ปลาดุก ย่าง เป็นเหตุ
ปัญญา ฤกษ์อุไร
R1002
เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว
คุณอำนวย ก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่เราจะไปวัดอัมพวันกัน
วัดอัมพวันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน
วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญวัดหลวงพ่อแพแล้ว
ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี
หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน
ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้แนะนำ
ท่านเก่งทางนั่งทางใน
และทางวิปัสสนากรรมฐาน คุณอำนวยชี้แจง
ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย
เกี่ยวซิ
ทำไมจะไม่เกี่ยว ยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น
เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่า เรื่องที่ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร
คุณอำนวยชักฉุนเพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า
รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร
ไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ
คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก
คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หยุด
อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร
จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนั้น
พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชนิด
เขาเรียกว่ามีทิพยจักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง
เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
ซาบซึ้งแล้วครับ
ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา
ดูจะมีปัญหามากเหลือเกิน
เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพ
มุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ
จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรีมาได้ประมาณ ๘ ก.ม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน
วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือ
ที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่า ทางเข้าวัดอัมพวัน
หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน
เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน
มีต้นไม่ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับเป็นที่อยู่ของบรรพชิต
เมื่อพวกเราไปถึง
ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ คน
พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึง บรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป
คุณอำนวยนำพวกเราไปนั่งใกล้
ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็น พระครูภาวนาวิสุทธิ์
ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่า พระครูจรัญ เข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิมท่าน
อายุประมาณ ๕๐ เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย
การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิดท่านก็ว่าผิด
อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี
แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่ง
