ปาฏิหาริย์มีจริง

 

นันทา ตันชูเกียรติ

พล.ต.ต. อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ

พันธ์ณี กุหลาบทิพย์ (ตันชูเกียรติ)

R12001

 

         เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ข้าพเจ้าได้ดูทีวีวันอาทิตย์ตอนเช้า สมัยก่อนจะมีรายการธรรมะ เวลาประมาณ ๘ โมงเช้า แทบทุกช่องจะมีพร้อมกัน ข้าพเจ้าเปิดทีวีเป็นประจำทุกเช้าวันอาทิตย์ เพื่อฟังธรรมะสม่ำเสมอ วันนั้นเผอิญข้าพเจ้าเปิดช่องที่มีหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี แสดงธรรมะ โดยมีคุณดวงตา เป็นพิธีกร ข้าพเจ้าได้นั่งฟังหลวงพ่อแสดงธรรมะตั้งแต่ต้นจนจบ และอยากฟังต่ออีก แต่เสียดายมีการต่ออาทิตย์ต่อไป ข้าพเจ้าก็ได้ติดตามจนจบ ๒ อาทิตย์ วันจันทร์ข้าพเจ้ามาทำงานก็ได้ถามพนักงานในบริษัทว่า ใครได้ฟังหลวงพ่อแสดงธรรมะเมื่อเช้าวันอาทิตย์หรือไม่ ใครพอจะทราบไหมว่าวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี อยู่ที่ไหน อยากไปฟังท่านเทศน์ที่วัดจังเลย รู้สึกศรัทธาเลื่อมใส มีความสุขมากเมื่อได้ฟังท่านสอนธรรมะ แม้เพียง ๒ ครั้งเท่านั้นทางทีวี เผอิญพี่สะใภ้ที่ทำงานร่วมกันบอกว่า พี่ชายเราเองนั่นแหละได้ไปกราบหลวงพ่อหลายครั้ง และหลายปีแล้ว ฝึกปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อด้วย มันเหมือนปาฏิหาริย์จริง ๆ ข้าพเจ้าเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า อยากไปเห็นไปกราบตัวจริงท่าน จึงบอกพี่ชายคือ คุณอธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ขณะนี้ดำรงตำแหน่ง พล.ต.ต. แล้ว ซึ่งก็ได้บารมีท่านที่ช่วยคุ้มครองและเตือนสติสั่งสอนให้กับพี่ชายของข้าพเจ้ามาตลอด พี่ชายของข้าพเจ้าก็รับปากจะพาไป พร้อมกับนัดวันคือจะไปในเวลาเย็น ๆ เพื่อจะได้มีมีโอกาสกราบนมัสการหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด เย็นวันหนึ่งพวกเราก็ออกเดินทางไป ข้าพเจ้าชวนพี่สาวคนโตไปด้วยคือ คุณนันทา ตันชูเกียรติ ปกติพี่สาวก็ไม่ชอบไปวัดเท่าไร ชอบกราบไหว้พระพุทธรูปและให้ทานดีกว่า เพราะเคยพบพระสงฆ์บางรูปที่ไม่น่าเลื่อมใสจึงทำให้ศรัทธาในข้อนี้เสื่อมลงไป แต่ด้วยบารมีของหลวงพ่อดลบันดาลให้พี่สาวตกลงไปด้วย ทำให้ข้าพเจ้าปีติยินดีมาก จะได้เกิดความศรัทธาขึ้นมาอีกครั้ง เพราะในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะบนกันไป วันแรกที่พวกเราเข้าพบหลวงพ่อทำให้เราผิดหวังเหมือนกัน พอพบหน้าท่านแล้ว ท่านดูไม่ใส่ใจกับพวกเราเลยจนพวกเราชักหมดความอดทน ไปตั้งไกลพอไปถึงหลวงพ่อไม่ยอมพูดกับพวกเราเลย จนกระทั่งเป็นเวลานานพอสมควร