วิปัสสนา
พัฒนาจิต
ณ. อุโบสถวัดอัมพวัน ค่ำวันที่ ๑๗
ตุลาคม ๒๕๒๙
P2001
การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าพูดตามสมัยใหม่เขานิยมเรียกว่า มาพัฒนาจิต มาพัฒนาคุณธรรม
ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่โน้น ทรงชี้แจงต่อพุทธศาสนิก
ให้บำเพ็ญจิตภาวนา
พัฒนาจิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชีวิตโดยใช้สติปัญญาเป็นอาภรณ์ประดับจิตนั่นเอง
วิธีปฏิบัติในสติปัฏฐานสี่
ที่เรียกว่า ทางสายเอกของพระพุทธเจ้านั้นเอง เรียกว่าการเจริญวิปัสสนา
เป็นธุระหน้าที่ที่เราจะต้องดำเนินวิถีชีวิต โดยใช้สติปัญญาเป็นอาวุธ
เพื่อไม่ให้พลาดผิดในการทำงานทุกอย่าง
เพราะหน้าที่และการงานเป็นผลงานของชีวิตที่เราต้องทำโดยใช้สติปัญญาตลอดเวลา
แต่การทำงานที่ประกอบไปด้วยปัญญานั้น ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่อบรม
ด้วยความอดทนอย่างยิ่งแล้ว เราจะไม่พบความจริงดังที่กล่าวแล้ว
การเดินจงกรม
ยืนกำหนดต้องใช้สติกำหนดมโนภาพ อันนี้มีประโยชน์มาก
แต่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ไม่ค่อยปฏิบัติจุดนี้
ปล่อยให้เลยล่วงไปเปล่าโดยใช้ปากกำหนดไม่ได้ใช้จิต ไม่ได้ใช้สติกำหนดให้เกิดมโนภาพ
อันนี้มีความสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติมาก ผู้ปฏิบัติต้องจับจุดนี้ คำว่า ยืนหนอ ๕
ครั้ง ยืนอยู่นั้นต้องหลับตาวาดมโนภาพ เพราะจิตนี้มันวุ่นวายฟุ้งซ่าน
คิดอ่านอยู่เสมอ แต่แล้วเราใช้สติกำหนดตามจิตโดยว่า ยืนหนอ ๕ ครั้ง
อาตมามีวิธีปฏิบัติให้เอามือไพล่หลัง
มือขวาจับมือซ้าย ก็ต้องการให้ตรงกระเบนเหน็บ หลังจะไม่งอในเมื่อเฒ่าแก่ชราลงไป
บางท่านก็ถนัดเอามือไพล่ข้างหน้า ก็ใช้ได้แต่โดยวิธีการแล้ว ทำให้ต่อตัว
ทำให้หายใจไม่ปกติ ปอดผายไม่เข้าสู่ภาวะ
และคำว่า
ยืน ๕ ครั้ง ท่านทั้งหลายทำได้แล้วหรือยังว่า กำหนดจิต ต้องใช้สติ
ไม่ใช่ว่าแต่ปากว่า ยืนหนอ ๆๆๆ แล้วก็ลืมตา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ไม่ได้มีจังหวะ
ไม่ได้ใช้สติควบคุมจิต ดูแลจิต ให้มันได้จังหวะตัวกำหนด ไอ้ตัวกำหนดเป็นตัวฝึก
อันนี้มีความสำคัญ อาตมาจึงต้องขอย้ำไว้ ซ้ำข้อนี้ เน้นหลักในข้อนี้ให้มาก
เพราะมันมีประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติ เอาไปใช้ในกิจประจำวันได้อย่างดีที่สุด คำว่า
ยืนหนอ นี้ไม่ใช่หมายความว่า กำหนดย่างนี้เสมอไป ต้องใช้จิตปักลงที่กระหม่อม
กระหม่อมของเราทุกคนอยู่ตรงไหน ตั้งสติไว้ตามจิตลงไป........ไม่ง่ายเลย
แต่ต้องทำซ้ำ ๆ ให้เคยชิน ให้สติคุ้นกับจิต จิตคุ้นกับสติอย่างนี้ ถึงจะเกิดสมาธิ
ไม่ใช่หมายถึงว่าเรากำหนดแล้วได้ผลเลยนะ ยังไม่ได้ผล แต่เราทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ให้เคยชิน เราต้องมีการฝึกจิตอยู่ที่กระหม่อม วาดมโนภาพลงไปให้ช้า ๆ
ลมหายใจนั้นก็ไม่ต้องมาดู แต่หายใจให้ยาว ๆ มันจะถูกจังหวะ แล้วตั้งสติตามจิตไปว่า
ยืน ที่กระหม่อมแล้วก็ หนอ......ลงไปที่ปลายเท้า ดูมโนภาพ
จะเห็นลักษณะกายของเรายืนอยู่ ณ บัดนี้ เห็นกายภายนอก น้อมเข้าไปเห็นกายภายใน
แต่โดยวิธีปฏิบัติแล้ว
ต้องเอาข้างในออกข้างนอก จึงจะมีข้อคิดให้เกิดปัญญาได้ ถ้าเราลืมตาขณะที่ยืนหนอ ๕
ครั้งแล้ว มันเห็นแต่ภายนอก แต่ภายใน สภาวธรรมมันจะเห็นได้ยาก จึงต้องหลับตา
จะได้ไม่มองเห็นสิ่งอื่น สิ่งแวดล้อมที่เรายืนอยู่ ณ บัดนั้น
แล้วไม่เห็นกายข้างนอก ให้เห็นกายภายใน กายภายในกายนั้น ต้องประกอบไปด้วยสติ
แล้วก็จิตปักลงไปว่า ยืน....หนอ....ลงไปถึงปลายเท้า เห็นชัดมาก
แล้วก็สำรวมที่ปลายเท้า อย่าเพิ่งกำหนดให้มันติดกัน ยืนตั้งแต่ปลายผมลงไป
จากกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้าว่า ยืน....หนอ....หรือยืนนั้น
จิตปักไปถึงสะดือแล้วหนอ จากสะดือลงไปปลายเท้า ให้ได้จังหวะอย่างนั้น
ไม่ใช่ยืนหนอแล้วก็จิตไปถึงปลายเท้า อันนี้เป็นอดีตแล้ว
เพราะวิธีปฏิบัตินี้ทำยาก
ต้องทำให้ได้จังหวะ ได้ระบบของเขา มันจึงจะเกิดปัญญา เกิดสะสมเข้าไว้ด้วยดี โดยวิธีนี้
คำว่า
ยืน ปักลงที่กระหม่อมแล้วสติตามลงไปเลย วาดมโนภาพ ยืน....ถึงสะดือ
ร่างกายเป็นอย่างนี้แหละหนอ จากสะดือลงไปก็ลง หนอ....ลงไปที่ปลายเท้า
อย่างนี้ทำง่ายดี สำรวมใหม่สักครู่หนึ่ง จึงต้องอย่าไปว่าติดกัน
ถ้าว่าติดกันมันไม่ได้จังหวะ
ขอให้ญาติโยมผู้ปฏิบัติทำตามนี้จะได้ผลอย่างแน่นอน
อันนี้เริ่มต้น
ยืน....มโนภาพ หายใจยาว ๆ หายใจให้ยาว ๆ ว่า ยืน....ถึงสะดือแล้ว
รวมจุดศูนย์สะดือ มโนภาพ หนอ....ลงไปปลายเท้า
เห็นเท้าทั้งสองโดยมโนภาพยังไม่ชัด ครั้งหนึ่งยังไม่ชัด
ครั้งที่สอง
สติก็ตามสำรวมที่ระลึกก่อนว่า เท้ามีสองข้างจากปลายเท้านั้น
รวมอยู่ในจุดของเท้าทั้งสองข้าง แล้วก็บอกว่า ยืน....ขึ้นมาถึงสะดือ
หนอ....เรื่อยมาถึงกระหม่อม นี่ครั้งที่สอง
ครั้งที่สามจะชัด ยืน....ถึงสะดือ
แล้วตั้งสติไว้ตามจิตที่ผ่านไปแวบถึงสะดือ แล้วสองบอก หนอ....จากสะดือถึงปลายเท้า
สำรวมอย่างนั้นจึงจะได้จังหวะ
พอครั้งที่สี่ชัดขึ้น
สำรวมจากปลายเท้าทั้งสอง เห็นได้ชัดแล้ว อันนี้เห็นชัด จิตก็ไม่กระสับกระส่าย
ครั้งที่สี่นี้จิตไม่กระสับกระส่ายแน่นอน สำรวมอยู่ที่ปลายเท้า
แล้วก็ตั้งสติไว้ให้ดีก่อน ระลึกว่าเท้าทั้งสองข้างมีอะไรบ้าง แล้วก็จึงกำหนดจิต
ใช้สติตามว่า ยืน....ขึ้นมาถึงสะดือ จากสะดือต่อว่า หนอ....ขึ้นมาถึงปลายผม
คือกระหม่อมเป็นครั้งที่สี่
ครั้งที่ห้านี้ชัดขึ้นไปกว่ายืนหนอในขั้นต้น
ในข้อหนึ่งยืนครั้งที่ห้า ยืน....ถึงสะดือแล้วสำรวมจิตลง หนอ....ลงไป
มันจึงจะได้จังหวะดี ผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจทำวรรคตอนเลย ก็ยืนหนอ ๆๆ ว่าไว ๆ
จิตก็กำหนดไม่ได้ จิตมันเร็วแต่สติตามไม่ทัน เลยสมาธิไม่เกิด
ปัญญาจะได้มาจากไหนเล่า สมภาคแสดงออกจะไม่ทราบ
ขอนักปฏิบัติธรรม
ทำตามแบบนี้ แล้วสำรวมลงไปปลายเท้า ครั้งที่ ๕ ยืน....ถึงสะดือแล้ว หนอ....ลงไปช้า
ๆ ถึงปลายเท้า หนอพอดีที่เท้าทั้งสองยืนอยู่ที่พื้นนั้น แล้วก็ลืมตาทันที
ลืมตาอย่าเพิ่งกำหนด ลืมตาดูเท้าสักครู่หนึ่ง
ตั้งสติไว้ให้ดีจึงได้เขยื้อนเคลื่อนกาย
ขวา
ยกขึ้นมา แล้วก็สัมปชัญญะบอกให้รู้ปัจจุบัน ย่าง....หนอ....ลงพื้นพอดี จิตดวงนั้นไปไหน
ถ้าเห็นสภาพความเป็นอยู่ของจิตมันจะรู้ว่าวูบลงไปตรงไหนอย่างไร จิตดวงใหม่จะแสดงออก
คือบอกให้ทราบใหม่เกิดขึ้น จิตก็เกิดดับอย่างนี้
ถ้าท่านทั้งหลายทำเร็ว
ท่านจะไม่มองเห็นธรรมชาติของจิตในสภาวธรรม จึงต้องทำให้ช้าที่สุด
ที่จะช้าได้เท่าไรยิ่งดีที่สุดโดยวิธีนี้ ลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีกำหนดนี้มันก็ล่าช้าลงไป
ทำให้เห็นภาวะข้างในได้ชัดเจน นี้ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ
ไม่ใช่กำหนดแต่ปากอย่างที่เคยกำหนดกัน เดี๋ยวเราก็ไม่มีสติเลย
จิตมันก็วูบวาบไปที่โน่น คลอนแคลนไปที่นี่ เดี๋ยวแวบที่นั่น แวบที่นี่
กระสับกระส่ายอยู่เสมอ อันนี้เราทำได้จังหวะแล้ว จิตจะไม่กระสับกระส่ายแต่ประการใด
แล้วขวาย่างหนอ....ลงพื้น
ซ้ายย่างหนอ....ลงพื้นพอดี ทำช้า ๆ เดินจงกรมไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นได้ว่า อ๋อ
ขวากับซ้ายมันอันเดียวกันหรือไม่ จะเห็นชัด
แสดงออกตอบไดทันที่ว่ามันเป็นอันเดียวกันหรือเปล่า ตอบได้ด้วยตนเอง ประการที่สอง
จิตที่กำหนดขวากับจิตที่กำหนดซ้ายเหมือนกันไหม คล้ายคลึงกันไหม
จะไม่เหมือนกันเลยนะ มันดับวูบลงไปแล้ว จิตดวงใหม่เกิดขึ้นขณะเกิดขึ้นนั้น
