ลดช่องว่าง สร้างห้าร่วม

บรรยาย ณ หอประชุมพุทธมณฑล พ.ศ. ๒๕๓๐

พระภาวนาวิสุทธิคุณ

P4001

 

          พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวของเราผู้ทรงมีพระชนมายุครบรอบ ๖๐ พรรษานั้น ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือแม้ครั้งกรุงสุโขทัยราชธานีมีมาช้านานของประเทศไทย ก็มีอยู่กรุงรัตนโกสินทร์ ๒ พระองค์เท่านั้นที่ทรงมีพระชนมพรรษามาก มีสมเด็จพระปิยมหาราช พระองค์หนึ่งกับสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช อีกพระองค์หนึ่ง ตลอดเวลาที่พระองค์เสวยราชสมบัติ ได้ทรงทำให้ประเทศไทยนี้อยู่เย็นเป็นสุข ทรงเป็นมิ่งขวัญมงคลชัยของพี่น้องชาวไทยตลอดมา ก็ขอให้พุทธบริษัทได้โปรดรับทราบไว้ก่อนว่า ที่เราจะถวายเป็นพระราชกุศลโดยการเจริญภาวนานั้น ก็ต้องทราบความเป็นมาเสียก่อนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประมุขในลักษณะอย่างไร

            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า คือพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากพระวรกาย ทรงช่วยเหลือพสกนิการราษฎรทั้งหลาย ตลอดกระทั่งทรงเป็นพุทธมามกะด้วย ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดว่า พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยหรือกรุงสยามนั้น จะต้องเป็นพุทธมามกะ และเป็นพุทธศาสนิกชนด้วย และพระองค์ก็ทรงเป็นศาสนูปถัมภก ยกพระพุทธศาสนาด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์ได้ทรงกล่าวในวันที่ขึ้นเถลิงราชสมบัติว่า จะปกครองประชาราษฎรโดยธรรม

          ในปี ๒๕๓๐ นี้ มีการจัดแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ขึ้น เราจัดกิจกรรมกันมากมาย ตลอดทั่วทุกจังหวัด ที่ทำมาแล้วก็มีหลายจังหวัดด้วยกัน ญาติโยมพุทธบริษัทจะสนองพระเดชพระคุณพระองค์ท่านก็ต้องสร้างความดีเพิ่ม ไม่ใช่มานั่งหลับหูหลับตาเฉย ๆ ต้องสร้างคุณสมบัติ สร้างคุณค่าของชีวิต ทำชีวิตให้เกิดผล เกิดอานิสงส์ผลงานของชีวิต ที่เราเรียกว่า แผ่นดินธรรม ที่อยู่ร่มเย็นเป็นสุขนั้น ต้องสร้างคุณค่าราคาชีวิตให้มีคุณธรรม เป็นสมบัติมีคุณค่ามหาศาล ให้เราท่านทั้งหลายมีกฎจราจรชีวิต มีความคิดที่ประเสริฐล้ำเลิศทุกประการ ถ้าหากว่ามหาบพิตรพระราชสมภารเจ้านั้น เปรียบประดุจว่าเป็นพ่อของไทย แม่ของไทยคือ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หากว่าลูกทั้งหลาย พสกนิกรราษฎรทั้งหลายอยู่เย็นเป็นสุข อยู่ด้วยความเมตตาธรรมกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันดังกล่าวแล้ว พ่อแม่ก็ชื่นใจ

            เดี๋ยวนี้คิดว่าประเทศไทยอยู่กันอย่างเป็นสุข ความจริงวุ่นวายเหลือเกิน เมื่อเกิดความวุ่นวาย ก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะความจนของประชาชน เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ประชาชนวุ่นวาย ข้อเท็จจริงไม่ใช่ อาตมามาคำนวณพิจารณาโดยธรรมแล้ว ประชาชนวุ่นวายทุกวันนี้ไม่ใช่ความจน แต่เป็นความแตกแยก ความไม่มีเมตตาธรรมต่อกัน อยู่ด้วยความริษยาผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อกันเหลือเกิน เป็นที่น่าเสียดายและน่าเสียใจด้วยในฐานะเราเป็นชาวพุทธ คำว่า จน ทำให้วุ่นวายนั้นไม่ใช่ คนไทยไม่มีจนแน่นอน เพราะมีคุณธรรมสูง แต่น่าเสียดายคนไทยยุคใหม่ยุคปัจจุบันนี้วุ่นวาย เพราะอยู่ด้วยความริษยากัน ผูกพยาบาทกัน พรรคเดียวกันก็ยังแตกแยกกันไปแล้วโดยทำนองนี้ นี่หรืออยู่ด้วยความสุข อยู่ด้วยความเมตตาธรรม หามิได้ มิใช่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน ที่วุ่นวายกันในสังคมทุกวันนี้เพราะอย่างนี้เอง คุณธรรมไม่มีความหมาย ข้าวราคาตกก็รัฐบาลช่วยแล้ว เศรษฐกิจตกเขาก็ช่วยให้ดีขึ้นมาอีกมากมาย แต่ราคาคนตกทำอย่างไร มันจะมีคุณค่าตรงไหนกัน เป็นพุทธบริษัทมาบวชกันในพระพุทธศาสนา ต้องการบวชแทนคุณบิดามารดา แทนอย่างไรได้ เพราะบวชกันจิ้ม ๆ จ้ำ ๆ ไม่มีการศึกษาพระปริยัติปฏิบัติธรรมแต่ประการใด ก็เลยสึกเช้าเมาเย็น นี่หรือชาวพุทธ เพราะขาดคุณธรรม ไม่มีการปฏิบัติธรรมแต่ประการใด นี่มีความหมายมาก

            พุทธบริษัท อุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี โปรดทราบ การปฏิบัติธรรมเพื่อเทิดพระเกียรติ หรือฉลองพระเดชพระคุณเรียกว่า ถวายพระราชกุศล อันนี้มีความหมายอยู่มาก แต่กุศลที่จะถวายได้ ต้องทำให้ได้กำไร ให้ได้ผล ให้ไดอานิสงส์แก่ตนก่อน ให้มีคุณค่าราคา เป็นคนมีกุศลก่อนจึงจะถวายได้ เหมือนพ่อค้าแม่ค้าจะทำกิจกรรม ต้องทำการค้าให้ได้กำไรก่อน จึงเอาผลกำไรนั้นไปให้คนอื่นเขาที่เราเรียกว่าแผ่เมตตาจิต คนเราเดี๋ยวนี้แผ่ไม่ค่อยออก เพราะจิตมันหด หมดอาลัยตายอยากแล้ว จะแผ่ได้อย่างไร คงจะแผ่กันไม่ได้ แผ่ด้วยความริษยาผูกพยาบาทกัน ปราศจากเมตตาธรรมซึ่งเป็นคุณธรรมอย่างสูงของชาวพุทธ แต่ชาวพุทธไม่มีคุณธรรมเสียมากมาย เพราะขาดการปฏิบัติธรรมนั่นเอง การที่จะอุทิศหรือแผ่ส่วนกุศลต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องมีทุนก่อน คือมีบุญกุศล

          คำว่าทุนนี่หมายความว่ากระไร หมายความว่าต้องเพิ่มทุนได้แก่บุญกุศลของตน ไม่ใช่เอาเงินมาทำบุญ เอาเงินไปสร้างวัดกันสวยสง่างาม แต่ไม่มีใครรักษา คนศรัทธาพอมี คนใช้ของเขาไม่ดี คนมีไม่รักษาของเขา นี่ชาวพุทธ อันนี้เป็นที่น่าเสียดายที่สุดทุกวันนี้

            เพราะฉะนั้น ในวันนี้เป็นรายการของอาตมาที่จะมาขี้แจง และมาเสริมสร้างให้เราได้มีคุณธรรม ในการปฏิบัติธรรม ก่อนที่จะถวายพระราชกุศล เราจะต้องมาร่วมกันสร้างทุนก่อน ทุนคือ วิชาความรู้ รู้อะไร รู้หลักพระพุทธศาสนาด้วยความถูกต้อง ไม่ใช่รู้ส่งเดช รู้ส่งเดชใช้ไม่ได้ต้องมา ร่วมทุน กันก่อน ร่วมคิด ร่วมประดิษฐ์ ร่วมสร้างสรรค์ กัน และก็ ร่วมในชีวิต สร้างห้าร่วม ลดห้าว่าง

          ลดห้าว่างคืออะไร อย่าให้สมองว่าง อย่าให้มีช่องว่างระหว่างบุคคล ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ โบราณท่านว่าไว้ อย่าอยู่ว่าง อย่าห่างผู้ใหญ่ เราจะหลงทางได้ง่าย โดยวิธีนี้มีความหมายมาก เดี๋ยวนี้สมองว่างกันมาก และมีช่องว่างระหว่างบุคคลไปก็ไม่ลามาก็ไม่ไหว้ ไม่มีการอ่อนน้อมถ่อมตนปากหวานตัวอ่อน มือเป็นหงอนแต่ประการใด เด็กยุคใหม่เดี๋ยวนี้เรียนสูงเลวลง จิตใจต่ำ ถ้าเห็นคนเฒ่าคนแก่จะเหยียบหัวแล้ว จะชนพระชนเจ้าทำนองนี้ นี่คือช่องว่าง ที่จะต้องช่วยกันลด

            เพราะฉะนั้น เราต้องมาลดห้าว่าง มาสร้างห้าร่วม เสียก่อน จะได้มารวมทุนกัน จะได้เอาทุนไปทำการค้าขายให้ได้กำไร เอากำไรนี่ถวายเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงจะถูกต้อง ไม่ใช่มาถึงมานั่งหลับตา นั่งไม่รู้เหนือรู้ใต้ แล้วก็ถวายไป ถวายได้อย่างไร ถวายอะไร มีทุนกันหรือยัง ทุนอะไร เงินทองนี่หรือ ไม่ต้องประสงค์ เพราะเงินทองไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของชีวิต ออกมาจากท้องแม่มีอะไรมา ออกมาชุดเดียวคือชุดวันเกิด ผ้าสักผืนเดียวก็ไม่มี นาฬิกาสักเรือนก็ไม่มี หมอผดุงครรภ์เขาบอกได้เลยว่า หญิงหรือชาย แต่เรามาหาทุนสร้างนิสัย ปัจจัยทั้งอดีตและชาติที่เกิดมามีความหมายมากอย่างนี้ เราก็ต้องมาร่วมทุน มาสร้างบุญกุศลให้จิตลดห้าว่างมาสร้างห้าร่วม จะได้มาร่วมกันผนึกพลังให้เกิดเมตตาให้มีพลังจิตเสียก่อน แล้วทำให้ถูกต้องด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่พุทโธ ๆ แต่ไม่มีสติขาดสัมปชัญญะ ขาดอิริยาบถ ๔

            คนเราจะอยู่ได้เพราะยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา คู้เหยียดขา เป็นต้น อันนี้มีความหมายหลายประการ มีอยู่ในสติปัฏฐานสูตรที่เราเรียกว่า ทางสายเอกนี่เอง ให้เรามีความรู้ มีปัญญา ไม่ใช่หลับตาเฉย ๆ หลับตานั่งสมาธิภาวนา แต่จิตไม่พัฒนาขี้เกียจ ไม่ค่อยอยากจะทำงาน คนประเภทนี้จิตไม่พัฒนา ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีสมาธิภาวนา อันนี้มีความหมาย เพราะฉะนั้น ท่านสาธุชน เราเป็นบุคคลสำคัญ เราจะต้องพากันลดห้าว่างเสียก่อน จึงมาสร้างห้าร่วม ให้มารวมกันก่อน มาร่วมทุนกัน

            วันนี้อาตมารู้สึกดีใจ ท่านทั้งหลายจะมีกี่คนก็ตาม ต้องมาฝึกต้องมา ลดห้าว่างสร้างห้าร่วม ให้ได้ ต้องให้ได้ละเอียดไปเลย ไม่ใช่มานั่งหลับตา น่าเวทนา ไม่รู้หลักสติปัฏฐานสูตร ไม่มีสติ ขาดสัมปชัญญะ ไหนเลยจะมีทุนได้ ทุนมันอยู่ที่ไหน ไม่ใช่เอาเงินมาทำบุญแล้วฉันไปสวรรค์ ไปนิพพานได้ ไม่ใช่บัตรผู้แทนใบละ ๕๐๐ บาท จะได้ซื้อกันได้ จะได้ไปเป็นผู้แทน ไปเป็นรัฐบาลอะไรทำนองนี้ ไม่ใช่ เรื่องบุญกุศลซื้อไม่ได้ จะต้องมีคุณสมบัติในตัวของมันโดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่งมิใช่น้อย อาตมาจึงขอกล่าวให้ญาติโยมฟังเสียก่อน เราจะต้องลดห้าว่าง

๑.     อย่าให้สมองว่าง คนแก่คนเฒ่าอายุ ๗๐ ๘๐ สมองว่างไม่คิด กินแล้วก็ไม่รู้ หลงใหลไชชอนด่าลูกด่าหลานจำความเก่าไม่ได้แล้ว นี่สมองว่าง พระพุทธเจ้า ทรงสอนให้ว่างด้วยกิเลส อย่าว่างด้วยสมอง ต้องคิด ต้องอ่าน ต้องเขียน ต้องเรียนวิชา ต้องมีหลักฐาน มีงานทำ มีคู่ครองเป็นทองแผ่นเดียวกัน ก็ให้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงรักบุคคลที่เขารักเรา อย่าไปรักกับบุคคลที่เขาไม่รักเรา หากปราศจากเมตตาก็หาความสุขไม่ได้ในครอบครัว พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอพี่น้องทุกคนโปรดทราบ อย่าให้สมองว่าง

๒.    ช่องว่างระหว่างบุคคล อย่าให้มีช่องว่างระหว่างบุคคลเลย ให้ไปมาหาสูกั่น มีเมตตาปรานี อารีเอื้อเฟื้อ ขาดเหลือเจือจุนกัน พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า อย่าอยู่ว่าง อย่าห่างผู้ใหญ่ จะหลงทางได้ง่าย เดี๋ยวนี้พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ดี ปล่อยให้ลูกอยู่ว่างมันจึงเสียคนกันมาก เดี๋ยวนี้เด็กห่างผู้ใหญ่ห่างพ่อห่างแม่ แล้วจะเอาดีได้อย่างไร ไม่ใช่มานั่งหลับตา ฉันมาทำบุญ ฉันจะไปสวรรค์ ฉันจะไปนิพพาน คงไปไม่ได้แน่ เห็นชัด ๆ อยู่แล้วจะไปได้อย่างไร ไม่ใช่เอาสตางค์ไปซื้อบุญ เอาสตางค์ไปซื้อสวรรค์ เอาสตางค์ไปซื้อนิพพาน มันซื้อไม่ได้ มันต้องมีคุณค่าราคาคนเสียก่อน มีราคาชีวิตอยู่ด้วยความคิดทุกคน ต้องสร้างสรรค์ ต้องลดช่องว่างระหว่างบุคคลให้ไปมาหาสู่กันเสมอ มีการเคารพนบนอบบูชาต่อท่านผู้ใหญ่ คารวะ ๖ ประการมีครบ

ช่องว่างระหว่างบุคคลสมัยใหม่นี้มีมากเหลือเกิน เด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ จะเหยียบหัวคนเฒ่าคนแก่ การอ่อนน้อมถ่อมตนจะไปลามาไหว้จะไม่มีเสีย ยิ่งเรียนสูงจิตใจยิ่งต่ำ ไม่เหมือนคนโบราณคนเก่าเขาเรียนไม่สูงนัก แต่มีคุณธรรมสูงมาก เขาพูดจริงทำจริง เด็กรุ่นใหม่นี่พูดไม่จริงทำก็ไม่จริง สรวลเฮฮาไปตามถนนหนทางน่าเวทนาเหลือเกิน เพราะเหตุใด ตอบได้เลยเพราะห่างวัด ห่างข้อปฏิบัติ ไม่รู้จักคำว่าวัด ไม่รู้จักคำว่าปฏิบัติ ไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไม่รู้จักเด็ก

อาตมาก็ขอเจริญพรญาติโยมให้มีความรู้ในเบื้องต้นไว้ก่อน ประการแรก ไม่ใช่เรานั่งโดยไม่รู้วิธีปฏิบัติ ประการที่สอง ต้องลดช่องว่างระหว่างบุคคล คนโบราณเขาไปมาหาสู่กันเสมอ เข้าถึงกันก็ซึ้งใจ ซึ่งใจก็ใฝ่ดี ไปเยี่ยมเยียนกัน ไปมาหาสู่กัน สมัยสุโขทัยมีอาณาเขตกว้างขวางถึงกลันตัน ไทรบุรี สิงคโปร์ นี่มีพลเมืองเพียง ๔ ล้าน เดี๋ยวนี้เข้าไปถึง ๕๐ ล้าน ใจเริ่มแคบ บ้านเริ่มแคบเข้าไป แย่งกันกินแย่งกันอยู่แย่งกันใช้แล้ว นี่หรือชาวพุทธทุกวันนี้ น่าเสียดาย เรียนสูงแต่จิตใจต่ำลง ขาดข้อปฏิบัติ ขาดข้อวัตร นี่ช่องว่างระหว่างบุคคลเกิดขึ้นแล้ว พ่อแม่ไม่อยากจะไปหาแล้ว ไม่มีไปหาญาติแล้ว ช่องว่างนี้อย่าให้เกิดมีเลย หมั่นไปมาหาสู่ชาติภูมิมาตุภูมิของตน นี่คนเราปฏิบัติธรรมจะรู้ข้อนี้ จะไม่ให้ว่างในระหว่างบุคคล ไปมาหาสู่พ่อแม่ชาติภูมิ มาตุภูมิของตน จะลืมเสียไม่ได้ แหล่งให้เกิดวิชา แหล่งให้เกิดคุณงามความดี แหล่งที่มีกุศลบุญราศีนั้นลืมไม่ได้ อย่าว่างเดี๋ยวนี้ว่างแล้ว พี่ป้าน้าอาตาลุงไม่รู้จักแล้ว เด็กรุ่นใหม่เรียนสูง ไม่รู้จักป้า ไม่รู้จักน้า เพราะพี่ป้าน้าอาเป็นคนโง่ หาว่าอย่างนั้นอีก เลยมีช่องว่างระหว่างบุคคล คนเราจึงเสียคนเพราะมีช่องว่างระหว่างบุคคลที่จะไปมาหาสู่กัน ประสานงานกัน ไม่มีเลย

๓.    ทรัพยากรชีวิตอย่าให้ว่าง ตัวเองไม่ทำงาน ขี้เกียจไม่เอาเหนือเอาใต้ เลี่ยงงานเก่ง ไม่มีคุณธรรม นี่ช่องว่างระหว่างทรัพยากรชีวิต ผิดพลาดคาดคิดในชีวิตของตน วันเวลาก็ล่วงไปเปล่า ปราศจากประโยชน์ ไม่เกิดประโยชน์เลย และชีวิตก็ล่วงไปตามวันเวลาด้วย อะไรเล่าจะเป็นช่องว่าง อย่าลืม ช่องว่างระหว่างบุคคลและทรัพยากรว่าง ก็คือ ชีวิตของคน

๔.    เวลาอย่าให้ว่าง อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ไม่ได้ทำอะไรเลย กินกับนอน เที่ยวสรวลเสเฮฮา ประโยชน์ที่จะพึงได้จากนาทีทองของชีวิต คือ คุณค่าของเวลาที่หมดไป นี่อย่าให้ว่าง อย่าลืมคำว่าเวลาว่าง เวลาว่างน่าเสียดายนะ

๕.     การนำก็อย่าให้ว่าง พ่อแม่ไม่เคยนำลูกเลย พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่ค่อยจะนำใคร เดี๋ยวนี้หาอย่างอื่นนำกันมากมาย น่าเสียดาย น่าเศร้าใจ ทุกวันนี้การนำก็ว่างด้วย ไม่มีใครนำใครเลย แล้วจิตก็ไม่นำ สติก็ไม่นำจิต ไม่มีสติกันแล้ว จิตไปที่ไหน มันก็เลเพลาดพาดหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลไปหากิเลสตลอดรายการ ไม่มีผู้นำ คนเราเดี๋ยวนี้ขาดผู้นำ ตัวเราก็ไม่มีคนนำอีก เพราะอะไร ตัวเราต้องอาศัยสติ สติเป็นผู้นำจิต เป็นผู้กั้นเหมือนทำนบ จิตที่มันเลเพลาดพาดเหมือนน้ำไหลเชี่ยวฉะนั้น จะทำอย่างไรเล่า ก็ต้องใช้สติเป็นผู้นำและเป็นผู้กั้นไม่ให้จิตมันเลเพลาดพาดไปอย่างนั้น จึงต้องเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าทรงสอนในทุกวาระและโอกาส ทางสายเอกทางสายเดียวคือ กฎจราจรชีวิต เพื่อให้เราเกิดมาไม่ให้พลาดผิดในชีวิตแห่งสังคม

พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรหรือ ทรงสอนให้พัฒนาการศึกษา พัฒนาการเศรษฐกิจ ให้มีอาชีพการงาน ให้ครองชีพครองรักครองรส พุทธพจน์เจตนาให้ครอบครัวไม่มีการทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าทรงพัฒนาการสังคม ให้อยู่ด้วยความเมตตาธรรมกัน ไม่ใช่อยู่ด้วยความแตกแยกแปลกกัน ไม่รู้จักไม่ต้องทัก ไม่มีการยิ้มเลย คนที่มีธรรมเขายิ้มแย้มแจ่มใสตั้งใจสนทนาเจรจาก็ไพเราะ สงเคราะห์เอื้อเฟื้อ ขาดเหลือจุนเจือกัน คนเดี๋ยวนี้ไม่มีธรรมะ จึงไม่ยิ้ม หน้ายิ้มเหมือนมือนางกวัก ถ้าไม่มีคุณธรรมจะเอาไปปฏิบัติกรรมฐานตรงไหน เอาอะไรมาเป็นหลัก ถ้าไม่รู้จัก ข้าก็ไม่ทัก ไม่โอภาปราศรัยแต่ประการใด คนที่มีธรรมยิ้มนอกยิ้มใน ยิ้มแย้มแจ่มใสตั้งใจสนทนาแน่นอน เดี๋ยวนี้หน้ามันยิ้มเหมือนมือนางกวัก ที่เขากวักคนออกจากร้านไม่มีใครจะมองเห็น

นี่มีความหมายตรงนี้ ต้องมีสติ ต้องมีปัญญา ไม่ใช่มาหลับหูหลับตา ฉันจะไปสวรรค์ ฉันจะไปนิพพาน ไปได้ที่ไหน ไปได้หรือ ยังด่าลูกด่าหลาน บ้านยังสกปรกรกอยู่ ไปสวรรค์หรือ บ้านขี้เกียจกวาด ที่กินก็ไม่สะอาด ที่ถ่ายก็ไม่สะดวก ปฏิบัติยังสกปรก โอ๋ ฉันจะไปสวรรค์ ฉันจะเอาเงินไปซื้อก็ได้ ไม่ใช่บัตรผู้แทนนี่ จะได้เอาเงินไปซื้อกันเป็นรัฐมนตรี มันคงไม่ได้ มันต้องสร้างคุณสมบัติ

ญาติโยมโปรดทราบไว้ด้วย คนมีธรรม ยิ้มนอกยิ้มใน เงินไหลนองทองไหลมา คนที่มีธรรม ส่วยคนที่มีแต่ทำแมะ แหมะตรงนั้น แหมะตรงนี้ ไม่เอาเหนือเอาใต้เลย เงินก็ไม่ไหลนองทองก็ไม่ไหลมา มันจะไหลมาได้อย่างไรเพรันอุดประตูค้า คนที่ไม่มีธรรมนี่อุดประตูค้าทั้งหมด หน้าตาก็ไม่ยิ้ม ไม่เปิดห้องปฏิสันถารคารวตาแต่ประการใด คนที่มีธรรมะยิ้มอยู่กตลอดเวลา ถึงหน้าบึ้งขึ้งจอ แต่ข้างในยิ้ม มันก็แสดงออกด้วยน้ำใจ ด้วยน้ำใสใจจริงจากทุกสิ่งในน้ำใจ น้ำใสไหลไม่ขาด สายสวาทขาดได้อย่างไร มันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่หลับหูหลับตา โอ้ มันจะต้องไปนิพพาน ปรมํ สุขํ สุขํ อะไรเล่า ใจมันสุขหรือ กลับไปบ้านยังหน้าบึ้งเหมือนยักษ์เหมือนมารนี้เป็นต้น โอ๊ย น่าเสียดาย นี่หรือธรรมะแล้วเราจะถวายเป็นพระราชกุศลได้อย่างไร พอจะถวายสักหน่อย กำหนดจิต โอ๊ยเคลื่อนไปที่โน่นพล่านไปที่นี่แล้ว ก็ไม่มีพลังจะถวายได้

      ต้องสร้างคุณงามความดีก่อน ทุกคนโปรดทราบ ต้องสร้างในจุดนี้ มีความหมายอย่างนั้น นี่ลดห้าว่างกันเสียก่อน แล้วมาสร้างห้าร่วมมารวมทุนกัน แล้วค้ากำไรอย่าให้เกินควร ให้มันสมส่วนกัน ไม่ใช่พระสงฆ์กับโยมนะ เอ้อ โยมค้ากำไรเกินควร พระสงฆ์ให้พรเกินโควต้า พอถวายมากก็ให้พรอยู่นั่น แล้วโยมทำสักบาทเดียวนี่ ขอโอ้โฮ ค้ากำรเกินควร ขอให้ได้ตังสิบสองล้านอะไรอย่างนี้ มันจะไปได้หรือ มันเหลือวิสัยที่จะเป็นไปได้โดยวิธีนี้

      อาตมามาพูดเหตุผลให้ โยมจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วไป แต่ลองเอาตราชูขึ้นมาชั่งดู วัดแล้ววัดเล่า เฝ้าวัดซี่ ไม่ใช่มานั่งหลับตา ฉันจะไปนิพพาน ฉันจะไปเป็นนางเทพธิดา ไปเป็นนางฟ้า นางสวรรค์ ฝ่ายพ่อโยมผู้ชายจะไปเป็นเทพบุตรสุดครึ้มใจ เป็นได้หรือบ้านยังสกปรกเหลือเกิน ท้าวสักกเทวราชส่องทิพยเนตรดูเหตุการณ์ โอ๋ บ้านแกยังสกปรก แกอย่ามาอยู่เลยสวรรค์ ไม่ได้หรอก สร้างศาลาหลังหนึ่งก็เป็นพระอินทร์กันหมดทั่วประเทศสิ ต้องสอบนะ ต้องมีคุณสมบัติถึง ๑๐ ชาตินะ จึงจะเป็นพระอินทร์ได้ เป็นเทพธิดาต้องมี หิริโอตตัปปะ มีความละอายบ้างไหม ละอายนอกละอายใน เกรงกลัวต่อบาปทุจริตทั้งต่อหน้าและลับหลัง มันจะมีความหมายอยู่มิใช่น้อย

      ไม่ใช่ไปสวรรค์ง่าย ไม่ใช่ไปนิพพานง่าย อาตมาว่าไปยาก อาตมายังไม่ได้ไปทางเหนือทางใต้เลย ยังเดินดินอยู่นี่ ยังเป็นมนุษย์อมนุษย์อยู่ บางครั้งก็เป็นยักษ์ บางครั้งมันก็กระทืบเท้าเหมือนกัน แล้วแยกเขี้ยวยิงฟัน หน้าก็แดง ยักษ์หน้ามันแดง ลิงหน้าไม่แดงหรอก ลิงนี่คือหนุมาน คือจิตรับอาสาเขาไป ลิงไม่ได้ใส่รองเท้า ยักษ์ใส่รองเท้า ลองไปดูที่วัดพระแก้ว เห็นไหมยักษ์ใส่ร้องเท้าแล้วหน้าแดง ทำไมยักษ์จึงหน้าแดง เพราะความโกรธ พอโกรธเข้าหน้าแดงเลย หน้าแดงยังไม่พอ กระทืบเท้าอีก เข่นเขี้ยวเน้นฟันอีก ที่นี่มีหรือเปล่า ไม่มี ดูแล้ว ไม่มี แต่ยังมีลิง คือ อาตมานี่ ลิงทั้งหลายจิตมันไหวติง มันหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลคือลิง วานรใหญ่ชื่อหนุมานอ้าปากไม่งับรับอาสาเป็นขี้ข้าเขาตลอดชีวิตเพราะจิต เหตุนี้จึงเป็นขี้ข้าเขาตลอดเวลา โยมเห็นด้วยไหม ไม่เห็นไม่เป็นไร โยมนี่เป็นเจ้านายแล้ว อาตมายังเป็นขี้ข้าเขาอยู่ตลอดรายการ คือ จิตมันต้องรับอาสาไม่พัก นี่ดูลิงมันต้องรู้ เป็นการพัฒนาจิต

      เราจะต้องรู้ว่าจิตอยู่ตรงไหนจะได้พัฒนาได้ถูกต้อง ถ้าไม่รู้ที่อยู่ของมันไปพัฒนามันได้หรือ มันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ บางคนว่าอยู่ที่หัวใจ นั่นไม่ใช่จิต เมื่อหาไม่ถูกมันจึงได้ยุ่งกันวุ่นวายกันในสังคมทุกวันนี้ เพราะหาที่มาไม่ได้ ไม่มีต้นขั้ว ปลายขั้ว ไม่มีสำมะโนครัวแล้ว เจ้าความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ที่ไหนกันแน่ เราจะได้พัฒนาให้มันถูกต้อง นี่จึงต้องให้ลดห้าว่างมาสร้างห้าร่วม มารวมทุนกันก่อน ไม่ใช่เอาเงิน

ยายคนหนึ่งไปบวชชีพราหมณ์ มีเงินติดกระเป๋าไป ๓,๐๐๐ บาท กว่าจะกลับลืมเลย ไม่พ่อค่ารถกลับแล้ว เดี๋ยวองค์นี้มาเทศน์ องค์โน้นมาเทศน์ องค์นี้เทศน์แล้วแจงซองผ้าป่า แจกซองกฐินอีกแล้ว พระบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โยม สมบัติเอาไปไม่ได้ โยมแก่ ๆ เลยทำบุญ เลยหมดเงิน ๓,๐๐๐ กลับไม่ได้ ค่ารถไม่มีแล้ว หมดไป ๓,๐๐๐ บาทแล้ว อาตมาเห็นมาเอง เป็นวิทยากรไปพูดเลยต้องให้โยมอีก ๒๐๐ บาท เป็นค่ารถกลับไปตะพานหิน ไปอุตรดิตถ์ นี่หรือจิตสงบ นี่พูดให้โยมฟัง อย่าเอาไปพูดข้างนอก เห็นด้วยหรือเปล่า ถ้าโยมเป็นบัณฑิตจะเห็นด้วยกับอาตมา ถ้าโยมไม่เป็นบัณฑิตจะไม่เห็นด้วย เห็นไหมบวชชีพราหมณ์สร้างกุศล กลับไปหลานก็ถามยายสตางค์พอไหม พออะไรอีหนู หมดตั้งแต่วันก่อนแล้วลูกเอ๊ย นี่ขอยืมเขามา ๕๐ บาท นี่มีความหมายเหลือเกิน โปรดพิจารณาโดยปัญญา อาตมาจะไม่แจกฎีกาใครหรอก นี่เชิญไปเที่ยวที่วัดบ้างก็ได้ พระเลี้ยงด้วย

      ทำบุญไม่ต้องเสียอะไร ขอให้ทำบุญจริง บริจาคทานชั้นสูงสิโยม พ่อแม่ปู่ย่าตายายตายบริจาคทานชั้นสูง ไม่ต้องใช้เงิน เดี๋ยวพูดกันก่อนทำได้ไหม ไม่ต้องใช้สตางค์อุทิศส่วนกุศลให้พ่อที่ตายให้แม่ที่ตาย ไปบอกไปสอนลูกหลานด้วยนะ อย่าไปกู้เงินเขามาทำบุญทำศพนะ อย่านะ บาป บริจาคทานชั้นสูงเลย เคยกินเหล้าเลิกเลย บริจาคทานไม่ต้องใช้สตางค์ เคยเล่นการพนันเลิก เคยเที่ยวผู้หญิงยิงเรือเที่ยวเสเพลเลิก เป็นการอุทิศทักษิณานุปทาน เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร บางแห่งมีงานศพเขาชอบมาก ทำไมจึงชอบ เจ้าภาพไม่ต้องยุ่งเลย พวกมาจัดให้เสร็จเลย เล่นไพ่หน้าศพ เก็บค่าต๋งเลย นี่บาป คนไปทำบุญต้องละบาปได้ คนจะไปสร้างความดีต้องละชั่วได้ จะไปทำบุญละบาปกันได้หรือยัง ถ้าละบาปไม่ได้อย่าไปทำบุญ บุญมันไม่มีประตูเข้า มีแต่ประตูบาปตลอดรายการ ขอฝากพวกญาติโยมพุทธบริษัทไว้ด้วย เวลาบวชลูกหลานอย่างที่วัดอาตมา ไม่มีหรอกกินเหล้า เข้าวัดต้องเงียบหมด เวลาวนรอบโบสถ์ก็ต้องสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้รำลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆ์เจ้า

      นี่เรามาพูดกันอย่างนี้ก่อนจึงจะเทิดพระเกียรติได้ สร้างความดีถวายพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ไปกินเหล้าถวายพระเจ้าอยู่หัว แล้วราชการว่าอย่างไร เอาแก้เหล้ามา แล้วถวายพระพร กินเหล้าถวายพระพรมีที่ไหน เดี๋ยวนี้ยังมีอีกหลายจังหวัด อาตมาไปเห็นกับตาแลย ถามแก้วอะไร เขาบอกถวายพระพรชัยมงคลมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าให้ทรงพระเกษมสำราญ แล้วก็ดื่มเหล้ากันเข้าไป นี่หรือถวายเทิดพระเกียรติ ถวายพระราชกุศล ไม่ถูก ถ้ามีลูกหลานสอนเสียเลย อย่าไปถวายเหล้า ถวายแต่กุศล ต้องสร้างทาน ศีล ภาวนา สร้างความดี ปีนี้ขยันเพิ่มขึ้นได้ไหม เอ้าลูกเรียนหนังสือ ตื่นตีสี่เลย ถวายพระราชกุศล ตื่นตีสี่ดูหนังสือ อย่าเอาแค่ผ่าน ๆ ตื่นสองโมงเช้าถวายพระราชกุศล นอนตื่นสาย หน่ายหากิน ไปหมิ่นเงินน้อย ไปนั่งคอยวาสนา นี่ถวายพระราชกุศลหรือ นี่ต้องพูดกันให้เห็นเนื้อเห็นน้ำ ไม่ใช่มาถึงหลับตา โอ้ย ฉันถวายแล้ว กลับไปบ้าน โอ๊ย พระเจ้าอยู่หัวอยู่เย็นเป็นสุขแล้ว เราก็ไปเดือดร้อนกันไปปล้นกัน ไปลักเขา เล่นไพ่ กินเหล้าเมาสุรากัน นี่หรือถวายพระราชกุศล

      นี่พูดอย่างนี้โยมอย่าตำหนิอาตมา เพราะอาตมาทำได้อย่างที่พูดนี่ ที่วัดอาตมาไม่มีจะบอกให้ไปดูได้ บ้านเหนือบ้านใต้อาตมาไม่มีขโมย ไม่มีกินเหล้า เข้าวัดงานศพ อาตมาเป็นเจ้าภาพหมดเลย ไม่ต้องเสียสตางค์ ไปวัดอัมพวันไม่ต้องเสียเงินเสียทอง อาตมาออกให้หมดเลย ค่าเมรุไม่ต้องเสีย ค่าไฟฟ้าไม่ต้องเสีย โอเลี้ยงกาแฟชงเลี้ยงแขกให้เสร็จเลย นี่งานศพเป็นอันดับหนึ่ง ต้องช่วยกันอันดับหนึ่ง งานป่วยไขต้องไปเยี่ยมถึงบ้านนี่อันดับสอง นี่เข้าถึงธรรมะต้องมีอย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมะทะแมะยิ้มเหยาะแหยะหาเงินหาทอง นี่หรือทางธรรมไม่ใช่

      ต้องช่วยเหลือกันนะโยม จึงจะเรียกว่าเทิดพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศล แล้วก็ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าท่านจะทรงพระเกษมสำราญอย่างยิ่ง ถ้าประชาชนไม่มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ความยากเดือดร้อนนานาประการทะเลาะวิวาทกัน เกิดโจรกรรม อาชญากรรมทั่วประเทศมากมาย ท่านจะทรงพระเกษมสำราญได้อย่างไร ต้องอยู่เย็นเป็นสุขพสกนิกรราษฎรทั้งหลาย และเราทั้งหลายข้าราชการก็ต้องต่างพระเนตรต่างพระกรรณขององค์พระราชา ต่างหูต่างตาของพระองค์ท่านต้องถวายพระราชกุศลอย่างนี้ ข้าราชการต้องซื่อสัตย์สุจริตเป็นนิจ ขยันประหยัดให้มั่น หันหลังให้อบาย เป็นข้าราชการต้องทำอย่างนั้น อุบาสกอุบาสิกาก็ต้องสร้างคุณงามความดีตามหน้าที่ดังที่กล่าวมาอีกด้วย

นี่พูดให้โยมเข้าใจก่อน ไม่ใช่มาถึงนั่งหลับตาไม่มีเหตุมีผล ลิเกไม่รู้จะเล่นเรื่องอะไร ไม่ได้ออกแขกให้รู้เลย อึกอักโผล่ตุ้ม ๆๆ ต้อม ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรกัน นี่ออกแขกให้ฟังว่าใครจะมาเล่นวันนี้ อาตมาพระครูภาวนาวิสุทธิ์จะมาเล่นให้โยมฟัง แล้วต้องหาโยมเป็นตัวกำกับการแสดง ใครจะเป็นพระเอกนางเอกก็เตี๊ยมกันเสีย ทั้งรักทั้งแค้นแน่นในทรวง จะถึงต้องหึงต้องหวงรบพุ่งชิงชัยก็เตี๊ยมกันเลย วันนี้ใครจะเป็นตัวโกงก็ว่ามา ใครจะเป็นพระเอกก็ว่ามา แต่ลิเกนี่ออกมาเล่นทุกตัวมันก็ต้องบอกว่าฉันเป็นพระเอกทั้งนั้น ออกมาสมศักดิ์ ภักดี หอมหวลทวนลมทุกตัว ลิเกมีไหมออกมาว่าฉันเป็นคนชั่ว ฉันเป็นตัวโกงมีหรือ ฉันออกมาเป็นนางเอกค่ะ เป็นพระเอกครับ แต่ดูเวลาเล่นเถอะ เปิดฉากขึ้นมานี้พระเอกหรือนางเอกก็รู้ เราจะรู้ท่าทีว่า อ๋อ คนนี้สำเนียงบอกภาษากิริยาบอกชาติบอกสกุลหนุนศักดิ์ศรี ดูคนให้ดูหน้าดูผ้าให้ดูเนื้อ ดูเสื่อดุลายดูชายดูพ่อ จะได้ไม่ย่อท้อใจ ดูโยมผู้หญิงบ้าง ก็ดูช้างให้ดูที่หางดูนางให้ดูแม่ ดูให้แน่ ๆ ต้องดูถึงปู่ย่าตายาย เขาดูกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ดูแล้วสวยก็โอเค ได้กันเย็นทิ้งกันเช้าเลย นี่หรือคนมีธรรมะ ไม่มีหรอก จะมีก็แต่ทำแมะ คนโบราณเขารักกันยาก ไปมาหาสู่กันนาน ต้องรู้จักชีวิตจิตใจกันนาน รู้หลักรู้ฐานรู้งานการรู้วาระจิตใช้ชีวิตต่องานกัน แล้วเขาจึงจะแต่งงานกัน เดี๋ยวนี้รักง่ายทิ้งง่าย โยมเชื่ออาตมาเถอะ แต่ก่อนนี้เขารักกันยาก โยมผู้ชายเห็นด้วยไหม รุ่นโยมนี่รักสาว ๆ เป็นอย่างไร นานไหมกว่าจะรักกัน ถามโยมผู้เฒ่าผู้แก่ว่าจริงหรือไม่จริง หรือไม่จิรงก็ตามใจไม่ว่าอะไร หรือโยมเคยรักกันหนาพากันหนี รักพี่ก็หนีพ่ออย่างนั้นหรือ เดี๋ยวนี้รักพี่หนีพ่อหมดเลย อาตมามีลูกสาวหลายคน รักพี่เขาหนีพ่อไปอยู่ด้วย จึงมีปัญหาอยู่อย่างนี้

วันนี้คืนยันรุ่งอย่านอนจึงจะเรียกว่าถวายพระราชกุศล อาตมาจะไม่ฉันข้าว ๒ วันได้ไหม แล้วไม่นอนเลย โยมจะสู้ได้ไหม ใครจะสู้ ตอนสู้นี่อาตมาไม่ได้นอนมาเป็นปี ในพรรษานี้ตีสามสอนพระ พระที่วัดตั้ง ๗๐ รูป นี่สอนพระมาแล้ว เมื่อวานนี้ไปค่ายทหารกองทัพภาคที่ ๓ โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หมอนั่งปฏิบัตินุ่งขาวหมด คนที่เข้าเวรเป็นเข้าเวรไป ที่ไม่เข้าเวรมานั่งกรรมฐาน นั่งเจริญสติปัฏฐาน ๔ มีอานิสงส์ ๓ ประการ ๑ รำลึกชาติได้ ๒รู้กฎแห่งกรรมจากการกระทำของตน ๓ รู้เหตุผลที่จะแก้ตัวได้ ทำเท่านี้เหลือกินเหลือใช้ ที่โรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและค่ายเอกาทศรถที่พิษณุโลก อาตมาวิ่งรถสองชั่วโมงครึ่งถึง ไปถึงแล้วเข้าหอประชุมใหญ่โรงพยาบาล แล้วพวกหมอนั่งนุ่งขาวหมด ที่ไม่ได้เข้าเวรก็มาเข้าปฏิบัติธรรม เฉพาะวันพระ

      วันพระอาตมาไม่ออกจากวัดไปต้องให้กรรมฐานหรือไปสอนจึงจะไป จะไปเที่ยวแดง ๆ ขาว ๆ ตามตลาดคงไม่ได้ ในวันพระต้องอยู่วัดให้เขามาบำเพ็ญกุศลกัน แล้วทางราชการว่าอย่างไร พุทธสมาคมบอกว่าให้หยุดงานวันพระ ราชการหยุดงานวันพระทำไม โยมหยุดงานวันพระไปทำไม หยุดเพื่อไปวัดหรือ ไปวัดพระไม่อยู่วัด พระไม่พร้อม พระไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วไปทำไม วันไหนก็ไปได้ อาตมารู้สึกเศร้าใจมาก วัดไม่พร้อมเลย ไม่พร้อมในวัด แล้วจะปฏิบัติหน้าที่อย่างไร จะทำอย่างไร นี่มาพูดเหตุผลให้โยมฟัง พูดด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ไปถึงทำบุญตักบาตรกัน ได้บุญไปสวรรค์ มีได้ที่ไหน จะต้องมีคุณสมบัติครบดังที่กล่าวมาข้างต้น เรา

