คุณค่าของชีวิต

พระราชสุทธิญาณมงคล

P7007

 

          วันนี้ท่านทั้งหลายมารับกรรมฐานบำเพ็ญศีลภาวนาให้เกิดความสุขแก่ตนเอง ผลงานอานิสงส์จะได้แก่ตนเอง มิใช่คนอื่นเป็นผู้ได้ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นการเจริญมหากุศล เป็นการสร้างอธิกุศล หรือบุญที่ยิ่งใหญ่ จะไปสร้างโบสถ์ สร้างศาลากี่ร้อยหลัง ก็ไม่เหมือนสร้างบุญให้แก่ตนเอง พระพุทธเจ้าสอนมาโดยเฉพาะมิใช่ของอาตมาแต่ประการใด พระพุทธเจ้าสอนให้ชาวโลกพ้นทุกข์ถึงความสุขโดยทั่วหน้ากัน

          ทุกคนที่เกิดมาในสากลโลก ต้องการความสุขความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพร ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ต้องการให้ตนเองเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้มิใช่คนอื่นทำให้ได้ เราต้องมาสร้างเอง แข่งเรือแข่งพายได้แต่ก็ต้องฝึกพาย แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้ ทุกคนมีบุญวาสนาไม่เหมือนกัน มีกฎแห่งกรรมติดตามมาไม่เท่ากัน มีสุขมีทุกข์ไม่เหมือนกัน มีสุขคนละอย่าง มีทุกข์คนละอย่างทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ต้องการมีความสุข ไม่ต้องการมีความทุกข์ แต่เราก็ไปสร้างทุกข์กันโดยไม่รู้ตัว

          ทุกคนต้องการความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จึงต้องหาที่พึ่งด้วยกันทุกคน แต่ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” เราออกจากท้องพ่อท้องแม่ก็ร้องอุแว้ แม่ก็เอานมใส่ปากเรา ไม่ดูดเราก็ต้องตาย นี่แหละที่พึ่งอันดับแรก

          ที่พึ่งขั้นที่สองคือ แม่เห็นว่าลูกทารกเจริญวัยขึ้นมาแล้ว ก็เอากล้วยกับข้าวมาบดแล้วป้อนให้ลูก เราเป็นลูกไม่รับประทานจะเป็นผลงานได้หรือ นี่แหละ ถ้าเราไม่พึ่งตัวเองรับรองไปไม่รอด นอกเหนือจากนี้โตขึ้นไปอีกมีอายุอานามเข้าเกณฑ์โรงเรียนอนุบาล พ่อแม่ต้องเอาไปฝาก ถ้าเราไม่เรียนก็จะไม่ได้ผลในการแสวงหาความรู้มาจนบัดนี้ สรุปได้ว่าตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นเป็นที่พึ่งแก่เราไม่ได้

          ถ้าเราพึ่งตัวเองไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะไปพึ่งใคร เหลียวซ้ายแลขวา พ่อแม่บางบ้านก็ตายไปแล้ว บางคนกำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่ยังเล็กๆ ต้องลำบากลำบน ลำเค็ญใจ จะหันเหเขามาถึงปู่กับย่า ตากับยาย ก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ดังนั้น เราจะพึ่งคนอื่นได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะเราจะอยู่กับพ่อแม่ตลอดไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เราต้องมีครอบครัว สามี ภรรยาต้องพึ่งตัวเองมา ถ้าเราหายพึ่งผู้อื่นตลอดไปจนชีวิตหาไม่ ก็เป็นที่น่าเสียดาย เกิดขึ้นมาเสียชาติเกิด ต้องพึ่งคนอื่นเขา ซัดเซพเนจรไปนอนตามทุ่ง ตามนา ตามศาลา กลางทุ่งยุ่งเหยิงจิตใจตลอดรายการ

            นี่แหละคนเราต้องหาที่พึ่งด้วยกันทุกคน นั่งยองๆ อยู่ในท้องแม่ยังต้องพึ่งแม่พึ่งเลือดในอก พักอยู่ในกายของแม่ ดูดเลือดกันทุกวันจนกว่าจะ 10 เดือนคลาดเคลื่อนจากคัพภา มีความหมายมิใช่น้อยคิดข้อนี้ก่อน เราจะได้ดีใจว่าเราพึ่งตัวเองตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ แล้วเราก็คลอดออกมาด้วยความยาก วันเกิดออกมาจากคัพภาของแม่ ต้องเป็นวันตายของแม่แน่ๆ สงครามชีวิตคือคลอดลูก ส่วนสงครามของพ่อคือยุทธนารักษาผืนแผ่นดินให้ลูกอยู่ กู้เกียรติยศเกียรติศักดิ์ของชายฉกรรจ์ ทำงานสร้างสรรค์สะสมอบรมไว้ สร้างสมบัติ สร้างทรัพย์ ชื่อเสียงความรักมอบหมายให้กับลูกตลอดมา ห่วงใยลูกตลอดมา แล้วเราก็ต้องไปห่วงลูกเราต่อเหมือนพ่อแม่ห่วงเรา ต่อไปไม่ช้าอายุอานามแก่เข้าก็ไปเป็นตาเป็นยาย เป็นปู่เป็นย่า เป็นพ่อผัวแม่ผัวเขา ถ้ามีลูกชายใครเล่าจะไปหมายพึ่งเขาก็ยากลำเค็ญใจ ต้องพึ่งฝีมือของเราเอง ด้วยการเจริญพระกรรมฐาน หน้าที่การงานภายใน

            พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย อย่าเกิดมาให้มันเสียชาติเกิด เกิดมาประเสริฐ มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เราต้องมาบวชกัน ไม่ใช่บวชชีพราหมณ์ บวชศีลจาริณี แต่บวชกาย บวชวาจา บวชใจ เข้าในวัตถุธรรม มีกิจกรรมที่ดีเราต้องวัดอารมณ์ของเราอยู่เสมอ เรียกว่า กำลังภายใน หน้าที่การงานภายในหรือพระกรรมฐาน วัดจิตวัดใจ วัดนอกวัดใน เอาตาชั่งขึ้นมาดู เอาตราชูขึ้นมาชั่ง วัดแล้ววัดเล่า เฝ้าแต่วัด นี่คือจุดหมายอันนั้น สำหรับผู้หญิงกล่าวได้ว่าแทนน้ำนมของแม่ได้ ไม่จำเป็นต้องชายโสภาภาคย์ไปบวชห่มเหลือง นุ่งเหลือง แล้วสึกไปเปลืองผ้าลาย ไม่ได้อะไรเลย นี่หรือทดแทนคุณของพ่อแม่

            เราเกิดมาเป็นมนุษย์ยากมากยิ่ง ถ้าขาดพระพุทธศาสนาแล้ว เราจะไปแค่ไหน จะมืดมนอาทรร้อนจิตใช้ชีวิตเป็นหมัน นอนหลับทับสิทธิ์ ไม่มีชีวิตชุ่มชื่นเบิกบาน ใช้ทรัพยากรชีวิตที่ผิดพลาด ไฉนเลยจะมีค่าในชีวิตเล่า การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นการสร้างสายทางเดินของชีวิต ท่านจะไม่พลาดผิดในสังคม ไม่ใช่ไปนั่งบวชชีพราหมณ์    น้ำลายไหลยืดไปสวรรค์นิพพาน ไปไม่ได้ ก็เห็นอยู่แล้ว เพราะคุณสมบัติของมนุษย์ไม่ได้สร้าง

            คนที่มีสมบัติมนุษย์ เป็นคุณสมบัติที่ล้ำ มีค่านิยมเป็นพื้นฐานในชีวิตของท่าน จะมีประโยชน์ต่อตนเอง “ค่า” แปลว่า “ราคา” มันมีคุณประโยชน์ เรียกว่าค่าและทำให้มีคนนิยม เรียกค่านิยมพื้นฐาน เช่น เราเป็นพ่อค้าแม่ขาย ของดีอยู่ที่เรา ของดีมีราคามีค่าจะต้องมีคนนิยมซื้อมากมาย ของที่ไร้ค่าไม่มีคนนิยมแต่ประการใด ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน อยู่ที่การปฏิบัติหน้าที่การงานภายในและหน้าที่การงานภายนอกประกอบกัน จึงจะเกิดสัมผัส เกิดจิต เกิดความคิด เกิดสติปัญญา สามารถจะรู้เหตุการณ์ แก้ปัญหาได้เมื่อมีปัญหา

            “คน” แปลว่า “ปัญหา” อยู่กับคนมีแต่ปัญหา คนนี้อย่างนี้ คนนั้นอย่างนั้น เอาอกเอาใจกันแย่ นานาจิตตังไม่เหมือนกัน ไม้ไผ่ต่างปล้องพี่น้องต่างใจ บางทีลูกท้องเดียวกันยังแยกแตกต่างกันออกไป เราคนเดียวก็ยังไม่เหมือนกัน อารมณ์เช้าดี สายบ่ายไม่ดี กลางคืนดี กลับตัวไม่ทันเลย ถ้าอารมณ์ดีมีปัญญาแก้ไขปัญหาได้ ถ้าขาดสติปัญญารับรองท่านจะแก้ไขปัญหาไม่ได้

            การเจริญพระกรรมฐานเรียกว่า ผลงานของชีวิต เป็นการไม่ผิดพลาดในชีวิต จะมีประโยชน์ต่อท่าน และช่วยท่านได้ “ธรรม” แปลว่า “ฝืน” ถ้าคนไหนไม่ฝืนใจปล่อยตามอารมณ์แล้ว จะใช้ปัญญาแก้ปัญหาไม่ได้ คนนั้นจะเหลวแหลกแตกราญ