มาวันนี้ก็ดีแล้ว
อยู่ให้ถึงเย็น อาตมาจะให้เขาหุงอาหารไว้ให้กิน ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคณะคุณอำนวย
โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากะไร
ผมมาวันนี้
นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง ที่เขาประสบเคราะห์กรรม
อยากจะให้หลวงพ่อช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกัน ถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ
ไหนคนไหน
คนนี้ครับ ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้า
อ้อคนนี้เรอะ
ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย
คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่ามันเรื่องอะไรกัน พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง
พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม
เป็นไงหลวงพ่อ
พอไหวไหม
เฮ้อ! รายนี้อาการหนักมาก
ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น
มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้ เพราะที่นั่นมีพระภูมิเจ้าที่แรง
ท่านคอยคุ้มกันทำให้คนที่ไปดักยิงมันมองไม่เห็นตัว มันเลยยิงไม่ได้
ความจริงมันไปเฝ้าอยู่นอกรั้วบ้านหลายวัน ไม่มีโอกาสเห็นตัวโยมคนนี้
มันเลยเลิกล้มความตั้งใจ มิฉะนั้นดวงชะตาขาดไปแล้ว
ยังมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเก่าแก่ซึ่งแขวนอยู่ที่คอคอยคุ้มกันอยู่อีกองค์หนึ่ง
ทำให้คนคิดร้ายทำอันตรายได้ยาก แต่ระยะนี้พ้นเคราะห์เหล่านั้นมาแล้วคงไม่เป็นไร
หมั่นทำบุญสุนทานมาก ๆ หน่อย ปล่อยสัตว์มีชีวิตเช่น นก ปลา มาก ๆ ก็จะดี หลวงพ่ออธิบาย
แล้วเหตุที่มีเคราะห์ถึงขนาดนี้
มันเนื่องมาจากอะไรกันล่ะครับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าถามท่านบ้าง
เพราะปล่อยให้คุณอำนวยถามมานานแล้ว
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
แต่อาตมานั่งหลับตาดู ทบทวนอยู่ถึงสองสามครั้งผลออกมาเหมือนกัน ซึ่งอาตมาก็ยังงง ๆ
อยู่เหมือนกัน
งงเรื่องอะไรล่ะครับหลวงพ่อ
งงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้น่ะซิโยม
เรื่องอะไรล่ะครับที่เป็นไปไม่ได้
ในโลกนี้มีเรื่องที่จะเป็นไปได้เสมอ ข้าพเจ้าว่า
คือตามเรื่องมีว่า
โยมรู้ตัวว่ากำลังมีเคราะห์กรรมก็พยายามซื้อลูกปลาตัวเล็ก ๆ ไปปล่อยลงน้ำ
เพื่อช่วยชีวิตของลูกปลาเหล่านั้น เรื่องนี้โยมทำมากตั้งแต่ปีที่แล้วใช่หรือไม่
บอกอาตมาตรง ๆ หลวงพ่อถามข้าพเจ้าแล้วมองหน้า
ใช่ครับ
ผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีเคราะห์ ดวงไม่ดีก็พยายามปล่อยนกปล่อยปลามาตั้งแต่ปีที่แล้ว
การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ ไม่เห็นจะผิดบาปอะไรนี่ครับหลวงพ่อ
ถ้าเพียงเอาไปปล่อยนอกจากไม่บาปแล้ว
ยังได้บุญอีกด้วย แต่เรื่องนี้มันไม่ยุติเท่านั้น มันยังมีเรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกนะซี
พูดจบหลวงพ่อถอนหายใจใหญ่
ยืดเยื้อยังไงครับ
คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจัดเขามากินอีกนะซี
ตอนนี้แหละที่บาปหนัก จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม
เท่ากับเราอธิษฐานเมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เราปล่อยชีวิตเจ้าแล้ว
