วิปัสสนาแก้กรรม

 

พระครูภาวนาวิสุทธิ์

P2004

 

          วันนี้จะเล่าเรื่องพิเศษให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาแล้วสามารถแก้กรรมได้

 

            กล่าวถึงนางไกร พัฒนทายาท ทำงานอยู่ที่สำนักงานไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ บ้านเดิมอยู่จังหวัดแพร่ เป็นลูกของ  มัคทายกวัด สำเร็จการศึกษาแค่มัธยม ๖ ก็มาเข้างานที่สำนักงานไร่ยาสูบที่จังหวัดเพชรบูรณ์

 

            นายไกรเข้ามาทำงานโดยผู้จัดการคนก่อนรับไว้และช่วยเหลืออุปการะ ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัศดุ ต่อมาเกิดมีการก่อสร้างโรงเรือนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไม่ถูกกันอย่างแรงเลยทีเดียว นายไกรก็ทำบัญชีตะพึด โกงหรือไม่โกงเราไม่รู้ ก็ได้ความว่าผู้สอบบัญชีมาตรวจพบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าที่ การก่อสร้างนี้เอาสิ่งของวัตถุก่อสร้างไปใช้ผิดประเภท

 

            ทางการก็สั่งพักงานผู้จัดการทันที ข้างนายไกรก็กลุ้มอกกลุ้มใจเหลือเกิน “เอ เราจะเบิกความอย่างไร ต้องเป็นพยาน เราจะต้องติดร่างแหด้วยถ้าเบิกไปตามจริงนี้เจ้านายจะติดคุก แต่ท่านก็เป็นเจ้านายเรานี่ แหม! พะอืดพะอมเหลือเกิน เราอุตส่าห์ตั้งใจทำงานตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัศดุมีเงินเดือนเงินดาวสูงขึ้น และลูกยังเล็ก ๆ ๓ คน จะออกใหม่อีกคนเป็น ๔ คนทำนองนี้ จะบอกให้การตามจริงก็เป็นการที่จะต้องแฉผู้จัดการผู้มีพระคุณและเป็นเจ้านาย ถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์กระเท่ห์เพทุบาย ก็เป็นการโกงรัฐบาล” เป็นคนตรงอย่างนี้ ในที่สุดนายไกรตัดสินใจตาย ก็บอกกับภรรยาลูกเล็ก ๆ ว่าจะเข้ากรุงเทพฯ นะ รถรายังไม่เจริญก็เตรียมหีบ เตรียมยาอันตรายไปเสร็จขึ้นรถยนต์ไปลงตะพานหิน ซื้อตั๋วรถไฟไปลงกรุงเทพฯ มันเป็นบุญวาสนาของเขาก็เกิดให้ร้อนอกร้อนใจลงเสียที่สถานีลพบุรี ไม่ไปกรุงเทพฯ แต่บอกกับภรรยาว่าจะไปธุระราชการที่กรุงเทพฯ ติดต่องานนิดหน่อยเท่านั้น ด้วยความกลุ้มใจว่าตัวจะต้องโดนติดคุกด้วยเสียอกเสียใจ ข้าวปลาไม่รับประทานมาลงที่สถานีลพบุรีเสร็จแล้วก็แบกหีบเทิ่ง ๆ ไป

 

            ตอนนั้นไฟฟ้าภูมิภาคไม่มีนะ มีไฟฟ้าเทศบาลอยู่ที่สวนสัตว์โน่น ไปทางวัดไก่มีโรงไฟฟ้าสำหรับปั่นของเทศบาล สมัยเก่าไฟฟ้ายังไม่เข้า เขาก็มีวิกอยู่ ๒ วิก วิกนารายณ์กับวิกท่าขุนนาง และนายไกรนี่ก็ไปพักโรงแรมทหารบก พักโรงแรมไฟฟ้าก็หรี่ตอนหัวค่ำ แล้วก็นั่งเขียนหนังสือว่าจะกินยาตายและก็ขอตายที่โรงแรมนี้ เขียนหนังสือว่า เขาเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำไม่ต้องมากินยาตายที่นี้ด้วย ขอให้โรงแรมได้รับทราบในเรื่องนี้ของเขาในค่ำคืนวันนี้ แต่เขาก็ยังมีบุญอยู่ พอเอายาขึ้นมาดื่ม ไฟฟ้าซึ่งริบหรี่อยู่เกิดสว่างพรึบขึ้นมาทันที สว่างโล่งเลย ตกใจ! ยาหกไปหน่อยแล้วก็วางตั้งสติ เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ตั้งสติอารมณ์ใหม่ เอ! เมื่อกี้ไฟมันหรี่ มัน ๖ ทุ่มกว่า จะตี ๑ แล้ว หนังเลิกคนก็ใช้ไฟน้อยลง ไฟก็สว่างพรึบขึ้น

 

            นายไกรก็มาคิดว่า เอ! เราจะมากินยาตายคิดสั้น ๆ อย่างนี้หรือ พ่อแม่เราก็เป็นมัคทายกวัด อยู่จังหวัดแพร่ เป็นคนใจบุญสุนทาน เราจะทำอย่างไรดี คืนนั้นก็ไม่ได้นอนตลอดคืน แล้วก็คิดตกลงใจว่า อย่าเลย! เราจะไปหาสำนักวิปัสสนา จะไปที่ไหนดี ก็ตรึกตรองอยู่จนสว่าง แล้วก็จ่ายค่าโรงแรมก็แบกหีบเทิ่ง ๆ ไป กินกาแฟแก้วหนึ่งแก้หิว ข้าวปลาไม่เอา ก็แบบหีบไปถึงท่าโพธิ์

 

            ตอนนั้นรถประจำทางไม่มีรถบัสหรอก มีแต่รถคอกหมู รถมีม้านั่ง แล้วก็นั่ง ๆ กันไป สิงห์-ลพบุรี สิงห์-ลพบุรี ก็ไม่ทราบว่าจุดหมายปลายทางจะไปที่ไหนประการใด นายไกรก็แบกหีบมา พวกท้ายรถก็มาช่วยแหบหีบ ปากก็ร้องว่า สิงห์ สิงห์ สิงห์ แหบหีบขึ้นหลังคาไปเลย มัดเลย ขึ้นครับเขาให้ไปสิงห์ ก็ใจลอยอยู่แล้ว สติสตังไม่มีก็ขึ้นส่งไปเลย เก็บบาทหนึ่ง ลพบุรี-สิงห์ บาทหนึ่ง นี่สมัยนั้นนะก็ขึ้นไป ขึ้นไปแล้วทำอย่างไร พวกมาเก็บสตางค์ถามไปไหน ตอบ “ไม่รู้” ไม่รู้ยังไงแล้วผมจะเก็บตังถูหรือ ไปท่าวุ้งหรือลงไหน สิงห์ก็แล้วกันเก็บบาทหนึ่ง” เสียตังค่าโดยสารรถมาถึงตลาดปากบางทางที่จะเข้ามาวัดเรานี่ ถึงบางนา รถเสียเลย แก้ไม่ติดทำอย่างไรก็ไม่ติด เสียเลย

 

            นายไกรก็ลงจากรถ มานั่งกอดอกอยู่ที่ร้านกาแฟ มีร้านกาแฟอยู่ร้านเดียว เดี๋ยวนี้เจริญแล้ว ที่บางนาตรงนี้เอง ก็นั่งกอดเข่า ร้านกาแฟเขาถามว่า “นี่คุณจะไปไหน” ตอบไม่รู้ เอ้! ไม่รู้จะไปไหน เอาโอวัลตินมาถ้วยหนึ่งเถอะ พอดื่มโอวัลตินแล้ว รถก็ยังไม่ติด รถไม่ติดเลย สักประเดี๋ยวก็เกิดลางสังหรณ์ใจขึ้นมา บอก “นี่กระเป๋าเอากระเป๋าผมลง เดี๋ยวผมขอคุยกับแม่ค้าก่อน แม่ค้าก็ถามว่าคุณมาจากไหน ก็ไม่บอก ถามว่า “นี่แม่คุณเอ๋ย วัดไหนมีสำนักรรมฐานบ้าง อยากให้พาไป”

 

            พอดีร้านกาแฟเขารู้จักอาตมา “เอ้าเดี๋ยวจะพาไปเอา ๕ บาท” แล้วผลสุดท้ายก็แบกหีบมาให้ พอตกลง ๕ บาท เฉ่งเงินเลย ต้องให้เกินก่อนไม่งั้นไม่พาไป พอเฉ่งเงินเสร็จเรียบร้อยรถติดเลย ไม่ได้เสียอะไรแล่นต่อไปได้ นี่เห็นไหมนี่ เลยแบกหีบเทิ่งมา

 

            อาตมาจำวัดอยู่ในโบสถ์ โบสถ์หลังเก่าไม่ใช่หลังนี้ เป็นป่าดงพงทึบเป็นป่าแฝก ป่าหญ้าคาแน่นหมด มีกุฏิกรรมฐานอยู่ ๓ หลัง ที่แม่สะอิ้งสร้างไว้ หลังแรก

 

            นายไกรมาแล้วพร้อมกับคนรับจ้างแบกหีบ ส่งแค่หน้าโบสถ์บอกกลับละครับ แล้วเขาก็กลับ

            อาตมาก็ถามว่า “โยมมาจากไหนนี่”

          ไม่บอก บอก “ผมชื่อนายบุญพัฒนา” โกหกเราเลย ชื่อนายบุญพัฒนา มาจากไหนก็ไม่รู้

            อาตมารู้แล้ว “เดี๋ยวไปอาบน้ำเสียก่อน จะมานั่งเข้ากรรมฐานใช่ไหม”

            “ใช่” และเขาก็ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็จะมานั่ง

            บอก “เดี๋ยวฟังโอวาทก่อน” อาตมาก็ให้โอวาท ไปตรงเรื่องเขาหมดเลย ร้องห่มร้องไห้ อาตมาก็จับได้ บอกเสียตรง ๆ นะ มีเรื่องอะไรใจเหรอ

 

            ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนอวสาน เล่าให้อาตมาฟัง เรารู้เรื่องเขาหมดแล้วก็บอก “เอาอย่างนี้แล้วกัน อยู่ ๗ วัน รักษาศีล ๘ เดี๋ยวนี้” อาตมาก็ให้กรรมฐาน พอให้กรรมฐานเสร็จแล้ว เดินจงกรม เอาเลย ไม่ใช่ ๓๐ นาทีหรอก ต้อง ๑ ชั่วโมงนะ เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง และให้ไปนั่งกับอาตมาในโบสถ์เพราะกุฏิมีอยู่ ๓ หลัง ยังไม่มีพระมาอยู่ทางนี้ พระยังไม่ค่อยมีมาก ก็ให้นั่งในโบสถ์ นั่งเสร็จแล้วก็ให้แผ่เมตตา แผ่เมตตาถึงเจ้านาย

 

            นี่เล่าเรื่องหมดเลย อาตมาก็สอนว่าจะต้องปักหลักสู้ และก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ จะให้การตามจริง เจ้านายก็จะติดคุก จะให้ความไม่จริงก็เป็นการโกงรัฐบาล ข้าพเจ้าจะขอบวชเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แต่ไม่ได้บวชพระอย่างนี้ นุ่งขาวห่มขาวแล้วก็รับศีล ๘ แล้วนั่งเจริญกรรมฐานแผ่เมตตาออกไปให้กรรมการผู้สอบสวน และเจ้านายได้ทราบด้วยญาณวิถี” ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ และขอให้ผู้จัดการของข้าพเจ้ามีความสุข ขอให้รองผู้จัดการที่หาเรื่องหาราวเป็นความจริงนั้น ขอให้มีความสุข ความเจริญ แผ่เมตตา ถ้าหากข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ครับถ้วนขบวนการแล้ว ขอให้บุญกุศลจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ทำอย่างนี้ทุกวันเลย

 

            ครบวันที่ ๖ แล้ว วันที่ ๗ เขาจะขอลากลับ วันที่ ๖ ร้อนถึงเจ้านายทันที เป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่อุทิศส่วนกุศลนี่นะ ขอให้ญาติโยมทำจริง ขออุทิศส่วนกุศล ขอกข้าพเจ้าหาทางออกไม่ได้แล้ว มีทางเดียวคือตาย อับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ลูกก็ยังเล็ก ๆ แบเบาะอยู่ก็มี ขอให้บุญกุศลนี้ร้อนถึงเจ้านายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ จงเห็นใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้การตามความจริงก็ไม่ได้ เพราะท่านเป็นเจ้านายผู้มีพระคุณ ตัดสินใจอะไรไม่ได้แล้ว ในที่สุดเป็นอย่างไร

 