เราจะสร้างห้าร่วมมารวมกันคือมารวมทุน โยมก็มารวมพลังกัน สามัคคีกาย สามัคคีใจไว้ รวมทุนแล้วก็ร่วมทุนอย่างไรหรือ ร่วมกันคิดในสติปัฏฐาน ๔ ร่วมอารมณ์ของเรา ดูอารมณ์ของเราทุกคน ที่โยมมาร่วมในวันนี้ ร่วมคิด ร่วมทุนคือบุญกุศลต่างคนต้องเสียสละกิจการทางบ้านมา นี่ร่วมทุน ถ้าโดยไม่มีเสียสละจะถวายกุศลไม่ได้ คนเราต้องบริจาคทานชั้นสูง มีเสียสละกิจการงานบ้านได้ ข้อนี่พูดให้โยมเห็น ถ้าโยมเสียสละไม่ได้ มาที่นี่ไม่ได้ นี่อาตมาก็ทิ้งวัดมา คนในวันตั้ง ๒๐๐ กว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้มะรืนนี้เข้าอบรมอีกเป็น ๑๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ เลี้ยงข้าวกันเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท จ่ายค่ากระแสไฟฟ้าเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าอาหาร ๒๐,๐๐๐ บาท เป็น ๔๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องเรี่ยไร ไม่มีเรี่ยไร เงินมีไหม ไม่มี ไม่มี แต่มาได้อย่างไร มีธรรมะอย่างเดียว นึกเงินไหลนองนึกทองไหลมา เดี๋ยวพระอินทร์ก็สงสารส่งวาสุเทพเทพบุตรเอาเงินมาให้ อาตมาฝากไว้ที่ธนาคารทุกบ้านเลย ไม่ต้องไปฝากที่กรุงเทพกรุงไทยหรอก ถึงเวลาเขาก็มาจ่ายให้เอง วันอาทิตย์เขาก็จ่าย วันเสาร์เขาก็จ่าย มืดก็จ่าย กลางวันก็จ่าย ตายไปแล้วเขายังจ่ายให้เลย ธนาคารบนโลก ของอาตมาไม่ต้องไปฝากธนาคารกรุงไทย กรุงเทพ กสิกรไทยแต่ประการใด มีเบิกได้ทุกเวลาเหมือนอำนาจบุญกุศลที่มีอยู่กับท่านผู้มีจิตใจเป็นกุศล มหากุศลจิต อยู่ที่ข้อคิดข้อนี้

เรามาร่วมทุน หมายความถึงเสียสละบริจาคทานชั้นสูง สละกิจการงานทางบ้านของโยม ต้องเสียงเงินค่ายานพาหนะมา และต้องเสียเวลามาด้วย ได้ประโยชน์มหาศาล ร่วมทุนอย่างนี้ และก็ร่วมกันคิดสร้างสรรค์ คิดริเริ่มดำเนินงานในชีวิตของตน อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย คลายทิฏฐิ และดำริชอบ จะได้ประกอบกุศล เราจะได้ผล งานเป็นหลักสำคัญ ร่วมกันคิดนี่ไม่ใช่คิดที่จะไปเอาเงินเขาคิดเอาเงินเรา ให้คิดในคุณสมบัติ ในชีวิต ดูอารมณ์ นี่มาร่วมกันคิดอย่างนี้ โยมคงเข้าใจ และร่วมอะไร ร่วมผลิต โยมจำไว้ ในโรงงานอุตสาหกรรม เขาร่วมผลิตเอาของออกมาในอารมณ์ต่าง ๆ นี้ให้มันเกิดเงินไหลนองทองไหลมา ร่วมขายเปิดขาย ตีแผ่ ชี้แจง แสดงออกเป็นระบบเป็นระบบ จะได้มีระเบียบจะได้มีวินัย จะได้มีสีลาจริยาวัตรมั่งคั่งสมบูรณ์ เห็นด้วยไหม ต้องรีบเห็นเสียจะได้ไม่ต้องพูดมาก เห็นชัดแล้ว นี่อาตมาพูดให้เห็นก่อนไม่อย่างนั้นหลับหูหลับตาไม่รู้เรื่องกัน

ร่วมทุน โยมต้องมีทุนมาแล้ว มีนิสสัยมาแล้ว ถ้าไม่มีนิสสัยมาไม่ได้ วันนี้อาตมาตั้งใจไว้ คนเดียวก็สอน ไม่มีใครมาอาตามคนเดียวก็ทำกรรมฐาน ไม่ต้องง้อใคร คืนยันรุ่งเลย เราตั้งใจมาถวายกุศลแล้ว ต้องตังใจงานจึงเสร็จ ถ้าไม่ตั้งใจงานไม่เสร็จ

ในทางธรรม ถ้าไม่สร้างใจไม่มีผล โยมมานี่อาตมาเห็นแล้วตั้งใจแน่ ตั้งใจตั้งหลายวัน มาอยู่ที่นี่กันบ้างแล้ว ใช่ไหม โยมจำไว้ พระพุทธเจ้าสอนให้ลดห้าว่างสร้างห้าร่วมเสียก่อนค่อยทำงาน ถ้าเราไม่ลดห้าว่างไม่สร้างห้าร่วม ไม่ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีอะไรเลยในตัว ไม่มีความหมายเลย ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ มาร่วมทุนแล้วก็ร่วมกันคิด คิดอะไร นั่งเจริญกรรมฐาน คิดอ่านอารมณ์ ชมสมบัติสวัสดี เป็นธรรมชาติของจิตต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเทปบันทึกเสียง ร่วมคิดอย่างนี้ คิดอะไร นั่งดูอารมณ์ว่ามันคิดอะไรหรือ สติมีไหม และก็ดูในอารมณ์เราว่าไปแค่ไหนแล้ว ยาวสั้นแค่ไหนประการใด ไม่ใช่ว่าให้ไปดูคนอื่น แล้วดูอะไรร่วมคิด ๆ ในอารมณ์ อยู่ในอารมณ์ของเราว่าเราเป็นบัณฑิตไหมขนาดนี้ เดี๋ยวนี้เป็นอันธพาลหรือเปล่า ไม่ต้องไปดูคนอื่นว่าคนชั่วหรือคนดี ไม่ต้องไปดูเขาดูตัวเราว่าเป็นบัณฑิตหรือเปล่า

     บางครั้งนี่เราเป็นอันธพาล คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล คบคนชั่วทำตัวให้อับจน คบคนดีให้ผลจนวันตาย นี่เรามาคบคนดีกันนะ แล้วคนไหนคนดี หาซิ คนไหน คนชั่ว หาซิ เดี๋ยวรู้เลย รู้ในตัวเราอยู่ในจิตเรานี่เอง ไม่ต้องไปดูคนอื่น นี่ตาคนนี้ไม่ดี ยายคนนั้นไม่ดี ลูกสาวคนนั้นใช่ไม่ได้ ลูกสาวคนโน้นใช้ไม่ดี ลูกสาวข้าดีคนเดียวนะ ใช้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่ร่วมคิดร่วมประดิษฐ์สร้างสรรค์ต้องร่วมลงอุตสาหกรรมกัน ผลิตออกมาขายท้องตลาด เปิดเผยตีแผ่ชี้แจงแสดงออก ทำอะไรให้มันถูกแบบถูกบท จะได้หมดจดเหมาะเจาะ มีศีลนี่เอาแบบเอาไว้คือศีล เดี๋ยวนี้คนไหนมีศีลบางหรือเปล่า ปกติกายวาจาหรือเปล่า มีสติหรือเปล่า นี่เราจะต้องให้เจริญสติกัน ขอประทานโทษ แก่ ๆ ไปจะได้ระลึกชาติได้ จะไปเกิดชาติไหนจะได้รู้ จะได้ติดตัวไป เมื่อสองวันนี่ อายุ ๕๐ เท่านั้นนะ กินแล้วบอกไม่ได้กิน เห็นไหม ด่าลูก ด่าหลาน ลืมหมดแล้ว อย่าใช้สมองเลย ให้สมองว่าง นี่ผู้เฒ่าสอนห่างผู้ใหญ่จะหลงทางได้ง่าย จะเห็นด้วยไหม มีลูกอย่าให้ว่าง โดยมีลูกไหม นั่นอย่าให้ลูกว่างเสียนะ ลองให้ลูกว่างซิ เศรษฐีในกรุงเทพฯ นี่จะหาลูกจ้างมาเลี้ยงลูก แล้วลูกจ้างนิสัยไม่ดีก็พาลูกเราเสียหมด เห็นไหม เห็นชัดแล้ว นี่อย่างนี้นิสัยไม่ดี โบราณเขาว่าอย่างนี้ เราก็มาร่วมรวมทุนกันดูอารมณ์ว่า อารมณ์ของเราเป็นอย่างไร เวลาอารมณ์พาลก็อย่าไปคบมันขณะนั้น

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่างเชื่อพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงขมวดท้ายไว้ให้เชื่อโดยเหตุผลข้อเท็จจริง ก็เชื่อตามเหตุผล ห้ามเชื่อพ่อแม่ พ่อแม่สอนลูกเป็นโจรก็อย่าเชื่อ นี่หมายเหตุแล้ว อย่าเชื่อใคร อย่าเชื่อผัว อย่าเชื่อเมีย ขอประทานโทษเถอะ ถามด้วยความจริงใจ โยมเชื่อสามีไหม อ้าวไม่เชื่อเลย นี่พูดอย่างนั่นไม่ถูก สามีดีก็เชื่อ สามีไม่ดีก็อย่าเชื่อ อาตมาเมื่อยังเป็นฆราวาส สมัยโบราณกาลก่อนยังซักผ้าให้ภรรยา นี่สมมุตินะ ถูเรือนให้เสร็จ ป้อนข้าวให้เขาเสร็จ ยังอยู่กับเขาไม่ได้เลย จนต้องบวช นี่เห็นไหมต้องมาบวชแล้ว นี่สามีดีก็เชื่อ ไม่ดีก็อย่าเชื่อ ภรรยาก็เช่นเดียวกัน ถ้าดีก็เชื่อ พระพุทธเจ้าท่านยอดจริง ๆ เห็นไหม มีสติจึงจะรู้ได้ เพื่อนมี ๒ ประเภท เพื่อนดีก็ควรเชื่อ เพื่อนที่มันพาเหลวแหลกก็อย่าไปเชื่อ

