฝันเหมือนกัน แต่ฝันที่ไม่ใช่เรื่องจริง  ที่ฝันเรื่องจริง คือมันออกมาจากเทป  ที่มันอัดไว้ในชาติก่อนๆ   ถ้าปฏิบัติถึงขั้นแล้ว เราจะรู้หลายๆ อย่าง  อย่างที่โยมมาปฏิบัติ ๒ วันนี้ จะต้องรู้บ้าง  อย่างแรกก็คือ เวทนา ขั้นที่ ๒  คือจิตหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง  เปลี่ยนไปตามสภาวะ  มันจะไม่คงที่  เช่น นั่งคราวนี้ได้อย่างนี้  พอนั่งคราวใหม่ ก็ได้อย่างใหม่อีกแล้ว  มันหมุนเวียน ถ้าจิตเราจับได้กำหนดได้ มีสติครบ  และสภาวะจะเกิดขึ้น  เราถึงจะจับได้ว่ามันหมุนเวียนไม่แน่นอน เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา  เวลาปวดมากให้อดทน กำหนดให้ได้อย่าไปเปลี่ยนอริยาบทนั้น ในคราวอาตมาคอหักมันปวดก้น ทรมานที่สุด แต่อาตมามีสติครบ สติที่เรารวมไว้มันจะออกมาช่วยให้เราบรรเทา  เรื่องเวทนา ให้มันแยกออกไป  แล้วเวทนานั้นก็หายไป   มันมีประโยชน์ในตอนโน้น  แต่การทำเราไม่รู้หรอก  ว่าเราจะเกิดเวทนาที่เราจะเจ็บป่วย จะเป็นโรคอะไร  โรคร้ายหรือดี  พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมาต้องแก่  แก่แล้วก็ต้องเจ็บ เป็นธรรมดา แล้วก็ตายพลัดพรากจากกัน เมื่อแก่แล้วต้องเจ็บ แต่จะเจ็บแบบไหน แบบทรมานหรือเป็นแบบอัมพาต  มันไม่เหมือนกัน ถ้าเราทำดี  เรามีกัมมัฏฐานในใจ แล้วเรากำหนดจิตอย่าให้อารมณ์เสีย  เท่านี้เอง ถ้าเราอารมณ์ไม่เสีย  อารมณ์ดีเสมอต้นเสมอปลาย จะไม่เป็นโรคร้าย ถ้าจะตายก็สบายมาก  เราได้ประสบมาแล้ว ที่อาตมาต้องสลบลงไป  อาตมาได้ที่เรียกว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย  เราได้สองคนเพื่อนตายคือกัมมัฏฐาน  สติสัมปชัญญะ เป็นเพื่อนตายแน่นอน  ที่เรากำหนดนี่เป็นเพื่อนของเรา  แต่เราหารู้ไม่ว่าเพื่อนเราอยู่ตรงไหน ไปเข้าใจว่าเป็นคน  เพื่อนผู้หญิง เพื่อนผู้ชาย เราไปเข้าใจอย่างนั้น  ข้อเท็จแล้วไม่ใช่ ที่แท้มันเป็นเพื่อนประจำตัวเราติดตัวเราตัวไปติดตัวเรามา ลำบากอย่างไรก็ตาม ก็สามารถจะช่วยเราได้ 

ตอนที่อาตมากลับมาจากยุโรป  พอจะลงโบสถ์ ลุกขึ้นมาแต่หัวชนฝาถึงกลับสลบไปเลย  แล้วนอนพับไป  ไม่มีใครรู้เรื่องเลย สักพักตัวสติออกมาช่วย  กำหนดรู้หนอเองโดยอัตโนมัติ และสติก็ดีขึ้น  จึงค่อยๆ  ขยับตัวเข้าหาข้างฝา   จับข้างฝาไว้ แล้วจึงลุกขึ้นมา  เราจึงได้รู้ว่า ความตายเป็นอย่างนี้แน่  วูบลงไปแล้วไม่รู้สึก  สังขารทั้งหลายมันก็แยกแยะออกไป อะไรเป็นรูป  อะไรเป็นนาม  ตัวสตินี้ก็ออกมาทำให้เรา ให้ใจหวิวหายลงไป  แล้วทำให้เราตะกายจับข้างฝาไว้ อันนี้คือตัวสัมปชัญญะ นี้คือเพื่อนแท้  อาตมามองไม่เห็นใครที่จะช่วยเราได้  นอกจากกัมมัฏฐาน  พ่อแม่ก็ช่วยเราไม่ได้  ลูกก็ช่วยไม่ได้  ช่วยให้ยกหามเก็บของได้  แต่ให้ช่วยส่วนตัวในชีวิตของเราเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น  พ่อแม่หรือลูก ก็ช่วยไม่ได้  เพราะฉะนั้น กัมมัฏฐานจึงช่วยเราได้เยอะเลย    แต่โยมอย่าเข้าใจผิดว่าเราทำไม่เห็นได้อะไรมันแต่ปวดเมื่อย  เห็นพูดกันอย่างนี้กันหลายคน  แต่ข้อเท็จจริงนั้น  ความเป็นปวดเมื่อยนั้นเป็นตัวช่วยเรา  ทำให้เรารู้เห็นของจริงในตัวเอง  ช่วยกันไม่ได้หรอก