            เจ้านายที่กรุงเทพฯ ก็โทรเลขด่วนเลย บอกว่าให้นายไกรมาพบโดยด่วนทีเดียว นี่เห็นไหม บุญกุศลจากการเจริญวิปัสสนา บอกขอพบโดยด่วนให้ตามมาด่วนภายใน ๗ วัน ถ้าไม่พบภายใน ๗ วันถือว่ามีความคิดคดีอาญาอย่างร้ายแรง เจ้านายว่าอย่างนี้เลย ในที่สุดเขาก็ได้มาส่งข่าวทางบ้าน ภรรยาเขาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน ทราบแต่มากรุงเทพฯ มาตามที่กรุงเทพฯ ก็ไม่พบ

 

            ก็มีลุงคนหนึ่ง อาตมาก็จำชื่อเขาไม่ได้เป็นลุงข้างภรรยาเขาโทรตามบ้านญาติแล้ก็ไม่มี ช่วยไปตามทีเถอะ ก่อนที่จะเดินทางมาตามก็เดินจงกรม นั่งวิปัสสนาและขออธิษฐานจิต ให้กุศลดลบันดาลให้พบหลายเขยให้จงได้

 

            ว่าแล้วมิทันช้าก็เดินทางขึ้นรถไฟมาถึงลพบุรี ก็ลงที่ลพบุรีอีก เห็นไหมนี่ ทำให้เกิดสังหรณ์ในใจ ลงลพบุรีเลย แปบหีบเทิ่ง ๆ ไป มีกระเป๋าเล็ก ๆ ใบหนึ่ง ลงที่ลพบุรี เสร็จแล้วก็เดินทางไปทางท่าโพธิ์เที่ยวถามเขาเรื่อยไป รถคันเดิมนั่นแหละ สิงห์ สิงห์ สิงห์ ยกหีบตาลุงคนนี้ขึ้นรถไปเลย นี่เห็นไหมนี่ สิงห์ สิงห์ สิงห์ขึ้นรถไปถึงบางนารถเสียอีก นี่เรื่องอัศจรรย์เล่าให้โยมฟัง รถเสีย

 

            ตาคนนี้ก็ลงมาร้านกาแฟร้านเดิม รถก็ไม่ติด ลงมาร้านกาแฟก็ถามเขาเรื่อยมา แกบอกว่าสติบอก สติกรรมฐาน เพราะตาคนนี้แกนั่งกรรมฐานตั้งแต่อยู่วัดบวชมา ๑๕ พรรษา แล้วก็มานั่งร้านกาแฟ และก็ถามร้านกาแฟว่า เมื่อ ๗ วันก่อนโน้น มีคนมาแถวนี้บ้างไหม รูปร่างอย่างงั้น อ๋อ มี มี มี บอกเลย มีหีบรูปร่างอย่างนั้น ๆ เชียว อยากจะไปเจอหรือไง

 

            รับจ้าง ๕ บาท จากบางนามานี่รถไม่มี และบางนามาปากบางนี่สะพานก็ไม่มีด้วยนะ ยังไม่ได้สร้างสะพาน สร้างสะพานไม้ขึ้นเมื่อสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม และสมัยจอมพลถนอม จึงจะเป็นสะพานคอนกรีตขึ้นมา นี่อาตมาจำได้ละเอียด

            ผลสุดท้ายตาคนนี้ก็มาถึง พอตกลง ๕ บาทก็เฉ่งเงินก่อนนะ ไม่งั้นไม่มาส่งร้านนั้นก็แน่เหมือนกัน พอให้ ๕ บาทแล้ว รถติดเลย ก็คันเดิมน่ะแหละเห็นไหม พอมาถึงนายไกรน้ำตาร่วงเลย โอ้โฮนายไกรน้ำตาร่วง นี่น้ำตาร่วง ไม่ได้เสียใจ ดีใจมาก ก็มากราบและเล่าให้อาตมาทราบว่า เจ้านายให้มาตามด่วนภายใน ๗ วันนี้ ถ้าไม่ไปพบมีคดี ให้ไปพบให้ได้ นายไกรก็ได้นั่งเจริญกรรมฐาน บอกเป็นความจริงแล้วที่เราได้มานั่งเจริญวิปัสสนา ๗ วัน สามารถแก้กรรมของเราได้สิ้นสุดอย่างแน่นอน มั่นใจเหลือเกิน

 

