คนตายแล้ว -
ไปเกิดได้อย่างไร
พระราชสุทธิญาณมงคล
P7001
คำว่า กรรม หมายความว่า
การกระทำกรรมในชาตินั้นแล้วให้ผลในชาตินั้น
การแสดงการให้ผลของกรรมในชาติเดียวกันเป็นการแสดงง่าย
มีเหตุผลอ้างอิงมากมายและบางเรื่องสามารถพิสูจน์เห็นจริงได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับเรื่องกรรมที่กระทำในชาติก่อนนำผลมาให้เราในชาตินี้ก็ดี
หรือกรรมที่กระทำในชาตินี้แล้วไปแสดงตัวหรือแสดงผลของมันชาติหน้าก็ดี
เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจยากที่สุด
และยิ่งกว่านั้นก่อนที่จะเข้าใจว่ากรรมที่กระทำในชาตินี้ไปแสดงผลของมันในชาติหน้าได้
ก็จำเป็นจะต้องเข้าใจเรื่องตายเรื่องเกิดเสียก่อนด้วยเหตุนั้น
โอกาสนี้อาตมาจึงได้รวบรวมนำเอาเรื่องการเกิดการตายของสัตว์
มาชี้แจงเพื่อปรารถนาจะให้ท่านได้ทราบว่า กรรมที่กระทำในชาตินี้ไปแสดงผลในชาติหน้าได้อย่างไร
ถ้าหากเข้าใจในเรื่องการเกิดการตายดีแล้ว การกล่าวเรื่องกรรมที่นำไปให้ผลในภพหน้าก็จะเป็นการง่าย
แต่ปัญหาของเรื่องการเกิดการตายนี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาเล็กน้อย
ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาจนกระทั่งถึงบัดนี้
ก็มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตหรือศาสดาเป็นอันมาก
ได้พยายามคิดค้นหาทางที่จะให้ทราบว่าคนตายแล้วสูญไปเลย หรือคนตายแล้วไปเกิดได้อีก
ถ้าไปเกิดได้เอาอะไรไปเกิด ไปอย่างไรและเกิดอย่างไร
การค้นคว้าในเรื่องนี้สืบต่อมาจนนับชั่วอายุคนไม่ได้
จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นปัญหาโลกแตกอยู่นั่นเอง
หาได้คลี่คลายออกไปจนถึงสามารถยืนยันได้ไม่
เรื่องคนตายไปแล้วจะไปเกิดหรือไม่นั้น
มีความเข้าใจกันไปหลายกระแส
บางท่านก็เข้าใจว่าร่างกายของคนเรานี้ประกอบขึ้นด้วยรูปหรือวัตถุ ดังนั้น
เมื่อคนตาย ร่างกายก็ฝังจมดินไปไม่สามารถจะไปเกิดอีกได้
บางท่านเข้าใจว่าตายแล้วก็ต้องไปเกิดอีก
ในบรรดาผู้ที่เข้าใจว่าตายแล้วไปเกิดอีกได้นี้
ก็มีความเข้าใจแตกแยกออกไปมาก เช่นผู้ตายจะต้องไปเกิดอยู่ในสวรรค์หรือในนรกก็แล้วแต่ผลแห่งการกระทำของตน
และสวรรค์นรกนั้นได้มีผู้สร้างขึ้นสำหรับลงโทษ หรือให้รางวัลตลอดนิรันดร
โดยไม่กลับมาเป็นมนุษย์อีก บางท่านเข้าใจว่าคนที่ตายจะต้องไปเกิดเป็นคนเท่านั้น
ไปเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้ แต่บางท่านว่าไปเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็ได้ บางคนเข้าใจว่า
จิตหรือวิญญาณ หรือเจตภูตนี้เป็นอมตะ เมื่อร่างกายของคนแตกดับไปแล้ว
วิญญาณก็จะออกจากร่างกายล่องลอยไปเกิดใหม่
บางคนที่ศึกษาวิชาทางโลกทางวิทยาศาสตร์มามาก ๆ
ก็เข้าใจว่าถ้าบุคคลใดมีลูกเต้าสืบต่อไปอีกเรื่อย ๆ ก็จะไปเกิดได้อีก ตามหลักของชีววิทยา
เพราะลูกทุก ๆ คนนั้นก็สืบต่อมาจากเซลล์ของพ่อแม่นั่นเอง เมื่อสืบต่อไปหลาย ๆ
ชั่วคนแล้ว ชีวิตเดิมก็จะปรากฏขั้นมาอีก
แต่บางคนกลับมีความเห็นว่าร่างกายนั้นประกอบไปด้วยรูปหรือวัตถุ
ความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นหน้าที่ของมันสมองซึ่งได้วิวัฒนาการทีละน้อย ๆ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
จนมีอำนาจในการนึกคิดและรู้สึกได้ แต่เมื่อตายแล้วก็เป็นอันหมดเรื่องกัน
ไม่สามารถที่จะเกิดได้อีกเลย
เรื่องนี้เป็นเรื่องมากคนก็มากความคิดเห็น
แม้เจ้าของลัทธิศาสนาใหญ่ ๆ หลายศาสนา ก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน
เพราะเรื่องคนเกิดหรือคนตายเราเห็นได้ง่าย ๆ
แต่เรื่องตายแล้วไปเกิดหรือไม่เป็นเรื่องลึกลับเป็นปัญหาโลกแตกมาจนบัดนี้
สำหรับคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า
คนตายแล้วไปเกิดอีกได้และจะไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์อีกก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี
พระองค์มิได้สอนไว้เฉย ๆ ลอย ๆ ว่า คนตายแล้วไปเกิดได้เท่านั้น
หากแต่ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ไว้เป็นขั้นเป็นตอนอย่างพิสดาร
ถึงวิธีไปเกิดได้อย่างไร มีอะไรบ้าง ไปอย่างไร เกิดอย่างไร
พระองค์สอนไว้ยากง่ายเป็นขั้น ๆ
แล้วตี่วุฒิของบุคคลผู้สนใจศึกษามีพื้นฐานมาดีก็สามารถเข้าใจได้ละเอียดขึ้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า
คนตายไปแล้วไปเกิดได้ก็ดี แต่ความคิดเห็นของศาสดาอีกหลายท่านนั้น
ก็ตรงกันในหลักใหญ่ ๆ ของพระพุทธศาสนาที่ว่า เกิดอีก เท่านั้น
เช่นศาสนาพราหมณ์ ถือว่า คนตายแล้วจิตหรือวิญญาณก็ล่องลอยออกจากร่างไปปฏิสนธิใหม่
เหตุนี้จิตหรือวิญญาณก็เป็นอมตะไม่มีวันตาย เมื่อจากคนนี้ก็ไปสู่ยังคนนั้น
เมื่อจากคนนั้นก็ไปสู่คนอื่น ๆ ต่อไปตามลำดับเหมือนคนอาศัยอยู่ในบ้าน
เมื่อบ้านพังลงแล้วจะอาศัยอยู่ไม่ได้ก็ต้องเดินทางไปหาบ้านอยู่ใหม่ต่อไป
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตรงกันข้าม
พระองค์สอนว่า จิตหรือวิญญาณนั้นมิได้เป็นอมตะไม่มีวันตาย
หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย และจิตใจก็ล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ไม่ได้เลย
จะเทียบคนย้ายจากบ้านที่พังหาได้ไม่
ยิ่งกว่านั้นความเข้าใจที่ว่าการที่ไปเกิดได้ก็ไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น
ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังมีรูปอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า กัมมชรูป หรือ รูปอันเกิดแต่กรรมก็ร่วมในการปฏิสนธิด้วย
สำหรับในข้อนี้
เป็นอีกข้อหนึ่งที่ท่านจะได้เห็นความพิสดารน่าอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา
เพราะไม่ว่าใครหรือศาสดาองค์ไหนที่ว่า
คนตายแล้วไปเกิดได้ก็ต้องไปแต่จิตหรือวิญญาณเท่านั้น
มิได้แสดงการตายการเกิดอย่างไรให้ชัดแจ้ง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า
นอกจากจิตไม่ใช่ล่องลอยไปแล้ว รูปบางชนิดก็ไปเกิดได้ ส่วนจะไปได้อย่างไร
รูปอะไรบ้าง มีเหตุผล หลักฐานข้อเท็จจริงอย่างไรนั้น ขอได้โปรดฟังต่อไป
การที่เข้าใจว่า
คนตายแล้วไปเกิดได้นั้นจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องจิต เรื่องรูป เรื่องกรรม
และเรื่องความตาย ว่าเหตุใดจึงตาย ความตายมีกี่อย่าง ขณะใกล้ตายมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
มีความรู้สึกอย่างไรและจิตใจทำงานกันอย่างไร ฯลฯ ให้เข้าใจดีเสียก่อน
ดังนั้นท่านจึงจะเห็นได้ว่าเรื่องตายเรื่องเกิดนี้
จะกล่าวกันง่ายและให้เข้าใจดีด้วยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
ก่อนอื่น
อาตมาขอย้อนไปถึงเรื่องจิตอีกครั้งหนึ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นตอน ๆ ว่า จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์
รู้จักนึกคิดจดจำ จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีความเกิดดับสืบต่อกันเสมอเป็นนิจ
มิได้หยุดนิ่งและจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่ก็มีอำนาจในการสั่งสมสันดาน
หรือสามารถเก็บเอาอารมณ์ต่าง ๆ ไว้ในจิตแล้วก็แสดงออกซึ่งอารมณ์นั้น ๆ ได้
เมื่อแยกงานของจิตออกก็จะได้เป็นสอง คือ
๑.
การงานที่จิตกระทำ
ได้แก่การที่จิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ต่าง ๆ จากทางทวารหรือประตูทั้ง ๖
คือรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่น เห็น ได้ยิน คิด เป็นต้น
๒.
จิตเป็นภวังค์ ได้แก่จิตมิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ทางตา
หู จมูก ลิ้น กายและใจ แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด ดับ
และมีอารมณ์ที่ติดมาตั้งแต่ปฏิสนธิ
การที่อาตมาได้แยกการงานของจิตออกเป็นสองเช่นนี้
เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่รับอารมณ์ตามทวารทั้ง ๖ จิตก็ทำงาน
และจิตที่เป็นภวังค์ คือ มิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ จิตก็ทำงานเหมือนกัน
ข้อ ๑.
