ชีวิตผมดีขึ้นเพราะกรรมฐาน
เทอดศักดิ์
นาไชยธง
ผมเป็นชาวเพชรบูรณ์โดยกำเนิด
ปัจจุบันอายุ ๒๗ ปี ได้มีโอกาสรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเรือ ๒ ปี
หลังจากพ้นหน้าที่มาแล้วเมื่อ ๔-๕ ปีที่ผ่านมา ก็ช่วยพี่สาวดูแลโรงน้ำแข็งแห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรปราการ
ใกล้ ๆ กับพระสมุทรเจดีย์ บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา
ซึ่งนับเป็นอาชีพที่มั่นคงและมีรายได้ดีพอสมควร จึงทำมาจนถึงทุกวันนี้
โดยปกติแล้ว
ผมเป็นคนที่ไม่สู้จะมีจิตใจฝักใฝ่ทางพระ ทางธรรมเท่าใด ได้มีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ
จรัญและวัดอัมพวัน ก็เพราะการแนะนำของผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง คือ
นาวาเอกไพโรจน์ แก่นสาร แรก ๆ ที่ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อและคำสอนของท่าน
ก็รู้สึกสนใจเพียงเล็กน้อย จนเมื่อได้ยินบ่อย ๆ เข้าก็รู้สึกศรัทธามากขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อผมมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและการงานที่ทำอยู่ แล้วขอคำปรึกษาจาก
นาวาเอกไพโรจน์ ท่านก็ยกคำสอนของหลวงพ่อมาเตือนสติ
ให้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ผมจึงหาโอกาสมากราบหลวงพ่อที่วัดเป็นครั้งแรกในราวกลางปี ๒๕๓๙ ในการไปวัดครั้งนั้น
ผมขับรถไปกับเพื่อน ซึ่งต่างก็ไม่รู้จักทางเข้าวัด แต่ก็หาพบจนได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่สงบร่มรื่น และชุมชื่นใจนัก
ได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้ปฏิบัติธรรมก็นึกชอบ เพราะไม่วุ่นวายหรือส่งเสียงดัง
แยกอยู่เป็นสัดส่วน ไม่มีผู้ใดมารบกวนเลย แตกต่างจากวัดแถวบ้านผมเป็นอย่างมาก
จึงพูดทีเล่นทีจริงกับเพื่อนว่า ถ้าจะบวชก็ขอบวชที่วัดนี้แหละ สงบดี
หลังจากเดินชมบริเวณโดยรอบแล้ว
จึงแวะที่กุฏิหลวงพ่อ (ชั้นล่าง) นั่งรออยู่นานหลายชั่วโมงเหมือนกัน
จนหลวงพ่อลงมาพบญาติโยมที่รอกันอยู่จนแน่นห้องนั้น เมื่อรับถวายเครื่องสักการะต่าง
ๆ แล้วหลวงพ่อได้เมตตาให้พรและสอนธรรมะ คำสอนของท่านฟังดูทันสมัย
เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน
มีข้อคิดคติธรรมที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสม
ทำให้ผมมีศรัทธามากยิ่งขึ้นไปอีก
ต่อมาอีกไม่นานผมได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นครั้งแรก
เพียง ๓ วัน ได้รับกรรมฐานและฟังหลวงพ่อบรรยายธรรมในวันพระ ผมจำได้แม่นยำว่า
ท่านกรุณาสอนเรื่องพระคุณของมารดา บิดา
คำสอนของท่านช่างสะกิดใจผมเหลือเกิน เหมือนจงใจจะเทศน์โปรดผมโดยเฉพาะ
เนื่องจากผมเองเคยโกรธบิดา และไม่ยอมคุยด้วยเป็นเวลาประมาณสิบปีแล้ว
ถึงแม้วผมจะมาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ นาน ๆ จะกลับบ้านที่เพชรบูรณ์สักครั้ง
เมื่อพบกันก็ไม่พูดหรือทักทายท่านเลย จนนานวันเข้ากลายเป็นเรื่องปกติ
หลวงพ่อท่านสอนว่า ลูกคนใดถ้าไม่เคารพพ่อแม่
จะทำงานอะไรหรือประกอบการค้าใด ๆ ก็หาความเจริญรุ่งเรื่องไม่ได้เลยในชีวิต
ผมฟังคำสอนของหลวงพ่อแล้วก็หวนคิดถึงเรื่องของตัวเอง
เริ่มเกิดสำนึกดีงามและรู้บาปบุญคุณโทษในการกระทำที่ไม่ดีของตนมากยิ่งขึ้น
ในเรื่องการไม่พูดกับพ่อบังเกิดเกล้ามาเป็นเวลานาน
วันรุ่งขึ้น
ระหว่างที่ผมกำลังปฏิบัติธรรมร่วมกับหมู่คณะนั้น
ฉับพลันก็เกิดความรู้สึกคิดถึงบิดาขึ้นมาอย่างจับใจ อยากจะไปหาท่านในขณะนั้นเลย
มีความตื้นตันใจจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา อยากจะร้องไห้ออกมาให้หายอัดอั้นตันใจ
แต่ก็ไม่กล้า จำต้องข่มใจไว้ เมื่อครบกำหนดปฏิบัติ
ก่อนกลับบ้านก็หวนนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อในเรื่องความกตัญญูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ทำให้ความโกรธเคืองบิดาที่มีอยู่เดินจางหายไปสิ้น
รีบหาโอกาสกลับบ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์