            แล้วก็กราบเรียนให้อาตมาทราบว่า “หลวงพ่อครับ ถ้าผมกลับไปนี้งานการได้ดิบได้ดีเข้าอย่างรูปเดิมแล้วผมจะทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ๗ วัด และก็เลี้ยงเช้าเลี้ยงเพลพระ ๗ วัน แล้วผมจะนิมนต์หลวงพ่อไป” แล้วเขาก็ขอลาไปตลาดไปซื้อตะเกียงเจ้าพายุ เมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ บอกว่ามาได้รับแสงสว่างที่นี่ แล้วก็ถวายไว้ ๑ ดวงและเขาก็กลับไปกับตาลุงนั้น ก็ได้ความออกมาว่า เจ้านายสอบสวน เห็นอกเห็นใจ เลยให้นายไกรเข้าทำงานได้ แต่ผู้จัดการให้พักงานและย้าย

 

            นายไกรให้ทำงานได้ตามเดิม เพียงถูกตัดเงินเดือน ๒ ขั้นเท่านั้นเอง นี่เห็นไหมแผ่เมตตาไปนี้เจ้านายทราบหมดเลย ไม่ต้องถามอะไรมากเลย ทำให้เจ้านายเข้าใจนายไกรได้ดีมากด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และแผ่เมตตาหลังจากออกจากกรรมฐานแล้ว เป็นความจริง เดี๋ยวนี้นายไกรยังมีชีวิตอยู่ด้วย ลูกเล็ก ๆ แบเบาะได้ปริญญาไปหมดแล้ว

            นี่อาตมาเล่าเรื่องเก่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ เขาไม่เคยรู้จักกับอาตมาเลยมาแต่เดิมที หลังจากแม่สะอิ้งสร้างกุฏิกรรมฐานไว้และเขาก็มาประเดิมใช้ เรื่องก็จบด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวมา

 

            เขาก็นิมนต์อาตมาไปเพชรบูรณ์ และก็ได้มีโอกาสไปนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอยู่ที่วัดชนแดน ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม นิมนต์ท่านไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด เมื่อสมัยสงครามโลกเกิดขึ้นที่จองถนนจะเอาเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวงต่อไป แล้วเจ้าคณะจังหวัดนั้นก็มรณภาพไปแล้ว อาตมาไปค้างกับท่าน เลยบ้านนั้นเขาเลี้ยงเพลเลี้ยงเช้า ประชาชนมาคุยกับอาตมามากมาย ว่านายไกรรอดตายได้อย่างไร ผลสุดท้ายเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบูรณ์มานั่งกรรมฐานที่นี่กันเยอะเชียว แล้วกลับไปสอนต่อไป จนทุกวันนี้

 

            อาตมาก็ขอเจริญพรไว้แต่เพียงนี้ว่า การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ได้ผลอย่างสมค่าเหมือนคุณวีโก้ ชาวนอรเวย์ อุทิศส่วนกุศลให้ปู่เขา กับบิดามารดาเขา ได้รับผลและตอบทางจดหมายได้ ต้องนั่งวิปัสสนาผ่านดาวเทียมจำไว้ ดาวเทียมคือรวมพลังสติไว้ ถ้าเราใช้สมาธิอย่างเดียวแผ่ไม่ออก นั่งแต่สมถะมีสมาธิอย่างเดียว ไม่มีสติสัมปชัญญะ...สมาธิสัมปชัญญะรู้ตัวเป็นของวิปัสสนา แล้วจึงแผ่ออกได้รับผลตอบทางหนังสือได้ ดังที่กล่าวมาแล้ว สามารถจะแผ่ออกไปเป็นตัวหนังสือได้ เอาไว้รอบหลังค่อยฟังกันใหม่

 

            สุดท้ายนี้ ก็ขออนุโมทนาสาธุการกับบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายที่มาในรายการของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ท่านทั้งหลายมาด้วยความชื่นใจ มาพิสูจน์หลักฐานในการปฏิบัติโดยมีคุณโยมแม่สิริ กรินชัย เป็นวิปัสสนาจารย์ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีญาติโยมคณะครูบาอาจารย์หลายท่าน ได้ช่วยกันชี้แจงแสดงหลักธรรม ให้ญาติโยมได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ ขออนุโมทนาสาธุการให้ทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ สืบไป และขอจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณธนสารสมบัติ จะนึกคิดสิ่งหนึ่งประการใด จงสมความปรารถนาด้วยกันทุก ๆ ท่าน เทอญ.