            ดังนั้น ธรรมทุกอย่างต้องฝืนใจ คนจะดีได้ต้องฝืนใจ ถ้าฝืนใจไม่ได้มักจะปล่อยตามอารมณ์ของตน ไหลลงสู่ที่ต่ำเหมือนแม่น้ำและวารีไหลลงสู่นทีไม่มีวันกลับมา มันหมดโอกาสเวลาอันสมควรแล้วหรือ เวลามีประโยชน์มาก อาตมาตีค่า 1 นาทีตำลึงทอง 1 วินาทีก็ตำลึงทองประคองไว้ซึ่ง 60 วินาที เป็น 1 นาที 60 นาทีเป็น 1 ชั่วโมง 24 ชั่วโมงเป็น 1 วันและ 1 คืน คืนหนึ่งและวันหนึ่งนี้มันกินเราไปเรื่อยๆ ตายผ่อนส่งไปตามเวลา ต้องแก่ชราไปตามๆ กัน ไม่มีใครกลับเป็นหนุ่มเป็นสาวได้อีก นับวันจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ชราพาไป พยาธิก็พาไป เจ็บระทวยป่วยไข้แล้วความตายก็พาเราไปหมดสิ้นเนื้อประดาตัว เหลือแต่ขี้เถ้าและถ่าน เหลือแต่กระดูกจมทิ้งในผืนแผ่นดิน จมลงในธาตุทั้ง 4 ไม่มีอะไรดีแต่ประการใด

            ขอฝากท่านไว้ พยายามทำกรรมฐานสร้างผลงานภายใน การงานภายนอกจะดีขึ้น ถ้าจิตใจไม่ดี การงานภายในไม่ดีแล้ว เหมือนบ้านนั้นทั้งบ้านใช้ไม่ได้เลย บ้านนอกจะดีหรือในเมื่อบ้านในไม่ดีเสียแล้ว กรรมฐานเป็นงานภายในจิต อย่างเอางานภายนอกมาผสม จะทำให้งานภายในเสียเอาดีไม่ได้

            กรรมฐานคือหน้าที่การงานที่ต้องทำภายใน คือ จิต รักษาจิตรักษาใจ เข้าวัดไม่ใช่วัดอัมพวันแต่เป็นวัตถุธรรม มีธรรมเป็นคุณสมบัติ บ้านท่านจะสวย บ้านท่านจะรวย บ้านท่านจะดี มีปัญญาทำอะไรก็มีระบบมีระเบียบแบบแผน มีแบบมีแปลนมีแผนมีผัง อารมณ์ของท่านก็จะดีด้วย ต้องรักษาอารมณ์โดยกำหนดจิต โกรธหนอ เสียใจหนอ หายใจยาวๆ คิดไม่ออกก็กำหนด คิดหนอ ไม่ใช่เอาหัวคิดคนอื่นมาใช้ มันผิดหลัก เขาจะรู้เรื่องกฎแห่งกรรมของเราไหมและเขาจะรู้ทิฏฐิสามัญญตาของเราไหม เขาไม่รู้เลย แล้วเราจะเอาหัวคิดของคนอื่นเป็นที่พึ่งได้อย่างไร คนอื่นหรือจะพึ่งได้ ไม่มีแน่ๆ

            ทศกัณฐ์มีสิบเศียรยี่สิบกร ถอดหัวใจไว้กับพระฤาษี ให้พระฤาษีเฝ้าไว้ มันหน้าโง่ ไม่เป็นตัวของมันเอง มันจึงต้องตายเพราะลิงคือหนุมาน เอาหัวใจของมันมาขยี้ต่อหน้าเลย นี่แหละการนั่งกรรมฐานจึงเป็นที่พึ่งของตนเอาไว้ ไม่ต้องเอาคนอื่นมาเป็นที่พึ่ง คนอื่นเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้แน่ๆ

            “คน” แปลว่า “สับสน” มีมากหน้าหลายตา ต่างความคิดความเข้าใจกัน ยิ่งมากคนปัญหายิ่งมาก เข้าใจกันผิดตลอดเวลา การที่เราเจริญกรรมฐานก็เพื่อไม่ให้ใจสับสน ให้จิตใจสงบอยู่ภายใน เรียกว่าการงานภายใน จิตจะได้เข้มแข็ง สามารถต่อสู้กับปัญหาต่อไป เราอยู่กับคน อยู่กับปัญหา ต้องแก้ปัญหาด้วยสติปัฏฐาน 4 ประกอบด้วย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

          กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน  กายจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะเหลียวซ้ายแลขวา หรือจะคู้เหยียด เหยียดขา มีสติกำหนดเป็นบทบาทของชีวิต กำหนดชะตากรรม ช่วยต่อรูปต่อนาม เหมือนเวลาที่ปู่ย่าตายายเจ็บหนักไปนิมนต์พระมาต่อนาม แต่นี่เราไม่ต้องไปนิมนต์พระมาต่อนาม เราต่อของเราเอง ด้วยการเจริญกรรมฐานดีที่สุด เคราะห์หามยามร้ายจะหายไปทันที ใครจะทำอันตรายก็ไม่ได้ เพราะมีพระประจำตัวประจำใจ มีพระนอกพระใน การงานภายใต้จิตดีแล้วการงานภายนอกก็จะดีด้วย นี่คือจุดหมาย เราจึงต้องมาฝึกความอดทนต่อสู้กับปัญหาที่จะตามมาในวันข้างหน้าอีกมากมาย

            กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ต้องการมีระบบมีระเบียบเป็นกิจกรรมประจำชีวิตของใครของมัน ไม่ใช่ให้คนอื่นทำให้ สร้างความดีต้องได้ดี สร้างความชั่วต้องได้ชั่ว ตายตัวโดยธรรมชาติ จิตของเรามันสับสนอลหม่าน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่มีตัวตนที่จะมองเห็น และไม่สามารถเอามือคลำได้ด้วย แต่เราก็สร้างกำลังภายใน ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว รู้บาปรู้บุญ รู้คุณรู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์

            ปัญญาในตัวนี้ดีมาก สามารถนำไปช่วยคนอื่นได้ เพราะรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ไม่มีการอิจฉาริษยา ขี้ร้ายขี้โกงแต่ประการใด ขี้เกียจก็ไม่มีด้วย มีแต่ความขยันหมั่นเพียรตลอดรายการ กิจกรรมประจำชีวิตเป็นของใครของมัน คนอื่นทำไม่ได้ เหมือนคนอื่นบอกให้เราดี เราจะดีได้ไหม และคนอื่นเอาสตางค์มาให้เราไปซื้อข้าวกิน เขาจะอิ่มด้วยหรือไม่ ตอบว่ามันไม่ได้ เราต้องพึ่งตนเอง จะไปหวังพึ่งเพื่อนหรือเพื่อนที่ช่วยกันน่ะหายาก ต้องหาเพื่อนคืออาวุธเสียแต่วันนี้ เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า เพราะในป่าเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ถ้าไม่มีอาวุธต้องเหยียบหนามแน่ๆ เราอยู่ในโลกนี้เหมือนเรายืนอยู่กลางป่า ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นต้องเตรียมอาวุธเสียแต่วันนี้ อาวุธ คือ ปัญญา ของใครของมัน ต้องสร้างเป็นกิจกรรมของตน กิจกรรมได้แก่

          กิจกรรมข้อที่ 1 คือ การแสวงหาความรู้  รู้นอกรู้ใน รู้จิตรู้ใจ รู้บาปรู้บุญ รู้คุณรู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

            การเจริญกรรมฐานเป็นหน้าที่การงานภายใน อย่าเอาภายนอกมาผสมผสาน ต้องกินน้อย นอนน้อย พูดให้น้อย ทำความเพียรให้มาก เรามา  สร้างการงานภายใน คือตั้งสติสัมปชัญญะ กำหนดจิตเป็นบทบาทของชีวิตเรียกว่า สมบัติมนุษย์ ท่านจะแสนสุดซึ้ง ได้ดีมีปัญญา แม้บุญวาสนาหมดไป เราก็มาต่อชะตากรรมกัน ต่อบุญให้เกิดสุข ต่อวาสนาให้เกิดผล กุศลจะได้ช่วย ถึงคราวม้วยมรณา อย่างอาตมาถ้าไม่มีกุศลช่วยให้มาแก้ไขปัญหา หรือมาใช้หนี้มนุษย์ก็คงจะตายไปหมด เหลือแต่ขี้เถ้า ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลา 12.45 น. คงหมดโอกาสที่จะมาพูด

            เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน  ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ดีใจ เสียใจ ต้องกำหนด อย่าปล่อยไว้ให้อารมณ์ค้างเดี๋ยวมันจะเสียกาลเวลา แก้ปัญหาไม่ได้ อย่าใช้เวลาโดยเนื้อหาสาระที่ไม่ดี จงใช้เวลาให้มีประโยชน์ต่อการงานและหน้าที่ สร้างความดีต่อไปด้วยความขยันหมั่นเพียร อยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ เหมือนระฆังอยู่เฉยๆ ดังไม่ได้ ต้องตีมันถึงจะดัง คนจะดีต้องสร้างความดีมีธรรมเป็นกิจกรรมของชีวิต

            จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน  จิตเป็นธรรมชาติต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไม่ได้เป็นเวลานานเหมือนเทปบันทึกเสียง จิตเกิดทางตา ตาเห็นรูปเกิดจิต หูได้ยินเสียงเกิดจิตที่หู จมูกได้กลิ่นเกิดจิตที่จมูก ลิ้นสัมผัสรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม เกิดจิตที่ลิ้น กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งที่นั่งลงไป เกิดสัมผัสทางกาย แล้วเราก็ตั้งสติขึ้นมาเท่านั้นเอง ตัวอย่างเช่น กำหนด “เสียงหนอ” “เขาด่าเราหนอ” ถ้ากำลังภายในเราเข้มแข็งหน้าที่การงานของเราดีกว่า คำด่ามันก็ตกกลับไปหาคนด่า ถ้าเขาด่าเรารับมา หรือเขานินทาเรา เราเก็บเอามาคิดจะทำให้เศร้าหมองใจ เป็นคนวิกลจริตต่อไป ทำให้เกิดสมองฝ่อ เกิดโรคอัมพาต และลม อัมพฤกษ์ก็เกิดได้อย่างนี้ เป็นต้น

            จงสร้างอารมณ์ให้ดีเรียกว่า กำลังภายใน แล้วแสดงออกมาเป็น  พฤติกรรมภายนอกก็ต้องดีด้วย โรคพยาธิก็น้อยลง จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะเราเป็นรังให้โรคอยู่ ทั้งโรคกายโรคใจ มีแต่ความทุกข์ ต้องพัฒนาตน กำหนดจิต ตั้งสติเสมอ รู้ตัวเสมออย่าพลาด อย่าไปสนใจคนอื่นเขา จงสนใจตัวเอง ก่อนที่จะไปรักไปสงสารคนอื่น พอรักตัวเองได้มากมายแล้ว เราก็เฉลี่ยความสุขไปให้คนอื่นต่อไป ให้เขามีความสุขอยางที่เราได้ความสุขมา อย่าให้มีความทุกข์อย่างที่เรามีความทุกข์เลย

            ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  ธรรมเป็นกุศล ธรรมเป็นอกุศล ดีหรือชั่ว

            กิจกรรมข้อที่ 2 คือ ต้องละความชั่ว  เอาตัวไปสร้างความดี มาทำบุญต้องละบาป ละทิฏฐิมานะ มีสายสัมพันธ์ด้วยเมตตาต่อกัน รักกัน จะได้ไม่มีปัญหา มีแต่ประโยชน์ กำไรชีวิต อารมณ์ดีมีแต่คนเมตตา คนเกลียดกันน่ะขาดทุน อารมณ์ไม่ดีสร้างความหายนะแก่ตน ดังนั้น เมื่อเราสร้างความดีก็ต้องละความชั่วได้ เรากำหนดที่ลิ้นปี่ “รู้หนอ” หายใจยาวๆ จากจมูกถึงสะดือ ลิ้นปี่ จะอยู่ครึ่งทางระหว่างจมูกถึงสะดือ ตั้งสติไว้ที่ลิ้นปี่ นั่นจะอยู่ใน อิริยาบถใดก็ตาม กำหนดอย่างนั้น เดี๋ยวคอมพิวเตอร์ตีออกมา เช่น เสียใจ อย่าฝากความเสียใจไว้ค้างคืน ต้องแก้เดี๋ยวนี้คือปัจจุบัน อดีตอย่ารื้อฟื้น เรื่องอื่นอย่าไปคิด กิจที่ชอบทำให้เสร็จไป อนาคตอย่าจับมั่นคั้นให้มันตาย จะผิดหวังเสียใจตลอดชีวิต

            การปฏิบัติกรรมฐาน ก็มีการเดินจงกรมกำหนดอิริยาบถ 4 เดินให้ได้สติ กำหนดยืนหนอ 5 ครั้งให้ได้ ยืนลงไปเพื่อต้องการให้สติตามจิตให้ทัน เบื้องต่ำปลายเท้าขึ้นมา เบื้องบนปลายผมลงไป 5 ครั้งให้ชัดเจน ถ้าเราจะดูคนอื่นเราเห็นคนนั้นจากศีรษะลงไปปลายเท้า จากปลายเท้าขึ้นมาศีรษะ ถ้าเรามีหน่วยกิตครบ คอมพิวเตอร์ป้อนข้อมูลถูกต้องมันจะบอกเราโดยอัตโนมัติว่า คนนี้นิสัยไม่ดี คบไม่ได้ โกง คนนี้กำลังมีชู้ คนนี้กำลังจะไปฆ่าเขา คนนี้ยิ้มเข้ามา เป็นมิตรตอนกู้เป็นศัตรูตอนทวง อย่าให้กู้เงินไปรับรองหักหลังแน่ๆ  คนนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่จิตใจเชือดคอ มันจะบอกออกมาได้ ตำราจริงอยู่ตรงนี้เอง กำหนด “เห็นหนอ” เห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยตา ใช้สติปัญญาอยู่ที่ตา ตาสัมผัสเกิดจิตที่ตา มีสติสัมปชัญญะควบคุมเป็นบทบาทของชีวิตตัวกำหนดนี้เป็นชะตากรรม ไม่ใช่พระพรหมลิขิตมาขีดให้เราดีบ้าง ชั่วบ้าง แต่การกระทำของเราขีดตัวเราเอง ขีดดีก็ได้ดี ขีดชั่วก็ได้ชั่ว ไม่ใช่หมายความว่ารับพรแล้วเป็นคนดี ต้องสร้างพรแล้วเป็นคนดี ต้องสร้างพรให้เป็นพร ไม่ใช่ดวงดีแล้วใช้ได้ ต้องทำดีให้กับดวง

            การเจริญสติปัฏฐาน 4 ต้องการให้มีสติทุกอิริยาบถ จะหยิบของอะไรก็ตั้งสติไว้ที่มือ จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ตั้งสติไว้ มันจะมีประโยชน์ เมื่อเข้าห้องน้ำก็ตั้งสติไว้ จะได้ไม่ล้มในห้องน้ำ ศีรษะไปฟาดโถส้วมตายหรือล้มก้นกระแทกก็ตาย

            อาตมาได้ตำราตอนคอหักปวดก้นมาก ถ้าฉีดยาต้องขาลีบเพราะเส้นประสาทรวมอยู่ที่ก้น มีลูกหลานอย่าตีก้นนะ เซลล์จะตกปัญญาจะไม่ดี ตรงนี้เรื่องจริงของกรรมฐาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตาไปสวรรค์นิพพาน ต้องแก้ไขปัญหา