พบบิดาจึงยกมือไหว้และเข้าไปทักทายพูดคุยกับท่าน ท่านรู้สึกงุนงง
เพราะคิดไม่ถึงว่าลูกที่มึนตึงกับท่านมานับสิบปีจะปฏิบัติดีเช่นนี้กับท่าน
เห็นได้ชัดเจนว่าท่านดีใจและมีความสุขมาก
ต่อมาเมื่อใกล้สิ้นปี
๒๕๓๙ สุขภาพร่างกายของผมไม่สู้ดี ล้มป่วยบ่อยมาก จนรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่ายอะไร ๆ
ไปเสียหมด พยายามรักษาอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก
จึงโทรศัพท์ไปเล่าในนาวาเอกไพโรจน์ ฟัง เพื่อขอคำปรึกษา
ท่านจึงแนะนำให้หาโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีก ซึ่งตรงใจผมพอดี เพราะคิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
ในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ผมมีเวลามากขึ้น อยู่ที่วัดราว ๗ ๘ วัน
ได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อหลายครั้ง
การเข้ากรรมฐานครั้งนี้ช่วยให้ผมรำลึกถึงบาปกรรมต่าง ๆ
ที่ทำไว้แต่หนหลังมากมายหลายเรื่อง รู้สึกเสียใจและได้คิดว่าไม่น่าทำลงไปเลย
หวนมาคิดถึงเรื่องอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของตนเอง ที่รักษาเท่าใดก็ไม่หายขาดสักที
เชื่อเหลือเกินว่าเป็นผลจากเวรกรรมที่ทำไว้อย่างแน่นอน
จึงขออโหสิกรรมและพร้อมที่จะชดใช้ให้หมดไป อะไร ๆ คงจะดีขึ้นมาเอง
ซึ่งก็ปรากฏจริงตามนั้นในภายหลัง กลับจากวัดคราวนี้สุขภาพกาย ใจ
ของผมเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ
ต้นปี ๒๕๔๐
ผมได้เข้าปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีกครั้งหนึ่ง
และบวชเป็นภิกษุประมาณหนึ่งเดือนในเวลาต่อมา ในวันบวชนั้น พ่อ แม่
พี่น้องของผมมากันพร้อมหน้า ผมรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยเฉพาะในขณะที่ก้มลงกราบเท้าบิดา มารดา และตอนปลงผม
ผมรู้สึกซึ้งใจในพระคุณของผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
กลั้นน้ำตาเอาไว้แทบไม่อยู่
ในระหว่างครองเพศบรรพชิตผมได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรม รวมทั้งกิจต่าง ๆ
ของสงฆ์เท่าที่โอกาสอำนวย พบภายหลังว่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทุเลาลงเป็นอันมาก
สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งร่างกายและจิตใจ
นับเป็นบุญโดยแท้ที่ผมได้มีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญและวัดอัมพวัน
หลังจากสึกขาลาเพศแล้วก็กลับมาทำงานที่เดิม
คือช่วยพี่ชายดูแลโรงน้ำแข็ง
มองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในชีวิตจิตใจของตนเอง จากคนที่ไม่เคยในใจในทางธรรมมาก่อน
(แต่ก็ไม่เคยลบหลู่ดูถูกพระพุทธศาสนา) กลับเข้าใจชัดในพระคุณของพระศรีรัตนตรัย ซึ้งใจว่า
วัดและพระพุทธศาสนาเป็นที่พึงทางใจของคนเราอย่างประเสริฐยิ่ง
ช่วยให้เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ และความผิดชอบชั่วดีมากกาว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก นิสัยใจคอก็ได้รับการขัดเกลาให้รู้จักเลือกประพฤติปฏิบัติแต่ในเรื่องที่ถูกต้องดีงาม
ปัจจุบันผมกล้ากล่าวอย่างภูมิใจว่า ผมมีความสุขเยือกเย็น มีจิตใจเมตตา
และโอบอ้อมอารีมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
การดำเนินชีวิตโดยรวมจึงมีความเป็นปกติสุขตามสมควร เพราะกรรมฐานแท้ ๆ ที่ช่วยให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงนี้
สุดท้ายนี้
ผมขอกราบแทบเท้าขอบพระคุณหลวงพ่อจรัญ
ที่ได้เมตตาสอนธรรมะที่ช่วยเปลี่ยนนิสัยให้ดีกว่าเก่า
รวมทั้งครูบาอาจารย์กรรมท่านทุกท่านที่ช่วยอบรมสั่งสอนแนะนำการปฏิบัติธรรม
ตามแนวทางอันถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา ที่หลวงพ่อได้วางให้ลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติ
อีกท่านหนึ่งซึ่งผมจะลืมขอบคุณไม่ได้ก็คือ
นาวาเอก ไพโรจน์ แก่นสาร
ซึ่งเป็นผู้ชี้นำให้ผมมีโอกาสมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญและวัดอัมพวัน
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
--------------------