หลวงพ่อจึงละจากงานที่เขียนอยู่เงยหน้าขึ้นพูดกับพวกเราแล้วบอกว่า เรารู้แล้วว่า พวกโยมมีความศรัทธาที่จะมาหาหลวงพ่อจริง ๆ หลวงพ่อจะดูใจซิว่าพวกโยมจะรอและมีความอดทนได้แค่ไหน พวกเราโล่งอกและมีความสุขมากที่หลวงพ่อมีเมตตากับพวกเรา เริ่มคุย เริ่มสั่งสอนพวกเราให้ปฏิบัติตนตามที่ท่านชี้แนะ ข้าพเจ้าได้ไปกราบท่านครั้งนี้ครั้งแรก รู้สึกปลาบปลื้มมากมีความสุขทางใจอย่างยิ่งยวด ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำอยู่แล้ว มีเวลาก็จะนั่งกรรมฐาน เพราะชอบที่จะสวดมนต์ไหว้พระตลอด มันเป็นความสุขทางใจ พอหลวงพ่อชี้แนะเสริมให้อีกในการสวดมนต์ เพื่อเป็นศิริมงคลชีวิตให้เสริมบารมีขึ้นไปอีก ข้าพเจ้าก็ถือไปปฏิบัตินับแต่นั้นมา แต่ที่ปาฏิหาริย์มากก็คือพี่สาวของลูกไม่เคยอดทนรอใครอยู่แล้ว พอมาถึงที่วัดต้องมีความอดทนรอหลวงพ่อจะเมตตา ทำให้พี่สาวของข้าพเจ้าตั้งแต่ได้กราบหลวงพ่อมาจนกระทั่งบัดนี้ ใจเย็นสุขุมไม่เกรี้ยวกราด มีสติมากขึ้น นั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรมได้นานขึ้น จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน การงานต้องปกครองพนักงานเกือบ ๑,๐๐๐ คน ก็ใจเย็นไม่ฉุนเฉียว เวลานี้กลับเป็นฝ่ายชักชวนเพื่อนฝูงและผู้ใต้บังคับบัญชาให้เข้าหาธรรมะปฏิบัติธรรมกัน นับแต่นั้นมาพวกเราพอมีเวลาก็จะขับรถไปกราบหลวงพ่อบ่อยครั้งขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือโรคภัยไข้เจ็บที่เคยเป็นก็ทุเลาลงมาก ไม่ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลบ่อยเหมือนเมื่อก่อนนี้ ในระยะ ๒ – ๓ ปีหลัง ไม่เข้าโรงพยาบาลเลย ความดันกับโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ยาที่เคยทานลดปริมาณลงอย่างเห็นใดชัด หน้าตาสดใสและสดชื่น คนเราถ้ามีความสุขทางใจแล้วโรคต่าง ๆ ก็จะไม่เยี่ยมกรายมา เพราะมีสติปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อชี้แนะ ความสุขก็เกิดขึ้นความสบายใจก็ตามมา ร่างกายแข็งแรง พี่สาวประหยัดค่ารักษาไปมากทีเดียว เพราะไปแต่ละครั้งก็ไม่ต่ำกว่า ๒ – ๓ พันบาททุกครั้ง หลวงพ่อมีเมตตาให้กับญาติโยมทุกคนที่ไปถึงวัด จะเทศน์จะสอนอบรมและเป็นห่วงเรื่องอาหารการกิน กลัวพวกเราจะหิวกัน ก็ให้หาข้าวหาน้ำทานให้อิ่ม ท่านมีเมตตามากมายเหลือเกิน ต่อมาพวกเราก็พาหลานชายไปบวชและปฏิบัติธรรม เพื่อได้ใกล้ชิดกับหลวงพ่อและได้ปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ และสถานที่ก็เงียบสงบ ขณะนี้ได้สึกออกมาแล้ว ซึ่งหลานชายคนนี้เมื่อก่อนเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก จะโมโหง่าย ต้องปกครองพนักงานค่อนข้างจะใช้แต่อารมณ์ แต่เดี๋ยวนี้สุขุมเยือกเย็นและมีเหตุผลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องมาจากความเมตตาของหลวงพ่อที่ได้อบรมสั่งสอนธรรมให้รู้แจ้งชัดขึ้น

