เพลงกรรม
ดร.
รัตนา โพธิสุวรรณ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงสั่งสอนสัตว์โลกว่า เรามีกรรมนำมาเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย...
เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
หลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล
(หลวงพ่อจรัญ)
...พระอริยสังฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็เป็นอีกองค์หนึ่งทีย้ำคำว่ากรรม...
และกฎแห่งกรรมมีอยู่จริงดังที่ เรา..ท่าน ทั้งหลายได้ประจักษ์ในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ
ที่หลวงพ่อได้เมตตาเผยแพร่ให้กับประชาชนได้รับรู้
และหาวิธีชดใช้กรรมพร้อมทั้งสอนให้รู้จักวิธีสร้างเสริมบุญบารมี
เพื่อหลีกเลี่ยงกรรมชั่ว
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม
และเคารพบูชาศรัทธาในบารมีที่หลวงพ่อเพียรพยายามสร้างสมเสมอมา
จึงรู้สึกปีติยินดีมากที่ได้มีส่วนร่วมในการเขียนประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม
และเล่าถึงเพลงกรรมที่ดิฉันได้ผ่านพบและเผชิญ... ตามดิฉันมาสิคะ
แล้วท่านจะรู้ว่าดิฉันผ่านพบและเผชิญอะไร
ดิฉันเป็นเด็กบ้านนอก
เกิดและเติบโตมาจากครอบครัวพ่อค้าผู้มีอันจะกิน ของอำเภอศรีเชียงใหม่
จังหวัดอุบลราชธานี มีคุณพ่อฤทธิ์ คุณแม่อวน
หิมะคุณ เป็นผู้ให้กำเนิด พี่น้องอีก ๗
คนของดิฉันได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีจากบุพการี
พวกเราถูกอบรมสั่งสอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษมาตั้งแต่เด็ก ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ คุณพ่อ-คุณแม่เองจะทำให้ลูก ๆ
ดูเป็นตัวอย่างเสมอ
เพราะนอกจากข้าว...ของ...เงินทองที่ส่งให้บุพการีของท่านมิได้ขาดแล้ว
ท่านยังต้องส่งลูกของท่านไปปรนนิบัติดูแลคุณตา คุณยายเป็นรุ่น
ๆ ..ดิฉันเองก็เป็นลูกคนหนึ่งที่ถูกเลือก
เมื่อต้องไปอยู่กับคุณตา
คุณยาย ชีวิตที่ใกล้วัดก็เริ่มขึ้น...
เพราะคุณยายเป็นผู้ใฝ่ธรรมอย่างแท้จริง เช้าตรู่ของแต่ละวัน
ดิฉันจะเห็นคุณยายเตรียมข้าวให้คุณตาไปใส่บาตร
สายมานิดหนึ่ง...จะเห็นเด็กวัดถือปิ่นโตจากหน้าบ้านไปให้คุณยายใส่อาหารคาวหวานจนเต็มเถา
แล้วถือกลับมาคืนให้เด็กวัด...นี่คือกิจวัตร...และทุกวันพระแปดค่ำ สิบห้าค่ำ
ไม่ว่าจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรม ดิฉันมีหน้าที่เตรียมดอกไม้ธูป-เทียนให้คุณยาย
เพราะคุณยายต้องไปนอนที่วัดเพื่อรักษาอุโบสถศีล
หลังจากกลับจากวัดคุณยายจะมีนิทานชาดกเรื่องต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังทุกครั้ง ดิฉันจะนั่งเกาะเข่าคุณยาย
พร้อมทั้งเงยหน้าอ้าปากฟังเรื่องกฎแห่งกรรมจากคุณยายด้วยความกระตือรือร้นเสมอ
อยู่มาวันหนึ่ง..คุณยายไม่เล่านิทานชาดก แต่ยกของจริงขึ้นมาพูด