การขึ้นวิถีรับอารมณ์ของจิตนั้น
จิตจะรับอารมณ์หรือจะเกิดอารมณ์ขึ้นได้ก็จะต้องอาศัยมีผัสสะ คือการกระทบ
หากมิได้กระทบแล้ว จิตก็ไม่สามารถรับอารมณ์ได้ เช่นเสียงมิได้กระทบหูแล้วก็จะไม่ได้ยิน
รูปมิได้กระทบตาแล้วก็จะเป็นเห็น
และอารมณ์หรือเรื่องที่จะเป็นตัวยืนให้คิดไม่กระทบกับจิตแล้วก็คิดนึกไม่ได้เลย
ข้อ ๒. ภวังคจิต
คำว่า ภวังค์ หรือจิตภวังค์นี้มีพูดกันอยู่เสมอโดยทั่วไป
แต่ความเข้าใจของคนส่วนมากนั้นเข้าใจว่า ภวังค์ หมายถึงจิตมีความสงบ
คือนั่งอยู่เฉย ๆ หรือนั่งใจลอย แต่ตามหลักของปรมัตถธรรมนั้นตรงกันข้าม คำว่า ภวังค์
หมายถึง องค์แห่งภพ หมายถึง จิตตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติคือ ตาย
ขณะใดที่จิตมิได้ยกขึ้นสู่อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
และขณะนั้นจิตก็เป็นภวังค์ ภวังคจิตที่เห็นได้ง่าย ๆ ก็คือคนกำลังหลับสนิท
ขณะหลับสนิทจะไม่มีความรู้สึกตัวเลย ขณะใดจิตมีความรู้สึกขึ้นในอารมณ์จากทวารทั้ง
๖ แล้ว ขณะนั้นจิตก็พ้นไปจากเป็นภวังค์
ความจริงขณะที่เราเห็นหรือได้ยินหรือคิดนั้น จิตก็ขึ้นวิถีรับอารมณ์
แล้วก็มีภวังคจิตขึ้นสลับอยู่ตลอดไป ทั้งนี้เป็นไปโดยรวดเร็วมาก
ดังนั้นเราจึงไม่รู้สึก
การที่อาตมานำท่านมาสู่ความเข้าใจที่สับสนนี้
ก็เพราะปรารถนาจะให้ท่านทราบว่าในขณะที่จิตมิได้ขึ้นวิถีรับอารมณ์ จิตก็เป็นภวังค์
จิตเป็นภวังค์นี้จะไม่มีความรู้สึก แต่ถึงจะไม่รู้สึกก็ดี จิตก็ทำงานคือเกิดดับ
สืบเนื่องกันไปอยู่เป็นเนืองนิจและมีอารมณ์เหมือนกัน แต่เป็นอารมณ์ที่อยู่ในจิต
มิได้แสดงออกมาให้เราเห็น ได้ยิน
หรือรู้สึกได้เป็นอารมณ์เก่าที่สืบเนื่องต่อมาจากปฏิสนธิ ถ้าจะเปรียบกับไดนาโมทำไฟ
ก็คือ ไดนาโมที่กำลังหมุนอยู่ มิได้หยุดนิ่งนั่นเอง มันพร้อมที่จะส่งกระแสไฟไปจุดยังหลอด
ถ้าเปิดสวิทช์ขึ้นภวังคจิตก็มิได้หยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่กำลังทำงานอยู่เหมือนกัน
พร้อมที่จะรับอารมณ์อยู่เสมอ
การที่อาตมาแสดงจิตที่ขึ้นวิถีรับอารมณ์และภวังคจิตนั้นก็เพื่อจะได้นำท่านเข้าไปสู่เรื่องของความตาย
ว่าบุคคลที่กำลังจะตายนั้นจิตกำลังทำงานอะไรอยู่
ต่อไปนี้อาตมาจะได้แสดงถึงเรื่องว่าด้วยความตายเสียก่อน
ว่ามีเหตุอะไรบ้างที่จะมาทำให้ตาย
ตามพุทธภาษิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแบ่งความตายออกเป็นส่วนใหญ่ ๆ ไว้เป็นสองประการคือ
กาลมรณะ
หมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องตาย
อกาลมรณะ
หมายความว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าความตายนั้น
เมื่อถึงเวลาหรือถึงที่แล้วจึงตายก็มี และเมื่อยังไม่ถึงเวลาหรือถึงที่แล้วตายก็มี
คำว่า มรณุปปัตติ
แยกศัพท์ออกเป็น ๒ คือ มรณะ และ อุปปัตติ มรณะ แปลว่าตาย อุปัตติ
แปลว่าเกิดขึ้น หมายถึงความตายและความเกิดขึ้น มรณุปปัตตินั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มี ๔ ประการ คือ
๑. อายุกขยะ หมายถึง
ตายโดยสิ้นอายุ
๒. กัมมักขยะ หมายถึง
ตายโดยสิ้นกรรม
๓. อุภยักขยะ หมายถึง
ตายโดยสิ้นอายุ และสิ้นกรรม
๔. อุปัจเฉทกกัมมะ
หมายถึง ตายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน คือยังไม่สิ้นทั้งอายุและยังไม่สิ้นกรรม
อายุกขยะ ตายโดยสิ้นอายุ
ข้อนี้ได้แก่สัตว์ทั้งหลายต้องตายไปโดยสิ้นอายุ
เพราะสัตว์ทุกชนิดย่อมจะมีชีวิตอยู่ภายในขอบเขตของอายุขัย เช่นเต่ามีอายุ ๑๓๐ ปี
ช้างมีอายุ ๓๐๐ ปี ยุงมีอายุ ๑๕ วัน เป็นต้น
มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีอายุขัยเพียง
๗๕ ปีก็ตาย แม้ว่าจะมีผู้มีอายุมากว่า ๗๕ ปีบ้างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การที่โลกในปัจจุบันค้นคว้าสรีระของมนุษย์ จนมีความรู้ละเอียดประณีต
ค้นคว้าในเรื่องอาหารและหยูกยาสารพัดเพื่อประสงค์จะให้มนุษย์ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนแล้วจะได้มีอายุยืนนั้น
ถึงจะค้นคว้ากันต่อไปสักเพียงใด วิทยาศาสตร์การแพทย์จะเจริญก้าวหน้าไปสักเพียงไหน
ก็เป็นการช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะการมีอายุยืนหรืออายุสั้น
มิได้มีเหตุเพียงในด้านวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ความจริงมีเหตุอื่นที่สำคัญมากอีกหลายประการ ซึ่งจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป
กัมมักขยะ ตายโดยสิ้นกรรม
ในข้อนี้หมายถึงการที่สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาและเป็นไปนั้น
อาศัยกำลังของกรรมที่หล่อเลี้ยง หรือสนับสนุนให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างไร
อาตมาจะให้เหตุผลข้อเท็จจริงในภายหลัง ขณะนี้กำลังกล่าวถึงเรื่องความตาย
การที่จะต้องกล่าวถึงกรรมก็เพราะเกี่ยวพันไปถึง
อุภยักขยะ ตายเพราะสิ้นอายุและกรรม
ข้อนี้ไม่มีปัญหาอะไรมาก ด้วยความตายที่เกิดขึ้น เพราะสิ้นอายุนั้น
หมายถึงแก่เฒ่าอายุมากแล้ว ร่างกายก็หมดกำลังที่จะอยู่ต่อไปได้
ทั้งกรรมที่สนับสนุนให้คงชีวิตอยู่ก็หมดลงด้วย บุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตายด้วยเหตุทั้งสอง
อุปัจเฉทกกัมมะ หมายถึงตายด้วยอุบัติเหตุต่าง
ๆ มาตัดรอน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงอายุขัย และยังไม่สิ้นกรรม เช่นตกต้นไม้ตาย
หรือถูกรถทับตาย ความตายในข้อนี้เป็นความตายโดยเหตุต่าง ๆ อันเป็นปัจจุบัน
มิได้สิ้นอายุ หรือมิได้มีกรรมแต่อดีตมาตัดรอน แต่ถึงแม้ดังนั้นก็อาศัยกรรมแต่อดีตเป็นแรงส่ง
เช่นกรรมแต่อดีตเป็นตัวส่งให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ
แล้วไปติดโรคระบาดตายภายในเรือนจำ เป็นต้น
เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับความตายทั้ง
๔ ประการนี้ ท่านได้เปรียบเทียบไว้กับดวงประทีปที่ใช้น้ำมัน คือ
ชีวิตทั้งหลายเปรียบเสมือนประทีปหรือโคมไฟที่อาศัยน้ำมัน
ธรรมดาโคมที่อาศัยน้ำมันนั้น ไฟจะดับได้ก็ด้วยเหตุ ๔ ประการคือ
๑. เพราะเหตุที่หมดน้ำมัน
๒. เพราะเหตุที่หมดไส้
๓. เพราะเหตุที่หมดทั้งน้ำมันและหมดไส้
๔. เพราะเหตุที่มีอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่นลมพัน หรืออะไรมาทับให้ดับ
๑. เมื่อโคมไฟหมดน้ำมัน
ไฟก็จะดับ ข้อนี้หมายถึงชีวิตทั้งหลายจะถึงแก่ความตายเมื่อสิ้นอายุ
๒. เมื่อโคมไฟหมดไส้ไฟก็จะดับ
หมายถึงชีวิตทั้งหลายเมื่อสิ้นกำลังของกรรมที่สนับสนุนให้ชีวิตคงอยู่แล้วก็จะถึงแก่ความตาย
๓. เมื่อโคมไฟหมดน้ำมันและหมดทั้งไส้
ข้อนี้ได้แก่ชีวิตทั้งหลายต้องสิ้นชีวิตไปเพราะหมดอายุและกำลังของกรรมที่จะให้คงอยู่
๔. เมื่อโคมไฟถูกลมพัดดับ
ข้อนี้ได้แก่ยังไม่สิ้นอายุ และกรรม แต่ต้องตายด้วยรับอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
สำหรับในข้อ ๑-๒-๓ ตายเพราะถึงเวลาที่ต้องตาย สำหรับในข้อ ๔
ข้อเดียวเท่านั้นที่ผู้ตายยังไม่ถึงคราวที่จะต้องตาย แต่ก็ตายลงไปเพราะเหตุในปัจจุบัน
เมื่อท่านได้ทราบเหตุความตายโดยย่อ
ๆ แล้วก็ควรจะทราบต่อไปว่า ขณะใกล้จะตายนั้นเกิดอะไรขึ้น
ทั้งจิตใจและร่างกายทำงานกันอย่างสลับซับซ้อนอย่างไร การแสดงในเรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย
ถ้าจะกล่าวโดยละเอียดแล้วก็จะต้องใช้เวลามาก และจะต้องมีภาพของวิถีจิตในวิถีต่าง ๆ
และตารางแสดงรูปอันเกิดแต่กรรม จิต อุตุ และอาหารด้วย
ว่าเกิดดับสืบต่อกันไปยังภพใหม่ได้อย่างไร
อาตมาได้กล่าวมาแล้วถึงเรื่องจิตว่ามีการงานอยู่
๒ อย่าง คือ ขณะรับอารมณ์ทางทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใน และจิตในขณะเป็นภวังค์ คือ
ไม่รู้สึกตัวเลย บุคคลผู้ซึ่งใกล้จะถึงแก่ความตายนั้น จะต้องเกิดอารมณ์ขึ้น
ไม่ทางทวารใดก็ทางทวารหนึ่งทั้ง ๖ ทวารนี้
การเกิดอารมณ์ขึ้นตอนใกล้ตายนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลใดจะตายลงโดยไม่เกิดอารมณ์ขึ้นก่อนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะตายโดยฉับพลันทันทีอย่างไรก็ตาม เพราะจิตนั้นย่อมเกิดดับโดยรวดเร็วมาก
และจะต้องอาศัยกำลังของกรรมที่เกิดขึ้น
ขณะใกล้จะตายนั้นเป็นตัวนำส่งให้เกิดการปฏิสนธิขึ้น
บุคคลที่ใกล้จะตายนั้นย่อมมีอารมณ์
แต่อารมณ์จะดีหรือร้ายก็ได้ เช่นได้เห็นสิ่งสวยงามเป็นที่น่านิยม
คนไข้ก็จะมีหน้าตาแจ่มใสยิ้มแย้ม แต่ถ้าได้เห็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว
หรือหวาดเสียว คนไข้ก็แสดงอาการตื่นเต้นตกใจ ขวัญหาย หน้าตาบูดเบี้ยว
คนที่ดูแลคนไข้ที่ใกล้จะตายมักจะไปประสบ
การที่อารมณ์ได้เกิดขึ้นขณะเมื่อใกล้ตายให้เห็นไปต่าง
ๆ ก็เป็นการประกาศว่าบุคคลผู้นั้นจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติอย่างไร
ดังนั้นเราจึงเห็นว่า โดยมากคนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ตายจึงบอก พระอรหัง
แก่คนไข้ และศาสนาอื่นก็บอกสิ่งที่ดีงามต่าง ๆ ชี้ทางสวรรค์ให้แก่คนไข้
เรื่องของความตายเป็นเรื่องสำคัญชิ้นสุดท้ายของชีวิต
ผู้ใดเข้าใจดีก็จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองและคนอื่นได้มาก