เราช่วยชีวิตเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด
เจ้าเวรนายกรรมขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย
เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก เท่ากับกลับคำสัตย์
อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมาก
เขาจึงอาฆาตพยาบาท โยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ
นี่แหละที่อาตมาว่ามันไม่นาจะเป็นไปได้ อาตมาดูคนมาแยะ ๆ
หลายต่อหลายคนไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย
หลวงพ่อพูดจบคว้าบุหรี่มาดูดวาบ ๆ (หลวงพ่อไม่สูบบุหรี่ แต่หลวงพ่อนัดยานัตถุ์)
ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อเรื่องนี้ไม่จริง
ข้าพเจ้าปล่อยนกปล่อยปลาเมื่อปีกลายจริง
แต่เมื่อปล่อยลงน้ำลงคลองแล้วก็แล้วกันไม่เคยไปตามจับมากินอีก
เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนคือตัวที่ข้าพเจ้าปล่อยไปจะได้จับมากินได้ถูก เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้
และเวลาปล่อยก็ปล่อยครั้งละมาก ๆ ลูกปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ ครั้งละจำนวนร้อย ๆ ตัว
จะไปจำปลาแต่ละตัวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เรื่องที่หลวงพ่อว่า
จึงไม่มีทางจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน สงสัยหลวงพ่อดูผิดเสียแล้ว หลวงพ่อหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี
อาตมาไม่ได้ว่าโยมตั้งใจจะจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์มากิน
แต่อาตมาหมายความว่า โยมกินปลาที่โยมสะเดาะเคราะห์เข้าไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน แต่สรุปว่าโยมกินเขาเข้าไปแน่ ๆ โดยปราศจากข้อสงสัย
ลองไปนึกทบทวนดูให้ดีเถิด แล้ววันหลังค่อยมาคุยกันใหม่
แล้วเรื่องที่ผมมีเคราะห์กรรมอยู่เวลานี้ล่ะครับจะเป็นอย่างไรบ้าง
ข้าพเจ้าอยากรู้เหตุการณ์ในอนาคต
ตอนนี้พ้นระยะเคราะห์หนักแล้ว
ที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อย และค่อย ๆ หมดไปราว ๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม
ปีหน้าก็คงพ้นเคราะห์เด็ดขาด ไม่เป็นไร ขอชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดให้อาตมาไว้
แล้วอาตมาจะนั่งบริกรรมภาวนาให้เจ้าเวรนายกรรมเขาเห็นใจเลิกจองเวรจองกรรมเสีย
ท่านหันไปคุยกับคุณอำนวยและคนอื่น ๆ ที่มาคณะเดียวกัน
วันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นที่วัดอัมพวัน
เพราะเกรงจะกลับกรุงเทพฯ ค่ำ เพราะกำลังมีเคราะห์อยู่ด้วย
ต้องระวังตัวเกรงเกิดอุบัติเหตุ ในระหว่างทางขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ
ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าข้าพเจ้าไปจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์ไปแล้วเอามากินได้อย่างไร
ข้าพเจ้าไม่เคยประพฤติเช่นนั้นเลย ไม่น่าจะเป็นไปได้
การปล่อยปลาแต่ละครั้งก็ปล่อยจำนวนมาก ๆ และปล่อยในลำคลองหนองบึงเป็นส่วนใหญ่
และเมื่อปล่อยไปแล้วก็แล้วกัน ไม่เคยติดตามเอามากินอีกเลย
หลวงพ่อคงจะเลอะเลือนดูทางในผิดไปแน่ ๆ แต่ก็ใจไม่ดี
คิดว่าบางทีปลาตัวที่เราปล่อยต่อมา พวกจับปลามันจับได้เอาไปขายที่ตลาด
เด็กบ้านเราไปจ่ายกับข้าว ซื้อมาแกงเข้าพอดี