คุณยายยกมือข้างซ้ายของท่านขึ้นมาและบอกว่า นี่แก้ว
(ชื่อที่คุณยายเรียกดิฉัน) ดูนิ้วนางข้างซ้ายของยายสิ
ดิฉันจับมือคุณยายพลิกดูก็เห็นว่านิ้วนางข้างซ้ายของคุณยายอยู่ในสภาพที่หักงอ
คุณยายบอกว่า นี่คือกรรมที่ยายทำไว้กับแมว
แล้วท่านก็เล่าว่า ท่านตีแมวตัวหนึ่งที่มาขโมยข้าวซึ่งท่านเตรียมไว้ให้ลูก ๆ
ท่านกิน ..ด้วยความโมโหสุดขีด ท่านตีมันด้วยมือซ้ายจนขามันลาก คุณยายเล่าต่อไปว่าแมวขาหักและร้องลั่นพร้อมทั้งหันมามองคุณยายด้วยน้ำตาไหลพราก
แล้วมันก็ลากขามันหายลับไปจากบ้านนับตั้งแต่วันนั้น และแล้ว
...กรรมก็สนองคุณยายในบัดดล...เพราะด้วยแรงโกรธที่คุณยายใส่ลงไปในมือขณะที่ตีแมว
ทำให้นิ้วนางข้างซ้ายของคุณยายพลิกตามแรงดิ้นของแมวและกระดูกข้อนิ้วหัก
ได้รับความทรมานไม่แพ้แมวเลย คุณยายย้ำว่า อย่างสร้างกรรมชั่วนะลูก...อย่าตีแมวนะแก้ว...ยายคงต้องชดใช้กรรมให้เขามากกว่านี้แน่ และสิ่งที่คุณยายคาดเดาก็เป็นจริง
เพราะในเวลาต่อมา ก่อนที่คุณยายจะเสียชีวิตประมาณ ๒ ปี คุณยายก็เป็นอัมพาตเดินไม่ได้
ต้องลากขา... กระเถิบกายด้วยแขนทั้งสองข้าง มีลูกหลานคอยอุ้มปรนนิบัติ
และก่อนวาระสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง
...คุณยายหายใจหอบเสียงคล้ายแมวที่ได้รับความทรมาน
แต่ในที่สุดคุณยายก็ลาโลกไปด้วยความสงบ
ในท่านอนพนมมือที่เงียบกริบ..นี่คือเพลงกรรมที่ดิฉันได้ผ่านพบ
คำสอนของคุณยายยังก้องอยู่ในหูและสำนึกอยู่ในใจตลอดว่า...กรรม...ตามสนองคนในชาตินี้
ดิฉันจึงเริ่มสนใจในการศึกษาธรรมะ
ได้มีโอกาสฟังธรรมและถามปัญหาธรรมจากครูบาอาจารย์หลายท่านเช่น หลวงพ่อชา
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี...พระอาจารย์ฝั้น วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร...หลวงตามหาบัว
ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
จ.นครราชสีมา...พระคุณเจ้าดาบส สุมโน อาศรมเวฬุวัน จ.เชียงราย
และได้เรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย
ศูนย์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย และหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล วัดอัมพวัน
จ.สิงห์บุรี จนดิฉันมั่นใจว่าดิฉันเลือกทางเดินของชีวิตถูกต้องแล้ว
และเมื่อต้องเผชิญกรรมก็ขอชดใช้กรรมโดยไม่เกี่ยงงอน
การเผชิญกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อดิฉันรับราชการอยู่สำนักการปฏิรูปที่ดิน
จังหวัดเชียงราย ที่นั่น..หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ด้านบริหารธุรกิจ
จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดิฉันได้รับการบรรจุเป็นนักวิชาการเงินและบัญชี ๓
เมื่อทำงานได้ประมาณ
๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๒๘) ดิฉันได้ขอลาศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้
สาขาเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ ในระหว่างเทอมเรียนที่สองนั้น ดิฉันเกิดป่วยเป็นโรค Endometriosis
(เป็นซีสเล็ก ๆ ตามผนังรังไข่) ซึ่งมีอาการปวดท้องและประจำเดือนมาผิดปกติ
ได้รับความปวดทรมานมาก ในช่วงปิดเทอม
ดิฉันเข้ารับการตรวจเช็คที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
และได้รับคำสั่งจากคุณหมอให้ผ่าตัดด่วนในวันตรวจเช็คนั่นเอง ทั้งนี้เพราะก้อนเนื้อเล็ก
ๆ ของซีส ได้โตขึ้นและกดทับไส้ติ่งที่เกือบจะแตกอยู่แล้ว
ดิฉันได้รับความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยอย่างแสนสาหัสและกลัวความตายมาก
พร้อมกันนั้นก็สงสัยว่าตัวเองทำกรรมอะไรไว้ ทำไมจึงต้องผูกผ่าตัด
เพราะในขณะนั้นดิฉันยังไม่รู้จักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เคยฝึกเฉพาะสมถกรรมฐานเท่านั้น
จึงไม่สามารถที่จะรู้กรรมของตัวเองได้
เมื่อดิฉันออกจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาเปิดเทอมพอดี
ดิฉันไปเรียนหนังสือด้วยความยากลำบากและใช้ความพยายามมากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ
เพราะว่าดิฉันต้องทานยาและต้องพักผ่อนตามที่หมอสั่ง ชีวิตช่วงนั้นเป็นความลำเค็ญที่ไม่คิดว่าตัวเองต้องผ่านพบและเผชิญ
แต่เมื่อก่อนมันเกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้
ดิฉันต้องไปพบหมอเพื่อตรวจเช็คผลหลังการผ่าตัดเป็นประจำทุกเดือน...อาการน่าเป็นห่วงมาก...เพราะก้อนเนื้อเล็ก
ๆ ที่หมอเลาะออกในการผ่าตัดครั้งก่อนได้เกิดขึ้นอีก และเติบโตขึ้นทุกวัน
จนครั้งล่าสุดของการตรวจเช็คฝ่าพบว่า ก้อนเนื้อโดยประมาณ ๖ ซ.ม.
คุณหมอตัดสินใจให้มีการผ่าตัดครั้งที่สอง
แต่ในครั้งนี้ดิฉันได้รับคำแนะนำจากจ้องคนหนึ่ง
ซึ่งไปช่วยเก็บข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์ว่า ทำไมไม่ลองไปพบหลวงพ่อดาบส สุมโน
ที่อยู่ท้ายไร่บุญรอดฯ ที่เชียงราย เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง
มีหลายคนที่เป็นมะเร็งไปพบท่าน แล้วดื่มน้ำมนต์ที่ท่านให้มาก็หายจากโรคมะเร็ง
ดิฉันฟังดูแล้วก็เห็นเป็นเรื่องตลก เพราะไม่เคยเชื่อเรื่องน้ำมนต์รักษาคนได้
แต่เมื่อนึกอีกทีก็ตัดสินใจไปพบหลวงพ่อดาบส เพราะถือว่าไปทำบุญก่อนที่ผ่าตัดในอีก
๒ เดือนข้างหน้า ดิฉันไปโดยไม่รู้ว่าวัดอยู่ที่ไหน แต่ก็ถามคนไปตลอดทาง
เมื่อได้กราบหลวงพ่อดาบส
ดิฉันถามท่านว่าหากดิฉันจะใช้ธรรมะรักษาโรคที่ดิฉันเป็นอยู่จะได้หรือไม่?
หลวงพ่อดาบสมองมาที่ดิฉันและนิ่งไปครู่ใหญ่ ๆ แล้วท่านก็บอกว่า ลองอธิษฐานจิตดูสิ
เพราะเรามีความดีแผ่ออกมาจากตัวอยู่แล้วนี่ ดิฉันก้มกราบท่านพร้อมกับอธิษฐานว่า
ดิฉันจะเพิ่มการสวดมนต์จากวันละครั้งก่อนนอนเป็นวันละ ๒ ครั้ง คือ เช้าและก่อนนอน