ถ้าจะนั่งกัมมัฏฐานเอาไปให้คนนั้นคนนี้ นั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ให้โดยการแผ่เมตตาได้ แผ่ให้เขามีความสุข  เหมือนเขามาบ้านเราเลี้ยงข้าวเขาไปเวลาเดียว  แต่ไม่สามารถจะไปเลี้ยงเขาได้ทุกวัน  ไม่ใช่แผ่ไปแล้วเขาจะมีความสุขเหมือนเสมอไป ไม่ใช่อย่างนั้น 

ฉะนั้นการปฏิบัติกัมมัฏฐานมีประโยชน์มาก  ก็ขอให้ทราบไว้ว่า เมื่อมีเวทนา มันจะหนักขึ้น  แล้วจะปวดทั่วร่างกาย  ทำอะไรมันต้องปวด ถ้าไม่ปวดมันจะไม่ได้ผล  เมื่อคนเป็นอัมพาต ถ้าจะหายต้องปวด 

อาตมานับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เพราะอายุ  ๕๐  ปีต้องหมดอายุ  กัมมัฏฐานบอกได้ สติที่เรารวมไว้บอกได้ บอกว่าวันที่ ๑๔ ตุลา  ท่านต้องมรณะภาพ และต้องหมดอายุ แต่ทำไมอาตมารอดมาได้  เพราะอาตมาภาวนาตลอด ช่วยให้ต่อรูป  ต่อนาม  คือ ตัวเราทุกคนมี รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ   รูป ก็คงเป็นรูปธรรมดา   เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ    อย่างนี้ รวมกันเป็นนาม และรูปก็ยังคงเป็นรูป  ก็คือ  รูป  นาม  ต่อตรงนี้  ขันธ์    มี ๕ แล้วก็ รูป  นาม 

รูป มันผันแปร กลับกลอกได้  แต่สี่อย่างนั้นผันแปรไม่ได้  ตัวนามนั้นเกิดเวทนา  ถ้าเราไม่มีรูปนาม ก็ไม่เกิดเวทนา  ขันธ์ ๕ รูป นาม เป็นอารมณ์  ก็มี  รูป กับ นาม  ตัวนามก็จิตที่ประกอบไปด้วย  เวทนา   สัญญา(คือความจำ)  สังขาร(คือการปรุงแต่ง)  รูป เวทนา สัญญา สังขาร มันปรุงแต่ง  คือนามนั่นเอง  คือจิต  มันปรุงแต่งให้เกิดนั่นเกิดนี่ 

เพราะฉะนั้น รวมได้ว่า  รูป ก็ยังคงเป็นรูป  นาม ก็คงเป็นนาม  เวทนาเป็นโดยธรรมชาติ  ไม่มีตัวตน แต่มันเกิดขึ้นมาได้  ขันธ์ ๕ รูป นาม เป็นอารมณ์   อารมณ์ คือจิต  พออยู่ในอารมณ์แล้วเรามีสติสัมปชัญญะ  เวทนานั้นมันก็หายไป  ตัวนามนั้นก็บันทึกของดีไว้ในจิตใจ  เรียกว่าต่อรูป นาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์  ต่อไว้ในตัวเองโดยไม่รู้ 

ในขณะปฏิบัติ ก็จะเกิดเวทนามากหรือน้อย  บางคนปวดแทบเป็นแทบตาย  แต่แล้วมันก็หาย  พอหายแล้ว  ก็เจ็บป่วยไข้  อาตมาถึงได้บอกให้โยมฟังว่า

ไปวัดกระซิบเบาๆ  ฟังเขาสอน                        ชีวิตเราเกิดมาไม่ถาวร

อย่ามัวนอนหลงเล่นไม่เป็นการ                        ไฟสามกอง กองเผาเราเสมอ

อย่าเลินเล่นควรทำพระกัมมัฏฐาน                  

ไฟสามกอง คือ โลภะ  โทสะ  โมหะ  เราเกิดมาไหนๆ  ก็ต้องตาย  แต่โปรดจำไว้  จะตายเร็วหรือตายช้า  พอใกล้จะตายมีญาติมิตร มาบอกให้เราระลึกถึงพระอรหันต์ ทุกราย   ถ้าเราทำกัมมัฏฐานแล้ว เวทนาเรากำหนดได้  ไม่ต้องมาบอกหนทางเราเลย  เอาพระมาต่อนามก็เช่นเดียวกัน  เมื่อก่อนไม่มีโรงพยาบาล ต้องตายกันที่บ้าน  เมื่อตอนที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม  เกณฑ์พวกผู้ชายไปทำถนนที่เพชรบูรณ์  ที่บ้านอาตมาตายกัน  ๔๐  คน  เป็นหม้ายกัน ๔๐ คน  ไม่ได้กลับมาสักคน เป็นไข้มาเลเรีย  ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่เพชรบูรณ์  แต่เงินไม่มีต้องขอแรงชาวบ้าน  ขุดเป็นบ่อหลา แล้วนำมาถม  ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม บอกว่า ที่ย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ เพราะมีเขาล้อมรอบ จะเอาเมืองกำแพงเพชร เป็นหน้าด่าน  เมืองอยุธยาเป็นหน้าด่าน  กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่า  ตอนนั้นท่านบอกว่า  เป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองท่า  รถจะติดมาก  (ตอนนั้นพลเมืองประเทศไทยมี  ๑๘ ล้านคน) 

ขอให้มีศรัทธาตั้งใจปฏิบัติกัมมัฏฐาน  ต้องได้แน่นอน  ไม่มากก็น้อย  อดทนหน่อย เพราะการอดทนเป็นคุณสมบัติของนักต่อสู้  ถ้าเราไม่อดทนต่อความลำบาก ต่อความเจ็บใจแล้วไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว  ไม่ได้อะไร ถ้าเราปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วจะเห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรแน่นอนต่อชีวิตเลย

สติสัมปชัญญะ เป็นเพื่อนตายไม่มีผันแปรเปลี่ยนแปลง  ถ้าเราทำได้โรคภัยไข้เจ็บก็จะหาย อาตมาตอนบวชใหม่ๆ  ป่วยทุกวันเป็นลมทุกวัน  ขึ้นศาลาวันพระที่วัดพรหม หน้ามืดตลอด  สามวันดี สี่วันไข้  ตอนนั้นยังไม่ได้เข้ากัมมัฏฐาน ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย  ก็เลยคิดว่าคงจะอยู่ไม่ได้คงต้องสึกเพราะสามวันดีสี่วันไข้เป็นลมทุกวัน  ข้าวก็ฉันไม่ได้ตอนนั้นผอมมาก  พอเจริญพระกัมมัฏฐานจึงได้รู้ว่า ได้เคยฆ่าเป็ดฆ่าไก่เป็นเข่งๆ  ยิงนกเป็นฝูงๆ  จึงต้องมาเป็นอย่างนี้เพราะเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากมาย  ฆ่าสัตว์นี้อายุสั้นแต่เราก็ได้กัมมัฏฐานช่วยยังชีวิตเราอยู่มาได้จนบัดนี้ 

ทุกคนจำไว้หลายอย่างหลายประการ กัมมัฏฐานช่วยเราได้  เหมือนอย่างคนในบริษัทเรานี้  มีคนดีบ้าง ไม่ดีบ้างปะปนกันไป  แล้วก็แผ่เมตตาให้เดี๋ยวคนไม่ดีก็ออกไปเอง  คนไม่ดีมันจะร้อนอยู่ไม่ได้จะหาเรื่องออกไปเอง  โดยไม่ต้องไปไล่เขาออก  แล้วพอออกไปแล้วจะไประเห่เร่ร่อน ไม่ได้ดีเหมือนอยู่กับเรา  กัมมัฏฐานเย็น แต่คนมาอยู่กับเรามันจะร้อน  นี่แหละกัมมัฏฐานมีประโยชน์มาก และจะทำให้เราคิดงานได้ดี  ควรจะย้ายตรงไหน ควรจะปรับปรุงตรงไหน  สติปัญญาในตัวเราเองมันจะเป็นตัวบอกเราเอง  อย่าไปฟังคนอื่นตัวเราเองดีที่สุด ใครจะมารู้เท่าตัวเราเอง ไปปรึกษาเขา มันก็ถูกของเขา  แต่ไม่ถูกของเรา