ข้าพเจ้าได้อะไรบ้างจากการปฏิบัติกรรมฐาน
(ตามแนวทางของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)
นาวาเอก (พิเศษ) ไพโรจน์ แก่นสาร
R10003
กระผมเป็นชาวสมุทรปราการ
ปัจจุบัน (ตุลาคม ๓๘) อายุ ๔๗ ปี รับราชการอยู่ที่กรมสื่อสารทหารเรือ
กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
(ติดกับวัดอรุณราชวราราม) ตำแหน่งหน้าที่ขณะนี้คือ ผู้ช่วยเจ้ากรมสื่อสารทหารเรือ
ระหว่างปี ๒๕๒๑-๒๕๒๓ กองทัพเรือกรุณาส่งไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท
สาขาการจัดการระบบโทรคมนาคม (Telecommunications System Management) ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกา จากนั้นในปลายปี ๒๕๓๙ หลังจากจบการศึกษาในหลักสูตรของโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือซึ่งใช้วเวลาเรียน
๑ ปีเต็มแล้ว
ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือของประเทศอังกฤษอีกราว ๑ ปี
หลังสุดเข้ารับการศึกษาในวิทยาลัยการทัพเรือเกือบ ๑ ปี จบหลักสูตรปลายเดือนกันยายน
๒๕๓๘ ในด้านหน้าที่ราชการนั้น ได้ผ่านงานในกองทัพเรือมากมายหลายตำแหน่งพอสมควร
ทั้งหน่วยเรือ หน่วยบก หน่ายกำลังรบ หน่วยศึกษา และหน่วยสนับสนุน เช่น เป็นผู้บังคับการเรือหลวงแม่กลอง
เป็นอาจารย์โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ
เป็นผู้อำนวยการกองส่งกำลังบำรุง (กองเรือยุทธการ)
และเป็นผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน (กรมสื่อสารทหารเรือ)
เกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐานนั้น
กระผมเริ่มเป็นครั้งแรกที่วัดอัมพวันเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๓๗
โดยยึดแนวคำสอนของหลวงพ่อจรัญเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนถึงปัจจุบัน (ตุลาคม
๒๕๓๘) ได้เข้าปฏิบัติกรรมฐานที่อารามแห่งนี้ รวม ๓ ครั้ง ครั้งแรก ๗ วัน
เมื่อต้นเดือนตุลาคม ๒๕๓๗ ดังที่กล่าวแล้ว ครั้งที่ ๒ เพียง ๓ วัน ราวต้นพฤษภาคม
๒๕๓๘ และครั้งหลังสุด อีก ๗ วัน เมื่อต้นเดือนตุลาคม ๒๕๓๘ ตั้งใจว่า
ก่อนบทความนี้จะผ่านสายตาท่านในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ (๑๕ สิงหาคม ๒๕๓๙) จะหาโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอีกสักครั้ง-สองครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากมอบตัวเป็นศิษย์กรรมฐานของหลวงพ่อจรัญแล้ว
ก็พยายามหาโอกาสปฏิบัติที่บ้านอยู่เสมอ แม้จะทำได้ไม่มากนัก
แต่ก็พยายามรักษาความต่อเนื่องไว้ เท่าที่ผ่านมาได้รับความรู้และประสบการณ์แปลกใหม่เกี่ยวกับชีวิตจิตใจ
ทั้งของตนเองและของผู้คนโดยทั่วไปมากพอสมควร จึงใครขอนำมาถ่ายทอดต่อ
ตามที่เห็นว่าเหมาะสมดังต่อไปนี้
ในการปฏิบัติสองครั้งแรก
สิ่งที่ได้รับค่อนไปทางความรู้มากกว่าความเข้าใจ ต้องต่อสู้กับเวทนามากพอสมควร
กำหนดได้ไม่ดีนัก ทั้งในด้านอารมณ์ฟุ้งซ่านต่าง ๆ และความเมื่อยปวดมึนชาอีกหลายรูปแบบ
แต่สิ่งมีค่าที่ได้รับคือความอดทนทั้งร่างกายและจิตใจ
ซึ่งในความเป็นทหารอาชีพของกระผมเท่าที่ผ่านมา ก็ได้รับการฝึกฝนอบรมด้านนี้มามากพอสมควรแล้ว
หลังจากเริ่มปฏิบัติกรรมฐานจึงพบว่า ความเข้มแข็งอดทนที่มีอยู่เดิมนั้นไม่มากเท่าใดเลย
เพราะไม่อาจช่วยให้นั่งสมาธิได้ครบครึ่งชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนท่านั่งด้วยซ้ำไป
ในระยะเริ่มต้นของการปฏิบัติ ความปวดเมื่อยทรมานระหว่างการปฏิบัติกรรมฐาน ช่างผิดแผกแตกต่างไปจากอาการที่เคยประสบจากการฝึกหรือการทำงานโดยทั่วไปอย่างมากมาย
มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายจะทนไม่ได้ ปวดลึก ๆ ที่ก้นกบบ้าง โคนขา
ตามขาและที่ข้อเท้าบ้าง บทจะหายก็หายอย่างปลิดทิ้งโดยไม่รู้ตัว
แล้วก็ย้ายไปปวดที่จุดอื่นต่อไปอีก เป็นเช่นนี้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยเฉพาะในวันแรก ๆ ของการปฏิบัติ ดีขึ้นบ้างในวันหลัง ๆ
เมื่อกลับมาปฏิบัติที่บ้านโอกาสเดินจงกรมมีน้อยมาก
ทำได้เพียงการนั่งสมาธิหลังการสวดมนต์ในแต่ละวัน ที่บ้านบ้าง ที่ทำงานบ้าง พบว่า
มีสมาธิดีขึ้น สามารถนั่งสมาธิได้นานประมาณ ๑ ชั่วโมง โดยไม่ต้องต่อสู้กับเวทนาเท่าใดนัก
แต่ด้านสตินั้น ยังเห็นความก้าวหน้าไม่ชัดเจน กำหนด พองหนอ ยุบหนอ ได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่เคยคิดล้มเลิกความพยายาม
เชื่อว่าสักวันคงดีขึ้นพร้อมกับแอบลำพองในใจลึก ๆ ว่า
เข้าวัดปฏิบัติกรรมฐานครั้งต่อไป เราคงไม่ต้องทนทุกขเวทนาจากอาการปวดเมื่อยเช่นที่เคยประสบมาอีกแล้ว
เพราะเมื่อสามารถนั่งสมาธิได้ถึง ๑ ชั่วโมง
ก็น่าจะพอตัวแล้วสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่อย่างเรา
ครั้นเมื่อวันเวลาที่ตั้งใจไว้ล่วงหน้านานนับเดือนมาถึง
กระผมได้เข้าปฏิบัติกรรมฐาน (บวชเนกขัมมะ) ที่วัดอัมพวัน อีกเป็นครั้งที่ ๓
ระหว่าง ๓๐ กันยายน ๒๕๓๘ ถึง ๗ ตุลาคม ๒๕๓๘ รวม ๗ วัน การณ์กลับมิเป็นดังคาด ใน ๕
วันแรกต้องสู้กับอารมณ์ฟุ้งซ่าน
และทุกขเวทนาจากอาการเมื่อยปวดไม่น้อยกว่าการปฏิบัติในครั้งก่อน ๆ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการแยกปฏิบัติเดี่ยว ด้วยความกรุณาของครูบาอาจารย์ที่อยากให้ลองดู
เพราะเห็นว่ามีความตั้งใจจริง โดยปฏิบัติตามกำหนดของทางวัดเช่นปกติทุกประการ
เพียงแต่กระทำเพียงคนเดียวในห้องพักเป็นส่วนใหญ่ ปฏิบัติรวมกับญาติธรรมอื่นเพียงสองครั้งเท่านั้น
การปฏิบัติในครั้งนี้ช่วยให้ระลึกถึงเวรกรรมต่าง
ๆ ที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ ได้หลายเรื่องอันเป็นผลจากเวทนาที่ได้รับนั่นเอง
บางเรื่องก็ลืมไปนานแล้ว เช่นการจับแมลงทับหงายท้องแล้วหมุนตัวให้มันกระพือปีก
เรียกว่า แมลงทับไถนา
เพราะมันพยายามจะบินแต่ก็บินไม่ได้ด้วยถูกจับหงายท้องอยู่ มันต้องแอ่นตัวเต็มที่ที่กระพือปีกอย่างแรง
และไถต้นคอไปกับพื้น ด้วยเชื่อว่าจะทำให้พลิกคว่ำและบินหนีความทรมานไปได้
เรากลับรู้สึกสนุกจับเวลาแข่งกันกับเพื่อนว่า แมลงทับของใครจะไถนาได้ทนกว่ากัน
ผลที่เกิดขึ้นเพื่อเตือนให้นึกถึงเรื่องนี้คือ ระหว่างเดินจงกรม
มีอาการปวดเมื่อยอย่างมากมายที่บริเวณต้นคอและหัวไหล่ทั้งสองข้าง
ในขณะที่นั่งสมาธิก็มีอาการปวดรุนแรงที่กระดูกสันหลังบริเวณใต้เข็มขัดถึงก้นกบ
กำหนดด้วยการภาวนา ปวดหนอ
ๆ กี่ครั้งก็ไม่ทุเลา
ต้องบิดตัวถูไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายกับอาการของ แมลงทับไถนา
ทั้งที่ไม่อยากทำให้เสียสมาธิ ช่วยให้ทุเลาลงบ้าง แต่ก็ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
ไม่นานอาการเดิม ๆ ก็กลับมาอีก คิดถึงคำของหลวงพ่อว่า ตายเป็นตาย
ยังไม่เคยมีใครตายเพราะเวทนาในห้องกรรมฐาน ถ้าตายจริงก็ไม่ตกนรก
เพราะตายอย่างมีสติ จึงฮึดสู้ไยอมลืมตาหรือลุกจากสมาธิก่อนกำหนด
เฝ้ารอแต่เสียงสัญญาณหมดเวลานั่งในแต่ละช่วง
เพื่อเปลี่ยนเป็นเดินจงกรมหรือแผ่เมตตา สัญญาณดังกล่าวช่างเป็นราวกับเสียงสวรรค์
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปสามารถสัมผัสได้อย่างละเอียด
ดูมันช่างเชื่องช้าอ้อยอิ่งเสียยิ่งนัก
ช่วยให้สำนึกถึงคุณค่ามหาศาลของเวลาที่เราได้เผาผลาญไปอย่างไร้ประโยชน์เสียมากมาย
กระผมต้องต่อสู้กับสภาพเช่นที่เล่ามานี้ถึง ๕ วัน ที่นับว่าทรมานทางกายมากก็คือระหว่างนั่งสมาธิ
ซึ่งส่วนใหญ่ปฏิบัติครั้งละ ๑ ชั่วโมงขึ้นไป ปลอดเวทนาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงแรกเท่านั้น
ช่วงที่เหลือก็คือ การต่อสู้กับอาการเช่นที่กล่าวข้างต้น
มีอยู่ช่วงหนึ่ง
ที่มีอาการปวดโคนขาทั้งสองและกระดูกสันหลังบริเวณกระเบนเหน็บ (ใต้แนวเข็มขัด)
เป็นอย่างมากช่วยให้นึกได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยหนีแม่ไปขี่ม้าขาวตัวหนึ่งของน้าอู๊ด
ลูกตาสายยายเหลี่ยม ม้าตัวนี้รูปร่างค่อนข้างเล็ก เพราะเป็นม้าแกลบมิใช่ม้าเทศ
ด้วยความครึ่งกลัวครึ่งกล้า จึงต้องนั่งซ้อนหลังเจ้าของม้าอีกทีหนึ่ง
มันคงรู้สึกปวดเมื่อยทั้งโคนขาและกระดูกสันหลังเช่นที่กระผมกำลังเผชิญอยู่ขณะนั้น
เพราะต้องรับน้ำหนักคนถึงสองคนรวมกันแล้ว อาจมากว่าน้ำหนักตัวมันเองเสียอีก
จึงขออโหสิกรรมต่อม้าตัวนั้น และสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ก่อกรรมทำเข็ญเช่นนี้อีก
ต่อมาในบ่ายวันพฤหัสบดีที่
๕ ตุลาคม ๒๕๓๘ เวลาใกล้ ๑๔.๐๐ น. ได้สัมผัสกับประสบการณ์และความรู้สึกที่ยากแก่การลืมเลือนในชั่วชีวิตนี้
ขณะที่กำลังนั่งสมาธิอยู่จวนครบชั่วโมง (เริ่มประมาณ ๑๓.๐๐ น.)
ต่อสู้กับอาการปวดกระดูกสันหลังมากกว่าครั้งใด ๆ บริเวณใต้แนวเข็มขัดจนถึงก้นกบ
ยิ่งกำหนดก็ยิ่งปวด คำภาวนา ปวดหนอ ๆ...
เหมือนกับเป็นตัวเร่งอาการปวดให้รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
พยายามใช้การนับเข้าช่วยเพื่อละความสนใจจากการปวด ปวดหนอ ๑,
ปวดหนอ ๒, ปวดหนอ ๓,.... ยังไม่ทันรู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ก็เกิดอาการใหม่เข้ามาแทรกคือ
จังหวะการหายใจที่ผิดปกติ ลึกรุนแรงและถี่จนเข้ากับจังหวะภาวนา
เสียงหายใจคงดังออกไปนอกห้องแรงขึ้น และถี่ขึ้นอย่างบังคับควบคุมไม่ได้ อาการปวดก็มีแนวโน้มว่าจะทวีขึ้นด้วย
นับคำภาวนา ปวดหนอ ไปได้ประมาณครั้งที่
๒๐ อาการปวดกระดูกสันหลังที่คล้ายจะทนไม่ไหวอยู่แล้วนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นพลังงานที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แผ่ซ่านขึ้นสู่เบื้องสูงจนถึงเส้นผม ออกไปทางข้างจนถึงปลายนิ้วมือ
รวมทั้งภายในช่องท้องและทรวงอกบางส่วนด้วยมีอาการสั่นด้วยความถี่ที่ค่อนข้างสูงและไม่คงที่
จะรู้สึกชาก็ไม่ใช่
เป็นตะคริวก็ไม่เชิงบังคับไม่ได้ทั้งอาการดังกล่าวและจังหวะการหายใจที่ยังลึกแรงและถี่กว่าปกติ
สิ่งเดียวที่ทำได้ขณะนั้นคือ การกำหนด รู้หนอ
ๆ...
ให้มีสติจะได้ไม่ตกใจกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยพบจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อนับได้ประมาณ ปวดหนอ
๕๐ อาการปวดหายไป พร้อมกับการแผ่ซ่านของพลังงานที่บรรยายอาการได้ยากนั้น
ค่อย ๆ สงบลง ความรู้สึกใหม่เข้าแทนที่คือ ความปีติตื้นตัน ซาบซึ้งในพระคุณของมารดา
บิดา รวมทั้งพระคุณของหลวงพ่อจรัญ และผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย บอกกับตัวเองว่า
พบแล้วเข้าใจแล้วในสิ่งที่หลวงพ่อพร่ำสอน และสิ่งที่ต้องต่อสู้มาด้วยความเหนื่อยยากยาวนาน
บาปบุญคุณโทษทั้งหลาย ช่างประจักษ์แจ้งแก่ใจในขณะนั้นอย่างชัดเจน ไม่นึกโกรธนึกเกลียดใครทั้งนั้น
คิดถึงความดง่เขลาเบาปัญญาในการกระทำบางอย่างของตนในอดีตอย่างเสียใจ
และไม่เข้าใจว่าทำไปได้อย่างไร พร้อมกับขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
และสัญญากับตัวเองว่า ชาตินี้จะไม่สร้างบาปสร้างเวรอย่างไร้สติเช่นนั้นอีก ความรู้สึกนึกคิดที่มากมายเหล่านี้
มันพรั่งพรูออกมาในช่วงเวลาที่สั้นมาก น้ำตาแห่งความรู้สึกหลายอย่างดังกล่าวปน ๆ
กันเริ่มไหลรินออกมาอาบสองแก้ม นั่งสะอึกสะอื้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนอยู่ประมาณ ๒ นาที
เสียงดังลอดออกไปถึงระเบียงหน้าห้อง ซึ่งญาติธรรมหลายคนกำลังปฏิบัติกรรมฐานอยู่
คล้ายกับจะมีคนซุบซิบกันว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับผม
แม้จะบรรยายความรู้สึกเหล่านี้ให้ละเอียดและชัดเจนมากว่านี้ได้ยาก แต่บอกได้เลยว่า
โดยรวม ๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ดีงามมาก ปีติ อิ่มเอม รู้บาปบุญคุณโทษ