และจะทำทุกอย่างที่เป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนา
เมื่อดิฉันกลับถึงบ้านก็ได้ทำตามที่อธิษฐานจิตไว้อย่างเคร่งครัด
โดยจะบอกตัวเองว่า อย่ากินก่อนให้ทาน
และอย่าออกจากบ้านก่อนรักษาศีล
ดิฉันทำอย่างนี้อย่างต่อเนื่องนับแต่วันอธิษฐานจิต จนกระทั่งถึงวันนัดผ่าตัด
ดิฉันไปพบหมอตามนัด และจองเตียงผ่าตัดไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อหมอทำอัลตราซาวด์เพื่อดูขนาดและตำแหน่งของซีสแล้ว ก็พบว่าทุกอย่างหายไปหมด
คุณหมอแปลกใจและเช็คอีกจนแน่ในว่าก้อนเนื้อนั้นฝ่อไปแล้ว
คุณหมอแสดงความยินดีกับดิฉันที่ไม่ต้องผ่าตัดอีก
สำหรับตัวดิฉันเองไม่ต้องพูดถึง...ดีใจอย่างสุด ๆ... ดิฉันรีบไปพบหลวงพ่อดาบส
บอกท่านว่าธรรมะรักษาโรคของดิฉันได้..ดิฉันไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
และได้ขออนุญาตท่านพิมพ์หนังสือสวดมนต์ เพื่อเผยแพร่ให้คนทั้งหลายได้ช่วยกันสวด
เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวผู้สวดเอง
กรรมที่ดิฉันจะต้องเผชิญยังไม่สิ้นสุด
เมื่อดิฉันรายงานตัวกลับเข้าทำงานหลังจากเรียนจบปริญญาโท
ดิฉันได้เผชิญกับความอิจฉาริษยากันในที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานไม่ชอบผู้บังคับบัญชา
มีการทำบัตรสนเท่ห์เสนอกรม โดยกล่าวหาว่าผู้บังคับบัญชาทุจริต ประพฤติมิชอบ
และหนึ่งในข้อกล่าวหาคือ ผู้บังคับบัญชามีความประพฤติฉันท์ชู้สาวกับลูกน้อง
ซึ่งคือตัวดิฉันเอง
ดิฉันรับรู้ข่าวด้วยความโกรธแค้น
และต่อมากลายเป็นความเศร้าสลด พยายามถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรา
ทำไมในขณะที่เราปฏิบัติธรรมอย่างเชื่อมั่นและได้ถือศีลแปดในวันพระ
แต่ผลที่ได้รับกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม
พร้อมทั้งเกิดความกังขาว่าทำไมทำดีแล้วจึงได้รับสิ่งชั่วเป็นของตอนแทน?
โดยในขณะนั้นดิฉันหารู้ไม่ว่าเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติได้ติดตามดิฉันมาอย่างใกล้ชิดแล้ว
ดิฉันต้องตอบคำถามของนายตำรวจกองปราบปราม
ในเรื่องการใช้จ่ายเงินงบประมาณของผู้บังคับบัญชา
และตอบคำถามในข้อกล่าวหาที่ดิฉันถูกพาดพิง ดิฉันตอบนายตำรวจกองปราบปรามไปว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดิฉันไม่ทราบว่าจะตอบท่านอย่างไร
แต่บอกได้แค่ว่าดิฉันถือหลัก ๓ ข้อในการดำรงตนคือ ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ทำผิดศีลธรรม
และไม่ทำผิดประเพณี
ฉะนั้นในวินาทีที่ตอบคำถามของท่านนี้ก็ตอบได้อย่างมั่นใจว่าดิฉันยังสามารถเคารพนับถือตัวเองได้อยู่
ว่าไม่ได้ทำผิดอะไรไปจากหลัก ๓ ข้อที่ดิฉันยึดถือ ในที่สุดผลการพิจารณาของตำรวจ
ปรากฏว่าผู้บังคับบัญชาพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด...