            เหตุการณ์ต่อมาที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังคือ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๘ พี่ชายของข้าพเจ้าคือ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ได้นั่งรถกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีก ๒ คนไปราชการ จ.นครสวรรค์ โดยออกจากกรุงเทพฯ เช้ามืดไปจนเกือบจะถึง จ.นครสวรรค์ รถก็ประสบอุบัติเหตุ ดูสภาพรถแล้วไม่น่าจะรอดเลยทั้ง ๓ คน คนขับตายคาที่ ส่วนพี่ชายนั่งหลังถูกอัดอยู่ในรถ อีกคนหนึ่งกระเด็นออกมาไม่เป็นอะไรเลย พี่ชายอยู่ในอาการขั้นโคมา ขาหัก แขนหัก สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักเลยจำอะไรไม่ได้ เลือดออกในสมอง ทางโรงพยาบาลบอกว่าเป็นตายเท่ากัน พวกเราพี่น้องทุกคนพร้อมทั้งพี่สะใภ้รีบนั่งรถไปโรงพยาบาลนครสวรรค์ เห็นสภาพแล้วพวกเราทำใจว่าไม่มีทางรอด ตลอดระยะเวลาที่เดินทางพวกเรานึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา ขอบารมีท่านเมตตาช่วยส่งกระแสจิตให้กับพี่ชายของข้าพเจ้าด้วย ขอภาวนาว่าพี่ชายของเราเป็นคนดีไม่เคยทำความเดือดร้อน ไม่เคยเบียดเบียนใคร มองคนในแง่ดี มีเมตตาช่วยเหลือคน และปฏิบัติธรรมะมาตลอดตามที่หลวงพ่อได้ชี้แนะสั่งสอน พวกเราสวดมนต์ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และขอบารมีหลวงพ่อจรัญช่วยให้พี่ชายของข้าพเจ้าจงปลอดภัย และต่อสู้ความเจ็บปวดทั้งหมดได้ในที่สุด พวกเราต้องรีบนำเข้าโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เพราะอาการน่าวิตกมาก การเดินทางที่นำคนเจ็บมาซึ่งอยู่ในขั้นอันตรายนี้มันเสี่ยงมาก แต่เราจำเป็นจริง ๆ เพราะเราทราบดีว่าอาการอย่างนี้ต้องรีบหาเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย พวกเราเลยตัดสินใจนำเข้ากรุงเทพฯ ทันทีในวันนั้น ระหว่างทางข้าพเจ้านั่งมากับรถโรงพยาบาล พี่ชายของข้าพเจ้ามีอาการดิ้นทุรนทุรายมาก เราสวดมนต์ภาวนาตลอดทางขอให้การนำเข้ากรุงเทพฯ อย่าได้มีอุปสรรคใด ๆ ขอให้รถไม่ติด เพราะเข้ามากรุงเทพฯ เวลานั้นประมาณ ๔ โมงเย็นแล้ว สภาพรถคงติดแน่นอน เหมือนปาฏิหาริย์การนำเข้ามาไม่ติดขัดเลย แต่อาการของพี่ชายต้องการความช่วยเหลืออย่างด่วน พอถึงโรงพยาบาลแพทย์รีบทำการผ่าตัดและเช็คสมองทันที ในระหว่างที่ถึงมือแพทย์ พวกเรานึกขึ้นได้ว่าต้องรีบแจ้งให้หลวงพ่อจรัญทราบด่วน