คือสติระลึกก่อน มันจะบอกว่าซ้าย ยกขึ้นมาพอดีได้จังหวะ นั่นคือตัวสติ
เป็นตัวกำหนดใหม่ แล้วก็ย่าง....หนอ ลงพื้นพอดี สติมา สัมปชาโน มีสติเกิดขึ้น ระลึกก่อนปัจจุบันธรรมก็ได้ผล
คือ สัมปชัญญะปัพพะ ปัญญาก็เกิดขึ้น
ภาวะธรรมสภาพความเป็นอยู่ของการปฏิบัติก็ชัดลงไป
มันก็แจ้งชัดแบ้วคล่องแคล่วดีกว่าเดิม
ขอให้นักปฏิบัติเดินให้มาก
ๆ ถ้าท่านผู้ใดเดินไม่ได้เพราะขาไม่ดี ปวดแข้งปวดขา เดินไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไรนะ
เราก็นั่ง เราก็นอนได้ ทุกวิถีทางอิริยาบถ ๔ ทำได้ทุกอิริยาบถ
แต่ถ้าเราอินทรีย์พร้อมมูลบริบูรณ์ดี ก็ยืนเดินนั่งนอนได้ ก็ทำให้เราทำได้ไว
ทำให้ติดต่อกัน ไปได้ไวมากโดยไม่ขาดสาย
แต่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงแสดงไว้ว่า
การปฏิบัตินี้จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนั่งก็ได้ จะนอนก็ได้ ในอิริยาบถ ๔ ด้วยกาย
เวทนา จิต ธรรม ในภาคกาย ในภาคเวทนาต้องครบ
เพราะทุกคนต้องมีเวทนาด้วยกันไม่พลาดแน่ ไม่ใช่นั่งสบาย ไม่มีเวทนาเลย นี่แหละ
อริยสัจ ๔ ก็ครบในอิริยาบถ นี่เหมือนกันโดยกาย เวทนา จิต ธรรม
มันก็อยู่ตรงนี้ทั้งนั้น
ต้องมีภาคกาย
ภาคเวทนา ปวดเมื่อยทุกข์กาย ทุกข์ใจ สุขกาย สุขใจ
และก็เป็นแบบเรียนเป็นบทเรียนให้เรา ที่เราจะต้องใช้เป็นตำราอยู่ในเวทนาครบ
สติก็ดีขึ้นในเวทนา ด้วยวิธีฝึกกำหนดเวทนาเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
แล้วอนิจจังไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ก็แก้ไขได้โดยอนิจจังคือความไม่เที่ยง
มันเป็นทุกข์อย่างนี้แหละหนอ
แล้วอนัตตาก็แสดงให้เราเห็นเป็นพระไตรลักษณ์เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
สูญไปไม่มีอะไรติดตัว เดี๋ยวก็วนมาอีกเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ก็เรียกว่าอนัตตา
มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติของมันเองโดยเฉพาะ
เรียกตามศัพท์ภาษาธรรมะก็เรียกว่าพระไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแก่เราในขณะนั้น
ปัญญาถึงจะเกิดต่อภายหลัง จึงเรียกว่า วิปัสสนาตอนนั้น ตอนต้นก็เรียกว่าอุปาทาน
ยังมีขันธ์ในอุปาทาน ยังยึดขันธ์อยู่ เช่นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ มันมีขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ที่เราครบ
ปรารภกำหนดก็มีอยู่
๒ ประการ มีรูปกับนามเท่านั้น อย่างอื่นหาได้มีไม่ เลยก็ไม่มีตัวไม่มีตน
ไม่มีเราไม่มีเขา แล้วจะมีทิฐิมานะต่อกันอย่างไรเล่า
อันนี้ภาวะมันจะบอกเองโดยเฉพาะอีกประการหนึ่ง
ในเมื่อขณะที่กำหนดยืนหนอ
บางคนเข้าผลสมาบัติได้ ไม่จำเป็นต้องพองหนอ ยุบหนอ พอยืน....หนอ ยืน....สำรวมขึ้นมาหนอ
บางคนปัญญาเกิดตอนนั้น ได้ผลตอนนั้น ยืนวูบลงไปที่สะดือ วูบลงไป ๓ ชั้น
จิตเป็นภาวะ ผลสมาบัติเกิดขึ้นเลยไม่รู้ภาวะนอก รู้ภาวะข้างใน ยืนอยู่เป็นเวลา ๑
ชั่วโมง ภาวะข้างนอกไม่สัมผัสก็เรียกว่า เข้าผลสมาบัติตอนยืนหนอได้
ไม่ใช่เข้าผลสมาบัติเฉพาะตอนพองหนอ ยุบหนอทุกคนไป บางคนได้ตอนยืนหนอ
สติสัมปชัญญะดี สมาธิดี มันจะวูบลงไปถึงสะดือแล้ววูบอีกครั้งหนึ่ง มันจะปิดอายตนะ
ธาตุ อินทรีย์ ในภายนอกแล้วภายในจะแสดงออกด้วยปัญญา เขาเรียกว่าพละพลังของสมาธิ
ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะภายใน เรียกว่าเข้าผลสมาบัติ ขณะที่ยืนหนอได้ทันที
ตรงนี้สำคัญนะ
ผู้ปฏิบัติอย่าคิดว่ายืนหนอไม่ได้ผล ต้องเอาข้อนี้ก่อนเป็นหลัก
แล้วเราก็เดินจงกรมไปเรื่อย ๆ บางคนเดินจงกรมหวิวทันที เวียนศีรษะ
แต่แล้วเกาะข้างฝากำหนดเสียให้ได้ คือเวทนา จิตวูบลงไป