สำหรับดิฉันเองรู้สึกสูญเสียความรู้สึกที่ดี ๆ
กับเพื่อนร่วมงานที่เป็นต้นเหตุบางคนไป และคิดว่าไม่สามารถร่วมทำงานกับเขาได้อีก
ดิฉันตัดสินใจที่จะขอย้ายจาก ส.ป.ก. เชียงรายไปอยู่ที่อื่น จึงไปกราบลาหลวงพ่อดาบส
โดยบอกท่านเพียงว่าคิดอยากจะย้ายเท่านั้น
หลวงพ่อดาบสมองหน้าดิฉันสักพักแล้วท่านก็บอกว่า ไม่ต้องย้ายหรอก
อยู่พิสูจน์ตัวเองสิ ใครกล่าวหาเราว่ายังไง กาลเวลามันจะพิสูจน์เองว่ามันไม่ใช่
แล้วท่านยังบอกต่อว่า หากย้ายตอนนี้ จะไปแบบเคว้งคว้างเอาดีไม่ได้
แต่ถ้าถึงเวลาจะได้ไปเองโดยเราไม่ต้องขอ แล้วจะดีด้วย
ดิฉันตกตะลึงในคำตอบของท่านและถามว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน
หลวงพ่อดาบสยิ้มเย็น ๆ และไม่ยอมตอบคำถาม
แต่ท่านบอกไปว่าให้หมั่นสวดมนต์ปฏิบัติธรรม
และอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเสียนะ
ดิฉันกลับจากวัดแล้วมานั่งทบทวนว่าทำไมหลวงพ่อดาบสถึงรู้ปัญหาของดิฉัน? ฉะนั้น
ทั้ง ๆ ที่ใจไม่คิดอยากจะอยู่ทำงานที่เดิมแล้ว
แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่หลวงพ่อดาบสบอกต้องเป็นจริง เลยพยายามสงบสติอารมณ์
ทำบุญสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวร และอธิษฐานจิตว่า เอาล่ะ
หากกลุ่มคนที่กล่าวร้ายป้ายสีเรานี้เป็นเจ้ากรรมนายเวรจากอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ
(ซึ่งคิดไม่ออกว่าทำอะไรให้เขา) เราก็อโหสิกรรมให้ท่าน
จะไม่มีการจองเวรจองกรรมกันอีก แต่หากไม่เคยมีเวรมีกรรมต่อกันมาก่อน
ความใดที่ท่านทั้งหลายกล่าวหาเราแล้วไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเราไม่ขอรับ
มันจะกลับไปสู่เจ้าของหรือตกต้อง ณ ที่ใดก็สุดแล้วแต่
ดิฉันกราบพระสวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเช่นว่าทุก
ๆ วัน ในที่สุดดิฉันก็ได้ย้ายไปอยู่ ส.ป.ก. นครนายก
และได้ตำแหน่งสูงขึ้นพร้อมทั้งได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ๒ ขั้นในปีถัดมา
ในช่วงปี
๒๕๒๘ ซึ่งเป็นช่วงที่ดิฉันเผชิญกรรมตามที่กล่าวมาแล้วนั้น
ดิฉันได้มีโอกาสกราบนมัสการหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ที่กรุงเทพฯ
ในงานขึ้นบ้านใหม่ของคุณพี่สุกัญญา อาทร ลิขิต ซึ่งพี่ทั้งสองคนเป็นผู้ที่ดิฉันเคารพรักเสมือนญาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพี่สุกัญญา
ผู้ถือได้ว่าเป็นยอดกัลยาณมิตรของดิฉัน...ดิฉันกราบหลวงพ่อด้วยความปีติ
พอพูดกับท่านน้ำตาดิฉันก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย จนผู้คนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลวงพ่อชี้หน้าดิฉันบอกว่าไปปฏิบัติธรรมที่วัดเรา ๗ วันนะ จะเห็นผล
ดิฉันรับปากกับหลวงพ่อว่าดิฉันจะพยายามหาโอกาสไปวัดอัมพวันให้ได้
แต่ก็จนใจเพราะพอคิดถึงระยะทางแล้วดูช่างไกลกันเหลือเกิน (ในขณะนั้น)
โดยหารู้ไม่ว่าหลวงพ่อท่านรู้แล้วว่าดิฉันต้องผจญกรรม
แต่มันคงเป็นกรรมที่ดิฉันต้องเผชิญและชดใช้ จึงไม่มีโอกาสไปวัดอัมพวันตามที่ให้สัญญากับหลวงพ่อได้
พอย้ายไปอยู่
ส.ป.ก.นครนายก (ปี ๒๕๓๓) ดิฉันได้ญาติธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่สุรีย์
ชุ่มมณีกุล หัวหน้าฝ่ายสำรวจฯ หรือพี่สมพร ธิราทิพย์ ฝ่ายบริหารการปฏิรูปที่ดินฯ
พวกเราจะไปวัดปฏิบัติธรรมกันเสมอ และอยู่มาวันหนึ่ง (ปี ๒๕๓๕)
พี่สมพรก็มาชวนดิฉันไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
จ.สิงห์บุรี...สัญญาที่ให้ไว้กับหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล
ผุดขึ้นมาในใจทันทีและบอกตัวเองว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะได้ไปพบและทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับหลวงพ่อ