เพื่อขอบารมีท่านช่วยด้วย พอพี่สะใภ้โทรไปได้เรียนหลวงพ่อให้ทราบ หลวงพ่อบอกว่า หลวงพ่อทราบแล้วและได้ไปที่เกิดเหตุแล้ว ขอเจ้าที่ตรงนั้นให้แล้วว่าไม่ให้เอาชีวิตพี่ชายของข้าพเจ้าไป เพราะคนนี้เป็นคนดีจะต้องทำงานให้ประเทศชาติได้อีกนาน ขอหลวงพ่อเถิด พวกเราตกใจมากว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไร หลวงพ่อตอบเราว่าทราบเองไม่ต้องมีใครบอก พี่สะใภ้แจ้งว่า เวลานี้คนเจ็บเข้าผ่าตัดด่วนหลวงพ่อโปรดช่วยให้ปลอดภัยในการผ่าตัดด้วย พวกเราฟังหลวงพ่อตอบมาพวกเราขนลุกซู่เลย ว่าทำไมหลวงพ่อทราบได้อย่างไร ว่าที่เกิดเหตุตรงไหนและที่เกิดเหตุนั้นอยู่แถว ๆ ศาลพระภูมิที่มีผู้คนไปทิ้งไว้มากมายก่ายกองทีเดียว อาจจะมีเหตุอะไรที่รุนแรงบ่อยแถวบริเวณนั้นเสมอ หลวงพ่อบอกพวกเราว่าไม่ต้องห่วง หลวงพ่อจะช่วยแผ่เมตตาให้ พวกเราปลาบปลื้มและเป็นกำลังใจให้พวกเราไม่ท้อถอยเลย เพราะสภาพคนเจ็บน่าเวทนาจริง ๆ พอออกจากผ่าตัด คุณหมอแจ้งว่าอาการไม่น่าเป็นห่วงจะดูแลอย่างใกล้ชิด มีอย่างเดียวคือทางสมอง เพราะบวมมาก อาจจะความจำเลอะเลือนไปได้ แต่ต้องใช้เวลานานหน่อย พวกเราก็โล่งอกไป เพราะทางร่างกายนั้นไม่น่าห่วงแล้ว หลังจากออกจากห้องผ่าตัดและอยู่ ไอ.ซี.ยู. พักฟื้นเกือบ ๒ เดือน จึงย้ายมาอยู่ห้องคนไข้นอกได้ ใช้เวลารวม ๖ เดือน อาการทางสมองยังจำไม่ค่อยได้ดีเท่าไร ไม่ทราบว่าใครเป็นใครเลย พวกเราก็ถามว่ารู้ไหมว่าหลวงพ่อจรัญมาแผ่เมตตาให้ พี่ชายบอกว่าเห็นหลวงพ่อมาที่โรงพยาบาลด้วย มายืนอยู่ข้างเตียงตอนออกจากห้องผ่าตัด พวกเราตกใจใหญ่เลย พูดจริง ๆ หรือ พี่ชายบอกว่าจริง ๆ มายืนดูเขา แต่ตัวเขาพูดกับหลวงพ่อไม่ได้ ยกมือไหว้ก็ไม่ได้ เพราะโดนมันแขนและขา พร้อมทั้งที่ปากก็มีสายยางอยู่ด้วย พวกเราทุกคนปีติยินดีมาก และสุขใจที่อาการของพี่ชายดีวันดีคืน พวกเราช่วยกันสวดภาวนาและขอพรจากหลวงพ่อจรัญ แรงศรัทธาของพวกเราพร้อมด้วยบารมีของหลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้พี่ชายปลอดภัยในที่สุด

            ต่อมาพี่สาวคนถัดจากข้าพเจ้าไปอยู่อเมริกากับลูกชายคนโตซึ่งศึกษาอยู่ที่นั้น เพื่อดูแลลูกชายและรักษาสุขภาพด้วย พี่สาวของข้าพเจ้าไปได้ไม่ถึงปีก็เกิดล้มป่วย น้ำหนักลดลงเรื่อย ๆ จาก ๖๕ กิโล เหลือเพียง ๓๘ กิโลเท่านั้น ทำอะไรก็เพลีย เบื่ออาหาร ไม่ยอมให้ทางบ้านที่กรุงเทพฯ ทราบ เพราะกลัวพวกเราเป็นห่วง ไปรักษาหมอทางโน้นตลอดมา เช็คทุกอย่างหาสาเหตุไม่พบว่าเกิดจากอะไร น้ำหนักก็ลดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุด้องส่งเข้าพักรักษาที่โรงพยาบาล หลานชายจึงโทรมาแจ้งทางกรุงเทพฯ ว่าแม่ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้ว หมอหาสาเหตุไม่พบ ตรวจเลือดออกไปจนพรุนไปทั้งตัวแล้ว หมอก็หมดปัญญา นับวันก็มีแต่ทรุดลง ทางบ้านพวกพี่ ๆ จึงให้ข้าพเจ้าบินไปดูและคุยกับหมอให้ละเอียดอีกครั้ง พอข้าพเจ้าไปถึงอาการของพี่สาวก็ดีขึ้นเล็กน้อย ทานข้าวได้ไม่อาเจียน พวกเราสันนิษฐานคงเป็นโรคทางจิต ต้องพบจิตแพทย์ดีกว่า อาจจะมีอะไรกังวลซึ่งแพทย์ย่อมรู้ดี ข้าพเจ้าดูแลสักระยะหนึ่งได้คุยกับหมอก็ลงความเห็นว่าต้องพบแพทย์ด้านจิตแพทย์ดีกว่า พอรู้ว่าควรพบจิตแพทย์ ข้าพเจ้าก็เริ่มสอนธรรมะและให้ปฏิบัติสวดมนต์ไหว้พระ แต่พี่สาวของข้าพเจ้าไม่มีแรงที่จะนั่งหรือสวดมนต์เลย ทำอะไรก็เหนื่อยตลอดเหมือนหมดกำลังใจ ลูกชายที่อยู่ด้วยก็เป็นเด็กดีไม่เกเร แต่อาจจะห่วงเพราะมีลูกชายคนเล็กที่ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ยอมไปกับแม่ ลูกชายคนเล็กก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย พี่สาวจึงจำเป็นต้องทิ้งไว้ เพราะห่วงลูกชายคนโตกำลังจบการศึกษาปีหน้านี้แล้ว อยากจะเข้มงวดให้รีบจบ ๆ เร็ว ๆ เพราะรุ่นเดียวกันจบหมดแล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยกระตือรือร้น แม่ต้องคอยผลักดันให้รีบ ๆ จบ อาจจะเป็นสาเหตุอันนี้ แต่หมดสันนิษฐานว่าไม่น่ารุนแรงขนาดนี้ ทำให้ร่างกายทรุดอย่างฮวบฮาบอย่างนี้ ข้าพเจ้าดูแลประมาณ ๒ อาทิตย์ ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ ก็ปลอบใจเป็นกำลังใจและบอกว่าให้กลับกรุงเทพฯ ดีกว่า มาอยู่ใกล้พี่ใกล้น้อง เพราะถ้าเป็นอะไรไปทางนี้มีลูกชายคนเดียวดูแล อยู่กรุงเทพฯ ญาติพี่น้องมีมากมายจะได้ช่วยปรนนิบัติ พี่สาวก็ไม่ยอม บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว หมอเปลี่ยนยาให้ใหม่คงดีขึ้น ข้าพเจ้าก็เลยบินกลับมาประมาณ ๒ เดือนต่อมา ลูกชายก็โทรมาบอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว ตัวลูกชายอยากให้ไม่กลับมารักษาที่เมืองไทยดีกว่า เพราะแทนที่เขาต้องรีบเรียนก็ต้องคอยมาดูแลตลอดเวลา ไม่มีคนช่วยเขา จะทำให้การเรียนล่าช้าไปอีก หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับจากอเมริกาครั้งแรก ตัวลูกชายส่งแม่เข้าโรงพยาบาล ๒ – ๓ ครั้งแล้ว ครั้งนี้เห็นว่าควรรีบนำกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า เพราะอาการแย่มากทีเดียว ข้าพเจ้าจำเป็นต้องบินไปอีกครั้ง ก่อนไปข้าพเจ้าชวนพี่ชายและพี่สาวคนโตไปกราบหลวงพ่อจรัญ เพื่อขอบารมีท่านให้ช่วยแผ่เมตตาให้พี่สาว ระหว่างเดินทางบนเครื่องบินขออย่าให้มีอาการขึ้นที่รุนแรง