ความไม่เข้าใจหรือผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดการเสียหายร้ายแรงอย่างยิ่งแก่ชีวิตไปชั่วกาลนานได้
แต่อาจมีผู้สงสัยว่า
เหตุใดคนที่ใกล้จะตาย ทำไมจึงต้องเกิดอารมณ์ขึ้น อะไรทำให้เกิดอารมณ์
หรือเห็นไปต่าง ๆ นานา เพียงอารมณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น จะนำไปสู่สุคติ
หรือทุคติได้จริง หรือคนที่กำลังจะตายมีความรู้สึกหรือเจ็บปวดอย่างไรบ้าง
การงานที่จิตและร่างกายได้กระทำไปขณะชีวิตใกล้จะแตกดับ ตลอดจนถึงมีอะไรบ้างปฏิสนธิ
เพราะตามหลักพระพุทธศาสนาถือว่า
ผู้ใดเข้าใจว่าจิตของผู้ตายนั้นเองล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ ก็เป็นความเห็นผิด
และเข้าใจว่าจิตเท่านั้นที่ปฏิสนธิได้ก็เป็นความเห็นที่ผิด
ความเห็นที่ถูกนั้นอย่างไร อาตมาจะได้กล่าวต่อไปตามลำดับ
ตามหลักปรมัตถธรรม
หรือตามสภาวะนั้น คนตายหรือสัตว์ตายไม่มี
คนตายหรือสัตว์ตายเป็นแต่เพียงเราสมมุติพูดกันให้เข้าใจเท่านั้น อันหมายถึงว่า
คนที่ไม่หายใจแล้วคือคนตาย แต่สภาวธรรมกลับตรงกันข้าม
คนจะตายหรือคนกำลังมีชีวิตอยู่ ธรรมชาติของจิตก็เกิดดับสืบต่อกันไป
และทำงานการเช่นนั้น เจตสิกซึ่งมีหน้าที่ประกอบกับจิตก็เกิดดับสืบต่อกันไปเช่นนั้น
หรือแม้แต่รูปที่เกิดขึ้นในร่างกายก็เกิดสืบต่อกันเช่นนั้นเหมือนกัน
ความแตกต่างกันมีอยู่แต่เพียงว่า จิต เจตสิก และรูปของคนตายได้ปรากฏอยู่ยังภพใหม่
หรือที่ใหม่เท่านั้นเอง ถ้าถอนเอาความยึดถือที่สมมุติว่าเป็นคนหรือสัตว์ออกเสีย
ก็เหมือนกับไฟฟ้าที่เกิดอยู่ที่นี่
เมื่อมีเหตุมีปัจจัยก็ไปเกิดอยู่ที่โน่นอันเป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติแม่เหล็กก็จะต้องมีความดึงดูดเสมอ
ธรรมชาติของจิตก็จะต้องรับอารมณ์อยู่มิได้หยุดหย่อนเช่นเดียวกัน
คนที่กำลังมีชีวิตอยู่หรือคนที่ใกล้จะตายก็เหมือนกัน จิตย่อมรับอารมณ์อยู่
อันเป็นไปตามธรรมชาติ ต่างกันแต่ว่า เมื่อคนใกล้จะตาย เราเรียกชื่ออารมณ์นั่นว่า กรรมนิมิต
คตินิมิต
อาตมาได้กล่าวถึงอารมณ์เกิดขึ้นได้อย่างไรมาบ้างแล้ว
แต่ได้พูดไปเพียงย่อ ๆ เท่านั้น จึงขอเพิ่มเติมให้ละเอียดขึ้นอีกเล็กน้อย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า
สภาวะ คือ ธรรมชาติทั้งหลายจะเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องอาศัยเหตุ ถ้าปราศจากเหตุเสียแล้วก็หาเกิดขึ้นมาได้ไม่
แต่เหตุที่ว่านี้มีหลายชั้น เป็นเหตุใกล้ ๆ ตื้น ๆ เผิน ๆ เห็นง่ายก็มี
และเหตุที่ไกล ๆ ลึกซึ้ง เห็นได้ยากก็มี ปัญหาต่าง ๆ ของชีวิต เช่น ชีวิตคืออะไร
มาจากไหน เป็นเรื่องล้ำลึก ถ้าไม่ได้อาศัยสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราก็จะเข้าไม่ถึงเลย
อารมณ์ที่จะเกิดขึ้นก็เหมือนกัน
อยู่เฉย ๆ มีนจะเกิดขึ้นมาเองก็หาไม่ อารมณ์จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยเหตุเหมือนกัน
เช่นอารมณ์ที่เกิดขึ้นทางตาและหูต้องมีเหตุดังนี้
อารมณ์ที่จะเกิดขึ้นทางตา
คือจะเห็นได้นั้นต้องอาศัยเหตุ ๔ ประการ มาประชุมพร้อมกันคือ
๑. จักขุปสาทะ ได้แก่
ประสาทตา
๒. รูปารมณ์ ได้แก่
รูปคือ สีต่าง ๆ
๓. อาโลกะ ได้แก่
แสงสว่าง
๔. มนสิการ
การกระทำอารมณ์ให้แก่จิต พูดงาย ๆ ก็คือ ความตั้งใจนั่นเอง
เมื่อมีเหตุทั้ง ๔
ประการนี้มาประชุมหรือจรดพร้อมกันเข้าแล้ว การเห็นก็มักจะเกิดขึ้นทันที ถ้าเหตุทั้ง
๔ นี้มาประชุมพร้อมกันแล้วจะไม่เกิดการเห็นขึ้นก็ไม่ได้
แต่ถ้าหากขาดไปเสียอันใดอันหนึ่งหรือหลายอันแล้ว การเห็นจะเกิดขึ้นไม่ได้เหมือนกัน
เช่น ประสาทตาไม่ดี รูปารมณ์ อันได้แก่คลื่นแสงไม่มี ขาดแสงสว่างหรือขาดความตั้งใจ
ที่จะเห็น
เหตุให้เกิดการได้ยินมี
๔ ประการคือ
๑. โสตปสาทะ
ได้แก่ประสาทหู
๒. สัททารมณ์
ได้แก่เสียง คือความสั่นสะเทือนของอากาศ
๓. วิวรากาสะ
ได้แก่ช่องว่างในหู
๔. มนสิการ
ได้แก่การทำอารมณ์ให้แก่จิต คือ ตั้งใจ
เมื่อเหตุทั้ง ๔ ประการนี้มาประชุม
หรือจรดพร้อมกัน เมื่อนั้นก็จะปรากฎการณ์ได้ยินขึ้นทันที การได้ยินที่จะปรากฏการณ์เกิดขึ้นได้โดยขาดเหตุไปแม้อันหนึ่งอันใดแล้ว
การได้ยินก็ไม่เกิดขึ้นเลยเป็นอันขาด
การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนในเรื่องนี้ไว้ก็มิได้ประสงค์จะให้ศึกษาวิชาสรีรศาสตร์
หากแต่พระองค์ต้องการแสดงเหตุ แม้แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางตา หรือหู ก็ต้องอาศัยเหตุให้เกิด
ธรรมทั้งหลายต้องอาศัยเหตุจึงจะเกิดขึ้นได้ มิได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ
เป็นการให้ผู้ศึกษาเข้าใจในเหตุผล ไม่ให้ยึดมั่นในความจริงที่สมมุติอันเป็นมายา
และเป็นการปฏิเสธความเข้าใจที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าหรือพระพรหมเป็นผู้สร้างโลกโดยสิ้นเชิง
อาจจะมีผู้คิดเห็นว่าเหตุให้เกิดเห็น
การได้ยิน ต้องมีคลื่นแสงและคลื่นเสียง คือความสั่นสะเทือนของอากาศ
และคิดว่าทางวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานมานี่เอง
เรากำลังหันเหให้เรื่องสภาวธรรมเข้าไปอิงวิชาวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าขึ้นมาได้
ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
พระองค์ทรงสอนมาตั้ง ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
เพียงแต่ถ้อยคำเท่านั้นที่แตกต่างกัน ส่วนความหมายนั้นเป็นอันเดียวกัน
ในข้อนี้อาตมาขอยกกล่าวสักเล็กน้อย
พระองค์สอนว่า
รูปารมณ์ (รูปที่เห็น) ที่เกิดขึ้นแล้วมากระทบกับตาทำให้เห็นได้นั้น
จะต้องอาศัยแสงสว่าง และรูปารมณ์ดังกล่าวมานี้จะเกิดดับสลับซับซ้อนที่ตา
และประสาทตาที่รับการกระทบของรูปารมณ์ที่ว่านั้น ก็ตั้งอยู่ตรงตาดำซึ่งมีขนาดโต
เท่าหัวของเหา
ประสาทที่ตั้งอยู่ตรงตาดำโตเท่าหัวเหานี้เองเป็นตัวรับการกระทบรูปารมณ์
ซึ่งได้แก่คลื่นของแสงนั่นเอง ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังแสดงถึงรูปารมณ์นี้ว่ามีความเกิดดับในจำนวนต่อจำนวนจิตที่เกิดดับ
๑๗ ขณะใหญ่หรือ ๕๑ ขณะเล็ก
ในเรื่องการได้ยินก็เหมือนกัน
สัททารมณ์ คือ เสียงย่อมกระทบที่ประสาทหูโดยการเกิดดับสลับซับซ้อนกันอยู่
พระองค์ชี้ถึงขนอันละเอียดอ่อนในจำนวนเท่าใด ตั้งอยู่ภายในแอ่งน้ำ สีอะไร ภายในช่องหู
และจิตจะมารับอารมณ์ที่ตรงนี้ ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือเหตุที่จะได้ยิน
๔ ประการนั้นมี วิวรากาสะ คือ ช่องว่างภายในหูรวมอยู่ด้วย
ซึ่งตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ เพราะถ้าไม่มีช่องว่าง คือ อากาศภายใจช่องหูเสียแล้ว
ความสั่นสะเทือนของอากาศก็จะไม่สามารถเข้าไปกระทบกับประสาทหูได้
การได้ยินก็จะไม่บังเกิดขึ้น
อาตมาได้กล่าวมาเพียงย่อ
ๆ และเพียงสองทวาร คือ ตากับหู เท่านั้น ส่วน จมูก ลิ้น กาย ใจ
จะงดเสียเพราะจะเสียเวลามาก ที่อาตมาได้กล่าวมานี้
เป็นการนำเอาคำสอนที่แสดงเหตุใกล้ ๆ เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจเรื่องการเกิดอารมณ์
และคลายความยึดมั่นในตัวตน คน สัตว์
เพราะการที่คลื่นของแสงและคลื่นเสียงมากระทบกับประสาทตาและประสาทหูนั้น
ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลาที่เห็นและได้ยิน จิตที่เข้าไปรู้อารมณ์ต่าง ๆ นั้น
ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน ส่วนการที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ น่ารัก น่าเกลียด
สวยหรือไม่สวย อะไรต่าง ๆ นั้น จิตได้สร้างรูปขึ้น
คือจิตได้สร้างเป็นมโนภาพหรือจินตนาการขึ้นเท่านั้นเอง
หาได้เป็นสาระแก่นสารที่จะยืนยงคงทนไม่ ส่วนเหตุไกลยังมีอีกเป็นอันมาก
เช่นเพราะอะไรปสาทรูป คือ ประสาทรับอารมณ์ต่าง ๆ จึงมีแก่คนและสัตว์ทั้งหลายได้
อะไรเป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อมีเหตุทั้ง ๔ มาประชุมพร้อมกันแล้ว
ทำไมคนจึงเห็นและได้ยินได้ ขณะเห็นหรือได้ยิน จิตใจและร่างกายทำงานกันอย่างไร
อารมณ์ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง
๖ ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจก็ตาม
เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็จะเห็นไดว่าจะต้องมีรูปคือ อารมณ์มากระทบกับจิต
ถ้าไม่มีรูปมากระทบกับจิตแล้ว ก็จะเกิดอารมณ์ขึ้นไม่ได้เลยเป็นอันขาด
ซึ่งทางธรรมเรียกการกระทบนี้ว่า ผัสสะ
เช่นการที่จะเห็นได้นั้นจะต้องมีรูปมากระทบตา
จะได้ยินได้จะต้องมีรูปคือเสียงมากระทบหู
และจะคิดนึกเรื่องราวอะไรได้ก็จำเป็นจะต้องมีรูป คือ
เรื่องราวที่คิดนึกนั้นมากระทบใจ
บัดนี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่า
คนที่ใกล้จะตายนั้นเกิดอารมณ์ขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่เกิดอารมณ์ขึ้น
คือจิตกำลังเป็นภวังค์อยู่ก็จะไม่ตายเพราะเหตุใด
อารมณ์ที่เกิดขึ้นมีดีบ้างไม่ดีบ้างจะนำผู้ตายไปพบกับอะไร
อาตมาได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
ๆ ว่า ตามหลักสภาวะหรือปรมัตถธรรมนั้น ไม่มีคนเกิดคนตาย
คนเกิดคนตายเป็นเรื่องสมมุติ จิตก็มีธรรมชาติเกิด ดับ และรับอารมณ์อยู่เสมอเป็นนิจ
ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือความตายได้มาถึง ดังนั้นคนไขที่ใกล้จะตาย
ได้รับคำบอกเล่าถึงพระอรหันต์ หรือเรื่องที่ทำบุญให้ทาน
คนไข้ก็จะเกิดอารมณ์นั้นขึ้น หรือเป็นเรื่องกระทบกระเทือนใจในทางไม่ดี เช่น
เกิดความเสียใจว่าตัวจะต้องตาย หรือลูกหลานทำอะไรให้ไม่ถูกใจ
หรือมีความห่วงใยในทรัพย์สมบัติที่อยู่เบื้องหลัง
คนไข้ก็จะเกิดอารมณ์ขึ้นก่อนหน้าจุติ คือตาย แต่ถ้าจะจุติคือใกล้จะตายจริง ๆ แล้ว
จะบอกหรือให้คติอะไรแก่คนไข้ไม่ได้เลย คนไข้จะตายเช่นนี้ ทวารทั้ง ๕
จะรับอารมณ์ไม่ได้ คือจะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส
และแม้เอาไฟไปจี้ก็จะไม่รู้สึก คนไข้จะมีความรู้อยู่เพียงทวารเดียวคือ ทางใจ
เท่านั้น และเมื่อเหลืออารมณ์แต่เพียงทางใจ อารมณ์นั้นก็แจ่มใสชัดเจนดุจการมองดูวัตถุโต
ๆ ยามเที่ยง ถ้าคนไข้เห็นสิ่งที่ดี หน้าตาก็จะแจ่มใสผุดผ่อง
และถ้าเห็นสิ่งที่น่ากลัวน่าหวาดเสียว คนไข้ก็จะแสดงความตกใจ
หน้าของคนไข้ก็แสดงออกมาให้เห็นได้ชัด
บัดนี้อาตมาคิดว่า
ควรจะคิดถึงประเด็นสำคัญในเหตุผลที่ว่าคนที่ตายแล้วไปเกิดอีกได้นั้น
อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะนำให้ผู้ตายไปเกิด
คิดว่าท่านทั้งหลายก็คงถือว่าอันนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย
อาตมาก็ขอแสดงอำนาจที่ผลักดันให้การปฏิสนธิเกิดขึ้นเสียก่อน
ส่วนวิธีที่จะไปอย่างไร เกิดอย่างไรจะได้กล่าวต่อไป
ปัญหาที่ว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำสัตว์ทั้งหลายให้ต้องเวียนเกิดเวียนตาย
หรือต้องสืบต่อไปยังภพใหม่มิได้หยุดหย่อนนั้น ถ้าจะว่าอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ
ที่สุดก็คือ เราอยากจะเกิดต่อไปนั่นเอง คนทุกคน สัตว์ทุกตัว
ตายแล้วต้องไปเกิดอีกก็เพราะมีจิตปรารถนาจะอยู่ต่อไปอีก มีจิตปรารถนาจะไปเกิดใหม่อีก
ความปรารถนานั้นก็มีกำลังความสามารถอันมหาศาล
แม้ว่าความปรารถนานั้นจะไม่อาจมองเห็นหรือจะสัมผัสไม่ได้ก็ตาม
ผู้ที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาในขั้นละเอียดก็จะได้เห็นความจริงอันน่าพิศวงนี้
ตั้งแต่เราตื่นนอนขึ้นมาในเวลาเช้า
แล้วหลับไปในเวลากลางคืน ตลอดเวลาเหล่านั้น เราได้ไขว่คว้าหาอารมณ์อยู่เรื่อย ๆ
ประเดี๋ยวเราก็ต้องการเห็น ต้องการได้ยิน ต้องการคิด ต้องการเคลื่อนไหวอิริยาบถ
ความต้องการหรือความปรารถนาเหล่านั้นมิได้หยุดยั้งเลย มีแต่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเราได้อะไรสมความปรารถนาแล้วเราก็ปรารถนาอย่างอื่น และอย่างอื่น ๆ
ต่อไปอีกโดยมิได้ว่างเว้นเลยตลอดชีวิต เพื่อความดำรงอยู่ของชีวิต
เพื่อให้ชีวิตแจ่มใสสดชื่นเบิกบาน เพื่อให้ทุกข์เบาบางหรือหายไป
เราปรารถนาที่จะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้ถูกต้อง
ได้คิดนึกเรื่องที่ดี ๆ ที่เราพอใจนั้น ๆ อยู่เสมอ
ครั้นเมื่อได้อารมณ์อันเป็นที่พึงพอใจแล้ว ก็ติดอกติดใจในอารมณ์นั้น ๆ
อย่างแน่นหนาแล้วหาลู่ทางที่จะได้มาซึ่งอารมณ์ที่ตนพอใจนั้นให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
ความพอใจในอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นก็ย่อมประทับไว้ในจิตอย่างมั่นคง มิได้หลุดถอน
ความปรารถนาที่จะได้อารมณ์ความยินดีติดใจในอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทางธรรมเรียกว่า โลภะ
ตัณหา คำว่า ตัณหานี้ผู้ที่มิได้ศึกษาพุทธศาสนาก็เข้าใจว่า
หมายถึงในเรื่องชู้สาวหรือเของเซ็กส์เท่านั้น
แต่ความจริงตัณหามีความหมายยิ่งกว่านั้นคือ หมายถึงความยินดีติดใจในอารมณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นจากทวารทั้ง ๖ นั้นเอง เช่นยินดีติดใจในการเห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส
และสัมผัส ได้คิดนึกต่าง ๆ
แม้แต่อารมณ์ที่เป็นโทสะ
คือ ความไม่พอใจในอารมณ์ก็เป็นเหตุให้เกิดตัณหาได้เหมือนกัน เช่น
เมื่อเราเห็นสิ่งที่ไม่ดีหรือได้ยินเสียงอันระคายโสตประสาท เราก็ไม่พอใจ
เมื่อไม่พอใจแล้วเราทำอย่างไร เราก็หลีกหนี เราหลีกหนีไปไหน
เราก็หลีกหนีเพื่อหาสิ่งที่ดีที่พอใจต่อไปใหม่ หรือเราได้กลิ่นเหม็น
เราก็ไม่ชอบใจเพราะมันเป็นอารมณ์ที่เราไม่พึงปรารถนา
เราก็ไปให้พ้นจากกลิ่นเหม็นนั้น
แต่ก็หนีไปไม่พ้นจากการที่จะแสวงหากลิ่นที่หอมหรืออารมณ์ที่ต้องใจอื่น ๆ ต่อไปใหม่
นี่ก็แสดงว่าอารมณ์ที่ไม่พอใจก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยนำไปสู่อารมณ์ที่พอใจจนได้
เมื่อเราได้อารมณ์ที่พอใจแล้ว
เราก็มีความยินดี ติดใจในอารมณ์นั้น อารมณ์นั้น ๆ ก็จะฝังมั่นประทับไว้ในจิตใจ
ความยึดมั่นนี้ทางธรรมะ เรียกว่า อุปาทาน เช่นเรารับประทานอาหารอะไรอย่างหนึ่งมีรสอันโอชะเป็นพิเศษจนทำให้เราติดใจ
ความติดอกติดใจนั้นจะเก็บประทับเอาไว้แน่นหนา
ถามีโอกาสก็พยายามหาให้ได้ซึ่งรสหรืออารมณ์นั้นอีก
หรือเราดูภาพยนตร์เรื่องที่สนุกมาก ๆ เราก็ติดอกติดใจอยากจะดูเรื่องที่สนุก ๆ
ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกถ้ามีโอกาส
ความยินดีติดใจในอารมณ์
หรือ ตัณหานี้มีกำลังมากเกินที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะคาดคิดว่ามันจะเป็นไปได้
ถ้ามิได้ศึกษาให้เข้าใจถึงความละเอียดในพระพุทธศาสนา ก็จะไม่มีทางทราบได้เลย
แม้แต่เพียงคิดก็ไม่มีใครได้คิดไปถึงเสียแล้วว่า กำลังตัณหานี้เองที่เป็นตัวนำให้การปฏิสนธิเกิดขึ้นชาติแล้วชาติอีกมิได้หยุดหย่อน
ซึ่งก็คือการที่เราปรารถนาที่จะเกิดต่อไปนั่นเอง
บัดนี้ก็ถึงปัญหาที่ว่า
เหตุใดเมื่อเจตนาหรือตัณหาประทับลงไว้ในจิตอยู่เสมอแล้ว
กำลังของเจตนาหรือตัณหานั้นจึงผูกมันรัดรึงสัตว์ทั้งหลายไว้ให้คงอยู่ในวัฏฏะ
จนไม่สามารถดิ้นรนให้รอดไปได้
กำลังของกรรม คือ
ตัณหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาหลับสนิทนั้น วันหนึ่ง ๆ มิใช่เล็กน้อย
ถ้ารวมกันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายแล้ว
ก็หมดปัญหาที่ผู้ใดจะคิดหรือคาดคะเนได้ว่ามากสักเท่าใด ประเดี๋ยวก็อยากเห็น
อยากได้ยิน อยากได้ลิ้มรส และอยากคิดนึก ฯลฯ ซ้ำแล้วซ้ำอีกวันยังค่ำ
และเมื่อได้รับอารมณ์เหล่านั้นสมความปรารถนาแล้ว ก็อยากได้อารมณ์อื่น ๆ
อีกไม่มีวันจบสิ้น
เมื่อเราเห็นเด็ก ๆ
อายุ ๑๐ ปี เล่นดนตรีได้เก่ง เมื่อเราเห็นเด็ก ๆ อายุ ๑๐ ขวดเขียนรูปได้ดี
เราก็พูดว่า เขามีอุปนิสัย เราก็พูดว่าเขาได้ถ่ายทอดศิลปเหล่านั้นตามสายเลือดจากพ่อหรือแม่
ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ก็ปู่ ย่า ตา ยาย คนใดคนหนึ่งซึ่งคงจะต้องมีคนหนึ่งจนได้
นักอาชญาวิทยา
นักจิตวิทยา หรือนักวิทยาศาสตร์ทางชีวภาพ เมื่อพบเด็กที่เหลือขอและชอบขโมย
ก็จะกล่าวว่าเด็กคนนี้ได้สืบสันดานมาจากพ่อแม่ที่เป็นผู้ร้าย
การที่เขาเป็นผู้ร้ายก็เพราะมีสันดาน หรือมีเลือดของพ่อแม่ของเขาติดมา
ซึ่งความจริงนักอะไรต่อนักอะไรทั้งหลายเหล่านี้
ได้สืบสวนค้นคว้ามาได้แต่เหตุผลใกล้ว ๆ ตื้น ๆ เผิน ๆ แค่เกิดมาเท่านั้นเอง
เพราะเขายังไม่เข้าใจเลยว่าจิตนั้นคืออะไร สามารถสืบต่อกันไปได้อย่างไร
เขาจะเข้าใจให้ถูกต้องได้สมบูรณ์
เพราะเขามิได้ศึกษาจากพระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำอย่างไรก็จะให้ความเข้าใจของเขาถูกต้องสมบูรณ์ไม่ได้
เพราะเขาได้เข้าใจผิดไปว่ามันสมองนั้นเป็นตัวจิต
ซึ่งได้วิวัฒนาการมาแล้วนับจำนวนเวลาเป็นพันเป็นหมื่นล้านปี จนสามารถมีความคิดอ่าน
จนจำทุกข์สุขได้
มนุษย์ทั้งหลายเกิดสืบต่อกันมาตามสายโลหิตจากสปอร์มาโตซัวของบิดาและโอวัมคือไข่ของมารดา
และอุปนิสัยใจคอของเด็กจะสถิตอยู่ภายในยีนส์ซึ่งอยู่ในเซลล์นั้น
ซึ่งเราได้ตรวจสอบค้นคว้ามาได้ และจากกล้องขยายหลายพันเท่าอันเป็นรูปหรือวัตถุ
ซึ่งเขาจะรู้ได้แน่แต่ทางเดียวเท่านั้น
อาตมาได้กล่าวมาแล้วว่า
จิตนั้นเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย จะหลับหรือตื่น
และมีอำนาจสั่งสมสันดาน เหตุฉะนั้น อุปนิสัย สันดาน
หรือสัญชาตญาณของเด็กเหล่านั้นจึงมิได้สืบสายโลหิตมาจากพ่อแม่ เพราะจิตเป็นนามธรรม
ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกจิตของพ่อแม่แยกออกมาเป็นของเด็กได้ หากแต่เป็นจิตดวงใหม่คือ
ผู้ที่ได้ตายต่างหากมาปฏิสนธิ
คงจะมีบางท่านที่สงสัยว่า
ถ้าเป็นจิตดวงใหม่มาปฏิสนธิ มิได้ถ่ายทอดมาตามสายเลือดแล้ว ก็เหตุใดเล่า
อุปนิสัยใจคอของเด็ก เช่นชอบในทางศิลปะหรือมีสันดานเป็นผู้ร้าย จึงไปเหมือนกับพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นได้
ปัญหานี้
ผู้ที่ศึกษาธรรมะมาพอสมควรก็จะไม่ประหลาดใจเลย
เพราะเขาจะเข้าใจเรื่องการปฏิสนธิของจิตว่า จิตจะต้องปฏิสนธิไปตามความเหมาะสม ไปตามเหตุปัจจัย เช่น
ถ้าอาตมาเอาแก้วน้ำร้อนมาตั้งไว้บนโต๊ะนี้ ภายนอกของแก้วก็จะไม่มีไอน้ำมาจับได้เลย
แต่ถ้าอาตมานำแก้วน้ำแข็งมาวางแล้ว ในไม่ช้าเราก็จะเห็นน้ำติดอยู่เป็นหยด ๆ
โดยรอบแก้ว
ทั้งนี้เพราะความเย็นของน้ำแข็งเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ละอองของน้ำมาจับได้ ถ้า ก.
มีสันดานหยาบคายเป็นผู้ร้ายเต็มตัว ข.