แว้บลงไปเป็นสมาธิขณะที่เดินจงกรม แต่เราหาได้รู้ไม่ว่าเป็นสมาธิ
กลับหาว่าเป็นเวทนาเลยเป็นลม เลยเลิกทำไป ข้อเท็จจริงบางอย่างไม่ได้เป็นลม
แต่เป็นด้วยสมาธิในการเดินจงกรม มันวูบมันหวิวเหมือนอย่างที่เราเดินเวียนศีรษะ
ฉะนั้นมันอาจเป็นได้หลายวิธี มันอาจเป็นด้วยเป็นลมก็ได้ ไม่แน่นอน
บางครั้งสมาธิเกิดขณะที่ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ มันจะหวิวลงไป
เหมือนเป็นลมฉะนั้นขอให้ผู้ปฏิบัติกำหนด หยุดการเดินจงกรม กำหนดหวิวเสียให้ได้
กำหนดรู้หนอเสียให้ได้ เดี๋ยวท่านจะเกิดปัญญาในขณะนั้นทันที
จากการเดินจงกรมนั่นเอง อันนี้มีวิธีบอกแก้
บางทีเดินจงกรมไปมีเวทนา
อย่าเดิน หยุด-กำหนดเวทนาเป็นสัดส่วนให้หายไปก่อน และให้รู้จักหลักเวทนาเหมือนครูมาสอนโดยธรรมชาติของเวทนาต้องจัดเป็นรูปแบบและสัดส่วนให้เกิดปัญญา
แต่ละอย่างแยกรูปแยกนามได้ เวทนาก็แยกได้ ด้วยการเดินจงกรมนั้นเช่นเดียวกัน
เดินไปอีก
หวิว-เวียนศีรษะ คิดว่าไม่ดี หยุด กำหนดหวิวหนอซะ ตั้งสติไว้เสียให้ได้ให้ดีก่อนและเดินต่อไป
ปัญญาเกิดทันทีสมาธิมา ปัญญาเกิดในการเดินจงกรมทันที
จะทำให้รวบรวมสมาธิตั้งไว้ได้นานดีกว่านั่ง
แล้วไปนั่งก็ติดต่อกันไปโดยวิธีนี้ประการหนึ่ง มีอะไรก็กำหนดไปเป็นอย่าง ๆ
อย่าไปสับสน
ขณะเดินจงกรมจิตออกไปข้างนอกขณะเดิน
หยุด กำหนดหยุดเสีย กำหนดจิตเสียให้ได้ที่ลิ้นปี่ กำหนดคิดหนอ คิดหนอ
ยืนหยุดเฉย ๆ ตั้งสติไว้เสียให้ได้ แต่ละอย่างช้า เดี๋ยวสติดีปัญญาเกิด
จิตนั้นกลับมาสู่ภาวะแล้ว ก็มีความรู้เก็บหน่วยกิตเข้าไป คือตัวปัญญา
จากการกำหนดนั้นมีความสำคัญอีกประการหนึ่งนี้สำคัญมาก
เดินต่อไปอีกปัญญาก็สะสมไว้จากการเดินจงกรม
ทำให้เกิดคล่องแคล่ว ทำให้ขวาย่างซ้ายย่างเห็นชัด รู้จักคำว่าแยกรูปแยกนาม
รู้จักคำว่าจิตคนละดวง รู้จักคำว่าซ้ายย่าง ขวาย่างคนละอัน และก็ย่างไปมีกี่ระยะ
จิตที่กำหนดนั้น มันเป็นขั้นตอนประการใด ผู้ปฏิบัติจะแจ้งแก่ใจชัดมาก ในตอนนั้นถามจะต้องตอบได้ตามญาณวิถี
อย่างนี้เป็นต้น
ขณะที่จิตออกก็กำหนด
จิตฟุ้งซ่านก็กำหนด ทุกอย่างเป็นเรื่องกำหนดทั้งหมด และเราก็ได้เวลามานั่งต่อไป
และขณะที่เราตั้งสัจจะว่า จะเดินจงกรมเพียง ๓๐ นาที แล้วเราหาที่นั่งไว้ พอได้ ๓๐
นาทีก็เกิดสัจจะ แล้วก็เดินจงกรมมานั่งที่จัดสถานที่เข้าไว้
จะตรงไหนก็ตามแล้วเราก็มานั่ง นั่งย่อตัวลงไปว่านั่งหนอ ๆ ต้องปฏิบัติให้ติดต่อ
เหมือนด้ายกลุ่มออกจากลูกล้อ อย่าให้ขาดสาย ต้องปฏิบัติโดยต่อเนื่อง
กำหนดได้ทุกระยะ อย่าไปขาดตอน
ไม่ใช่เดินจงกรมเสร็จแล้วไปทำงานอื่นแล้วกลับมานั่งทีหลัง ผู้ปฏิบัติจะไม่ได้ผล
จะไม่ได้ผลเลย
ถ้าเรานั่งติดต่อกันโดยเจ็ดวัน
ท่านได้ผลแน่ภายใน ๗ วัน ได้แน่นอน เป็นการสะสมหน่วยกิตไว้ในวันที่ ๗
ท่านจะรู้เรื่องในญาณวิสุทธิ มีสติได้ดีกว่าเดิมที่ผ่านแล้ว
มันจะเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนของระยะของเขานั่นเอง เพราะทำติดต่อกันไม่ใช่ว่าวันนี้นั่งสมาธิเดินจงกรม
พรุ่งนี้เว้น มะรืนทำต่อไปและเว้นต่อไปอีกหลายวัน ทำอย่างนี้แล้วท่านจะไม่ได้ผล
ถ้าเราฝึกแล้วขอให้ฝึกติดต่อกันไป โดยวิธีปฏิบัติอย่างนี้
และเรามานั่งหายใจเข้าให้ยาว
หายใจออกให้ยาว ส่วนใหญ่อาตมาถามผู้ปฏิบัติหายใจไม่ได้กำหนด กำหนดไม่ได้จังหวะ โดย
หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ หายใจยาว ๆ ท้องมันพองระยะไหน
เราก็บอกพอง แล้วลงหนอยาว ๆ ไว้ ยุบก็ลงหนอยาว ๆ ไว้ ถ้าเราพองยาว หนอมันก็ไม่ได้
เดี๋ยวก็ยุบ ยุบแล้วไม่ทันหนอมันก็พอง อย่างนี้มันจะอึดอัด ทำให้ติดขัดในการกำหนด
จึงต้องกำหนดให้ช้า ๆ หายใจยาว ๆ ไว้ แล้วมันอึดอันในเบื้องต้นนิดหน่อย
ต่อไปก็คล่องแคล่วว่องไวขึ้นมา
กำหนดพองหนอ....ยุบหนอ....
ทีแรกก็ใช้พลังช่วยด้วย ใช้จิตดัน ดันพอง ดันยุบ ใช้สติควบคุมไปก่อน
หนักเข้าความเคยชินก็เกิดขึ้น ความดันเข้าดันออกก็หายไป
แล้วกำหนดคล่องแคล่วว่องไวเพิ่มขึ้น หายใจเข้าหายใจออก พองหนอ ยุบหนอ
ก็คล่องแคล่วว่องไว สติก็ดีขึ้น ปัญญาก็เกิด สมาธิก็ดี ตามขั้นตอนของภาคปฏิบัติ
มิฉะนั้นเรากำหนดพองหนอ ยุบหนอไม่ได้จังหวะ คือใช้ด้วยกำหนดจิตไม่มีสติ
คือว่าแต่ปาก พองหนอ ยุบหนอ นี่ว่าแต่ปาก ถ้าใช้สติควบคุมไปให้ได้จังหวะ รับรองปัญญาเกิดในช่วงจังหวะ
บางครั้งพองหนอ ยุบหนอ ตามหลักวิธีปฏิบัติ เราจะรู้ขึ้นมาเอง เหมือนเดินจงกรม
พองหนอยุบหนอเป็นอันเดียวกันไหม
มันจะแจ้งชัดขึ้นมา จิตก็คนละอันแน่ เพราะกำหนดแล้วมันก็วูบขึ้นไป
จิตดวงใหม่มันก็แสดงออกมาใหม่ เหมือนแสงนีออนเกิดดับฉะนั้น มันเป็นตามขั้นตอน
มองไม่เห็นชัด ถ้าเรากำหนดได้เราจะเห็นชัดว่าจิตคนละดวง กายพองกายยุบคนละอันแน่
ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่อาศัยเหตุที่เกิดขึ้นเป็นตัวปัจจัย ทำให้รูปนามขันธ์ ๕
แยกประเภทออกมาเป็นรูป ออกมาเป็นนาม ออกมาเป็นเวทนา ออกมาเป็นสัดส่วน
เราจะรู้ได้ว่าแยกรูปแยกนามได้โดยธรรมชาติของมันเองโดยเฉพาะ
พองหนอ
ยุบหนอ บางครั้งตื้อ ไม่พองไม่ยุบเกิดขึ้นแล้วทำอย่างไร ปัญญาแก้อย่างไร ไม่พอง
ไม่ยุบ แล้วก็เราสังเกตได้ว่าสติดี จะรู้ว่ามันหายไปตอนพองหรือตอนยุบ พองหนอ
ยุบหนอนี่ มันจะต้องกำหนดได้มีจังหวะ แต่มันหายไปตอนพองหรือตอนยุบ ปัญญาอยู่ตรงนั้น
เราก็มีสติดี จะรู้ได้ว่ามืนตื้อไม่ยุบไม่พองก็หายไปตอนพองหรือตอนยุบ
จะเห็นชัดแล้วเราก็กำหนด รู้หนอ ๆ แล้วหายใจเข้ายาว ๆ หายใจออกยาว ๆ
ให้ได้ที่ แล้วจึงใช้สติกำหนดต่อไปว่า พองหนอ ยุบหนอ ปัญญาเกิด สมาธิดี
ก็ทำให้พองหนอ ยุบหนอ สั้น ๆ ยาย ๆ แล้วทำให้แวบออกข้าง ๆ ทำให้จิตวนอยู่ในพองยุบ
ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ถือว่าดีแล้ว มันเกิดภาวะเช่นนี้แล้ว ทำให้เรากำหนดต่อไป
ขอให้จิตนี้วนอย่างนี้จริง ๆ
พองหนอยุบหนอเดี๋ยวขึ้นลง
เดี๋ยวขึ้นลง ไม่ออกทางพอง ไม่ออกทางยุบ และจิตก็แวบออกไปแวบเข้ามา
เดี๋ยวก็จิตคิดบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง สับสนอลหม่านกัน
อย่างนี้ถือว่าได้ประโยชน์ในการปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติอย่าทิ้ง
ผู้ปฏิบัติจะต้องตามกำหนดต่อไปว่ามันฟุ้งซ่าน จิตมันขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วพองหนอยุบหนอ
กระสับกระส่ายแล้วพองหนอยุบหนอไม่ชัด ตอนนั้นได้ผลแล้ว ในเมื่อไม่ชัดก็ไม่เป็นไร
ตื้อขึ้นมาพองยุบบนลิ้นปี่ เดี๋ยวตื้อมาพองยุบที่หน้าอก แล้วเราก็กำหนดลงไปที่ท้อง
กำหนดรู้หนอ ๆๆ เสียก่อน แล้วก็หายใจเข้าออกต่อไปใหม่ นี่วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง
ขอนักปฏิบัติธรรมทำตามหลักนี้จะได้รับผลอย่างแน่นอน
บางทีทำพองหนอยุบหนอ พอจิตสงบดี จิตออกแล้วมันค่อยจะเผลอมันคอยจะพลาด จิตคอยแวบออกไป
แต่เรามีปัญหาอยู่ว่าจิตออกไปไม่รู้ เพราะไม่มีสติ ถ้าสติดีจิตออกไปต้องรู้แน่
ออกไปรู้เลยว่า ออกไปตอนพองหรือตอนยุบ จะเห็นชัด
บางทีขณะที่พอง
ขณะที่ยุบ จิตออกไปแล้ว บางคนไม่รู้เลย จิตออกไปเสียเมื่อไร
ไปคิดเสียตั้งนานแล้วนี่อย่างนี้ ก็แสดงเหตุผลให้ทราบว่าขาดสติ สติไม่พอ
ถ้าสติเราพอแล้วออกไปตอนไหนรู้ตอนนั้น หนักเข้าเรากำหนดเชี่ยวชาญชำนาญการไปแล้ว
มันก็ทำให้จิตออกรู้ตัวทำใหม่ ๆ จิตออกจะไม่รู้ ตัวจิตก็พองหนอยุบหนอ
สติกำหนดพองหนอยุบหนอจิตหนึ่งก็ออกไปคิดข้างนอกไปคิดอะไรมากมายจริง ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
ให้หยุดพองยุบ มากำหนดรู้หนอ หรือคิดหนอก็ได้ แล้วแต่กำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง
กำหนดคิดหนอ
คิดหนอ พอสติดีปัญญาก็บอกว่า คิดเรื่องอะไรได้ผลเป็นประการใด มันก็สะสมจิต
แฝงไว้ในจิตแฝงไว้ในใจ คือตัวปัญญาตอไป ได้แก่แสงสว่างอย่างนั้นเอง พอกำหนดไปแล้ว
จิตที่คิดมากฟุ้งซ่าน แวบไปแวบมาทำให้เกิดเวทนาได้ ทำให้ปวดเมื่อย
ทำให้ร่างกายสังขารไม่อยู่ในภาวะแห่งความปกติ
เราก็ต้องกำหนดสังขารร่างกายที่มันปวดตรงไหน เมื่อยตรงไหน เกิดขึ้นโดยวิธีนั้นแล้ว
มันก็จะค่อย ๆ คลายหายลงไป จิตก็เข้ามาสู่ภาวะของพองหนอยุบหนอ ต่อไปใหม่
อาการ วูบ
บางครั้งนั่งมันวูบ
วูบลงไปถึงกระดาน บางทีวูบผงะ วูบไปข้างหลัง วูบไปข้างหน้า บางทีวูบไปทางซ้าย
บางทีวูบไปทางขวา บางทีพองหนอยุบหนอ วูบไปแล้ว บางทีพองก็วูบไปแล้ว
มันวูบหลายอย่าง ต้องใช้สติกำหนดรู้หนอ ๆ เพราะมันวูบลงไป
บางครั้งวูบมี
๒ อย่าง เกิดด้วยสมาธิสูงไป สติไม่พอ มันวูบลงไปโดยไม่ทันรู้ตัว
เกิดตกใจอย่างหนึ่ง วูบอีกอย่างหนึ่งคือ วูบในการง่วง ถีนมิทธะ
เข้าครอบงำง่วงเหงาหาวนอนทำให้วูบหน้าวูบหลัง ผงกหน้าผงกหลัง
เกิดขึ้นได้ในขณะที่นั่งภาวนาพองหนอยุบหนอ อย่างนี้ถือว่า ถีนมิทธะ
ง่วงเหงาหาวนอนมันเกิดขึ้นมิใช่เป็นตัวสมาธิ ถ้าเป็นตัวสมาธิแล้ว
มันจะเกิดขึ้นโดยวูบอย่างแรงแต่ไม่ใช่ง่วง รู้ตัวอยู่ตลอดเวลากาลอย่างนี้
สมาธิดีแต่สติน้อยไป ทำให้วูบลงไปได้อย่างหนึ่งอย่างนี้
บางครั้งกำหนดไปกำหนดมาเกิดปีติ
เกิดขนลุกขนพองสยองเกล้า กำหนดขนลุกเสีย กำหนดขนพองเสีย เกิดปีติแล้วต้องกำหนดเสียให้ได้
พอกำหนดได้แล้วกลับมาพองหนอ ยุบหนอต่อไป ปัญญาจะเกิดตอนนั้น
บางครั้งสมาธิจะดีต้องมีอุปสรรค
สติดีต้องมีอุปสรรค เช่น เวทนา เป็นต้น
มาขัดขวางเป็นมารสำคัญทำให้เรารู้ในธรรมะคือเวทนา
บางครั้งสมาธิจะดีทำให้เกิดฟุ้งซ่าน ถ้าเราผ่านฟุ้งซ่าน ผ่านไปได้ ด้วยใช้สติดี
ปัญญาดี กำหนดได้ รับรองปัญญาก็เกิดขึ้นหลังจากที่ผ่านทุกข์นั้น
จึงเข้าสู่ภาวะของญาณ
เริ่มต้นด้วย
นามรูปปริจเฉทญาณ แยกรูปแยกนามได้ ในเบื้องต้น
อย่างนี้ภาวะของธรรมด้วยการกำหนดช้า ๆ อย่ากำหนดไว แล้วมานั่งแล้วนอนลงไป กำหนดได้
๓๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมงที่ตั้งใจไว้ เราก็นอนลงไปอย่าเพิ่งแผ่เมตตา
นอนเปลี่ยนอิริยาบถแล้วกำหนดที่ท้องต่อไปให้ติดต่อกันไปดูซิ
จะเป็นเวลากลาวันก็ดีกลางคืนก็ตาม
ขณะที่ผู้ปฏิบัติอยู่ที่ห้องกรรมฐานได้ดีแล้ว
ตัดปลิโพธกังวลมาดีแล้ว ขอให้ทำติดต่อไป อย่าไปนั่งคุยกัน อย่าไปนั่งสนทนา
อย่าไปนั่งคิดเรื่องเก่า มาเล่ากันใหม่แต่ประการใด เราก็กำหนดนอน พองหนอ
ยุบหนอยาว ๆ กำหนดเรื่อยไปที่ท้อง ขณะนอนนั้นชัดมาก เดี๋ยวจะรู้สึกขึ้นมาว่า
สมาธิดี ปัญญาเกิด เดี๋ยวมันจะวูบลงไป มันจะเพลินลงไป เผลอลงไป บางประการ สติดี
จะรู้ทุกวิถีทางว่ามันวูบตรงไหน เป็นอย่างไร จับได้ทุกอย่างขณะที่นอน
ถ้าหากว่ามันจะหลับ
ไม่ใช่หลับด้วยถีนมิทธะง่วงเหงา มันหลับโดยปกติ โดยมีสติสัมปชัญญะดี
มันจะรู้ตัวขึ้นมาว่าเพลินเผลอแวบไปตอนพองหรือตอนยุบ ผู้ปฏิบัติต้องจับได้
ถ้าจับได้ตอนพองหรือตอนยุบจำไว้ หลับวูบลงไปแล้วสติดีตลอดขณะที่นอนอยู่นั้น
ขณะนอนอยู่นั้นสติภายในดีมาก จิตภายในรู้อยู่ตลอดเวลา พลิกตัวกี่ครั้งรู้หมด
และทำให้เราจะกำหนดตื่นเวลาไหน แม้เพียง ๑๐ นาทีก็ได้ หลับอย่างสนิท แต่ภายในมีสติ
อย่างนี้ถือว่าหลับสนิทภายในมีสติ คือหลับโดยใช้ปัญญาฝากไว้ในภายใน นึกจะตื่นเวลาไหน
ใครเรียกขึ้นมาในเวลาใดรับปากเมื่อนั้น อันนี้ตื่นไวชวนะจิตรับสู่อารมณ์ได้ไวด้วย
ขณะที่นอนหลับมีสติ
นักปฏิบัติธรรมอย่าลืม
ทำให้ติดต่อกันไป ในเมื่อท่านเดินจงกรม นั่งภาวนาแล้ว นอนลงไปกำหนดเสีย ๑๐ นาที
หรือ ๒๐ นาที ค่อยมาเดินจงกรม เปลี่ยนอิริยาบถต่อไปใหม่
ถ้าทำโดยต่อเนื่องติดต่อกันไป ภายใน ๗ วัน รับรองเห็นผลแน่
ผลที่จะพึงได้จากการเจริญวิปัสสนาญาณ
ทำให้ญาณวิถีรู้เท่าทันเหตุการณ์ของชีวิตได้โดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่ง
แต่ข้อใหญ่ใจความของการเจริญวิปัสสนานั้น
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าลืมอีกอันหนึ่งคือ สัมผัสอายตนะ ต้องกำหนด ตาเห็นรูปกำหนด
หูได้ยินเสียงกำหนด จมูกได้กลิ่นกำหนด ลิ้นรับรสกำหนด กายสัมผัสต้องกำหนด
เพราะที่มาของทวารหก เป็นที่มาของกิเลส และเป็นที่มาของขันธ์ ๕ รูปนาม
เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน จำเป็นต้องกำหนดตลอดเวลา ให้เชี่ยวชาญ ชำนาญทุกอย่าง
หูได้ยินเสียงตั้งสติไว้ การกำหนดก็คือตัวตั้งสตินั่นเอง
ปัญญาก็บอกได้ในการฟังจากเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เกิดปัญญาในการฟัง