            กรรมฐานเรียกหน้าที่การงานภายในจิต ภายในดีแล้วกิจกรรมก็จะดี แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมดี รูปสวย รวย ดี มั่งมีศรีสุข แล้วก็เก่งงานด้วย รวยดีมีปัญญา งานก็เก่งเร่งก้าวหน้า รักษาความสะอาด ฉลาดรอบคอบ ชอบระวัง ตั้งใจตรง ทรงศีลธรรม ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับตัวของท่านเอง มิใช่คนอื่นทำให้

            นักปฏิบัติ บางที “เสียงหนอ” ไม่กำหนดเลย เขามาด่าดันผ่าไปทะเลาะกับเขา มันเลยหมดค่านิยม ยิ่งถ้าออกไปทะเลาะกับเขากลางถนนทั้งๆ ที่เราถูก แต่เขามาท้าทายหนักๆ เข้า โมโหออกไปทะเลาะกับเขา รับรองหมดค่าราคาคน ใครเขาจะมานิยมเรา เราไปพูดใครเขาจะเชื่อถือ เพราะเราเองทำค่านิยมตก เลยหมดอาลัยตายอยาก ใครๆ เขาก็ไม่อยากมาอาลัยใยดีกับเรา เหมือนสินค้ามีค่า ใครๆ เขาก็ไปซื้อกันหมด ถ้าของเราไม่มีค่าขาดราคา ใครเขาจะมาซื้อเล่า ขอฝากไว้นี่คือกรรมฐาน เหมือนเรามียาแก้โรคหนึ่งแต่ยากินแล้วไม่หาย เขาจะนิยมซื้อไหม แต่ถ้ายาของเรากินแล้วต้องหาย รับรองคนมาซื้อกันมากมาย เพราะยาของเรามีประสิทธิภาพในคุณภาพ ราคาคนก็เช่นเดียวกัน คนต้องมีค่าราคา คนต้องมีค่านิยม เรามาเจริญกรรมฐานก็เพื่อต้องการให้ชีวิตมีค่า เวลามีประโยชน์ ท่านจะไม่เสียงานเสียการ ท่านจะทำงานโดยฝีมือ จะสร้างงานให้แก่ลูกหลานให้แก่ส่วนร่วม ท่านจะมีมนุษยสัมพันธ์ในสังคม มีแต่เมตตาอารี เอื้อเฟื้อขาดเหลือดูแลแขก ไม่แปลกหน้ากัน จะออกมาในรูปนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าต้องทำให้ได้

            ถ้าท่านถึงธรรมเมื่อใด ท่านจะซึ้งใจมาก จะชุ่มชื่นจิตใจดุจพระพิรุณโปรยจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน ท่านจะซึ้งใจ จะใฝ่ดีไม่ใฝ่ชั่วเลย มีสัจจะความจริงออกมา มีกตัญญูรู้หน้าที่ ยินดีในธรรมสัมมาปฏิบัติ ทำอะไรอาจหาญไม่กลัวใคร จะทำความดีเสียอย่างใครจะว่าอะไรไม่สนใจ เดี๋ยวเขาก็มาผสมผสานกับเราเอง

            การเจริญพระกรรมฐานเป็นการต่อชะตากรรม บางคนจะต้องตาย หัวไม่มีแล้ว บอกให้มาเจริญกรรมฐานก็ไม่มา จึงถูกรถชนตายไปแล้ว ส่วนแม่พิมพ์ใจมาทอดผ้าป่า กลัวไปรถคว่ำหลายตลบ รถพังหมดทั้งคัน แต่ไม่ตายนี่บุญกุศลช่วยได้ เหมือนดูลิเกสมัยเก่า มีโม่งมาช่วยพระเอกนางเอก

            โม่งมี 3 ตัว โม่งขาว โม่งแดง โม่งดำ อาตมาเคยถามตั้วโผลิเกว่า เรื่องนี้ทำไมมีโม่งขาวมาช่วย อีกเรื่องทำไมมีโม่งแดงมาช่วย เขาตอบว่าไม่รู้ ครูเขาฝึกมาอย่างนี้ก็เล่นไปอย่างนี้ โม่งมันไม่มีตัวตน มองไม่เห็น ถ้าใครมีโม่ง 3 ตัวนี้สร้างความดีได้ มาอย่างไรก็ไม่ตาย อาตมารถคว่ำลงเหวไปยังเกี่ยวเถาวัลย์ขึ้นมาได้ คงจะมีโม่งช่วยเหมือนกันแต่มองไม่เห็นว่าใครช่วยเรา รถพังหมดทั้งคัน โชเฟอร์คลานออกมา อาตมาก็ไปชวนชาวบ้านมาช่วย นี่สมัยเมื่อ 40 ปีผ่านมาแล้ว นี่แหละบุญกุศล

            โม่งแดง คือ เชื้อชาติช่วย พ่อแม่มาช่วย ส่วนโม่งขาวคือ บุญเป็นที่พึ่ง เพราะโม่งขาวแปลว่าบริสุทธิ์ ช่วยตัวเองได้ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์หรือไม่ บริสุทธิ์ใครทำให้ใครไม่ได้ โม่งขาวคือบุญกุศลของตนเองที่ได้บวช บำเพ็ญบุญกุศล สร้างความดีให้แก่สาธุชนทั้งหลาย เป็นอัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเท่านั้นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน

            บางเรื่องโม่งดำคือ วิญญาณช่วยได้ มีข้าราชการซี 8 สามีภรรยาเป็นหัวหน้ากองทั้งคู่ ภรรยาฝันว่ามีวิญญาณมาขอให้ทำสังฆทานให้ แต่ไม่ทราบว่า ปู่ย่าตายายคือใคร ภรรยาและสามีคู่นี้จึงตกลงไปถวายสังฆทาน โดยทำปิ่นโต 2 เถา คาวและหวาน นำไปถวายหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์เสงี่ยม วัดสุทัศน์เทพวราราม แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้วิญญาณ ต่อมาสิบวันให้หลัง เขาพักร้อนเอารถตู้พาลูกไปเที่ยวเชียงใหม่ เมื่อถึงจังหวัดตากตอนทางเลี้ยวโค้งตีหนึ่งครึ่ง มีเสียงประหลาดดังขึ้นในรถ เจ้านายอยู่ท้ายรถคิดว่าข้างหน้าพูด โชเฟอร์อยู่ข้างหน้าคิดว่าข้างหลังพูด เสียงนั้นบอก จอดๆๆ จอดชิดซ้าย โชเฟอร์คิดว่าเจ้านายจะไปเบาข้างถนนจึงรีบจอดรถชิดซ้ายทันที ทันใดนั้นเกิดอุบัติเหตุ รถซุงวิ่งมาข้างหลังชนรถอีกคันหนึ่ง 5 ศพตายหมดทั้งคัน ส่วนรถของเขาโดนรถซุงเบียดออกไปบุบนิดหน่อยเท่านั้น เขาจึงขวัญหนีดีฝ่อ อยู่เชียงใหม่ได้คืนเดียวอยู่ไม่ถึง 5 วันตามที่ตั้งใจไว้ แต่ล่องกลับมาแวะที่วัดอัมพวันเล่าให้อาตมาฟัง นี่แหละโมงดำคือวิญญาณมาช่วย มีแต่เสียงแต่ไม่เห็นตัว โม่งดำช่วยได้ ถ้าเราทำกรรมฐานอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เปรตวิสัย สัมภเวสีต้องมาช่วยเราแน่ๆ

            ถ้าขับรถนะท่องคาถา เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง และแผ่เมตตามากๆ พวกสัมภเวสีจะมาขอส่วนบุญที่มีอยู่ในตัวเรา แล้วมาจะมาช่วยเรา รถจะคว่ำตรงไหนก็ช่วยได้ นี่คือวิญญาณของเปรตชนผู้ล่วงลับไปแล้วสู่สัมปรายภพ มาปรารภช่วยเราได้แน่นอน คือการเจริญพระกรรมฐาน

            การเจริญกรรมฐานช่วยได้ ขอให้ทำให้ถึงเข้าให้ถึง ท่านจะรู้กฎแห่งกรรม จะระลึกชาติได้ จะระลึกถึง    บุพการี ไม่ลืมพ่อแม่ที่ตายไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่อดอยากปากแห้งแต่ประการใด จะไม่ลืมคุณครูบาอาจารย์ด้วย ระลึกถึงชาติของตน ชาติคือตัวเราระลึกถึงตัวเองได้สงสารตัวเอง และรู้กฎแห่งกรรมของเรา ทำดีทำชั่วอะไรจะรู้ทั้งนั้น และจะแก้ปัญหาได้ มันเกิดขึ้นในปัจจุบันก็แก้ไป มันยังไม่เกิดก็แก้ไม่ได้ ถ้าใครเจริญกรรมฐานสะสมเป็นหน่วยกิต ถ้าเวลาสุขมันก็นิ่งไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่พอเวลามีทุกข์เดือดร้อน มันจะออกมาช่วยให้เกิดปัญญา แก้ปัญหาได้ตามจุดมุ่งหมาย

            ดังนั้น กรรมฐานจึงช่วยให้ระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรมได้ ถ้าท่านหมั่นทำไปเรื่อยๆ ตัวกำหนดจิตสำคัญมาก จะทำงานเขียนหนังสือก็กำหนด จะกินน้ำก็กำหนด จะเดินก็กำหนด จะหยิบอะไรก็ตั้งสติไว้ โกรธก็เอาสติไปใส่ เสียใจก็เอาสติไปใส่ให้รู้ว่าเสียใจอะไร โกรธเรื่องอะไร หาเหตุที่มาให้จงได้ ท่านจึงจะแก้ปัญหาได้ เราจะรู้ด้วยตัวเองว่า เราสร้างกรรมอะไร และจะแก้ปัญหาอย่างไร ตัวอย่างเช่น เราจะรู้ด้วยตัวเองว่า ปาณาติบาตติดมา 60 เปอร์เซ็นต์ จะต้องเตรียมตัวเป็นอัมพาตถ้าไม่สร้างความดีเป็นต้น

            การทำบุญทอดกฐินผ้าป่าเป็นบุญประเภทสอง ถ้าประเภทหนึ่งต้องเอาบุญมาใส่ใจให้เรามีความสุขในครอบครัว ให้เรามีความเจริญและแก้ไขปัญหาได้ อาตมาประสบด้วยตนเอง มีปาณาติบาตติดมา 60 เปอร์เซ็นต์ ต้องคอหัก หรือไม่ก็ต้องเป็นอัมพาต แต่มีกุศลที่สร้างมาช่วยแก้ไขปัญหา จึงไม่ต้องเป็นอัมพาต ปกติคอเคลื่อนหน่อยเดียวต้องเป็นอัมพาต แต่อาตมาคอหักพับทำไมไม่เป็น นี่แหละ เราสร้างกุศลฝึกจิตให้เข้มแข็ง มีหน้าที่การงานภายใน ไม่เอางานภายนอกมาผสมให้ยุ่งเหยิงในครอบครัวและตัวของเรา             ถ้าคนไหนมีปาณาติบาตติดมา 60 เปอร์เซ็นต์ จะสามวันดีสี่วันไข้ ต้องสร้างบุญคือกรรมฐานแก้เสียจึงจะได้ ถ้าไม่รีบแก้ไข ในชาตินี้ไม่รีบสะสมบุญ เราก็จะไม่มีโอกาสในอนาคต

            ถ้าอทินาทานติดมา 60 เปอร์เซ็นต์ เราต้องถูกโกง ถูกปล้น ถูกจี้ ถูกตี ถูกแย่งชิงวิ่งราว ของหาย และไฟไหม้บ้าน ออกมาในรูปแบบนี้ชัดเจน

            ถ้ากาเมสุมิจฉาจารติดมา 60 เปอร์เซ็นต์ ขอประทานโทษ ถ้าเป็นผู้หญิง มีสามีกี่คนต้องเป็นของเขาหมด ถ้าเป็นผู้ชายมีภรรยากี่คนมีชู้หมด อาตมาไปสหรัฐอเมริกาเจอดอกเตอร์คนหนึ่งมีภรรยา 3 คน มีชู้หมดเลย กำลังจะแต่งกับคนที่ 4 อาตมาจึงบิณฑบาตยับยั้งไว้ให้แก้กรรมก่อน วิธีแก้คือให้มาเจริญกรรมฐาน 7 วัน 7 คืน แล้วค่อยไปมีภรรยาใหม่ มิฉะนั้นภรรยาจะมีชู้อีก นี่คือข้อเท็จจริงที่ได้จากกรรมฐาน ไม่ใช่ไปนั่งวัดโน้นวัดนี้ ไปสวรรค์ที่โน่นไปนิพพานที่นี่ เป็นไปไม่ได้ ต้องเอาข้อนี้ก่อน ขั้นอนุบาลก่อนสำเร็จประถมศึกษาก่อนสำเร็จมัธยมแล้วจึงไปมหาวิทยาลัยจึงจะถูกขั้นตอน

            ถ้ามุสาวาท หลอกลวงโลกหวังเอาลาภเขาติดมา 60 เปอร์เซ็นต์ รับรองได้เลยต้องโดนโกงตลอดรายการ โกงแล้วโกงอีก รู้ว่าเขาหลอกก็ต้องยอมให้เขาหลอก เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรม

            ถ้าสุราเมระยะติดมาจากชาติก่อน 60 เปอร์เซ็นต์ รับรองเป็นโรคปัญญาอ่อน ถ้าขืนดื่มสุราต่อไปอีก จะกลายเป็นคนวิกลจริต ต้องเขาโรงพยาบาลศรีธัญญากันไม่ทัน

            ดังนั้นการเจริญพระกรรมฐานจึงมีประโยชน์มาก เอาบุญมาใส่ตัวเรา ใส่ไว้ในใจ ไม่ต้องไปหาพระที่ใดแล้วไปให้เสียเวลาทำงาน ต้องสร้างกุศลก่อนมาสร้างบารมี มารไม่มีบารมีไม่เกิด ต้องมีมารทั้งนั้น มารหัวใจ มารรักมารแค้นแน่นหัวใจ แล้วเราก็แผ่เมตตาให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข อย่าไปริษยาเขา เราก็มีเมตตาปราณีต่อกัน เป็นความดีของมนุษย์ปุถุชน รับรองไปไหนมีคนชอบ พูดเขาก็จะเชื่อ จะไม่เหลือวิสัยต่อไป

            เดินจงกรม ต้องเดินให้ช้าต้องการให้มีสติ เป็นการฝึก ไม่ใช่เดินทำงานแต่เป็นงานภายใน ต้องเดินให้ช้าที่สุด ยืนหนอ 5 ครั้ง ให้ดี ให้ถูกต้อง แล้วกำหนดจิต กำหนดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่อยู่ตรงนี้ เป็นบทบาทของชีวิตต่อไป

            อาตมาขออนุโมทนาฝากไว้ จงตั้งใจเจริญกรรมฐานทุกท่าน เป็นการสร้างบุญให้เรามีความสุขความเจริญแก่ตนเอง แล้วตนเองก็จะไปสร้างความสุขให้แก่ครอบครัวลูกหลานในอนาคตกาลเบื้องหน้าสืบไป

          ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ญาติโยม พุทธบริษัท อุบาสกอุบาสิกา ผู้ใคร่ธรรมเนกขัมมปฏิบัติ ขอจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ จะคิดสิ่งหนึ่งประการใด ขอจงสมปรารถนาด้วยกันทุกรูปทุกนาม

 

 

 

----------- จบ -----------