ซึ่งเป็นสุภาพบุรุษร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่อาจจะร่วมเป็นร่วมตาย
สนิทสนมหรือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เพราะไม่มีความเหมาะสมกันเลย โดยนัยนี้จิตที่มีอุปนิสัยในทางชั่วจึงปฏิสนธิในพ่อแม่ที่มีสันดานผู้ร้าย
และจิตที่โง่เง่าหรือไม่สู้จะเต็มจึงชอบปฏิสนธิในพ่อแม่ที่เป็นคนจิตทราม
การศึกษาเรื่องจิตตามหลักของพระพุทธศาสนาให้เข้าใจแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่ามีเหตุผลข้อเท็จจริงที่จะเป็นไปดังนั้นอีกมากมาย
อาตมาเห็นว่าเวลามีน้อยก็จะของดเสีย
อาตมานำท่านมาเช่นนี้ก็เพื่อจะแสดงกำลังพลังของตัณหา
หรือกำลังของกรรม คือ เจตนา หรือความปรารถนาว่าสามารถส่งผลสืบต่อกันไปได้
เพราะจิตที่มีนิสัยในทางดนตรีก็โดยชาติที่แล้วมามีเจตนาอันรุนแรง
เฝ้าอบรมฝึกหัดจนชำนาญด้วยใจรัก นิสัยอันนี้ก็สืบต่อมาถึงชาตินี้
ถ้าเราจะจับเอาเด็ก ๑๐๐ คน
ที่ไม่มีนิสัยเช่นนี้มาฝึกหัดก็หาอาจฝึกหัดวิชาดนตรีให้เป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ
แม้แต่สักคนหนึ่งหาได้ไม่ และถ้าเอาคน ๑๐๐ คน ที่ไม่มีนิสัยตลกคะนองมาแสดงเป็นตัวตลกคนทั้ง
๑๐๐ คน ที่ไม่มีนิสัยตลกคะนองมา แสดงเป็นตัวตลกทั้ง ๑๐๐ คน
ที่แสดงอยู่ต่อหน้าเรานั้นก็จะทำให้รู้สึกสงสาร เพราะทำให้เราขบขันไม่ได้เลย
แน่นอน
ช่างเขียนที่สามารถ นักประพันธ์ที่มีคารมคมคายซึ่งประชาชนชอบอกขอบใจทั่วทิศ
นักประดิษฐ์เรืองนาม นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ หรือตัวตลกลิเก ละคร
ที่มีคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หรือนักอะไร ๆ
เหล่านี้จะไม่มีเลยที่จะฝึกฝนจนกลายเป็นบุคคลชั้นนำเพียงในชาตินี้ชาติเดียว
ความจริงบุคคลเหล่านี้ย่อมมีวาสนาคือ ได้รับการอบรมมาแล้วหลาย ๆ ชาติทั้งนั้น
และการที่เขาเป็นได้เช่นนั้นก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความปรารถนา เขาว่า กำลังของความปรารถนาแต่อดีตนั้น
สามารถส่งผลให้จนถึงปัจจุบันและอนาคตได้
อารมณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นทางทวารทั้ง ๖ นั้น
ทุกอารมณ์ก็ย่อมประทับสั่งสมไว้ในจิตอย่างสลับซับซ้อนมากมาย
กำลังของอารมณ์ก็ย่อมมีเจตนาหรือความปรารถนารวมอยู่ด้วย
ความปรารถนามีกำลังมากก็ย่อมเป็นไปตามปรารถนานั้น ๆ
ความปรารถนาที่จะได้ภพชาติใหม่หรือที่จะเกิดใหม่นั้นเอง ที่ทำให้ชาติมิได้สิ้นสุด
ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาโดยตรงหรือโดยปริยายก็ตาม
ธรรมชาติของกรรมที่กระทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าพิศวง
เพราะไม่มีตัวตนที่เราจะถูกต้องได้ จะวัดหรือจะชั่งตวงก็ไม่ได้
แต่ก็มีอำนาจแสดงกำลังความสามารถได้
เมื่อหญิงสาวและชายหนุ่มผูกสมัครรักใคร่กัน
ยิ่งนานวันก็จะยิ่งเพิ่มพูนความรักมากยิ่งขึ้น เพราะเห็นใจกัน
เอาอกเอาใจกันทุกอย่าง ความรักของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้เป็นไปอย่างดูดดื่มมั่นคงอยู่หลายปี
เมื่อจะต้องพรากจากกันไปโดยเด็ดขาดเมื่อใด
ทั้งสองฝ่ายก็จะตกอยู่ในความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เจ้าเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงกันอยู่มิรู้วาย วันละหลายสิบหรือหลายครั้ง
ทั้งนี้เพราะอะไร เรื่องความรักใคร่เห็นอกเห็นใจกันก็เป็นอดีตไปแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่ดับไปแล้ว
เหตุใดกรรมที่ทำไว้ในอดีตจึงได้ก่อให้เกิดความทุกข์หรือเศร้าเสียใจอยู่มิได้หยุดหย่อน
อาตมาได้กล่าวมาแล้วว่า
อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้นั้น จะต้องมีเหตุ จะเกิดขึ้นลอย ๆ หาได้ไม่
เช่น การที่จะเห็นได้ก็ต้องมีคลื่นแสงมากระทบตา จะได้ยินก็ต้องมีคลื่นเสียงมากระทบหู
และจะคิดได้ก็จะต้องมีเรื่องที่คิดนั้นมากระทบใจ เหตุนี้จึงเห็นได้ว่า
ในกรณีของหนุ่มสาว เกิดความเศร้าเสียใจคู่นี้ ก็จะต้องมีเรื่องมากระทบใจเป็นแน่นอน
มิฉะนั้นความเศร้าเสียใจจะเกิดขึ้นมาหาได้ไม่
แต่อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดอารมณ์เสียใจเหล่านั้นขึ้น
ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธได้เลยว่าอารมณ์เหล่านั้น
มิได้เกิดขึ้นมา แต่อารมณ์เก่า ๆ คือ
เจตนาหรือความปรารถนาที่จะเป็นของซึ่งกันและกัน รักกัน เอาใจกัน
และจะแต่งงานอยู่กินด้วยกันนั่นเองเป็นเหตุเป็นปัจจัย จิตจึงได้สร้างให้เห็นหน้า เห็นกิริยาท่าทาง
เห็นความดีของแต่ละฝ่าย อารมณ์เก่า ๆ เหล่านั้น คือ
กรรมแต่อดีตที่ดับไปแล้วนั่นเอง แต่มิได้สูญหายไปไหน อารมณ์เก่าหรือกรรมเก่า
หรือความปรารถนาเก่านั้นเองได้เกิดกำลังอำนาจขึ้น
กำลังอำนาจนี้ได้มากระทบจิตอยู่เสมอมิได้หยุดหย่อน ซึ่งกระทำให้กรรมที่ทำไว้แล้ว ๆ
นั้น กลับยกขึ้นมาสู่อารมณ์ใหม่อีก ภาพเก่า ๆ ก็ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ทำให้มองเห็นหน้าคู่รักที่กลังยิ้มอย่างหวาน เห็นความน่ารักเอ็นดู
เห็นความเอาอกเอาใจหรือความเสียสละของแต่ละฝ่าย
ภาพประทับใจทั้งหลายแหล่ก็ได้ถูกยกขึ้นมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เหมือนกำลังดูภาพยนตร์
หรือมีเสียงกระซิบมากระซิบอยู่ที่ข้างหูว่ารัก รัก มิได้หยุดหย่อนเลย
การที่อาตมานำตัวอย่างนี้ขึ้นมาแสดง
ก็เพื่อจะให้ท่านได้เห็นกำลังของกรรม กำลังของความปรารถนา
หรือตัณหาว่าแม้มันไม่มีตัวตนก็ดี แม้มันจะเกิดขึ้นในอดีตและดับไปแล้วก็ดี มันก็ยังมีความสามารถที่จะแสดงออก
ซึ่งการกระทบกับจิตอันก่อให้เกิดอารมณ์ขึ้นได้มิได้หยุดหย่อน
ทั้งนี้เพื่อให้ท่านได้เห็นหน้าตาไว้เพียงนิดเดียวก่อน
กำลังของกรรมหรือตัณหานี้ยังมีกว่านั้นมากมายนัก
สามารถสร้างภพสร้างชาติก็ยังได้อีก และคนที่ตายแล้วไปเกิดก็ด้วยต้องอาศัยกำลังของกรรมนี่เองผลักดัน
ทั้งมิได้สืบต่อไปแต่จิตอย่างเดียวเท่านั้น
หากแต่ด้วยอำนาจของกรรมหรือตัณหานี้ยังมีอานุภาพสร้างรูปขึ้นในภพใหม่ได้ด้วย
แต่เพื่อให้เข้าใจง่าย อาตมาขอนำวิชาทางโลกเข้ามาประกอบด้วย
ร่างกายของเรานี้
คือ รูปหรือวัตถุ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ย่อยให้เล็กลง ส่วนที่เล็กที่สุดได้แก่ปรมาณู
ปรมาณุประกอบด้วยนิวเคลียร์อยู่ตรงศูนย์กลาง มีอนุภาคโปรตอน คือ ประจุไฟฟ้าบวก
และมีอิเล็กตรอนประจุไฟฟ้าลบวิ่งวนอยู่รอบแกนกลาง
แล้วยังมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งที่ไม่มีประจุไฟฟ้าเลย เรียกชื่อว่า นิวตรอน
เมื่อว่าโดยรูปหรือวัตถุแล้ว
ร่างกายของเรานี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากประจุไฟฟ้าหรือพลังงาน ตรงตามทฤษฎีของ ไอน์สไตน์
นักวิทยาศาสตร์และนักคำนวณผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในขณะนี้ ซึ่งได้กล่าวว่า
พลังงานก็คือสสารและสสารก็คือพลังงาน
มันเป็นการน่าประหลาดมหัศจรรย์เพียงใดหรือไม่ที่ร่างกายโต ๆ ที่มองเห็นและสัมผัสได้ของคนเรานี้มาจากพลังงานที่มองไม่เห็น
สัมผัสไม่ได้ ชั่งตวงก็ไม่ได้
อาตมาได้กล่าวถึงรูปและวัตถุจากวิชาการทางโลกมาเล็กน้อยแล้ว
อาตมาจะขอกล่าวถึงรูปหรือเรื่งอวัตถุทางพระพุทธศาสนาใหท่านฟังดูบ้างว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงย่อยวัตถุทั้งหลายออกเป็นอย่างไร
พระองค์สอนว่า เม็ดข้าวสารเม็ดหนึ่ง
เมื่อแยกออกเป็น ๗ ส่วน ส่วนหนึ่งนั้นจะเท่ากับหัวของเหา ใน ๑
หัวของเหานี้ย่อยออกไปอีก ๓๖ ส่วน ๑ ส่วนก็จะเป็น ลิกขา ๑ ลิกขานี้ย่อยออกไปอีก ๓๖
ส่วน ๑ ส่วนก็จะเป็น รถเรณู ๑ รถเรณูย่อยออกไปอีก ๓๖ ส่วน ก็จะเป็น ตัชเชรี ใน ๑
ตัชเชรีนี้ย่อยออกอีก ๓๖ ส่วนแล้ว ๑ ส่วน นั้นจะเป็น ๑ อณู และ ๑
อณูนี้ย่อยออกเป็น ๓๖ ส่วน ๑ ส่วนนั้นก็จะได้แก่ ๑ ปรมาณู
อาตมาไม่สามารถจะตอบได้ว่า
คำว่า ๑ ปรมาณูของทางวิทยาศาสตร์กับ ๑ ปรมาณูของธรรมะนั้น แตกต่างกันเท่าใด
แต่ขอให้ท่านลองคูณดุว่าทางธรรมะนั้นย่อยออกไปจากหัวของเหาจนถึงปรมาณูนั้น
จะเป็นขนาดไหน ในขณะนี้เราไม่สามารถที่จะเห็นหรือถูกต้องได้แล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นรูปอยู่ คือเป็นรูปที่สุขุมละเอียดมาก
และนอกจากนี้พระองค์ยังแสดงต่อไปว่า ใน ๑ ปรมาณูนั้น ทุก ๆ
ปรมาณูโดยมิได้ยกเว้นย่อมจะมีธาตุ ปถวี อาโป เตโช วาโย ได้แก่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม
(โปรดทำความเข้าใจในธาตุ ๔ ตามหลักพระพุทธศาสนาด้วย
มิได้มีความหมายตรงไปตามตัวหนังสือ เช่น ธาตุน้ำ ก็ไม่ใช้น้ำที่เราดื่ม
เพราะธาตุน้ำเป็นสุขุมรูป มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้เป็นต้น)
แล้วยังมี วรรณะ คันธะ รสะ โอชะ คือ รูปร่างหรือสี มีกลิ่น มีรสและโอชะ
(หมายถึงร่างกายย่อยให้เป็นประโยชน์ได้) ดังนั้น ๑ ปรมาณูจึงมี ๘ เรียกว่า
อวินิพโภครูป ๘ และพระองค์ยังได้สอนต่อไปว่า
ปรมาณูทั้งหลายเหล่านั้นหาได้ติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่
แม้เราจะเห็นวัตถุใดเป็นแท่งทึบ ปรมาณูทุกปรมาณูย่อมถูกคั่นด้วย ปริเฉทรูป คือ
ช่องอากาศหรือช่องว่าง นั่นคือ รูปทั้งหลายที่เราเห็นเป็นแท่งทึบนั้น
แท้จริงมีรูปโปร่งโดยตรง
พระองค์ทรงสอนเรื่องปรมาณู
ก็มิได้มีความปรารถนาจะสอนให้ศึกษาวิชาสรีรวิทยา
หรือให้ทำลูกระเบิดปรมาณูเพื่อจะได้ทิ้งใส่กัน พระองค์ปรารถนาจะชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนคงทนของรูป
เพราะย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะมิได้หยุดนิ่ง อย่าได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจังมั่นคง
และเพื่อไม่ให้หลงงมงายเชื่อเฉพาะที่ตามองเห็นเท่านั้น ถ้าเชื่อเพียงเท่านั้นก็จะได้ชื่อว่าโง่เขลา
มองไม่เห็นความจริงของธรรมชาติ แล้วก็หาว่าธรรมชาตินั้นเจ้าเล่ห์เจ้ามายา
และยิ่งกว่านั้น พระองค์ต้องการแสดงสภาวะของรูปเหล่านี้ว่า กรรมหรือตัณหาย่อมมีอานุภาพสร้างรูปอันประณีตนี้ในรูปของปรมาณู
หรือในรูปของพลังงาน ในขณะที่ปฏิสนธิตั้งต้นขึ้นในภพใหม่ได้ด้วย
แต่ส่วนจะสร้างรูปอะไรในภพใหม่ได้อย่างไรนั้น จะได้กล่าวต่อไป
ได้กล่าวมาแล้วว่า
จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รับอารมณ์ มีอารมณ์อยู่เสมอ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ด้วยเหตุต่าง
ๆ กัน แต่สำหรับคนที่ใกล้จะตาย อารมณ์เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย เรียกว่า กรรมอารมณ์
กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์
๑.