แต่ร้ายที่สุดในโลกมนุษย์คือ เชื่ออะไร โยมตอบได้แต่ยังอึกอักอยู่ อาตมาตอบแทน ร้ายที่สุด คือเชื่อใจเราขณะมีโทสะ ขณะมีโมหะ ขณะมีโลภะ โทสะ โมหะ โลภะ จริงหรือไม่ นี่เชื่อใจเราอย่างนี้ร้ายที่สุด เมื่อสองวันอาตมาไปเห็นมาแล้ว สามีกลับมาบ้าน เธอจ๋า ทำกับข้าวตามที่สั่งไว้หรือเปล่า แม่บ้านเขาทำผิดไป เขาทำน้ำพริกหวานไป เขาก็บอกว่านี่ทำให้ขมหน่อยไม่ได้หรือ เท่านั้นเลยโมโห เอาหม้อข้าวที่หุงสำเร็จรูปไม่มีน้ำข้าวเหวี่ยงลงใต้ถุนเลย วันนั้นอาตมาไปจอดรถพอดี โครมอะไรกัน เลยบอกโชเฟอร์ออก ๆๆ บ้านนี้อะไรกัน โอ้โฮ เชื่อใจเราขนาดนั้น เห็นไหมนี่เสียไหมล่ะ นี่เสียเลยนะโยม จำไว้นะ เชื่อใจเราขณะมีโลภะ เชื่อใจเราขณะมีโทสะ เชื่อใจเราขณะมีโมหะ เสียทุกราย เพราะฉะนั้น ต้องตั้งสติก่อนจึงค่อยเชื่อ มีความหมายอย่างนั้น นี่ก็มีเหตุผล

     เพราะฉะนั้น เรามาร่วมลงอุตสาหกรรมกัน ผลิตออกในชีวิตของผู้มีปัญญา มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ จึงจะรู้ดี ต้องยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา คู้เหยียด เหยียดขานะ เจริญสติปัฏฐาน ๔ เดินจงกรม เดินจงกรมไม่ใช่ไปพุทโธเหยียบที่เท้านะ อย่าใช้ เอาพุทโธไปไว้ที่เท้าไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าให้ยืนมีสติ เหยียด ๆ ขา มีสติสัมปชัญญะเท่านี้ ทำได้ไหม เดินมีระเบียบเพียบพร้อมด้วยศีล ศีลคืออะไร ศีลอยู่ที่ไหน สำรวมเรียกว่าศีลถูก แต่ศีลต้องมีเรือนคือสติให้เขาอยู่ก่อน เราจะได้ปกติกายกับวาจาได้ ถ้าเราขาดสติ ศีลไม่มีเลย ด้วยความประมาทจะสำรวมไม่ได้เลย สำรวมอินทรีย์สังวร นั่นแหละศีล แต่ความหมายของศีล คือ ปกติ กาย ปกติวาจา

ปัญหาก็เกิดขึ้น ปกติทำได้อย่างไร ทำอย่างไรคนจึงจะปกติ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว คนที่ขาดความเป็นปกติจะบ้าบอคอแตกขึ้นมา กลับกลายเป็นคนวิกลจริต เพราะไม่มีสติด้วยความประมาท นี่อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีสติเป็นเรือนให้สิงอยู่ ปกติกายกับวาจา ในเมื่อปกติกายกับวาจาแล้วยังไม่พอ เพราะจิตยังเลเพลาดพาดออกไปนอกประเด็นของชีวิตอีกมาก จึงต้องมีสมาธิจิตตั้งใจจึงใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นหลักปฏิบัติใช่ไหม ใช้สติปัฏบาน ๔ เป็นหลักปฏิบัติจึงจะมีสติเป็นปกติได้ คนเราถ้าปราศจากสติแล้ว จะไม่มีความหวังในชีวิตต่อไป จึงต้องมีความรู้สึกตัว รู้ทั่ว รู้นอก รู้ใน ภายในใจ อย่าพลาด อย่าเผลอ อย่าประมาทละเมอสงสัยแต่ประการใด อยู่ที่สติตัวเดียว ถ้าหากว่า คนเราพลาดจากสติแล้วไม่มีทาง จะไปพุทโธก็นั่งอยู่นั่นแหละ สติไม่พัฒนา ไม่มีจิตที่จะพัฒนา จะให้ริเริ่มในงานไม่ได้ประการหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องมีสมาธิวางจิตในงาน อย่าวางธุระ ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ในเมื่อสติบวกกับสัมปชัญญะ เกิดตัวภาวนา เกิดตัวปัญญา เพราะฉะนั้น จิตเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่าน อารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เป็นเวลานาน เหมือนเทปบันทึกเสียง

พูดไปถึงตอนนี้แล้วก็ขอเจริญพรแม่ชีว่าจิตเกิดทางไหน ถูกต้องแม่ชีตอบถูกแล้ว เพราะฉะนั้น จิตไม่ใช่หัวใจ หัวใจสูบฉีดโลหิตเลี้ยงร่างกาย แต่จิตเกิดทางอายตนะ ทางอินทรีย์ ตาเห็นรูปเกิดจิตใช่ไหม หูได้ยินเสียงเกิดจิต จมูกไดกลิ่นเกิดจิต ลิ้นรับรสเปรี้ยวหวาน มัน เค็ม เกิดจิตที่ลิ้น กายสัมผัสร้อน หนาว อ่อน แข็ง ที่เรานั่งลงไป เกิดจิตทางกาย นี่รู้แล้ว รู้ที่มา จะได้พัฒนามันถูกแล้วในเมื่อเห็น ชอบเป็นอะไร ถ้าเราชอบเป็นโลภะ ตาเห็นรูปชอบ ถ้าไม่มีสติพิจารณาดูเป็นอะไร นี่ต้องพัฒนาตรงนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตาอย่างเดียว หูได้ยินเสียง เสียงเขาด่าเราชอบไหม เป็นอะไรนั่น นี่อยู่ตรงนี้ ต้องมีสติ อย่าบ้าต้องตั้งสติไว้บ้าง นี่สมมุติถ้าโยมไม่มีสติในการฟังเป็นอะไร นั่นถูกต้อง นี่อยู่ตรงนี้ ถ้าโลภะขณะนั้นตายไปเป็นอะไร เป็นเปรต มีโทสะ ตายเป็นอะไร ไปลงนรกหนักหรือเบาแล้วแต่กรรมใช่ไหม โมหะไม่มีสติปัญญาเลย เป็นคนที่ไร้สติขาดปัญญา ตายขณะนั้นเป็นเดียรฉาน

เมื่อได้ความว่า จิตเกิดทางนั้นแน่แล้ว วิธีการที่เราทำก็ต้องพัฒนาที่นั่น หูได้ยินเสียงกำหนดว่าอย่างไร นั่นเสียงหนอ รู้หนอ ใช้ได้ รู้เสีย ถ้าหากเราไม่รู้ หากพอใจหลงไปยังสิ่งนั้น ถ้าหากว่าจิตไหลไปโลภะ ตายไปขณะนั้นแล้วเราก็เป็นเปรตแน่นอนนี่อยู่ตรงนี้เอง ต้องพัฒนาตรงนี้ ถ้าจิตโกรธทำอย่างไร อย่าลืมดวงหทัยที่หายใจเข้าออก อยู่ที่ลิ้นปี่ จำไว้ อยู่ที่ลิ้นปี่ คนเราถ้าจะมีปัญญานะ เอาเส้นกระแสวัดดูจมูกกับสะดือ เป็นการดูลมหายใจยาว ๆ ถ้าโยมเกิดความโกรธขึ้นมา ไปนั่งตรงไหนก็ตามหายใจยาว ๆ จากจมูกแล้วไปสะดือ สะดือไปจมูก แล้วเอาสติปักไว้ที่ดวงหทัยที่เรียกว่าหทัยจิต เรียกว่าเจตสิก อาศัยหทัยเดียวกับจิต อยู่ที่เจตสิก คือหทัย คือลิ้นปี่กำหนด โกรธหนอ ๆ รับรองเลย โยมหายโกรธแน่ หายโกรธจริง ๆ แล้วจะไม่โกรธต่อไปด้วย ไม่มีเชื้อเยื่อใย กับสนิทไม่ติดขึ้นมา นี่คือนิพพาน นี่เราตายนอกบ่วงจะได้ไม่ห่วงใคร ยังตายในบ่วงยังห่วงลูกหลาน ไปนิพพานได้อย่างไร ไปไม่ได้หรอก มันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ยากเลย