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน แต่โอกาสมีหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน
ต่อมาอีกหลายวันข้าพเจ้าจำได้ว่า
ทางอัยการเขาได้นัดส่งฟ้องข้าพเจ้าต่อศาลจังหวัดตราด
ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะจำเลยก็จะต้องเดินทางไปจังหวัดตราด เพื่อไปฟังคำฟ้องในศาล
หลังจากที่อัยการฟ้องเสร็จแล้วศาลก็นัดสืบพยาน โดยสืบพยานโจทก์ก่อนในชั้นต้น
ศาลได้นัดเดือนละ ๒ ครั้ง ก็เป็นอันตกลงกันทั้งอัยการ โจทก์ และทนายฝ่ายข้าพเจ้า
ทางฝ่ายโจทก์ก็ยื่นระบุพยานทั้งหมด ๓๗ ปาก ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ถ้าสืบพยานครั้งละ ๑
ปาก ปีหนึ่งก็จะได้ประมาณ ๒๔ ปาก กว่าจะเสร็จคดีก็คงราว ๆ ปีกว่า หรือ ๒ ปี
ทางทนายของข้าพเจ้าแนะนะให้เตรียมพยานเอาไว้บ้าง และให้ติดต่อกับเขาเสียแต่เนิ่น ๆ
ข้าพเจ้านึกถึงนายโกสุมคนขับรถของข้าพเจ้า ว่าเขาคงจะเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ดี
เพราะเขาอยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้าตลอดมา ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปไหนเขาก็มักจะไปด้วยเสมอ
ข้าพเจ้าจึงคิดว่า ควรอ้างเขาเป็นพยานสักคนหนึ่ง
เมื่อออกจากศาลแล้ว
ข้าพเจ้าก็ไปหาเขาที่บ้านพัก บ้านพักของเขาอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่าราชการจังหวัด
ที่ข้าพเจ้าเคยพักอยู่นั่นเอง เมื่อไปถึงไม่พบเขาอยู่ที่บ้าน
ได้สอบถามภรรยาเขาว่าเขาไปไหน ภรรยาเขาบอกว่า
โกสุมไปวิดปลาลอกสระอยู่หลังจวน
ข้าพเจ้าจึงเดินอ้อมไปทางหลังจวนจนถึงสระใหญ่
สระแห่งนี้มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏ สมัยโบราณไม่มีน้ำประปา
ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยก่อนได้ใช้น้ำในสระนี้อาบกิน แต่เมื่อมีน้ำประปาแล้ว
สระนี้ก็ทิ้งไว้เฉย ๆ มีต้นบัวอยู่เต็มสระ พอถึงหน้าแล้งเดือนมีนา-เมษา
น้ำก็จะแห้งจนถึงก้นสระ
โกสุมจึงถือโอกาสลอกสระแล้วเอาปล่าที่อยู่ในสระจำนวนมากมากินเป็นอาหาร
ต้มบ้างแกงบ้าง ย่างบ้างตามแต่จะชอบ
เมื่อข้าพเจ้าไปถึงปากสระ
โกสุมเห็นเข้าก็รีบตะกายขึ้นมาบนของสระชี้ให้ข้าพเจ้าดูปลาดุกปลาช่อนตัวขนาดเท่าแขนหลายตัวซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ในถัง
แต่ละตัวล้วนอ้วน ๆ ทั้งนั้น
ปลาดุกอุยแต่ละตัวเนื้อเหลืองท้องเหลืองอ๋อยน่ารับประทานเป็นอย่างมาก
ถ้าได้ย่างน้ำจิ้มปลาพริกมะนาวซอยหอมใส่นิดหน่อย กินกับข้าวร้อน ๆ
ก็คงจะอร่อยดีไม่น้อย คิดแล้วก็น้ำลายไหลด้วยความอยาก
ปลาดุกอุยตัวโต
ๆ ทั้งนั้น ข้าพเจ้ากล่าวขึ้นลอย ๆ
ปีกลายนี้ผมก็วิดบ่อหนหนึ่งแล้ว
ตอนนั้นท่านยังเป็นผู้ว่าอยู่ ผมยังเอาปลาไปให้ท่านกินตั้งหลายตัว ท่านคงจะจำได้ตอนนั้นมีทั้งปลาดุก
ปลาช่อน และปลาหมอ ท่านยังบอกว่าปลาดุกย่างอร่อยดี โกสุมชี้แจง
ข้าพเจ้าพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วมา
จำได้ว่าเมื่อข้าพเจ้าย้ายมาเมืองตราดใหม่ ๆ ข้าพเจ้าได้ไปตลาดและได้ซื้อลูกปลาดุก
ปลาหมอ ปลาช่อนเป็นจำนวนมาก มาปล่อยลงในสระแห่งนี้เพื่อสะเดาะเคราะห์
ตามคำทำนายของซินแสหมอดูจากจังหวัดระนอง ที่ทายว่าข้าพเจ้ากำลังมีเคราะห์ ให้รีบสะเดาะเคราะห์เสีย
หลังจากนั้นต่อมาอีกหลายเดือน
ประมาณ ๖-๗ เดือนเห็นจะได้
ผู้บัญชาการเรือนจำได้นำนักโทษหลายคนมาขออนุญาตข้าพเจ้าขุดลอกสระหลังจวน