ผู้ใดทำกรรมอะไรไว้ ไม่ว่าจะเป็นดีหรือชั่วก็ตาม เมื่อทำไว้มาก ๆ
กรรมเหล่านั้นก็มักจะกระทำกับจิตทำให้เกิดอารมณ์ขึ้น คือ
ทำให้จิตได้สร้างเป็นมโนภาพ โดยอาศัยอานุภาพของกรรมในอดีตให้เป็นไปต่าง ๆ นานา
เป็นต้นว่า ฆ่าสัตว์มาก ๆ ก็มักจะเห็นการฆ่าสัตว์ เช่น ยิงนก ตกปลา ทำบุญให้ทานมาก
ๆ หรือรักษาศีล เจริญภาวนา ก็มักจะเห็นการทำบุญให้ทาน อารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็น กรรมอารมณ์
๒.
บุคคลผู้ใกล้จะตายเห็นนิมิตต่าง ๆ อาจจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
ใจ ก็ได้ เช่น เห็นอุปกรณ์การทำกุศลหรืออกุศลที่ตนได้เคยกระทำมา
เห็นธงทิวเครื่องตกแต่ง หรือขบวนแห่บวชนาค ทอดกฐิน ซึ่งเป็นกุศล
ทางฝ่ายอกุศลก็เป็น แห อวน มีด ไม้ เครื่องดักหรือจับสัตว์
เห็นเครื่องมือการพนันหรือคิดอะไรทำอะไรก็มองเห็นเป็นเลขท้าย ๓ ตัว
อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่า กรรมนิมิตอารมณ์
๓.
บุคคลผู้ใกล้ตาย เกิดนิมิตขึ้นเห็นถ้ำ เห็นเหว เห็นปล่อง
เห็นการทรมานสัตว์ก็ดี หรือเห็นปราสาทราชวังที่ทำด้วยทอง เห็นราชรถอันวิจิตร
บางทีไม่มีในเมืองมนุษย์ก็ดี อารมณ์ที่เกิดนี้เรียกว่า คตินิมิตอารมณ์
สัตว์ทั้งหลายขณะที่ใกล้จะจุติ
คือ ตาย จะต้องเกิดอารมณ์ขึ้น ไม่กรรมก็กรรมนิมิต หรือคตินิมิตอันใดอันหนึ่ง
สัตว์ที่จะตายจะไม่เกิดอารมณ์ขึ้นเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าจะตายช้าหรือโดยทันที อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะอารมณ์กรรมนั้น ๆ
ย่อมเป็นกำลังงานอันสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิสนธิขึ้น กรรม กรรมนิมิต
คตินิมิตนั้น เป็นอารมณ์ครั้งสุดท้ายในชาตินั้น ๆ ที่ทรงอิทธิ
ทำให้มีภพชาติสืบต่อไป
อารมณ์ที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายนี้
เป็นที่หมายได้แน่นอนว่าจะต้อไปเกิดตามที่ตนได้เห็น
เหมือนเราทำแบบแปลนแผนผังไว้แล้ว ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยตามแบบแปลนนั้น ๆ เช่น ผู้ที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์
ย่อมเห็นครรภ์ของมารดา ผู้ที่จะไปเกิดยังเทวภูมิย่อมเห็นเทพยดา นางฟ้าหรือวิมาน
ผู้ที่จะไปเกิดในนรกก็ย่อมเห็นการเผาผลาญสัตว์เห็นเปลวไฟ
ผู้ที่จะไปเกิดเป็นเปรตก็เห็นปล่องเห็นหุบเขาอันตกอยู่ในความมืดมิด
ผู้ที่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ย่อมจะเห็นสัตว์หรือเห็นเชิงเขา ชายน้ำเป็นต้น ทุกคนก็มีจุดหมายปลายทางคือ
ความตาย ไม่ว่าพระราชาหรือกระยาจก ไม่ว่าเทวดาหรือสัตว์นรก
ไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญ
สำหรับผู้ที่ฉลาดในเรื่องของชีวิตควรจะต้องศึกษาให้รู้
เมื่อเช่นนี้การศึกษาเรื่องความตายจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง
จะได้ชื่อว่าไม่ตกอยู่ในความประมาท เพราะศึกษาเล่าเรียนเรื่องความตายเสียให้เข้าใจดีแล้วก็ย่อมมีหวังอยู่เป็นอันมากที่จะไปเกิดในสุคติภูมิ
การมองดูคนไข้ที่ใกล้ตาย
จะแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ แม้จะทายที่ไปของผู้นั้นไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ก็จริง
แต่ก็มีส่วนถูกเป็นอันมาก ด้วยการที่คนไข้เกิดอารมณ์ขึ้นเหมือนความฝัน
ภาพนั้นย่อมชัดเจนแจ่มใสมาก
จิตของคนไข้จะมีความยินดีหรือตกใจกลัวก็ย่อมจะมองเห็นจากการแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ
เช่น ถ้าคนไข้เห็นนายนิรยบาลถือหอกโตเท่าลำตาล
กำลังเงือดเงื้อจะพุ่งลงมาทรวงอก หรือเห็นน้ำทองแดงกำลังเดือดพล่านจะไหลเข้าในปาก
หรือเห็นแร้งกา ๓ ตัวโต มีปากเป็นเหล็กกำลังจะฉีกเนื้อของตัวกิน
หรือเห็นอสุรกายโตใหญ่ราวกับภูเขาดำทมิฬกำลังผ่านเข้ามาทำร้าย
เมื่อคนไข้เห็นเช่นนี้ก็จะมีความตกใจก็จะต้องโอดครวญด้วยเสียงอันดัง
ก็จะแสดงอาการหวาดหวั่นสะดุ้งกลัวอย่างน่าสงสาร
หรือแลบลิ้นปลิ้นตาร้องโวยวายให้คนช่วย เช่นนี้อบายภูมิก็มีหวังได้ ถ้าคนไข้เห็นนิมิตที่ปรากฏนั้นเป็นพระเป็นเณร
เห็นปราสาทราชวัง เห็นอาภรณ์อันประณีต เห็นคนรักษาศีลคนให้ทาน
และคนไข้ก็ยิ้มย่องผ่องใสหน้าตาอิ่มเอิบหรือหัวเราะ เช่นนี้สุคติก็มีหวังได้
เมื่อเราเอื้อมมือไปหยิบอะไรอย่างหนึ่งบนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มเคลื่อนมือไป
จิตย่อมจะสั่งการโดยตลอด
เหตุนี้เองถ้าหากมือที่เอื้อมไปนั้นยังไม่ถึงสิ่งของที่ต้องการ
เกิดมีเสียงเอะอะขึ้นจิตก็จะสั่งให้หันไปดูที่เสียงนั้น มือที่เอื้อมก็จะค้างอยู่
คือ เกร็ง โดยทำนองเดียวกันนี้ คนที่ใกล้จะตายเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นครั้งสุดท้าย จะเป็นยินดีหรือตกใจก็ตาม
ก็ย่อมแสดงกิริยาท่าทางน่ากลัว หรือยิ้มแย้มทันที จุติจิต (ตาย) ก็เกิดขึ้น
ซากศพของผู้นั้นก็ปรากฏอาการค้างอยู่ ซึ่งทำให้เราพอทายว่าจะไปสุคติ หรือทุคติ
ได้เป็นส่วนมาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแยกกรรมที่จะเป็นเหตุนำให้สัตว์ไปปฏิสนธิ ๔ ประการคือ
๑.
ครุกกรรม (กรรมหนัก)
ทางฝ่ายกุศล เช่น ทำฌาน ทางฝ่ายอกุศล เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ เป็นต้น
กรรมนี้เป็นกรรมหนักมีกำลังมาก ดังนั้น เมื่อเวลาจุติคือตาย
กำลังของกรรมนี้ก็จะเกิดขึ้นเป็นชนกกรรม นำไปสู่การปฏิสนธิ
ไม่มีกรรมใดมาขัดขวางได้เพราะเป็นกรรมหนัก มีกำลังมากต้องให้ผลก่อน
๒.
อาสันนธรรม (กรรมใกล้ตาย)
บุคคลใกล้จะตายจะได้รับอารมณ์อะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นติดชิดกับความตาย เช่น
ขณะนั้นเห็นพระพุทธรูป ได้ยินเสียงสวดมนต์ เป็นต้น
๓.
อาจิณณกรรม (กรรมที่ทำอยู่เสมอ)
ถ้าอาสันนกรรมมิได้ให้ผลแล้ว อาจิณณกรรมก็จะมาให้ผล ข้อนี้ก็คือบุคคลทั้งหลายย่อมกระทำกรรมอยู่เสมอ
เมื่อเช่นนี้ กรรมที่กระทำอยู่เสมอนี้ก็มีโอกาสมากที่สุด
จะกระทบจิตทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นแล้วแต่อารมณ์นั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล
๔.
กตัตตากรรม (กรรมเล็กน้อย)
ถ้ากรรมอื่น ๆ ทั้งหมดไม่ให้ผลแล้ว กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะมาปรากฎในอารมณ์นำไปสูการปฏิสนธิได้
ทั้ง ๔
ข้อนี้ขอกล่าวแต่เพียงย่อ ๆ เพราะเกรงว่าจะเสียเวลาอ่านมากเกินไป
อารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาใกล้จะตายนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแยกออกเป็น ๒ คือ
๑. มรณาสันนกาล
๒. มรณาสันนวิถี
จิตที่ขึ้นวิถีรับอารมณ์นี้
ท่านจะเห็นว่ามี ๑๗ ขณะใหญ่ จิตแต่ละดวงมีขณะเล็ก ๓ คือ อุปปาทขณะ ฐิติขณะ ภังคขณะ
ฉะนั้นในวิถีหนึ่งก็มี ๕๑ ขณะเล็กใน ๑๗ ขณะใหญ่
หรือวิถีหนึ่งนี้เกิดดับวนเวียนอยู่เป็นอันมากจึงได้ยินครั้งหนึ่ง
เพราะจิตเกิดดับรวดเร็วยิ่งนัก จนเราไม่สามารถจะจับจังหวะขาดได้เลย
ดังที่ได้กล่าวมานี้เรียกว่า
มรณาสันนกาล คือ เวลาใกล้จะตาย คนไข้จะมีอารมณ์เสมอ ไม่ทวารใดก็ทวารหนึ่ง
นอกจากจะถึงแก่วิสัญญี ได้แก่สลบไป มรณาสันนกาลนี้ อาจเป็นอยู่เร็วหรือช้าก็ได้
เช่น วินาทีหนึ่ง หรือสัปดาห์หนึ่ง หรือหลายสัปดาห์
คนไข้ที่อยู่ในเขตนี้มีโอกาสที่จะกลับคืนชีวิตขึ้นมาอีก เมื่อเหตุของความตายต่าง ๆ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นยังไม่แสดงผล แต่ถ้าหากถึง มรณาสันนวิถี คือ
วิถีต่อมา อันเป็นวิถีสุดท้ายของชาตินี้ แล้วก็จะไม่มีหวังที่จะคืนชีพได้อีกเลย
ในขณะมรณาสันนกาลนี้
ถ้าเป็นเวลาหลายนาที หรือหลายวัน คนไข้ก็จะเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นอย่างสับสน
กลับไปกลับมา ถ้าไม่มีครุกกรรม คือ กรรมอันหนักแล้ว ก็จะเป็นอาสันนกรรม คือ
กรรมใกล้ ๆ ตายนั้น เช่น เห็นอะไร ได้ยินอะไร หรือผู้ดูแลคนไข้จะให้อารมณ์
เป็นต้นว่า เอาภาพวัดวาอารามหรือพระพุทธรูปมาให้ดู นิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ได้ยิน บอกให้ระลึกถึงพระอรหันต์
ให้ระลึกถึงบุญกุศล หรือข้อธรรมะต่าง ๆ ถ้าเคยทำกรรมฐาน ก็ให้ทำสมถะ หรือ
วิปัสสนากรรมฐาน ฯลฯ
ถ้าคนไข้เคยศึกษา
หรือเคยสนใจในธรรมะมาก่อน การพูดเรื่องตายเรื่องเกิด หรือให้สติอะไรก็ได้
แต่ถ้าคนไข้ไม่ค่อยสนใจในธรรมะมาก่อน หรือคนไข้เป็นคนเหตุผลน้อย
ชอบทำบุญให้ทานอย่างเดียว ไม่ชอบศึกษา หรือคนไข้มีความกลัวตายมากเป็นทุนอยู่แล้ว
การให้สติดังกล่าว คนไข้รู้เท่าทันก็จะบังเกิดความตกใจหรือเสียใจว่าตัวจะต้องตาย
หรือคิดว่าลูกหลานจะแช่งให้ตายเพื่อจะเอาสมบัติหรือเกิดความอาลัยเสียดายชีวิตขึ้นมา
หรือเป็นห่วงทรัพย์สินเงินทอง เรือกสวนไร่นาที่ยังมิได้แบ่งปันส่วน
เมื่อตายลงก็มีหวังไปสู่ทุคติ
ในขณะมรณาสันนกาลนี้
ถ้าคนไข้ทำอกุศลมามาก คนไข้ก็จะแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ที่น่ากลัว บางทีก็หลายวัน
เพราะได้เห็นหรือได้ยินเสียง หรือจิตได้สร้างภาพอันน่าหวาดเสียวขึ้น ถ้าคนไข้มิได้ตกอยู่ในวิสัญญี
คือ สลบหรือเข้าไปตกอยู่ในความหลง
มีโมหะมากแล้วเราก็มีหวังจะแก้อารมณ์ได้โดยวิธีการต่าง ๆ แล้วแต่กรณี
แต่ถ้าคนไข้ขาดสติและหลงอยู่เสมอแล้ว ความหวังเช่นนั้นก็จะอยู่ห่างไกล
หรือสิ้นหวังเอาเสียทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ดี ผู้ที่พยาบาลคนไข้ที่มีใจอารี
มีจิตเป็นกุศล ก็ย่อมจะพยายามจนสุดความสามารถ เพราะเสียสละเวลาเพียงเล็กน้อยนั้น
อาจจะให้ประโยชน์อันมหาศาลแก่คนไข้
เขาย่อมไม่ให้เวลาอันเป็นนาทีทองเหล่านั้นสูญเสียไป
ในขณะมรณาสันนกาล
อารมณ์ที่มักจะเกิดกับคนไข้ได้มากที่สุดก็คือ อาจิณณกรรม ซึ่งได้แก่กรรมที่กระทำอยู่เสมอในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
กรรมที่ทำมาชำนาญเหล่านั้นก็มักปรากฏแก่คนไข้ เช่นเคยทำกุศลหรืออกุศลในทางใดเสมอ ๆ
กรรมเหล่านั้นก็จะกระทบกับจิต ทำให้เห็นไปต่าง ๆ นานาเด่นชัด
เหมือนว่าภาพนั้นเป็นจริงเป็นจังต่อหน้าต่อตา ข้อนี้ขอให้ท่านเทียบกับความฝันของท่านในคืนวันที่ความฝันนั้นชัดเจนมาก
ๆ เช่นเห็นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เห็นวัดวาอาราม
บางทีก็แสดงกิริยาอาการออกมาด้วย คนไข้จะยิ้มแย้ม จนหัวเราะ
จะเอื้อมมือไขว่คว้าด้วยหน้าตาชื่นบาน ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลก็จะเอะอะโวยวาย
จะทำท่าทางถอยหนีด้วยความหวาดกลัว ถ้าตกเบ็ดล่อปลาชำนาญก็มักจะทำมือยก ๆ
เหมือนยกคันเบ็ด ถ้าชอบชนไก่ก็มักจะเอาหัวแม่มือชนกันจนเลือดออก
ถ้าชอบฆ่าหมูก็มักจะร้องอิ๊ด ๆ เป็นเสียงหมู ถ้าหมั่นฆ่าสัตว์อยู่บ่อย
ก็มักจะเห็นสัตว์ เห็นเลือดไหลนอง
เห็นภาพตัวเองอยู่ในกระทะน้ำร้อนที่กำลังเดือดพล่าน ถ้าชอบเล่นหวย ภาพหวย ก.ข.