ตาเห็นรูปก็ดี ตั้งสติไว้ที่หน้าผาก กำหนดเสียให้ได้ในการสัมผัส
รับรองปัญญาก็เกิดสะสมเข้าไว้เป็นหน่วยกิต และมาเดินจงกรมนั่งภาวนารับรองได้ไว
ถ้าท่านทั้งหลายกำหนดหน่วยกิตนี้
โดยอายตนะธาตุอินทรีย์ดังกล่าวมาแล้ว ไปเดินจงกรม....นิมิตเป็นพระพุทธรูป
นิมิตเป็นหมอกเมฆต่าง ๆ นานาประการ นิมิตให้เราเห็นต้นหมากรากไม้ก็ได้
เช่นนี้ถือว่ามีสมาธิ แต่แล้ววิธีปฏิบัติต้องกำหนดเสียว่าเห็นหนอ ๆ ในนิมิตนั้น
นิมิตนั้นแปรผันเปลี่ยนแปลง เป็นสภาวรูปเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
นิมิตนั้นก็หายวับไปกับตา ปัญญาก็เกิดเข้ามาแทนที่
นิมิตนี้เป็นเครื่องหมายเท่านั้น
แสดงให้เรารู้ถึงสภาวะของรูปที่มันเกิดขึ้นในทางนิมิต มันอาจจะเกิดขึ้น ๒ ประการ
กรรมนิมิต
เกิดทางกรรมนิมิตเครื่องหมายให้เราได้ทราบจากครั้งอดีตก็ได้
หรือนิมิตเครื่องหมายบอกให้เราทราบในเรื่องของการกระทำและมารที่มาขัดขวางก็ได้ วิธีปฏิบัติไม่ให้วิจัย
ไม่ให้ประเมินผล ไม่ต้องไปดูปริยัติแต่ประการใด
มีวิธีปฏิบัติอยู่อันมีผลคือตั้งจิตกำหนด ใช้สติตลอดอย่างนี้ อย่าไปวิจัย
ให้เกิดผลในทางอื่น เพราะการปฏิบัตินี้ไม่ใช่เรียนหนังสือต้องทำโง่ไว้ ต้องทำโง่
ทำไม่รู้อะไร ทำให้เกิดเอง ปัญญาเกิดเอง
และรู้เองอย่างงี้โดยไม่ได้รู้ตามคนอื่นบอกเล่า ไม่ใช่รูปแบบคนอื่นมาบอกเล่า
ไม่ใช่รู้ในตำรา ไม่ใช่รู้ในหนังสือ ไม่ใช่รู้ว่าญาณทัสสนะวิสุทธิเกิดขึ้น
ในหนังสืออย่างนี้เป็นความรู้ธรรมะ
แต่ภาคปฏิบัตินี้
เป็นการปฏิบัติให้เกิดเองโดยภาวนานี้ มันเกิดเอง แล้วก็ปัญญาก็เกิดเอง
บอกตัวเองได้ โดยวิธีปฏิบัตินี้ อันนี้นักปฏิบัติอย่าลืมด้วยตัวกำหนด
มันมีอะไรเกิดขึ้นทุกวิถีทาง ต้องกำหนดให้หาย ถ้ากำหนดไม่หายนะปล่อยปละละเลยไป
เป็นการสะสมหน่วยกิต ทำให้เกิดสันดานเป็นพื้นฐานของจิต ทำให้เราปิดบังปัญญาไว้
เกิดโมหจริต ปัญญาก็ไม่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติด้วย
โดยวิธีนี้จึงต้องกำหนดทุกอิริยาบถ
เพราะฉะนั้นที่พูดซ้ำมาเป็นเวลานานนี้
ต้องการให้ผู้ปฏิบัติปฏิบัติโดยถูกต้อง ไม่ต้องฟังเสียงใคร
และการปฏิบัตินี้ขอให้ปฏิบัติไปตามขั้นตอนอย่าไปเอาอย่างอื่นมาประสบประสานกัน
เดี๋ยวพุทโธบ้าง พองหนอ ยุบหนอบ้าง สัมมาอรหังบ้าง เลยสับสนอลหม่านตลอดกาล
ไม่ได้ผลเท่าที่ควรในวิธีปฏิบัติ การปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ต้องการให้มีสติ
รู้ทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์เข้าทางทวารหก ขันธ์ ๕ รูปนาม เกิดทางทวารหก
แล้วก็ดับพร้อมกันไป กิเลสก็เกิดขึ้นทางนั้นเหมือนกัน คือ โลภะ โทสะ โมหะ
อยู่ในขันธสันดาน เรียกว่า ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นทางอายตนะ ธาตุ
อินทรีย์ โดยวิธีนี้เป็นต้น
ถ้าเราสติดี
ปัญญาดีแล้ว มันจะบอกได้เป็นขั้นตอน มีเวทนาอยู่จุดไหน กำหนดได้ จุดนั้นมันก็หายไป
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในการฝึกเบื้องตนมักมีอย่างนี้
ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก ครูเขามาสอนแล้วต้องเรียน ครูโลภะ ครูโทสะ
ครูเวทนา ครูฟุ้งซ่าน ครูเสียใจ มาสอนเราว่าทำไมเสียใจ แก้ไขอย่างไร ก็กำหนดจิตใช้สติตลอดเวลา
อริยสัจ ๔ ก็ชัดขึ้น นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สำเร็จมรรคผลมา
ก็ใช้หลักสำเร็จที่อริยสัจ ๔ ก็ได้จากการเจริญสติปัฏฐานมานี่เอง
พระองค์จึงได้ย้ำหลักในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าลืมกำหนด กำหนดให้ได้ ยืนหนอ ๕ ครั้ง
นี่เอาไว้ใช้อะไร สำหรับเราดูคนอื่นเขา เห็นหนอ ๕ ครั้ง ตั้งแต่ปลายผมคนที่เราเห็น
ปลายเท้าขึ้นมา เดี๋ยวสติจะบอกว่า คนนี้มีนิสัยไม่ดี คนนี้มีนิสัยดี
คนนี้มีเล่ห์กระเท่ห์เพทุบาย มันจะแจ้งรายงานให้เราทราบการเห็น นี่แหละยืนหนอ ๕
ครั้งนี่ สำหรับวิธีดูคนอื่นเขา เพราะเราดูตัวเองได้แล้ว ฝึกฝนตนเองได้แล้ว
อ่านตัวออกบอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น แล้วดูคนอื่น ทำไม่อ่านไม่ออกเล่าแบบเดียวกัน
เพราะฉะนั้นการยืนหนอ
๕ ครั้ง ต้องการจะดูคนอื่นที่เดินเข้ามา คือสภาวรูป จะเป็นคนหรือมนุษย์สัตว์
สิ่งทั้งหลายก็ตามโดยที่มีวิญญาณและที่ไม่มีวิญญาณ
