ญาติธรรม

นางมลทิพย์ บัวพุ่ม

R12012

 

            สะดุดใจ...หน้าจอโทรทัศน์

            “เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งเปลี่ยนช่อง ขอฟังพระองค์นี้ท่านเทศน์หน่อยค่ะ”  ข้าพเจ้าสะดุดตา สะดุดใจ เมื่อได้เห็นพระรูปนี้ท่านกำลังเทศน์ในรายการของคุณกรรณิกา ธรรมเกษร ก็สนใจในคำสอน ที่คมคายชัดถ้อยชัดคำ สำนวนโวหารเต็มไปด้วยคำคล้องจอง ฟังเพลิดเพลิน พร้อมทั้งท่วงท่าในการเทศน์ จะมีมือยกประกอบตลอดเวลา และข้าพเจ้านึกในใจว่า “เทศน์สนุก ชวนฟังดีจังเลย” แต่ข้าพเจ้าก็มิได้ติดตามแต่อย่างใด ว่าท่านชื่ออะไร อยู่วัดไหน ถ้าเช้าวันหยุดเปิดพบก็จะนั่งฟังราวกับถูกมนต์สะกด จะเป็นอย่างนี้อยู่เป็นประจำ จนในที่สุดก็ได้ทราบว่า พระองค์นี้ชื่อว่า “หลวงพ่อ จรัญ แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงหบุรี ก็แค่นั้นค่ะ

            ติดใจ....หลวงพ่อเจริญ ในนิยาย

          ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากผู้ปกครองเด็กท่านหนึ่งท่านนำมาให้ทุกปักษ์ คือหนังสือกุลสตรี ข้าพเจ้าติดใจลีลาการเขียนของ คุณสุทัสสา อ่อนค้อม จนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบผู้ปกครองท่านนั้น ก็ได้พูดกับท่านว่าติดใจนิยายของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม จังค่ะ ผู้ปกครองท่านนั้นได้บอกว่า อ๋อ...หลวงพ่อเจริญ ก็คือ หลวงพ่อจรัญ นั่นเอง ข้าพเจ้าติดใจแม่ชีก้อนทอง ถึงกับพูดว่า ถ้าได้เจอจะกราบงาม ๆ สักครั้งค่ะ

            อธิษฐานจิต  อยากกราบแม่ชีก้อนทอง

          วันหนึ่งข้าพเจ้าเหมือนมีอะไรมาดลใจ ให้เดินทางไปที่ห้องสมุดของโรงเรียน ตามปกติก็มักจะเป็นคนชอบอ่านนวนิยาย แต่วันนั้นข้าพเจ้าได้เดินเข้าไปที่หมวดหนังสือศาสนา เดินเปิดไปเรื่อย ๆ มือก็ได้ไปหยิบหนังสือชื่อ กฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ ของพระราชสุทธิญาณมงคล ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้จักชื่อนี้มาก่อน แต่ก็ได้นำมาอ่านในเล่มที่ ๑ ข้าพเจ้าได้อ่านไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาสะดุดใจ เอ๊ะ!...คลับคล้ายคลับคลากับเรื่องของพระเจริญ ในเค้าเรื่องของ หลวงพ่อจรัญ ท้ายสุดก็ได้อ่านไปถึงเรื่องราวของหลวงพ่อกับแม่ชีก้อนทอง พร้อมทั้งมีรูปประกอบ ข้าพเจ้าได้เห็นรูปแม่ชีก้อนทอง ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหล ยกมือขึ้นกราบรูปท่านในหนังสือ พร้อมทั้งนั่งน้ำตาไหลขนลุกอยู่นาน อธิษฐานจิต ดลใจ ข้าพเจ้ารู้สึกเหลือเชื่อจริง ๆ ค่ะ

            ซึ้งใจ.... ในธรรมบรรยาย

            ข้าพเจ้ามีคุณแม่ป่วยเป็นอัมพาต ได้พักอยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าและครอบครัวได้ดูแลรักษาปรนนิบัติอย่างดี ก่อนที่ท่านจะเป็นอัมพาต ท่านเป็นอัมพฤกษ์มาก่อน ท่านยังเดินได้โดยใช้ไม้เท้า ข้าพเจ้าชอบพาท่านไปเที่ยวอยู่เสมอ ในตอนที่ท่านปกติอยู่ แม้ถึงตอนที่เป็นอัมพฤกษ์ก็ยังพาไปชายทะเล เดินบ้าง อุ้มบ้าง จนในที่สุดท่านก็เป็นอัมพาต เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลประสาทนานเกือบ ๔ เดือน คุณหมดได้ให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน ช่วงนี้เองข้าพเจ้าได้นำหนังสือ กฎแห่งกรรม มาอ่านในภาคธรรมบรรยาย อ่านไปอ่านมาข้าพเจ้ารู้สึกสงสารท่าน เพราะบางครั้งท่านน้ำตาไหล ข้าพเจ้าจะอ่านเนื้อหาที่ฟังง่าย ๆ อ่านจนครบทั้ง ๑๐ เล่ม พร้อมทั้งตั้งใจจะไปเที่ยววัดอัมพวันให้ได้ อยากจะเห็นหลวงพ่อจรัญสักครั้ง ให้ท่านพูดกับเราสักคำ และคิดว่าถ้าได้ไปปฏิบัติธรรมจะอยู่ ๗ วัน นี่คือความตั้งใจของข้าพเจ้า

          ใครไม่มีบุญ มาวัดนี้ไม่ได้

            ข้าพเจ้าสงสัยในคำพูด อันท้าทายของหลวงพ่อที่ว่า “ใครไม่มีบุญ มาวัดนี้ไม่ได้ มาได้เฉพาะคนมีบุญเท่านั้น” ข้าพเจ้าตั้งสัจจะไว้ว่าจะมาอยู่วัดนี้ให้ได้ จะมาเอาของดีของวัดนี้กลับไปให้จงได้ ถ้ามาจะต้องอยู่ ๗ วัน

            ใกล้ปิดภาคเรียนที่ ๑ ทางโรงเรียนมีโครงการจัดอบรมที่วัดอัมพวัน มีทั้ง ๓ วัน และ ๕ วัน ทางโรงเรียนจัดรถรับส่ง พร้อมทั้งออกค่าอบรม ส่วนการทำบุญพวกครูของจัดกันเอง ปรากฏว่ามีผู้สนใจ ๒๓ ท่าน ก่อนไปคุณครูใหญ่ ท่านได้เรียกประชุมนัดหมาย ว่าใครจะอยู่ ๓ วัน หรือ ๕ วัน มีข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่บอกว่าจะอยู่ ๗ วัน และนำรถไปเอง โดยไม่รู้สึกกังวลใด ๆ ว่าจะอยู่ได้หรือไม่ ก่อนวันเดินทางมีครูอาวุโสท่านหนึ่งมาหาข้าพเจ้าบอกว่าอยากไป แต่รถคันอื่นเต็มหมด ข้าพเจ้าบอกว่ายินดี และร่วมอนุโมทนาด้วย รถข้าพเจ้ายังว่าง ครูท่านนั้นดีใจใหญ่ ในที่สุดมีครูร่วมอบรม ๒๔ ท่าน

          ถึงบ้าน... ของข้าพเจ้าแล้ว

            ข้าพเจ้าได้ขับรถมารับเพื่อน ๆ ๓ คน พร้อมทั้งช่วยบรรทุกกระเป๋าของเพื่อน ๆ ทุกคนจนเต็มรถ ข้าพเจ้าออกเดินทางเวลา ๗.๓๐ น. ถึงวัดเวลา ๙.๔๕ น. ระยะทาง ๑๓๐ กม. จากกรุงเทพฯ ขับรถไปต้องมองหลักกิโลเมตรกันไปตลอดทาง พอถึงทางเข้าวัด ข้าพเจ้าได้ไปจอดรถที่หลังโบสถ์ แล้วก็เดินหาพวกเพื่อน ๆ ข้าพเจ้าได้พูดว่า “ถึงบ้านของฉันแล้ว รู้สึกอบอุ่น คุ้นเคย” ข้าพเจ้ามองหาที่จอดรถใหม่ ได้ถามลุงคนหนึ่งว่ามาจอดหน้ากุฏิหลวงพ่อได้ไหม ลุงท่านนั้นตอบว่าจอดได้ (ต่อมาภายหลังทราบชื่อว่า ลุงปุ่น) ขณะที่ข้าพเจ้าเลื่อนรถมาจอดได้มีลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นทหารมาบอกว่า “จอดไม่ได้ จอดไม่ได้” ข้าพเจ้าก็บอกว่า “จะมาปฏิบัติ ๗ วัน รถยังผ่อนไม่หมดเพิ่งถอยมา ๕ เดือน ใจจะสงบได้อย่างไรเจ้าคะ” พอพูดจบ ทหารผู้นั้นบอกว่า “เอ้าจอดได้ จอดได้ ถอยชิด ๆ หน่อย” “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

            เวลาเพล ผู้รับศีล ๘ เตรียมตัวไปรับประทานอาหาร พอเวลาบ่ายโมงครึ่งทุกคนไปพบผู้อบรมที่หอประชุมภาวนา – กรศรีทิพา ได้เริ่มฟังบรรยายภาคทฤษฎี การอบรมครั้งนี้มีผู้ร่วมอบรมจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น อีกจำนวน ๑๒๐ คน ซึ่งอบรมวันที่ ๒ – ๕ ตุลาคม ส่วนของโรงเรียนข้าพเจ้าวันที่ ๒ – ๖ ตุลาคม

            หลวงพ่อได้มาทำพิธีเปิดการอบรมในเวลา ๒๑.๐๐ น. ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่คนแรกแถวหน้า ส่วนเพื่อนที่นั่งคู่กันข้าง ๆ เป็นเพื่อนร่วมห้องที่จะมาปฏิบัติ ๕ วัน ข้าพเจ้านั่งฟังหลวงพ่อเทศน์สายตาจ้องไม่กระพริบ ตั้งใจมาปฏิบัติเพื่อ อุทิศส่วนกุศลให้กับมารดาของข้าพเจ้า ในใจตั้งสัจจะไว้แน่วแน่ ท่านได้เทศน์ตรงใจข้าพเจ้าเหมือนท่านมานั่งอยู่กลางใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอธิษฐานจิตว่าถ้าท่านลงจากอาสนะก็ขอท่านกล่าวทักสักคำเถิด พอถึงเวลาที่ท่านจะกลับกุฏิ ท่านลงมายืนอยู่แถวหน้าข้าพเจ้าได้กล่าวทักทายหลายคำ พร้อมทั้งบอกว่าขาดเหลืออะไรให้บอกได้ ข้าพเจ้าปีติจนหน้าตาซึม ข้าพเจ้าเจอแล้ว พบแล้ว พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก่อนนอนคืนนั้น เพื่อนที่พักห้องเดียวกันกับข้าพเจ้าบอกว่าจะอยู่ ๗ วันด้วย ข้าพเจ้าเลยได้มีเพื่อนปฏิบัติ ๗ วัน

            วันที่สองของการอบรม (๓ ต.ค.) ก็เริ่มปฏิบัติ เดินจงกรมและนั่งสมาธิ ข้าพเจ้าได้พบกับเวทนาซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนจริง ๆ ข้าพเจ้าได้ทราบจากนิมิตว่าการฆ่าสัตว์ถึงแม้จะไม่ตั้งใจก็เป็นบาปทั้งนั้น นิมิตในวันแรกเกิดเวทนา ได้รู้ว่าเอามือไปจับขามดแดงขณะมันเดิน ขามันหลุดตายไป

            นิมิตที่สองทราบว่า ไปจับไก่แล้วเอาเอ็นผูกขาไก่ แล้วไปผูกกับต้นไม้ เพื่อไม่ให้มันเดินเข้ามาย่ำในบ้าน จนขาของไก่โดนเอ็นบาดลึกลงไป ทำให้ข้าพเจ้าปวดตาตุ่มเหลือเกิน

            นิมิตที่สามทราบว่า ไปฆ่าปูนา เอาตัวมันกดลงไปในดินจนขามันหลุด ข้าพเจ้าเลยปวดขาทรมาน

            วันที่สามของการอบรม (๔ ต.ค.) ก็เริ่มปฏิบัติ เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ข้าพเจ้าตั้งสัจจะว่า จะปฏิบัติให้ได้ จนในที่สุดข้าพเจ้าเกิดเวทนา เกิดปีติ ข้าพเจ้าปฏิบัติจนหมดเวลา อาจารย์ที่ควบคุมเดินเข้ามา ตีที่หัวไหล่ ๒ ที พูดว่า “เก่งมาก” ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจในคำชมปริศนานั้น

            ตกเย็นพวกเพื่อน ๆ ที่มาปฏิบัติ ๓ วัน จะลากลับได้ไปดักพบหลวงพ่อ แต่ไม่ได้พบเพราะแขกเยอะมาก ข้าพเจ้าได้ไปนั่งฟังหลวงพ่อเทศน์โปรดญาติโยม ข้าพเจ้าถือโอกาสเข้าไปนั่งฟัง ประนมมือ จ้องมองด้วยใจปีติ ชื่นชมบารมี ก็ได้เห็นหลวงพี่องค์หนึ่งมาจ้องดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ดิฉันไม่ได้มาขออะไรหลวงพ่อเจ้าค่ะ อยากจะชื่นชมบารมีนาน ๆ เพราะมาไกล ขอชื่นชมบารมีให้ชื่นใจหน่อยเจ้าค่ะ” หลวงพี่ท่านยิ้มด้วยความเมตตา พูดคุยซักถามเหมือนลูกหลานของท่าน

            ตอนเย็น ก่อนหลวงพ่อจะลงทำวัตรเย็น ข้าพเจ้าไปยืนดูหลวงพ่อที่หน้ากุฏิ ในใจคิดว่า คุณแม่ของข้าพเจ้าอาการจะเป็นอย่างไร แม่....แม่ ท่องในใจอยู่อย่างนั้น สายตาก็จ้องมองอยู่ที่ท่าน หลวงพ่อท่านโปรดญาติโยมอยู่ สายตาท่านเหลือบขึ้นมามอง ข้าพเจ้าก็ยืนจ้องอยู่นาน จนในที่สุดได้เวลาที่ท่านจะเดินไปทำวัตรเย็น ข้าพเจ้าก็ไปดักพบท่านด้านหน้าจนได้บอกกับท่านว่า อยากจะคุยกับหลวงพ่อ เรื่องคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาต ท่านตอบด้วยความเมตตาว่า “มาซิคืนนี้” ข้าพเจ้าถึงกับตื้นตันจนพูดอะไรไม่ถูกเลยเจ้าค่ะ

            หลังจากข้าพเจ้าอบรมเสร็จเวลา ๒๑.๐๐ น. ข้าพเจ้าได้ไปหาหลวงพ่อ ขณะนั้นมีญาติโยมระดับชั้นผู้ใหญ่พบอยู่ ข้าพเจ้าเข้าไปกราบท่านที่หน้ากุฏิ เสร็จแล้วก็เดินเข่าเข้าไป พอดีกับญาติโยมเขาได้เปิดโอกาสให้เข้าไปบ้าง ข้าพเจ้าไปจนติดอาสนะ ก้มลงกราบ ๓ ครั้ง

หลวงพ่อท่านทักว่า             “เป็นอย่างไรนั่งกรรมฐาน น่ะ”

ข้าพเจ้าตอบว่า                       “ชื่นใจเจ้าค่ะ”

หลวงพ่อพูด                            “คลื่นไส้ เหรอ”

ข้าพเจ้า                                   “มิใช่เจ้าค่ะ ชื่นใจเหลือเกิน เจ้าค่ะ”

หลวงพ่อ                                  “นั่งกรรมฐานกันให้ได้ นั่งแล้วจะดี...”