น่าถนอมไว้นาน ๆ
ประมาณ
๑๔.๐๐ น. เสียงกริ่งดังขึ้นบอกว่า ถึงเวลาเปลี่ยนจากการนั่งสมาธิ
เป็นการเดินจงกรมแล้ว กระผมยังนั่งต่ออีกราว ๒-๓ นาที เพื่อดื่มด่ำความรู้สึกที่ดีงามเหล่านั้น
พร้อมกับอธิษฐานในใจว่า ก่อนกลับจากวัดอัมพวันในวันเสาร์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๓๘
ขอให้ได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์เช่นนี้อีก
การปฏิบัติต่อจากนั้นเห็นได้ชัดเจนว่ามีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นทั้งด้านสติและสมาธิ
กายและใจ ดูเบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยืนหนอ ๕ ครั้ง ที่เคยรู้สึกว่า
เป็นยาหม้อใหญ่ พยายามเท่าไรก็ทำไม่ค่อยได้สักที
พบภายหลังว่าสัมผัสได้ชัดเจนกว่าเดิมมาก แต่จนถึงปัจจุบัน กระผมก็ยังคิดว่ายากอยู่นะครับ
คงต้องมานะบากบั่นกันต่อไปอีก
นับแต่การปฏิบัติในวันนั้น
เวลาที่เหลืออยู่ ๒ วันก่อนกลับบ้านเป็นช่วงที่มีความสุขมาก
เห็นอะไรเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดีไปเสียหมด ผู้คนก็ดูน่ารักใคร่ทุกคน
ไม่นึกโกรธเกลียดหรือริษยาพยาบาทใครทั้งนั้น ปัญญาความคิดก็แจ่มใส คิดอะไร ๆ
ได้เป็นช่องเป็นฉาก แม้แต่การแต่งกลอนในใจเพื่อสรรเสริญพระคุณหลวงพ่อจรัญที่กระผมใช้เป็นบทนำในข้อเขียนอีกเรื่องหนึ่งในหนังสือเล่มนี้
กระผมคิดได้ในโอกาสเกือบทั้งหมดด้วยเวลาที่ไม่นานนักในช่วงนั้น
มาแต่งเติมในภายหลังเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม
แรงอธิษฐานที่อยากสัมผัสความรู้สึกปิติระหว่างการปฏิบัติเช่นนั้นอีก
ได้ส่งผลให้พบจริงในวันต่อมา
เวลาก่อน
๑๑.๐๐ น. เล็กน้อยของวันศุกร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ กระผมได้มีโอกาสหลั่งน้ำตาแห่งความปีติตื้นตัน
สำนึกบาปบุญคุณโทษต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่ความรุนแรงและระยะเวลาลดลงกว่าครั้งแรก
ทั้งเสียหายใจก่อนหายปวดและอาการสะอึกสะอื้นที่ตามมาภายหลัง
แต่ก็ยังดังพอที่จะเล็ดลอดออกไปนอกห้องพักที่กระผมใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมอยู่
ไม่แต่เพียงเท่านั้นในช่วงบ่าย ครูผู้ควบคุมการฝึกแจ้งให้ผู้ที่จะลาศีลในตอนเย็นวันนั้น
เข้าปฏิบัติรวมกันที่ศาลาคามวาสี (ที่ประดิษฐานหลวงพ่อเทพนิมิต) เพื่อฟังคำชี้แจงและการนัดหมายเรื่องกำหนดการลาศีล
การปฏิบัติในช่วยนี้ดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งการเดินจงกรมและการนั่งสมาธิ
และแล้วก็ได้มีโอกาสหลั่งน้ำตาท่ามกลางหมู่ญาติธรรมจนได้ แต่ไม่รุนแรงนัก
เสียงสะอื้นดังพอที่คนรอบข้าง ๓-๔ คนได้ยินเท่านั้น ที่นับว่าค่อนข้างแปลกก็คือ
เป็นเวลาที่ใกล้เคียงกันมากกับการเกิดประสบการณ์ครั้งแรกคือ ก่อนเวลา ๑๔.๐๐ น.
ประมาณ ๑๐-๑๕ นาทีครบรอบ ๒๔ ชั่วโมงพอดี
รอบค่ำหลังจากลาศีลแล้ว
ก็เริ่มปฏิบัติอีกราวเกือบสองชั่วโมง (ประมาณทุ่มครึ่งถึงสามทุ่มเศษ) อารมณ์และความรู้สึกช่วงนี้แตกต่างจากรอบวันที่ผ่านมาเกือบสิ้นเชิง
รู้สึกเฉย ๆ ชา ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ความปีติอิ่มเอิบทั้งหลายจางหายไปเกือบหมด กลับรู้สึกสงสัยว่าประสบการณ์ที่เพิ่งได้รับมาสด
ๆ ร้อน ๆ นั้น มันยิ่งใหญ่จริงหรือ
แล้วก็ตอบตัวเองว่า ก็งั้น ๆ แหละ
เราคงรู้สึกวูบวาบไปเองกระมัง สติและสมาธิอ่อนกว่าการปฏิบัติในรอบวันที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ไม่มีเวทนามากมายนัก ความฟุ้งซ่านมีบ้าง แต่ไม่มากเท่าวันแรก ๆ ของการปฏิบัติ
คืนนี้นอนค่อนข้างดึก ประมาณ ๕ ทุ่ม เห็นจะได้หลับสนิทดีพอสมควร
เช้าวันเสาร์ที่
๗ ตุลาคม ๒๕๓๘ ตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น และเริ่มปฏิบัติคนเดียวในห้องพักตามตารางที่กำหนด
ความรู้สึกที่ดีงามกลับคืนมาอีก ปฏิบัติได้ดีและมีความสุขมากทีเดียว เกิดปีติเป็นช่วงสั้น
ๆ อีก ๒-๓ ครั้ง แต่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ การหายใจไม่รุนแรงเช่นครั้งก่อน ๆ เสียงสะอื้นเกือบไม่มี
ข้อน่าสังเกตคือก็คือ จุดที่ปวดจนกระทั่งกลายเป็นพลังงานแผ่ซ่านขึ้นส่วนบนของร่างกายนั้น
เปลี่ยนจากบริเวณกระเบนเหน็บเป็นที่ต้นขา แต่ละครั้งไม่ซ้ำจุดเดิม
ช่วงเช้าปฏิบัติต่อจนถึง ๑๑.๐๐ น. อิ่มสุขทั้งวัน มองหน้าใครเห็นเป็นกัลยาณมิตรไปหมด
อาลัยอาวรณ์พอสมควรที่จะต้องจากวัดกลับไปสู้ชีวิตที่วุ่นวายสับสนในสังคมเมืองหลวง
ช่วงบ่ายก่อนกลับ ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อแถมท้ายอีกเกือบชั่วโมงหลังภัตตาหารเพล
ก่อนกลับบ้านตอนเย็นวันเดียวกัน
ได้มีโอกาสพบและกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ท่านกล่าวทักขึ้นว่า สำเร็จแล้ว
ได้ผลแล้วนะ ทำให้กระผมดีใจมาก
ช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ได้ประสบมานั้นมิใช่ วิปัสสนึก
ท่านยังกรุณาแนะนำสั่งสอนเพิ่มเติมอีกมากทีเดียว
ทั้งแนวทางที่กระผมสมควรปฏิบัติต่อไป
รวมทั้งหัวข้อธรรมะเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมที่ละเอียดลึกซึ้งกว่าที่กระผมได้เคยศึกษามาแล้ว
นับเป็นการปิดฉากที่สมบูรณ์มากในการปฏิบัติกรรมฐานครั้งที่ ๓ ของกระผม ณ
วัดอัมพวันแห่งนี้ จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ความเจริญในพุทธธรรมสัมมาปฏิบัติเท่าที่กระผมได้รับมาแล้วนี้
เป็นเพราะอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีของหลวงพ่อจรัญโดยแท้ แม้จะดูน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนที่กระผมยังเข้าไม่ถึง
แต่นับเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวของกระผมเอง และเชื่อว่า
จะเป็นพื้นฐานให้กระผมมีความก้าวหน้าต่อไปจึงขอรักษาไว้ยิ่งชีวิต
และตั้งหน้าปฏิบัติให้ได้รู้ได้เห็นสัจธรรมต่าง ๆ ที่ละเอียดและลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
ตามที่กำลังและโอกาสจะอำนวยให้
เพื่อเป็นการตอบปริศนาที่กระผมใช้เป็นชื่อของบทความนี้ที่ว่า
ข้าพเจ้าได้อะไรบ้างจากการปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน?