เพราอยู่บนเครื่องบินคงทำอะไรไม่ได้ เวลาบินก็ยาวนานมาก อาจจะทรุดฮวบลงไป พลวงพ่อบอกพวกเราว่าเอากลับมาเถิด ในระหว่างทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะปลอดภัย จะช่วยให้เดินทางปลอดภัย พวกเราก็อุ่นใจขึ้นที่ได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบและรับปากจะช่วยแผ่เมตตาให้ ข้าพเจ้าก็เดินทางไปถึง ไปหาพี่สาวที่โรงพยาบาลเลย เห็นอาการแล้วคิดว่าคงรับกลับทันทีไม่ได้แน่นอน เพราะเรี่ยวแรงไม่มีเลย อ่อนเพลีย น้ำหนักก็เพียง ๓๗ กิโลเท่านั้น ผอมมาก กลัวนำขึ้นเครื่องความกดอากาศข้างบน อาจทำให้หายใจไม่ทันและเหนื่อยอาเจียน ทรุดหนักไปอีก จึงขอให้หมอช่วยให้น้ำเกลือในช่วงนี้ตลอดและหมอก็ลงความเห็นว่าคงไม่เป็นอะไร น่าจะนำกลับเมืองไทย จะพยายามให้ยาให้หลับในระหว่างบิน ข้าพเจ้าสวดมนต์ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และหลวงพ่อจรัญช่วยข้าพเจ้านำพี่สาวกลับด้วยความปลอดภัย พอเครื่องจะขึ้น ข้าพเจ้ายกมือไหว้ขออย่าให้พี่สาวเป็นอะไร ถ้าจะเป็นก็ขอให้ถึงกรุงเทพฯ เพราะมีพี่ ๆ หลายคน ข้าพเจ้าขอปวารณาจะปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่วัดหลวงพ่อจรัญ ๓ วัน เหมือนปาฏิหาริย์ ก่อนขึ้นเครื่องข้าพเจ้าบอกให้พี่สาวทานยาที่หมอให้มาก่อนขึ้นเครื่อง ทุกครั้งที่ทานยาพี่สาวจะอาเจียนออกมา แม้กระทั่งน้ำเปล่าดื่มไปนิดหน่อยก็อาเจียน แต่วันนั้นไม่มีอาการเลย กลืนได้ ระหว่างอยู่ในเครื่องบินพี่สาวทานอาหารทุกมื้อที่พนักงานมาเสริฟได้จนหมดเกลี้ยงตลอดการเดินทางไม่มีอาเจียน พอทานเสร็จก็หลับได้ตลอด ตรงข้ามกับข้าพเจ้าซึ่งมีกังวลอย่างมาก ทำให้ไม่หลับและทานไม่ได้ ต้องคอยดูแลอาการ กลัวเขาจะเป็นอะไรไป แต่ในใจนึกอยู่ว่า เห็นไหม? เพราะเราปฏิบัติธรรมมาตามที่หลวงพ่อจรัญสั่งสอน และด้วยบารมีของหลวงพ่อจึงถึงกรุงเทพฯ อย่างปลอดภัย กลับมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาเกือบ ๓ เดือน สาเหตุก็ยังไม่พบ จนพวกเราพาพี่สาวไปกราบขอพรจากหลวงพ่อ ซึ่งขณะนั้นยังป่วยอยู่ต้องหิ้วกันไป หลวงพ่อก็สอนให้คติกับพี่สาว พร้อมทั้งพี่สาวก็เห็นทุกคนรอบตัวหันมาพึ่งพาความสุขทางใจกับหลวงพ่อ และทุกคนก็มีความสุข พี่สาวที่ป่วยอยู่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และอาการก็ค่อยทุเลาขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งเอาลูกชายคนเล็กไปกราบหลวงพ่อจรัญด้วย เวลานี้อาการของพี่สาวหายเป็นปลิดทิ้ง น้ำหนักขึ้น ๕๐ กิโลกว่าแล้ว กลับไปอยู่อเมริกาพร้อมทั้งลูกคนเล็ก ซึ่งกลายเป็นเด็กไม่เกเรแล้ว กลับมาตั้งใจเรียนอีกครั้ง หลวงพ่อบอกต้องให้ความอบอุ่นกับเด็ก เขาต้องการความรักความอบอุ่นจากเราซึ่งเป็นแม่ เด็กก็จะไม่ว้าเหว่ คำสั่งสอนของหลวงพ่อให้คติกับครอบครัวพี่สาวเป็นอย่างสูง กลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่น และสุขภาพดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

         ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้กราบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็สวดมนต์ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว อ่านหนังสือพระบ้าง ชีวิตในครอบครัวก็ราบเรียบไม่ดีและไม่ร้าย มีลูกสาวคนเดียว ตัวข้าพเจ้าจะกังวลตลอดตัดไม่ได้ ห่วงทั้งการเรียน ห่วงอุบัติเหตุ และภัยสังคมต่าง ๆ กลัวจะมาถูกต้องลูกสาวคนเดียวของข้าพเจ้า ถึงแม้ข้าพเจ้าสวดมนต์ไหว้พระแต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี จนข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อถึงที่วัดอัมพวันแล้ว ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกสบายใจและเป็นสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และสวดพาหุงตลอดมา ความสุขในครอบครัวเริ่มเด่นชัดขึ้น ลูกสาวสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ทั้งครอบครัว ๓ คน พ่อ แม่ ลูก มีความอบอุ่นและมีความสุขมากขึ้น ส่งผลให้ครอบครัวของเรามีความสุข ซึ่งผิดกับสมัยก่อน ข้าพเจ้าจะอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมลงให้ใครแม้กระทั่งพี่ ๆ ทุกคน นั่งสวดมนต์ไหว้พระได้นานไม่หงุดหงิด ท่องอิติปิโสตามอายุและบวกไปหนึ่ง บางที่ก็เกิดหนึ่งด้วยซ้ำ จะท่องได้ตลอดแม้กระทั่งนั่งรถมีคนขับ ข้าพเจ้าก็สามารถท่องได้จนคล่องโดยที่ไม่ต้องใช้ไม้ขีดนับครั้ง นึกในใจใช้สมาธิก็ทราบเมื่อสวดจบแล้ว พร้อมกับท่องพาหุงทุกคืน

         ข้าพเจ้าพร้อมทั้งพี่ ๆ ทุกคน ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อจรัญที่มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา ที่ท่านช่วยเมตตาสอนธรรมให้พวกเราได้เห็นทางสว่าง สำคัญที่สุดคือมีสติก่อนทำอะไรก็จะได้ผลสำเร็จ และทำจิตใจให้สงบ ความสุขอยู่ที่ใจเรา ถ้าจิตใจเราไม่บริสุทธิ์ก็ทำให้ทุกอย่างไม่ประสบผลสำเร็จ

         สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงช่วยคุ้มครองให้หลวงพ่อมีพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยืนยาวนาน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและภยันตรายทั้งปวง อยู่เป็นมิ่งขวัญและที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชนตลอดกาลนานเถิด.....