รอดตาย
พรทิพย์ ชูศักดิ์
R10006
ข้าพเจ้าไปวัดอัมพวันครั้งแรกกลางเดือนตุลาคม
๒๕๒๕ อาจารย์สมบูรณ์ และอาจารย์บังอร ดรุณศิลป ขอให้ช่วยพานักศึกษาจำนวน ๘ คนไปปฏิบัติธรรมร่วมกับนักศึกษาสถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
ข้าพเจ้าประทับใจในความเมตตาของหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล
เริ่มตั้งแต่ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าต้องสวมชุดสีขาว และไม่ได้เตรียมมา
แต่ในครั้งนั้นหลวงพ่อได้อนุญาตให้สวมชุดสี ๆ ได้ โดยบอกว่าความบริสุทธิ์อยู่ที่ใจ
ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าภายนอก ข้าพเจ้าจึงได้อยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดด้วยความสบายใจ
หลวงพ่อได้ให้กรรมฐานสอนเดินจงกรม นั่งสมาธิ และคุณยายสุ่ม ทองยิ่ง กับ
คุณป้ายุพิน บำเรอจิต ได้ควบคุมดูแลระหว่างการฝึกปฏิบัติ
หลวงพ่อได้ให้ประสบการณ์ต่าง ๆ แก่พวกเรา เช่นสอนเรื่องความกตัญญูต่อบิดามารดา
การครองตน ครองครอบครัว การทำงาน การศึกษา กฎแห่งกรรม ฯลฯ
โดยท่านอธิบายอย่างมีเหตุผลพร้อมทั้งยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงของท่านมาประกอบ
ทำให้พวกเราซาบซึ้งและมีศรัทธาน้อมรับคำสอนนั้นมาปฏิบัติ
ช่วยให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตอย่างมาก นอกจากนี้ท่านได้กล่าวบางอย่างแก่ข้าพเจ้า
ก่อนที่จะเดินทางกลับ ซึ่งสิ่งนั้นเป็นความจริงในเวลา ๖ ปีต่อมา
หลังจากไปวัดครั้งนั้นแล้ว
หลวงพ่อได้รับนิมนต์ให้มาบรรยายธรรม
เวลามีการอบรมพัฒนาจิตที่สถาบันราชภัฏนครสวรรค์
ทางสถาบันได้จัดอบรมพัฒนาจิตสำหรับอาจารย์ นักศึกษา
และบุคลากรภายนอกเป็นประจำทุกปี โดยมี คุณแม่ ดร. สิริ กรินชัย เป็นวิทยากร
หลวงพ่อได้มาบรรยายธรรม แนะแนวเพิ่มเติมแก่ผู้เข้ารับการอบรม
ผู้ฟังชอบมากไม่ค่อยยอมให้หยุด จนบางครั้งหลวงพ่อต้องบรรยายถึง ๔ ชั่วโมง
ในเดือนมีนาคม ๒๕๒๙
ข้าพเจ้าได้เข้ารับการอบรมพัฒนาจิตที่สถาบันฯ หลวงพ่อมาบรรยายธรรม
ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถรู้วันตายของตัวเองได้
ท่านได้พูดย้ำหลายครั้ง พอท่านกลับไปแล้ว
ข้าพเจ้าก็ทดลองกำหนดจิตถามวันตายของตัวเองในสมาธิ และได้นิมิตว่า วันที่ ๒๖
สิงหาคม ส่วนปี พ.ศ. นั้นไม่แน่ ข้าพเจ้าทราบแล้วก็ไม่สนใจอะไร
เพราะในใจหนึ่งคิดว่า อาจเป็นการนึกเอาเองก็ได้
ต่อมาข้าพเจ้ามีปัญหาเรื่องการงาน
นอกจากงานสอนแล้ว ข้าพเจ้ายังรับผิดชอบงานธุรการ ซึ่งเป็นงานบริการ
สมัยนั้นเจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือมีน้อย และที่มีอยู่ก็หยุดบ่อย
ผู้มารับบริการบางคนเมื่อไม่ได้ดังใจก็แสดงอารมณ์ใส่ข้าพเจ้า
ทำให้ข้าพเจ้าเครียดมาก จมอยู่กับความทุกข์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น
แม้วันหนึ่งข้าพเจ้าและครอบครัวไปทำบุญที่วัดอัมพวัน
ตอนเดินทางกลับสามีของข้าพเจ้าบอกว่า เธอรู้ไหม หลวงพ่อพูดว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด
ตั้งหลายครั้ง ข้าพเจ้าก็ยังโง่ ไม่เข้าใจความหมายนั้น
เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าไปทำงานและถูกต่อว่าอีก ข้าพเจ้าเครียดหนักขึ้น ใจคอไม่ดี
ไม่สบาย จึงเดินกำหนดไปห้องพยาบาล
พอจะล้มตัวนอนรู้สึกเหมือนจิตจะดับวูบหลุดลอยออกจากร่างไป
ข้าพเจ้ารีบอธิษฐานขอให้หลวงพ่อและคุณแม่ ดร.สิริ ช่วย ทันใดนั้นจิตที่จะหลุดลอยไปจากร่างก็เหมือนถูกดึงกลับมา
รู้สึกดีขึ้น และได้อาเจียนอย่างรุนแรง หลังจากอาเจียนแล้วสบายขึ้น ก็พิจารณาว่า
ความตายเป็นอย่างนี้เอง เวลาคนเราตายนี้ไปตัวคนเดียวจริง ๆ ไม่มีใครไปกับเรา
แม้สมบัติสักนิดหนึ่งก็ไม่สามารถเอาไปด้วยได้ กลับมาบ้านแล้วข้าพเจ้าพยายามทำสมาธิต่อไป
รุ่งขึ้นตอนเช้าข้าพเจ้าเตรียมของใส่บาตรหน้าบ้าน
แต่ไม่มีพระมา ข้าพเจ้าจึงไปเปิด ปฏิทินดูก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันพระ
แต่วันวานที่ข้าพเจ้าป่วยไปนั้น คือวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๒๙ ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมาก
และสำนึกได้ว่า ถ้าหลวงพ่อและคุณแม่สิริ ไม่ช่วยไว้
ข้าพเจ้าคงตายด้วยโรคลมปัจจุบันไปแล้ว
ครั้นรอดตายในครั้งนั้นแล้ว
จิตของข้าพเจ้าตกมาก สะดุ้งกลัวต่อความตาย ยิ่งเวลาได้ข่าวคนที่รู้จักตาย
ข้าพเจ้ากลัวมาก ต้องรีบตั้งสติกำหนดรู้อิริยาบถต่าง ๆ
เพื่อให้ความกลัวนั้นบรรเทาลงไป นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังมีความคิดน้อยเนื้อต่ำใจสารพัด
ทำความดีไม่มีใครเห็น ทำงานหนักก็ไม่ได้รับความชอบ
และบางครั้งยังถูกเยาะเย้ยถากถางอีก
ต่อมาความทุกข์ทั้งหลายที่เกาะกินใจของข้าพเจ้าได้ส่งผลสู่ร่างกาย
ทำให้หน้าตาหมองคล้ำ น้ำหนักลด มีอาการคล้ายจะเป็นลมบ่อย ๆ
เหงื่อออกมากที่มือและเท้า ข้าพเจ้าได้ไปเข้ารับการตรวจคลื่นหัวใจที่โรงพยาบาล
พบว่ามีความผิดปกติจากเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่สะดวก ข้าพเจ้าเสียใจมาก ไม่อยากตาย
เพราะลูกสาวคนเล็กเพิ่งมีอายุได้เพียง ๙ เดือน และคิดห่วงคุณพ่อคุณแม่มาก
กลัวว่าท่านจะทำใจไม่ได้ เพราะท่านมีลูกเพียง ๒ คน และท่านรักข้าพเจ้ามาก
ระยะนั้นแม้จะมีทุกข์มากเพียงใดก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรม
ข้าพเจ้าไปทำงานตามปกติ เวลามีอาการไม่สบายก็กำหนดอิริยาบถต่าง ๆ กำหนดรู้
การรับรู้ทางทวารต่าง ๆ (ภายหลังหลวงพ่อได้แนะนำว่า
ควรกำหนดรู้ที่ลิ้นปี่โดยใช้คำบริกรรมว่า รู้หนอ และหายใจยาว ๆ)
ช่วยให้ความไม่สบายนั้นเบาคลายไป กลางเดือนตุลาคม ๒๕๒๙
ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ ที่เชียงใหม่ เป็นเวลา ๑๘ วัน มีนิมิตให้ทราบว่า
ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลกรรมจากการฆ่าปูทะเล
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้
๑๕ ๑๖ ปี
ได้อาศัยอยู่กับญาติ รับหน้าที่ฆ่าปูทะเลเพื่อประกอบอาหารบ่อย ๆ
โดยนำไม้แหลมปักบนอกปู และใช้มีปังตอทุบลงบนไม้นั้น ข้าพเจ้าทำด้วยความพอใจ
เพราะชอบรับประทานปูผัดใบหอมด้วย กลับจากเชียงใหม่แล้ว
ข้าพเจ้าได้ไปเข้ารับการตรวจคลื่นหัวใจอีกครั้ง ปรากฏว่าปกติ
ซึ่งแพทย์ที่ตรวจรู้สึกแปลกใจ และท่านบอกว่า หายแล้ว ไม่ต้องรับประทานยาอีก
หยุดรับประทานยาแล้ว
ข้าพเจ้ายังมีอาการไม่สบายแบบเก่าอีกในบางครั้ง ซึ่งคุณแม่ ดร.สิริ
บอกว่าโรคกายหายแล้ว แต่โรคใจยังไม่หาย ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานว่า
ถ้าไปตรวจอีกครั้งหมอบอกว่าหาย ข้าพเจ้าจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ๑ เดือน คราวนี้ข้าพเจ้าไปหาแพทย์ที่เป็นอาจารย์สอนแพทย์ที่กรุงเทพฯ
ท่านตรวจและบอกว่าหายแล้ว ข้าพเจ้าจึงไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันในเดือนเมษายน
๒๕๓๐ ในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้รับกำลังใจจากหลวงพ่ออย่างมาก
หลวงพ่อบอกว่าไม่ให้กลัวตาย ถ้าตายจะเผาให้ การปฏิบัติธรรมต้องมีสัจจะและขันติ
ถ้าตั้งใจว่าจะเดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ก็ต้องทำตามนั้น
ไม่เลิกก่อนเวลาที่กำหนด เวลาปวดก็กำหนดรู้ให้ถึงที่สุด อย่าเลิก
ข้าพเจ้าพยายามทำตามคำสอนของท่าน แม้จะปวดจนแทบจะขาดใจก็ไม่ยอมเลิกก่อนเวลา
ความปวดนี้แปลก เวลาใกล้จะครบเวลาที่กำหนดไว้มักจะหายปวด
ซึ่งหลวงพ่อท่านเคยพูดเป็นปริศนาว่า เวลาลิเกจะลาโรง
จับตัวโกงได้ทุกที ใครเกลียดตัว คนนั้นก็หลงลิเก
การที่กำหนดสู้กับเวทนาคือความปวดได้
ทำให้มีนิมิตให้ทราบว่า ความทุกข์ทรมานที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่นี้
เป็นผลจากการกรำทำในอดีตชาติ คือ ข้าพเจ้าได้ออกรบในสมรภูมิฆ่าฟันผู้คนเป็นจำนวนมากมาย
มือทั้งสองกำดาบ ดาบอาบไปด้วยเลือด ข้าพเจ้าเสียใจมากที่ได้กระทำกรรมดังกล่าว
เลิกคิดอาฆาตแค้นบุคคลต่าง ๆ ที่ทำไม่ดีต่อข้าพเจ้า เพราะที่ผ่านมานั้น
ข้าพเจ้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าที่ตนเองทุกข์ยากลำบากขนาดนี้
เนื่องจากได้ทำเหตุไว้แต่อดีต ใครก็ตามที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่พอใจ เป็นทุกข์
ข้าพเจ้าจะโกรธ พยาบาท และสาปแช่งเขาตลอดเวลา ทำให้ข้าพเจ้าจมอยู่กับความเคียดแค้น
ซึ่งส่งผลให้ร่างกายประสบโรคภัยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง
จึงเลิกคิดอาฆาตพยาบาทบุคคลอื่น จิตใจของข้าพเจ้าสบายขึ้น
โรคของใจก็บรรเทาเบาบางลงไป
นอกจากนิมิตกฎแห่งกรรมจากการออกรบแล้ว
ยังมีนิมิตกฎแห่งกรรมอื่น ๆ อีก เช่น
นิมิตเกี่ยวกับการขับรถจักรยานยนต์ชนห่านตายเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว และข้าพเจ้าลืมไปแล้ว
วันหนึ่งขณะนั่งสมาธิปวดมากจนกระดูกแทบจะแทงออกมานอกเนื้อ
พอกำหนดไปสักพักก็เห็นภาพเหตุการณ์ตอนขับรถจักรยานยนต์ชนห่าน ซึ่งมันไม่ตายทันที
แต่มันร้องดังมากด้วยความเจ็บปวด และเดินลงไปตายในบ้านของคนที่อยู่ใกล้ถนน
นิมิตครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมมากขึ้น
กรรมบางอย่างแม้จะทำโดยมิได้ตั้งใจ แต่มีผลทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ย่อมมีผลสะท้อนกลับมายังผู้กระทำ
อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าได้มีนิมิต
เห็นยมบาลในระหว่างนั่งสมาธิด้วย บางครั้งท่านปรากฏในภาพที่น่ากลัวเหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์
คือ นุ่งผ้าสีแดง สวมสังวาลย์ ไม่สวมเสื้อ และมีเขาอยู่บนศีรษะ แต่บางทีก็ปรากฏในภาพมนุษย์ผู้ชายที่หน้าตาอ่อนโยน
ผิวพรรณละเอียดงดงาม ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริง
ท่านยมบาลเป็นผู้จัดการให้ผู้ทำความชั่วได้รับการลงโทษอย่างสาสมกับความผิดที่ได้ทำไว้
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าได้กราบเรียนหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลวงพ่อท่านเล่าว่า
ที่วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม ได้มีนิมิตเห็นท่านท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเป็นยักษ์
ถือกระบองคอยเก็บคนตายมาปรากฏในรูปของเทพที่งดงามมาก ท่านได้สร้างรูปของ เทพองค์
หลวงพ่อท่านให้ไปดูรูปใหญ่ที่ประดิษฐานในกุฏิสมเด็จพระสังฆราชที่วัดอัมพวันด้วย
เป็นเทพที่งดงามมาก มือหนึ่งถือแว่นไว้ส่องดูมนุษย์
ข้าพเจ้าเห็นรูปของท่านแล้วเกิดปีติจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะเป็นการยืนยันว่า
บุญบาปมีจริง ไม่ต้องเสียใจและน้อยใจ
ถ้าทำความดีแล้วไม่มีใครเห็นเพราะอย่างน้อยท่านก็เห็น แม้บางคนทำความชั่ว
แต่ก็ยังได้รับความสุขสบาย พรั่งพร้อมด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ
ส่วนบางคนทำดีแต่ได้รับความทุกข์ยากลำบากก็ตาม ข้าพเจ้าไม่สงสัยอีกแล้ว
เพราะกรรมมิได้มีเพียงชาตินี้ แต่มีมาแล้ว และจะมีต่อไปอีกตราบที่เรายังมีกิเลส
ต้องเวียนว่ายตายเกิด จะได้รับสุขหรือทุกข์ตามผลแห่งกรรมที่ทำไว้
เมื่อประมาณเดือนมกราคม
พ.ศ. ๒๕๓๔ ข้าพเจ้าได้พานักศึกษาจำนวน ๑๙ คน
ไปอบรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมที่วัดอัมพวัน ในโครงการของชมรมพุทธศาสน์
สหวิทยาลัยพุทธชินราช ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาจากสถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม
จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัดนครสวรรค์ นักศึกษาที่ไปแล้วติดใจมากกลับมาเล่าให้เพื่อน
ๆ และรุ่นน้องฟัง ในปีต่อมาจึงมีผู้สมัครไปถึง ๗๐ คน และเพิ่มต่อมาอีกเป็น ๑๐๐ ๑๒๐ คน ในปีต่อ ๆ มา
ซึ่งในปีหลัง ๆ นี้ แต่ละสถาบันฯ ได้จัดพานักศึกษาไปเอง
เนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมากและช่วงเวลาที่จะไปได้มักไม่ค่อยตรงกัน
นักศึกษาที่ไปอบรมพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมที่วัดอัมพวันนั้น
ได้รับผลดีมาก หลายคนเกิดความสำนึกในเรื่องบุญและบาป กลับมาแล้วเลิกดื่มเหล้า
เลิกฆ่าสัตว์ เลิกพูดปด มีความกตัญญูต่อบิดามารดาและผู้มีพระคุณ
ผลการเรียนดีขึ้นใจเย็นลง ทำอะไรรอบคอบมากกว่าเดิม ทั้งนี้ทราบผลจากการสัมภาษณ์ ดูจากบันทึกผลการฝึกอบรมที่นักศึกษาส่งมา
งานวิจัยที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งทำไว้ และการสังเกตพฤติกรรม
หลวงพ่อจึงเป็นผู้ทำคุณประโยชน์อย่างสูงต่อชาติไทย
เพราะท่านได้สร้างสรรค์อบรมเยาวชนไทยให้มีความประพฤติดี ปฏิบัติชอบ
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเขาเรียนรู้แต่วิชาการอย่างเดียว
แต่ไม่พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมตามไปด้วยแล้ว ก็ยากที่จะเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ
ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้เขียนเล่ามานี้
เพื่อที่จะบอกท่านทั้งหลายว่า กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง ทำดีย่อมได้รับผลดี
ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แน่นอนตายตัว ไม่ช้าก็เร็ว สุดแต่เหตุปัจจัยที่ทำไว้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดแก่เราก็ตาม ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของเราเอง
คนอื่นเป็นเพียงเหตุประกอบเท่านั้น อย่าไปลงโทษ ถือโกรธ พยาบาทเขาเลย
เพราะจะเป็นการสร้างกรรมชั่วเพิ่มพูนขึ้นไปอีก