ก็จะปรากฏขึ้น
ขณะมรณาสันนกาลนี้
ถ้าคนไข้ไม่กลับฟื้นแล้วก็นับว่าเห็นหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งของชีวิต
เพราะอาจจะไปมีความสุขอย่างสุดแสนที่จะพรรณนา หรือได้รับทุกขเวทนาสาหัสก็ได้
ดังนั้น เราผู้ซึ่งยังไม่ถึงมรณาสันนกาล ก็เป็นการสมควรยิ่งนักที่จะไม่ประมาท
จะต้องหมั่นกระทำอาจิณณกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลเอาไว้ จะเป็นทำทาน รักษาศีล
หรือเจริญกุศลภาวนาก็ได้ ถ้ายิ่งศึกษาธรรมะให้มาก ๆ ก็ยิ่งดี
ถ้าเดินทางไปยังที่ใดที่หนึ่งในเวลาค่ำคืนเดือนมืด
ท่านก็จะต้องถือตะเกียงไปด้วย ท่านจึงจะเดินทางไปได้โดยสะดวก แต่ถ้าท่านเดินทางนี้บ่อย
ๆ จนชำนาญเสียแล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องถือตะเกียงไป ท่านก็จะเดินไปได้ง่าย ๆ
เกือบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าตรงไหนเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือตรงไหนจะรกจะคดเคี้ยว
มีก้อนอิฐก้อนหินอยู่ที่ไหนอย่างไร
ท่านก็จะก้าวข้ามหลบหลีกและเลี้ยวไปได้คล่องแคล่วโดยไม่ต้องการแสงสว่าง
ทั้งนี้เพราะทางนี้เป็นทางเดินสะดวกเสียแล้ว เหตุนี้
ผู้ที่มรณาสันนกาลยังมิได้มาถึง ผู้ที่มฤตยูยังไม่ได้เรียกร้องถามหา
หรือผู้ที่เห็นภัยร้ายแรงในวัฏฏะก็ย่อมไม่ตกอยู่ในความประมาท
เขาจะพยายามทำอาจิณณกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลเข้าไว้ให้ชำนาญ ให้เป็นทางเดินสะดวกทุก ๆ
คืน
ก่อนจะนอนก็จะกราบพระเพื่อรักษาจิตที่กิเลสทั้งหลายได้เข้ามาเกลือกกลั้วตลอดวันมาแล้วให้สงบระงับเป็นสมาธิ
จะตั้งจิตอธิษฐานขอให้พ่อ แม่ พี่ น้อง ครู อาจารย์ เพื่อนฝูง
ไม่ว่าศัตรูหรือมิตรตลอดจนสัตว์ทั้งหลายจงอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงมีความสุขความเจริญ
ขณะนี้จิตก็จะเป็นสมาธิ สะอาด บริสุทธิ์ขึ้น
นิสัยเห็นแก่ตัวเพราะเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ติดมากับสัตว์ทั้งหลายก็จะหยุดยั้งลงชั่วขณะหนึ่ง
กุศลก็จะประทับลงไว้ในจิต
ฝุ่นละอองสีดำคล้ำทั้งหลายที่เข้ามายึดกันไว้ก็ได้ถูกฝุ่นละอองสีขาวบริสุทธิ์แม้เพียงเล็กน้อยปะปนเข้าไป
ทำให้ความคล้ำนั้นไม่มืดมิดสนิทจริง ๆ ต่อจากการแผ่ส่วนกุศลแล้ว
ถ้าทำสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐานต่อไปอีก ๑๐-๓๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมง
ก็จะเป็นประโยชน์มากที่สุดทั้งชาตินี้ชาติหน้า
ผู้ทำอกุศลมาก ๆ
บางคนเมื่อได้ศึกษาเข้าใจในสภาวธรรมแล้ว ก็มักมีความเสียใจในอกุศลที่ตนทำแล้ว ๆ
นั้น มักจะครุ่นคิดเป็นกังวลว่าตัวจะได้รับโทษภัยในขณะจะตายหรือชาติหน้า
การครุ่นคิดถึงเรื่องเช่นนั้นก็คือ เป็นการที่กำลังสร้างอกุศลขึ้นนั้นเอง
เป็นการชักชวนอกุศล หรืออารมณ์อะไรที่ไม่เป็นที่พอใจหรือเจ็บใจ
ที่เกิดแล้วดับแล้วให้เกิดขึ้นซ้ำเติมอยู่เรื่อย ๆ
บางคนชอบเอาเรื่องเสียใจครั้งเก่า ๆ มาสร้างรูปแบบใหม่แล้วคิดเสียใจอยู่ทุก ๆ วัน
เป็นการสร้างอกุศล สร้างทางเดินสะดวกให้แก่จิตใจ จึงไม่ควรกระทำ
อกุศลที่แล้วควรจะคิดขึ้นเพียงครั้งหนึ่งคราวเดียวเพื่อเป็นบทเรียนเท่านั้น
จะต้องหักใจทำลายลงได้เด็ดขาด ถ้าผู้ใดชอบคิดนึกอยู่จนชำนาญเสียแล้วจะเลิกได้ยาก
ก็สร้างอารมณ์ที่เป็นกุศลทับถมให้บ่อย ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ก็จะช่วยได้มาก
ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์ข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง
บางคนก็ชอบคิดวาดภาพที่ไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ เช่นกลัวจะต้องถูกออกจากงาน กลัวจะอดอยาก
กลัวครอบครัวจะเดือดร้อน กลัวเจ้านายจะดุ กลัวเพื่อนฝูงจะโกรธ กลัวจะอับอายขายหน้า
กลัวคนรักจะทอดทิ้ง กลัวจะเจ็บป่วย ตลอดจนกลัวความตาย ทั้ง ๆ
ที่เหตุการณ์เหล่านั้นยังมาไม่ถึง และส่วนมากบางทีก็ไม่เกิดขึ้นเลย
แต่เป็นเพราะตัวชอบสร้างภาพขึ้นเองจนชำนาญเป็นเหตุ
จริงอยู่ แม้ว่ามนุษย์จะฝังมั่นอยู่ในความกลัวทุกรูปทุกนามก็ตาม
แต่ผู้ใดเข้าใจสภาวธรรม ผู้ใดมีศิลปะในการแก้ปัญหาของชีวิตอยู่บ้าง
เรื่องเล็กน้อยที่จะทำอารมณ์ให้ขุ่นมัวก็ย่อมจะเกิดน้อย
ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งดีเพราะเป็นการฝึกจิตให้เกิดทางเดินสะดวก
บางท่านอาจสงสัยว่า
ความสำคัญของคนที่จะตายนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ตอนใกล้จะตาย ถ้าเช่นนั้นเราก็ทำชั่ว คดโกง
คอร์รัปชั่น เบียดเบียนกันให้เต็มที่
แล้วภายหลังก็หมั่นสร้างอารมณ์แก้เสียก็สิ้นเรื่อง
สำหรับข้อนี้ถ้าเข้าใจธรรมะอยู่บ้างแล้ว
ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะรู้ว่า กรรมที่ทำมาแล้ว ๆ นั้นมิได้สูญหายไปไหน
จะต้องให้ผลในวันหนึ่งจนได้ แต่การที่คนได้กระทำความชั่วมาแทบล้มแทบตาย
ครั้นเวลาจะดับจิตบังเอิญมาให้อารมณ์ที่ดีเข้าก็เลยไม่ต้องไปนรก
ข้อนี้บางครั้งก็เป็นความจริงเพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในบั้นปลายของชีวิตนั้นก็เป็นกรรมเหมือนกันและกรรมนั้นเป็นผู้ส่ง
แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยนี้ก็จะนำไปสู่สุคติได้ในเวลาไม่มาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงตัวอย่างไว้เป็นอันมากในเรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ดีเราจะต้องแก้อารมณ์คนใกล้จะตายให้ดี
ถึงแม้ว่าจะไปรับกรรมนั้นในเวลาอันสั้น
เพราะอาจไปเกิดเป็นแมวไม่นานเท่าไรตายก็จริง แต่ทว่าแมวนั้นก็จะไปสร้างอกุศลกรรมจับหนูกินอยู่ตลอดเวลาชั่วชีวิตของมันเพิ่มอกุศลเข้าอีก
อาตมาได้กล่าวรายละเอียดอันเป็นส่วนปลีกย่อยมากเกินไปสักหน่อย
แต่คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยังมิได้ศึกษาธรรมะมาจริง ๆ บ้าง
ที่ได้กล่าวมาเป็นเรื่องในเขตมรณาสันนกาล บัดนี้ก็ได้แสดงถึงมรณาสันนวิถีที่อยู่ติดกับความตาย
ว่าขณะนั้นจิตทำงานกันอย่างไร คนเราทำไมจึงตาย
ขณะจุติและปฏิสนธิมีความพิสดารอย่างไรบ้าง
ได้กล่าวมาแล้วว่ามรณาสันนกาล
คือ เวลาใกล้กับความตายอาจจะไปหลายวันก็ได้
คนไข้อาจจะหนักบ้างเบาบ้างหรือสลบไปบ้าง ต่อมาในตอนปลายของมรณาสันนกาล
กำลังของจิตและรูปเริ่มจะอ่อนลงมากที่สุด บัดนี้คงจะมีปัญหาเกิดขึ้นว่า
จิตและรูปอ่อนลงมากนั้น เพราะเหตุใด ได้แสดงมาแล้วตอนต้น ๆ ว่า
การที่รูปของเรายังยืนหยัดเป็นรูปอยู่ได้นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะกัมมชรูป คือ
รูปอันเกิดแต่กรรมรักษาเอาไว้ ในที่นี้อาตมาจะไม่บรรยายให้ละเอียดนัก
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องกว้างใหญ่จะต้องใช้เวลามาก จะขอกล่าวไว้พอได้เห็นบ้าง
และในตอนต่อไปเมื่อถึงรูปวิถีก็จะได้กล่าวเรื่องกัมมชรูป คือ
กรรมสร้างรูปขึ้นได้อย่างไรเพิ่มเติมอีก
ถ้าท่านดูตามภาพแล้วจะเห็นว่า
จิตจะเกดขึ้นรับอารมณ์นั้น วิถีหนึ่งมี ๑๗ ขณะใหญ่ และ ๕๑ ขณะเล็ก
เมื่อจิตเกิดขึ้นรับอารมณ์ ๑๗ ขณะดับลงแล้ว รูปก็จะดับ ๑ ขณะ
เพราะรูปดับช้ากว่าจิตมาก เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป
ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ตอนต้น
ๆ ว่า จิตมิใช่มันสมอง ทั้งจิตก็มิได้อาศัยอยู่ในสมอง
มันสมองเป็นเพียงทางแสดงออกของจิตเท่านั้น แท้จริงจิตอยู่ภายในช่องหนึ่งของหัวใจทีสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายนั้นเอง
คือ หทัยวัตถุ ที่อาศัยของจิตเป็นบ่อเล็ก ๆ โตเท่าเม็ดบุนนาค และมีน้ำสีต่าง ๆ ๖
สี ประมาณ ๑ ฟายมืออันเป็นการแสดงจริตหรืออุปนิสัยของผู้นั้น ข้อนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มาก
ท่านผู้ใดสงสัยไปถามอาตมาได้ยินดี
ที่ตั้งที่อาศัยอยู่ของจิต
(มิใช่กล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด) นั้นประกอบขึ้นมาได้ด้วยกำลังของกรรม
กรรมที่เคยกล่าวมาแล้วว่าไม่มีรูปร่างหน้าตาตัวตนนั่นเอง
ได้สร้างที่ตั้งอาศัยของจิต เรีย กัมมชรูป และกำลังของกรรมก็ปกปักรักษารูปนี้ไว้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
ถ้ากรรมมิได้รักษาที่ตั้งที่อาศัยของจิตไว้แล้ว จิตก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้
ผู้นั้นก็จะถึงแก่ความตายทันที สันนกาลตอนท้าย ๆ กัมมชรูปทำให้หทัยวัตถุ คือ
รูปอันเป็นที่ตั้งอาศัยของจิตอ่อนกำลังลงเต็มที ที่ตั้งที่อาศัยหมดกำลังที่ทรงตัวอยู่ด้วยดีเหมือนกับรถไฟที่กำลังวิ่งมา
ขณะที่ถึงสะพานข้ามแม่น้ำ สะพานข้าแม่น้ำชำรุดเสียแล้ว
ดังนั้นรถไฟก็จะต้องชะลอฝีจักรลง มิฉะนั้นก็จะตกจากสะพานลงไป
ขณะนี้ใกล้จะถึงความตายมาก คนไข้ถูกโมหะครอบคลุม ขาดสติ ความรู้สึกของคนไข้จาก ตา
หู จมูก ลิ้น กาย อาจจะหมดลงและเมื่อถึงท้ายวิถีของมรณาสันนกาล
กัมมชรูปก็เริ่มจะดับ คือ ตามธรรมดา กัมมชรูปย่อมจะดับ
และเกิดทดแทนกันอยู่ทุกขณะจิต ครั้นแต่ถึงปฐม ภวังค์ของมรณาสันนวิถีไปจนถึงจุติ
กัมมชรูปจะดับโดยไม่มีการเกิดทดแทนอีกเลย เมื่อถึงจุติติดกันนั้นก็ปฏิสนธิ
ต่อจากนั้นจิตก็เป็นภวังค์
กำลังของกรรมที่ส่งให้ไปปฏิสนธินั้น
สืบเนื่องมาแต่มรณาสันนกาล เช่น ได้ยินเสียงพระสวดมนต์
จิตก็รับอารมณ์สวดมนต์ในมรษาสันนกาลเป็นตัวส่งให้ไปปฏิสนธิ เพราะยังมีกำลังมากกว่า
ส่วนในมรณาสันนวิถีเป็นแต่รับอารมณ์กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต
มาจากมรณาสันนกาลแล้วสืบต่อไปจนถึงจุติเท่านั้น
และเพราะเหตุที่กัมมชรูปเริ่มดับโดยไม่เกิดอีกมาตั้งแต่ภวังค์ดวงที่ ๑
ในมรณาสันนวิถีจนถึงดวงที่ ๑๗ จุติ คือ ดับหรือตายจึงได้เกิดขึ้น
เพราะไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้อีกต่อไป ทิ้งแต่ซากศพเอาไว้
ที่ได้กล่าวมาแล้ว
คนเราจะมีชีวิตอยู่หรือจะตายก็ตาม
จิตย่อมเกิดดับสืบต่อกันไปอยู่เช่นนี้ตามธรรมชาติ
ข้อที่แปลกสักหน่อยก็อยู่ที่จุติเกิดขึ้น คือ
จิตดับลงแล้วก็พ้นจากชาติเก่าร่างเก่าเท่านั้น ในทันทีนั้นก็ปฏิสนธิเลย
ได้แก่การเกิดขึ้นติดต่อกันด้วยความรวดเร็วมาก โดยมิให้มีอะไรมาคั่นกลางเหมือนกับจิตที่เกิดดับอยู่ตามธรรมดานั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ คำว่าจิตล่องลอยไปเกิดก็ดี
หรือจิตท่องเที่ยวไปตามอำนาจของกรรมที่ดี จึงได้ชื่อว่าเป็นความเห็นผิด
การที่ผู้ตายไปสู่สุคติหรือทุคตินั้นก็แล้วแต่กรรม
แล้วแต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้จะตาย ดังนั้น ผู้ดูแลคนไข้ที่ฉลาดในเรื่องของชีวิต
และมีเมตตากรุณาจึงยอมเสียเวลา สละประโยชน์อันจะพึงได้อื่น ๆ
มาช่วยเหลือให้สติแก่คนไข้ด้วยความระมัดระวัง
ถ้าคนไข้ได้เคยศึกษาธรรมะ
ได้เคยพูดเรื่องตายมาเสมอ ๆ โดยความไม่ประมาทแล้ว การให้สติแก่คนไข้ก็ง่ายมาก
แต่ถ้าคนไข้ไม่เข้าใจธรรมะเลยแล้ว การมีเจตนาให้สติด้วยความหวังดีจะกลับเป็นร้ายไป
คนไข้บางคนพูดเรื่องตายไม่ได้ ใจไม่สบายทันที
เราก็จำเป็นต้องหาเรื่องอันเป็นกุศลอื่น ๆ ที่คนไข้ชอบ
คนไข้บางคนได้ยินการให้สติก็ทราบว่าตัวนั้นใกล้จะตาย
ก็เกิดมีความเสียใจเสียดายชีวิตเป็นกำลัง มีความหวาดหวั่นต่อความตายอย่างสุดแสน
หรือคนไข้บางคนได้ยินคำว่าให้ระลึกถึงพระอรหันต์ไว้ก็มีความโกรธแค้น
โดยคิดว่าลูกหลานจะมาแช่งให้ตาย
เพราะจะได้แบ่งทรัพย์สมบัติเหล่านี้นับว่าเป็นทางนำไปสู่อบายทั้งนั้น
ขณะที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้จะต้องระมัดระวังให้จงหนัก การให้อารมณ์ที่ดีแก่คนไข้ก็มีมากมายแล้วแต่จะคิด
เช่น นิมนต์พระมาสวด หาพระพุทธรูปมาตั้งให้คนไข้เห็น
เล่าธรรมะหรือเรื่องอันเป็นกุศลต่าง ๆ
สำหรับผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมมาดีแล้วก็เป็นการง่ายดาย
เขาจะหาอารมณ์ที่ดีที่สุดของเขาเองได้เป็นส่วนมากมาตั้งแต่ต้น เพราะเขาย่อมรู้ว่าขณะนั้นสำคัญอย่างไร
และรู้ว่า ความตายนั้นเป็นเรื่องสมมุติกันเท่านั้นเอง จิต เจตสิก รูป
ก็สืบต่อไปยังภพใหม่ชาติใหม่ ไม่เห็นจะแปลกประหลาดพิสดาร
น่าหวาดหวั่นอะไรสักกี่มากน้อย
จะได้ยกตัวอย่างคนใกล้จะตายคืออยู่ในมรณาสันนกาลเป็นเวลาหลายวันสักเรื่องหนึ่ง
ชายผู้นี้เป็นคนจีน
อายุราว ๕๐ ปี ชอบฆ่าสัตว์อย่างทรมานเป็นประจำ
สุนัขของใครเพ่นพ่านเข้ามาต้องโดนตีตาย หรือโดนยาเบื่อ ถ้าไม่มีสุนัขของใครเข้ามา
บางทีก็อุตส่าห์เอายาเบื่อไปวางถึงถนนหลวงช่วยกระทรวงสาธารณสุข
สัตว์ที่ใช้กินเป็นอาหาร ก็ชอบฆ่าสัตว์ สด ๆ ร้อน ๆ เช่น
จะกินปลาก็ต้มน้ำให้เดือดแล้วเอาปลาเป็น ๆ ใส่ลงไป
ฟังเสียงมันดิ้นด้วยความร้อนรนเหมือนได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ
บางทีก็เอาปลาลงไปทอดแล้วกดให้แน่น มองเห็นตาของปลาแจ๋วแหว๋ว
กล้ามเนื้อด้านบนยังเต้นอยู่ไปมา ถ้าไก่ตัวใดเป็นโรคระบาด
เขาจะติดไฟเตาถ่านให้ลุกแดงแล้วจับรวบขาทั้งสองเอาศีรษะปักกดลงไปในเตาอันร้อนระอุนั้นทีละตัว
ๆ จนกว่าจะหมด เป็นเคล็ดที่จะแก้โรคระบาด อาชีพของเขาฝืดเคืองลงมามาก
ต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาที่เขาจะตายนั้นเขาเริ่มเป็นบ้าที่ละน้อย
กลางวันชอบนอนตากแดดเสมอ กลางคืนตี ๑ ตี ๒ ก็ชอบลงไปลอยคออยู่ในน้ำ ปลิงเกาะกัดโลหิตไหลโทรม
เป็นอยู่เช่นนี้วันละหลายหนที่พวกเราจะต้องช่วยกันจับ เขาชักดิ้นชักงออยู่ครั้งละนาน
ๆ อาหารกินได้น้อยที่สุด ญาติพี่น้องก็ไม่เอาใจใส่
เราคนภายนอกมีจิตเมตตาช่วยกันเอง ก่อนเมื่อจะตายนั้นตลอด ๓ วัน ๓ คืน
ตัวกระดุกกระดิกไม่ได้เลย อาหารและน้ำอาศัยพวกเราหยอดให้ ตาพองแข็งอยู่ตลอดเวลา
หายใจรัว ๆ แสดงว่ายังไม่ตาย ขณะนี้คงอยู่ในมรณาสันนกาล ถ้าว่าตามหลักแล้ว
กิริยาอาการที่เป็นมาแต่ต้นชวนให้เห็นว่าได้อารมณ์ที่ไม่ดีที่หน้าแสดงความหวาดเสียวอยู่ตลอดเวลา
แต่ร้องไม่ออก บุคคลผู้นี้ขอให้ท่านทายว่าตาย แล้วจะไปไหน
ในขณะมรณาสันนกาลนั้น
คนไข้ยังมีความรู้สึกตัวอยู่นอกจากจะอยู่ในวิสัญญี คือสลบ แต่แม้ว่าจะมีความรู้สึกทาง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ก็ดี แต่มีกำลังอ่อนมาก การที่มีกำลังอ่อนมากนั้น
ก็เพราะว่ากัมมชรูปคือ รูปอันเกิดจากกรรมเป็นผู้สร้าง
ได้แก่รูปอันเป็นที่ตั้งของจิตนั่นเอง และเมื่อรูปอันเป็นที่ตั้งของจิตมีกำลังน้อย
การแสดงออกของจิตก็อ่อนกำลังลงไป แต่เมื่อถึงมรณาสันนวิถี วิถีสุดท้ายที่ติดกับความตายแล้วคนไข้จะไม่รู้สึกจากทวารทั้ง
๕ เลย ไม่ว่าจะทุบตีหรือเอาไฟไปเผา แต่อย่างไรก็ดี
การให้สติแก่คนไข้ก็ต้องเริ่มให้กันตั้งแต่ตอนต้น ๆ ของมรณาสันนกาลก็ยิ่งดี
ในขณะที่สติของคนไข้ยังดีอยู่ อารมณ์นั้นจะได้สืบต่อไปจนถึงจุติ
ทันที่ที่จุติ
(ตาย) เกิดขึ้น ปฏิสนธิก็สืบต่อกันไม่ขาดสายเหมือนน้ำที่ไหลติดต่อกันในลำธาร
ไม่มีอะไรมาคั่นกลางเลย แม้ว่าจะตายที่นี่แล้วไปเกิดที่เชียงใหม่
เพราะจิตเกิดดับรวดเร็วยิ่งนัก ลัดนิ้วมือเดียวถึงแสนโกฏิขณะ
ฉะนั้นทันทีที่จุติเกิดขึ้น จิตที่สืบติดต่อกันนั้นก็ต้องพ้นปฏิสนธิจิตด้วยอำนาจของกรรมเป็นตัวส่ง
----------- จบ
-----------