     แต่มีปัญหาอยู่ว่าต้องเดินจงกรม คือ เจริญสติปัฏฐาน ๔ อาตมาก็ขอเจริญพรว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายจะยืนเดินนั่งนอนเหลียวซ้ายแลขวาจะคู้เหยียด เหยียดขาตั้งสติไว้ และอิริยาบถให้ละเอียดอ่อนไปเลย เราจะคู้ เราจะเหยียดขา จะได้รู้ว่ามีระยะเท่าไร มีภาวะเป็นอย่างไรในตัวเรา ไม่ใช่ไปดูคนอื่น เขาสวยไม่สวย ดีหรือไม่ดี ไม่ใช่เช่นนั้น เราต้องดูตัวเรา อ่านให้ออก บอกให้ได้ ใช้ให้เป็นนะ ให้เห็นตัวตาย จะได้คลายทิฏฐิได้ ดำริจะได้ชอบ ประกอบกุศลจะได้ผลอนันต์เป็นหลักฐานสำคัญ ถ้าเจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้ตาย ยาก เดินจงกรมมีกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ท้อง

     อาตมานี่เคยปฏิบัติทางพุทโธมา ๑๐ ปี พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก มา ๑๐ ปี มาตอนหลังเจริญสติปัฏฐาน ๔ ลงที่ท้อง ตอนที่อาตมาคอหักนี่ ถ้าพุทโธตายเลยนะ แต่ทำไม่หายใจได้ตรงไหน ๆ หายใจได้ตรงสะดือ อย่าลืม คนหายใจทางสะดือได้ ต้องมีประสบการณ์มา ถ้าโยมอยากจะรู้หายใจทางสะดือจริงหรือไม่ ลองไปทำให้คอหักให้รถชนซิ คอหักอย่างอาตมาหมุนได้เลย หายใจได้จริง นี่มีตัวอย่างที่อาตมาพูดนี่เป็นเรื่องจริง ไม่จริงไม่มาพูดให้โยมฟัง เป็นบาป เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม นี่มันเรื่องจริงที่ผ่านมากับตัวอาตมาเอง

สะดือนี่เรารู้จากท้องแม่เลย อยู่ในท้องแม่หายใจร่วมกับแม่ได้ทางสะดือ กินอาหารได้กับแม่ หายใจได้ สะดือนี่ แล้วพระเข้านิโรธสมาบัติหายใจไหม ที่เราเรียกว่าไม่หายใจ หายใจได้ทางเส้นขน มันออกตามเส้นขน ตามที่เหงื่อออกนั่นเอง พระนิโรธสมาบัติ จึงอยู่ได้ ๗ วัน นี่โดยวิธีนี้นะ ต้องรู้ให้จริง ๆ ถ้ารู้ไม่จริงจะไม่เข้าใจ คือต้องให้ทำที่ท้อง พองหนอ ยุบหนอ พุทโธนี่หายใจละเอียดมองไม่เห็น แต่อันเดียวกัน เจริญอานาปานสติอันเดียวกัน ทางพุทโธกับพองยุบอันเดียวกัน มันมีเหมือนกัน แต่ต่างกันว่าเราจะเอาอารมณ์อะไร เขาขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์ก็เป็นวิปัสสนาไป ถ้านึกบัญญัติเป็นอารมณ์ก็เป็นสมถะไป มันมีเหตุผลอยู่สั้น ๆ อย่างนี้

     ทีนี้เราเดินจงกรม เดินจงกรม คือ พระพุทธเจ้าทรงสอนในสติปัฏฐานสูตรว่าเดินมีสติ ก้าวเท้ามีสติ รู้ตัว ปัจจุบันธรรม รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ต้องเดินแบบไหน เป็นประการใด นี่กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อาตมาก็บรรยายก่อน แต่เข้าใจว่าโยมที่นั่งนี่เคยทำมาแล้ว หรือยังไม่ทำก็ตาม อาตมาจำเป็นจะต้องสาธิตให้ดู เป็นเรื่องที่อาตมาต้องมาจัดรายการขึ้นในวันนี้ ถึงโยมทำมกแล้วก็ดี ทวนความจำ ถ้ายังไม่ทำก็ทวนความจำใหม่ เพื่อจะได้ซึ้งใจในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ต่อไป นี่ กาย กายยืน กายเดิน รู้ทั้งหมด ในกายนี้ กายนอก กายใน รู้กายอยู่ในภายใน กายในกายใน คือ มีสติในภายในก็รู้กายในภายในได้ ว่ากายเยื้องย้ายอย่างไร มีศีลประการใด มีกิริยามารยาทดีเลวประการใด มันจะรู้แจ้งแก่ใจ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ได้แก่ตัวเองโดยเฉพาะ

     เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลว่าอะไร เวทนา แปลว่า ทนไม่ได้ บังคับไม่ได้ มันเป็นโดยธรรมชาติ สุขเวทนา สุขกาย สุขใจ ทุกขเวทนา ทุกข์กาย ทุกข์ใจ อุเบกขาเวทนา ทำอย่างไรวิธีปฏิบัติ ในเมื่อเราสุขกาย คือ ดีใจ กายสุข ใจสุข ต้องตั้งสติไว้ ถ้าเราไม่ตั้งสติไว้ก็ประมาท เดี๋ยวก็เสียใจต่อภายหลัง ในเมื่อดีใจแล้วมันดีใจไม่ถูก คือไม่พ้นจากความทุกข์ มันจึงมีความทุกข์อยู่ในใจเสมอมา จึงต้องอย่าประมาท จึงต้องมีสติ กำหนดที่ลิ้นปี่นี่ สุขหนอ สุขหนอ ตั้งใจว่าดีใจหนอ

     ไอ้คนดีใจ นี่ขอประทานโทษ เกินของเขตช็อคตายนะ ช็อคตายได้ แล้วดีใจเลยขอบเขตไปวิกลจริตบ้าไม่ต้องรักษา ขนาดปริญญาโท ดีใจแล้วผิดหวัง เสียใจเข้าโรงพยาบาลไป เดี๋ยวนี้ปริญญาโททำงานไม่ได้เลย นี่แหละพระพุทธเจ้าจึงสอนละเอียดมาก จึงต้องมีสติสัมปชัญญะไว้ ด้วยการกำหนดจิต อย่าพลาดอย่าเผลอไม่ได้ เสียใจมากคือทุกข์กาย กายปวดเมื่อยทั่วสกนธ์กาย ทนไม่ไหวแล้ว ตั้งสติไว้ ปวดหนอ ๆ จิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวทนาก็แยกไป โดยมจะไม่ปวดเลย ถ้าแยกเวทนาได้เป็นสัดส่วน จะไม่ปวดเลย รูปธรรม นามธรรม มันจะบอกไว้ชัดมาก นี่วิธีปฏิบัติง่าย ๆ นะ ไม่ยากเลย แต่เราไปเอาโน้นมาประสม เอานี่มาประสม จึงรู้ไม่จริง

     วิธีทำ ทำอย่างไร ทำได้ทุกเวลาเลย เสียใจตรงไหน ในรถในเรือก็ตาม ร้านกาแฟ หรืออยู่ที่บ้าน อยู่ที่ออฟฟิศ ที่ทำงานก็ตาม หายใจยาว ๆ จากจมูกไปถึงสะดือ แล้วก็ตั้งสติไปที่ลิ้นปี่ เสียใจหนอ หายใจยาว ๆ เสียใจหนอ หายใจยาว ๆ หายเลยนะ เดี๋ยวมันจะมีปัญญาบอกเราเองว่าเสียใจเรื่องนี้ ต้องไปอย่างนี้ นี่แก้ได้เสียใจอย่างนี้ก็ต้องแก้อย่างนี้ และก็ได้ผลออกมาอย่างนี้เลย นี่ได้ผลอย่างนี้ ไม่ใช่ว่านั่งหลับหูหลับตา แล้วไปแก้วันพรุ่งนี้ ต้องแก้ปัจจุบันธรรม

     พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างไร ปากอย่าไว ใจอย่าเบา เรื่องเก่าอย่ามารื้อฟื้น หรือเรื่องอื่นคิดที่ผิดที่ชอบ ทำไมไม่ทำปัจจุบัน ทำปัจจุบัน เอา รูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ ไปเอาเรื่องเก่ามารื้อฟื้นกัน มันจึงเสียใจตลอด และดีใจก็ไม่ตลอดด้วย เดี๋ยวเสียใจเข้ามาแทนที่ เอาดีไม่ได้ นี่จึงขอเจริญพรญาติโยมไว้ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องกำหนดปัจจุบัน แล้วมันจะหายไปเลยนะ หูยินเสียงเขาด่าเรา เสียงหนอ เอาเลยตรงไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมานั่งตรงนี้ เสียงหนอ อ๋อ เขาด่าเรา อ๋อ เสียง กับ หูนี่เป็นรูป จิตกำหนดรู้ ว่าเขาด่าเป็นตัวนาม แล้วเรามีสติสัมปชัญญะ ปัญญาเราก็จะบอกว่า อย่าไปฟัง เสียเวลา เขาด่าเราแล้วกลับไปหาเขาเอง เสียงกับหูคนละอัน ไม่ใช่เป็นอันเดียวกัน และเราจะไปโกรธเขาทำไม นี่เรื่องนี้มันบอกตัวเอง ไม่ใช่คนอื่นมาบอก ถ้าเราทำได้อย่างนี้ รับรองได้เลย โยมจะเห็นชัดในสภาวธรรมของเราเองโดยเฉพาะ

 

-------------------