เราอาจจะมองเห็นวิญญาณมองเห็นดวงวิญญาณ มองเห็นสิ่งที่เร้นลับโดยปัญญาได้
ด้วยยืนหนอ ๕ ครั้งนี่แหละ ที่เราจะเพ่งสายตา จะไปดูสภาวรูปที่ไหน
ก็กำหนดว่าเห็นหนอ ๆ อย่างนั้น และเห็นจริง ๆ ด้วยตาปัญญา นี่แหละปัจจัตตัง
ที่จะทำได้จึงต้องเห็นไว้ มันมีประโยชน์ในการแก้ปัญหาอย่างเหลือเกิน
พอเราทำได้แล้ว เห็นหนอทำได้แล้ว ไม่ต้องกำหนด มันบอกเอง ดีเอง เรามองเห็นสภาวรูป
รูปมันจะแจ้งชัดเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจะบอกเป็นขั้นตอนออกมาเอง ไม่ต้องกำหนด
วิธีฝึกเบื้องต้น
เราจิตยังไม่เข้าขั้น ยังไม่ถึงวิปัสสนาญาณแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะบอกได้อย่างนี้
ถ้าเราเข้าถึงขั้นแล้ว มันจะบอกได้ทั้งหมด
เป็นการครอบจักรวาลโดยใช้สติสัมปชัญญะทุกประการ
ที่อาตมาได้ชี้แจงแสดงมานี้ต้องย้ำไว้
สำหรับผู้ปฏิบัติปล่อยปละละเลยมาก ไม่ปฏิบัติโดยต่อเนื่อง เราจะเดินไปห้องน้ำ
ห้องส้วม เดินจงกรมไป และรับประทานอาหารก็พิจารณาปัจจเวกขณ์ด้วย การกำหนด กินหนอ
เคี้ยวหนอ กลืนหนอ เป็นต้น ให้ช้าที่สุด อันนี้พิจารณาปัจจัยไปในตัวด้วย
แต่งกายแต่งใจอยู่เสมอ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะต้องกำหนด ตลอดเวลากาล ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติจะทำโดยต่อเมื่อเดินจงกรมกับพองหนอยุบหนอเท่านั้น
เพราะยังไม่สามารถจะใช้ได้ ที่จะให้ได้ต้องกำหนดสิ่งแวดล้อมทั้งหมด
การปฏิบัติของเราจะได้รับผล สมความมุ่งมาดปรารถนา
ขอเจริญพรผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน
โปรดได้ปฏิบัติโดยต่อเนื่อง จะไปอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ต้องกำหนดเรื่อยไป
เป็นการสะสมเรื่อยไป และมันเกิดเต็มเปี่ยมขึ้นมาแล้ว
มันจะเย็นอัตโนมัติเห็นได้ชัดคือ ปัญญา
เพราะฉะนั้นการเจริญวิปัสสนากับการศึกษาแบบอื่นต่างกัน
ต้องทำขึ้นมาเอง ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ ฝากสิ่งทิฐิมานะเก็บไว้ใช้ในตัวเราที่แสดงออก
ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วใช้สติกำหนดไปตลอดภาวะของรูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์
จึงเรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน แสดงผลงานของปัญญาให้ชัดแจ้งต่อไปด้วย
ผู้ปฏิบัติธรรม
เดินจงกรมแล้ว นั่งภาวนา นอนกำหนด เสร็จแล้วเราก็มาที่ห้องพระ
ถ้าไม่มีห้องพระตรงไหนก็ได้ อย่าลืมแผ่เมตตา โทรจิต อุทิศส่วนกุศล ให้ผู้มีพระคุณ
มีบิดา มารดาเป็นต้น ตลอดกระทั่งเจ้ากรรมนายเวร บรรดาญาติทั้งหลายผู้ล่วงลับไปแล้ว
และเจ้ากรรมนายเวรที่จะมาทวงถามเราอยู่ทุกขณะ
เราจะได้ไม่ปฏิเสธใช้หนี้เวรใช้หนี้กรรม จากการกระทำโดยอโหสิกรรมนั่นเอง ไม่โกรธ
ไม่เกลียด ไม่อาฆาตเคียดแค้นต่อท่านผู้ใด กรรมนั้นเป็นอโหสิ
ไม่มีเวรกรรมต่อเนื่องกันไป
อันนี้ถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
หลังจากนั้น
จงอุทิศส่วนกุศลและโทรจิตออกไปทุกทิศ อโหสิกรรมทุกเวลา ท่านจะได้รับผลทุกประการ
จะทำกิจการงานทางโลกทางธรรม ทำแล้วไม่ไร้ผล จะเรียกเงินเรียกทองก็ได้ เรียกแบบไหน
เพราะจิตใจของเราเข้าสู่ภาวะของผู้มีปัญญาแล้ว จะคิดอ่านอันใด
สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นมีอานิสงส์ คิดเงินจะได้ไหลนองคิดทองจะได้ไหลมา
กิจการจะได้สำเร็จตามเป้าหมาย เรียกว่าปัญญารอบรู้ในกองการสังขาร
รอบรู้ในเหตุการณ์ของชีวิต สามารถใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ของตนเองและบุคคลทั่วไปได้
สมปรารถนาทุกประการ
จึงขอเจริญพรผู้ปฏิบัติธรรม
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลและเป็นเรื่องทำง่ายนะ ทำยากที่สุด ถึงยากอย่างไรก็ตาม
ก็พยายามทำ พยายามที่จะกำหนด และปรารภขันติความอดทนไว้
ฝืนใจไว้ให้ได้จนกว่าจะเคยชินเข้าสู่ภาวะแห่งความสงบ นตฺถิ
สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มีแล้วในโลกมนุษย์นี้
เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ทันท่วงที ทุกประการ
นี่แหละเป็นอาวุธที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้แก่เรา......