กระผมขออนุญาตกล่าวโดยสรุปดังนี้
๑. กระผมมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตจิตใจ
ทั้งของตนเองและของผู้อื่น
๒. กระผมมีความรักใคร่สงสารและให้อภัยผู้อื่นมากกว่าเดิม
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ใด ๆ ทั้งที่เดิมกระผมก็มิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดหรือใจดำอำมหิตเท่าใดนัก
กล่าวคือการปฏิบัติกรรมฐานช่วยให้จิตใจของกรผม มีความอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยเมตตาปรานีมากยิ่งขึ้นไปอีก
๓. กรผมมีความสำนึกในบาป-บุญ-คุณ-โทษมากยิ่งขึ้น
เดิมทีกระผมก็มิใช่เป็นคนใจบาปหยาบช้าอะไรนัก แต่การปฏิบัติกรรมฐานช่วยให้สำนึกที่ดีงามต่าง
ๆ เท่าที่มีอยู่แล้วมีความเข้มข้นและละเอียดอ่อนมากขึ้น
๔. ความคิดจิตใจรวมทั้งสติปัญญาและความอุตสาหะพากเพียรของกระผม
มีความลึกซึ้ง มั่นคงและเข้มแข็งกว่าแต่ก่อน กระผมทำงานต่าง ๆ
ได้มากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาพอ ๆ กัน ทั้งยังใช้เวลานอนน้อยลงจากคืนละ ๖-๗ ชั่วโมงเหลือประมาณ
๕ ชั่วโมง
๕. เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ
กระผมมีความกระหายใคร่รู้และมีความปรารถนาที่จะเจริญรุ่งเรืองในพุทธธรรมสัมมาปฏิบัติยิ่ง
ๆ ขึ้นไปอีก จึงพยายามหาโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในด้านการเจริญกุศลภาวนา
นอกจากที่กล่าวข้างต้นทั้ง
๕ ประการแล้ว
ยังมีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นภายในครอบครัวและหมู่ญาติมิตรอีกมากมายหลายลักษณะ
เช่น มารดาบิดามีความสุขกายสบายใจมากขึ้น
บุตร-ธิดาอยู่ในโอวาทและขยันหมั่นเพียรในหน้าที่การงานและการศึกษาเล่าเรียนมากกว่าแต่ก่อน
เพื่อนบางคนที่เคยไม่ชอบกระผม และมักพูดจาร้ายป้ายสีต่าง ๆ
นานากลับมีทีท่าเป็นมิตรมากขึ้น ในเรื่องหน้าที่ราชการของกระผมนั้น ก็เห็นความดีขึ้นอย่างชัดเจนเช่นกัน
กระผมได้รับความรักใคร่เชื่อถือจากผู้ร่วมงานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพจนถึงผู้ใต้บังคับบัญชาคนสุดท้ายก็ว่าได้
ผู้ใกล้ชิดจำนวนไม่น้อยหันมาสนใจทางธรรมกันมากขึ้น ช่วยให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกันในที่ทำงานได้อย่างปกติสุข
เสมือนอยู่ท่ามกลางหมู่ญาติมิตรที่ต่างหวังดีต่อกันหรืออยู่ในครอบครัวเดียวกัน เท่านี้ก็มากเกินพอแล้วสำหรับอานิสงส์ที่ได้รับจากการเจริญกรรมฐาน
ตามแนวทางที่หลวงพ่อจรัญกรุณาแนะนำพร่ำสอนอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดนี้
กระผมใคร่ขอถือโอกาสนี้กราบแทบเท้า ของพระคุณในความเมตตาการุณย์ของหลวงพ่อ
ที่ได้ช่วยให้ลูกรวมทั้งศิษย์อีกจำนวนนับหมื่นนับแสนคน ได้พบชีวิตใหม่ที่มีคุณภาพคุณธรรมสูงกว่าเก่า
อันจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญ
สำหรับรองรับความเจริญรุ่งเรืองในพุทธธรรมสัมมาปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกในอนาคต
พร้อมกันนี้ลูกใคร่ขอกราบอัญเชิญอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
รวมทั้งขอน้อมจิตถวายกุศลผลบุญที่ลูกได้สร้างสมไว้
ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ โปรดร่วมกันเป็นพลังเป็นเครื่องส่งเสริมกุศลบุญราศรี
ดลบันดาลให้ หลวงพ่อ จรัญ (พระราชสุทธิญาณมงคล) ที่พวกเราทุกคนเคารพรัก
ประสบแต่ความสุขความเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย
มีความร่มเย็นและรุ่งเรืองในพุทธธรรมสัมมาปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงขั้นบรรลุมรรคผลนิพพานด้วยเทอญ
รักและเคารพอย่างสูงยิ่ง
นาวาเอก(พิเศษ)
ไพโรจน์ แก่นสาร
ผู้ช่วยเจ้ากรมสื่อสารทหารเรือ
---------- จบ
----------