โดยอ้างว่าสระตื้นเขินมากแล้ว ตอนนี้น้ำแห้งขอด ควรจะได้ขุดลอกเสีย
พอถึงหน้าฝนก็จะได้น้ำเต็มสระ และเป็นน้ำที่ใสสะอาดดี
กว่าที่จะปล่อยเอาไว้ให้ตื้นเขินอย่างนั้น ข้าพเจ้าผู้บัญชาการเรือนจำมีเหตุผลดี
จึงได้อนุญาตให้ขุดลอกสระแห่งนี้ได้
ซึ่งเขาได้นำนักโทษมาขุดลอกสระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
บังเอิญวันนั้นข้าพเจ้าจำได้ว่า
มีราชการไปออกท้องที่ประชุมราษฎรที่กิ่งอำเภอบ่อไร่กลับมาเย็นมากแล้ว
จึงได้ชวนพรรคพวกมานั่งตั้งวงดื่มสุรากันอยู่ที่บนนอกชานที่จวนนั่นเอง
การดื่มสุราของพวกราก็ไม่ได้ดื่มจนเมามายไม่ได้สติ
แต่เป็นการดื่มเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนรับประทานอาหารเย็นคนละแก้วสองแก้วก็เลิกกัน
ขณะที่นั่งดื่มเหล้ากันอยู่นั้น โกสุมก็เดินขึ้นมาบนจวนถือจานใบใหญ่มาหนึ่งใบ
ในจานมีปลาดุกย่างตัวโต ๆ เนื้อเหลืองอ๋อย ประมาณ ๓-๔ ตัว ข้าพเจ้ายังจำได้ติดตา
ว่าเย็นวันนั้นข้าพเจ้ากินข้าวกับปลาดุกย่างจิ้มน้ำปลาอย่างเอร็ดอร่อยเป็นกำลัง
เมื่อนึกได้ดังนั้น ก็เกิดเฉลียวใจแว่บขึ้นมาทันทีจึงได้ถามโกสุมว่า
ปลาดุกที่ลื้อเอาไปให้อั๊วกินเมื่อปีกลาย
เป็นปลาดุกที่วิดจากสระนี้หรือ
ใช่แล้วครับ
วันนั้นพวกผู้คุมเขาเอานักโทษมาขุดลอกสระ
ผมเลยถือโอกาสผสมโรงผลัดผ้าขาวม้าลงจับปลากับเขาด้วย
ผมได้ปลามาขังโอ่งไว้ตั้งหลายสิบตัว ผมเห็นปลาดุกตัวโต ๆ เนื้อเหลืองดี
เลยย่างเอาไปให้ท่านรับประทาน
เขากล่าวจบก็มองหน้าข้าพเจ้า
คล้ายจะถามว่าข้าพเจ้ามาถามเขาทำไม
ตายแล้ว
ถ้าอย่างงั้นก็คงเป็นปลาดุกที่ผมเอามาปล่อยตอนที่ย้ายมาเป็นผู้ว่าใหม่ ๆ ละซี
ปล่อยเขาแล้วเอาเขามากินอีก ยิ่งบาปกรรมหนักยิ่งขึ้น แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี
ข้าพเจ้าบอกโกสุมด้วยความกังวลใจ
แฮ่ะ แฮ่ะ
ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง เพราะเห็นว่ามันเนื้อเหลือง ๆ ตัวโต ๆ ก็คิดว่าท่านคงชอบ
ผมเองก็ไม่ทราบว่าท่านเอามาปล่อยไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
กินเข้าไปแล้วก็แล้วกันเถอะครับ เมื่อเราไม่เจตนาก็คงจะไม่บาปมากนัก
เขากล่าวปลอบใจข้าพเจ้า
ไม่บาปกะผีอะไร
หลวงพ่อท่านว่าแบบนี้บาปหนักมาก ต้องรับเคราะห์กรรมไปอีกนาน
ข้าพเจ้าบอกเขา
หลวงพ่ออะไรครับ
หลวงพ่ออ้า...เอ
อย่าไปรู้เลย ชั่งมันเถอะ พูดจบข้าพเจ้าก็ลาเขากลับ
ส่วนเรื่องที่จะขอให้เขาเป็นพยานก็ลืมไปสนิท เหมือนมีอะไรมาบังหัวใจเอาไว้
ที่คิดว่าจะพูดก็เลยไม่ได้พูด
ตอนขากลับจากจังหวัดตราดวิ่งรถเข้ากรุงเทพฯ
ข้าพเจ้าครุ่นคิดมาตลอดทาง นึกถึงคำพูดโต้ตอบของข้าพเจ้ากับหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน
เป็นไปไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ
ที่ผมปล่อยชีวิตเขาไปแล้ว จะไปจัดเขามากินอีก ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าปลาตัวไหนเป็นปลาที่ผมปล่อยไป
จะได้จับมากินได้ถูก ยิ่งกว่านั้นผมยังปล่อยปลาครั้งละเป็นร้อย ๆ ตัว
ยิ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย
เป็นไปได้แน่นอน
และก็เป็นแล้วด้วย อาตมานั่งทางในเห็นชัดเจนและก็ยังสงสัยอยู่ ว่า
ทำไม่โยมถึงทำเช่นนั้น
ข้าพเจ้าคิดสับสน
จนบอกไม่ถูกว่าทำไมเรื่องราวในชีวิตของเราเองจึงได้ยุ่งเหยิงสับสนวุ่นวายถึงขนาดนี้
----------------