                                      “นี่ครูมาแตร์ เขามานั่งกรรมฐานกัน นี่จบอนุบาลแล้วซินะ”

ข้าพเจ้าถามต่อ                       “แล้วจะขึ้นประถม ๑ ได้ไหมเจ้าคะ”

หลวงพ่อตอบว่า                      “ได้ ฝึกเข้าไว้ ฝึกปฏิบัติกันให้มาก ๆ จะช่วยแก้กรรมของเราได้”

ข้าพเจ้าพูด                              “หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันมาตามคำท้าทายของหลวงพ่อเจ้าค่ะ”

หลวงพ่อ                                  “อาตมาไปท้าทายอะไร ไหนว่ามา”

ข้าพเจ้าตอบ                            “ก็หลวงพ่อบอกว่า ใครไม่มีบุญ มาวัดนี้ไม่ได้ เจ้าค่ะ”

หลวงพ่อหัวเราะพร้อมทั้งชี้มือไปยังญาติโยมว่า “อ๋อ งั้นพวกนี้ก็มีบุญกันทั้งนั้นนะซิ”

ข้าพเจ้าพูดว่า                         “หลวงพ่อเจ้าขา ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้คุณแม่ของดิฉันที่ป่วยอยู่ค่ะ”

หลวงพ่อถาม                           “อายุเท่าไร”

ข้าพเจ้าตอบ                            “๗๔ ปี ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เจ้าค่ะ”

ท่านก็ไม่ตอบอะไรหันไปอวยพรญาติโยมที่ลากลับ

ข้าพเจ้าพูด                              “หลวงพ่อเจ้าขา ยังตอบไม่ตรงคำถามเลยเจ้าค่ะ”

หลวงพ่อพูด                            “อีกไม่นาน ให้ทำใจนะ แล้วจะแผ่เมตตาให้”

ข้าพเจ้าได้ฟังน้ำตาไหลปรี่ ซาบซึ้งเป็นที่สุด

            ในคืนนั้น ข้าพเจ้าเศร้าปนปีติบอกไม่ถูก เข้านอนโดยนั่งสมาธิก่อน ประมาณเกือบชั่วโมงก็ปิดไฟนอน ส่วนเพื่อนหลับไปนานแล้ว ข้าพเจ้านอนสมาธิโดยกำหนด พองหนอ ยุบหนอ ไม่ทราบว่านานเท่าไร ขณะที่เข้าสมาธิอยู่นั้นข้าพเจ้าสติดี ปรากฏว่าหลวงพ่อเข้ามาในสมาธิของข้าพเจ้า เห็นหน้าท่านชัดเจน ท่านได้พูดกับข้าพเจ้าว่า แผ่เมตตาให้เรียบร้อยแล้วนะ ขณะที่เห็นภาพท่านจะมีเสียงสวดมนต์กระหึ่มไปหมด พอหลวงพ่อพูดจบ ข้าพเจ้ายกมือไหว้ท่านทั้ง ๆ ที่นอยู่ปากก็พูดว่า “กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ” แล้วท่านก็หายไป ข้าพเจ้าก็หลับไปในที่สุด

            ในวันที่ห้าของการอบรม (๖ ต.ค.) ช่วงเช้าก็เป็นปกติ หลังเพลพวกเพื่อน ๆ ก็กลับกันหมด ข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคน ก็ตกลงกันว่าจะปฏิบัติที่ห้อง โดยจัดห้องที่หน้าบันไดเป็นห้องสวดมนต์ และได้มีคนขอนแก่นพี่น้องชาย – หญิง ร่วมปฏิบัติด้วย รวมมี ๔ คน

            ช่วงบ่าย แยกกันปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้ใช้ห้องนั้น (สวดมนต์) เดินจงกรม นั่งสมาธิ ตั้งสัจจะ เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง ขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น ได้ปรากฏนิมิตเห็นคุณตาคุณยาย จูงมือวิ่งขึ้นบันได ท่านพูดว่า “มาเร็ว ดูที่ห้องนี้กัน” ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำ วันนั้นใกล้จะหมดเวลานั่งสมาธิ เกิดเวทนาใจแทบขาด แขนกระตุก กิ๊ก กิ๊ก เกิดนิมิตว่า ข้าพเจ้าขับรถทับลูกสุนัขในหมู่บ้านเมืองทอง ข้าพเจ้าไม่ได้เจตนา เพราะสุนัขวิ่งเข้ามาที่ล้อหลังทั้ง ๆ ที่ขับช้า ๆ ในใจนึกว่ามันคงวิ่งมาไม่ทันหรอก สุดท้ายตาย แข้งขากระตุก ข้าพเจ้าได้รับเวทนาครั้งนี้แรงเหลือเกิน

            ตอนค่ำเริ่มทำวัตรเย็นกัน ๔ คน เสียงสวดมนต์ลั่นวัด เพราะบริเวณวัดเงียบจริง ๆ หลังจบทำวัตร แยกกันปฏิบัติ ข้าพเจ้าใช้ห้องสวดมนต์ เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ตามสัจจะที่ให้ไว้ ขณะที่นั่งสมาธิจนจิตนิ่งสงบ เสียงสุนัขเห่ากันระงมไปหมด ทันใดนั้นเองมีเสียงที่แตกต่างจากเสียงเห่า ข้าพเจ้าสติดี ตั้งใจฟังว่าเสียงอะไร เป็นเสียงเรียกชื่อว่า “ต้อย” เรียกอยู่นานมาก เป็นเสียงยาวยาว ต้อย.... ข้าพเจ้านับได้เกือบ ๑๐ ครั้ง จนในที่สุดเสียงสุนัขเงียบไปพร้อมทั้งเสียงเรียกปริศนานั้นด้วย จิตคิดว่าคนมาปฏิบัติธรรมมีเปรตมาขอส่วนบุญ ข้าพเจ้าตั้งใจแผ่เมตตาอย่างเต็มที่

          พบเทพกาหลง.... ช่วยเตือน ช่วยสอน

            ตี ๓ ครึ่ง ก่อนระฆังของวัด มีคนมาสะกิดที่แขน ๒ ครั้ง แต่ไม่ได้รู้สึกว่ากลัวอะไร เพราะเพื่อนพูดทีเล่นทีจริงว่า พี่กาหลงช่วยมาปลุกด้วยนะ พอเช้าเพื่อมองตาข้าพเจ้า ปากก็ถามว่าโดนไหม ข้าพเจ้าก็ตอบว่า โดน ต่างทำมือให้ซึ่งกันและกัน นี่คือครั้งที่ ๑

            วันที่หกของการปฏิบัติ (๗ ต.ค.) ก็ดำเนินไปอย่างปกติ ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติ เกิดเวทนาทุกครั้ง แต่ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยหลายข้อที่หาคำตอบไม่ได้

๑.     เสียงสวดมนต์ ตอนสองยามใครสวด เสียงเพราะมาก

๒.    ใครเรียกชื่อข้าพเจ้า

๓.    คุณตา คุณยาย เป็นใคร

ตอนบ่ายข้าพเจ้ากำลังจะไปซักผ้า ได้พบหลวงพี่รูปหนึ่งกล่าวทักว่า “โยมยังไม่กลับหรือ” ข้าพเจ้าก็บอกว่า ตั้ง

ใจตั้งสัจจะว่าจะอยู่ปฏิบัติให้ได้ ๗ วัน ตั้งใจจะเอาของดีของวัดนี้กลับไปให้ได้ ข้าพเจ้าได้สนทนากับท่านอยู่นาน

            หลังจากการปฏิบัติในช่วงค่ำแล้ว ข้าพเจ้าในนั่งสมาธิก่อนนอน สักพักก็นอน นอนสมาธิกำหนด พองหนอ ยุบหนอ นานเท่าไรไม่ทราบ ตื่นมาอีกทีเกิดเวทนาไปหมด ก็เปลี่ยนท่านอนเป็นนอนตะแคง เอาผ้าห่มมากอด มือประกบกันไว้ข้างแก้ม เรียกว่า ท่าสบาย ท่าประจำของข้าพเจ้า นอนไปนานมาก มารู้สึกอีกทีกลายเป็นท่านอนสมาธิ ผ้าห่มให้ตั้งแต่หน้าอกถึงปลายเท้าอย่างดี ที่รู้สึกตัวตื่นเพราะเกิดเวทนามือเท้าแข็งไปหมด เลยตื่นขึ้นมาเปิดไฟดู เป็นเวลา ๐๑.๐๔ น. ข้าพเจ้าดีใจก็ดีใจ ขนลุกก็ขนลุก จะมีใครซะอีก เทพกาหลง ท่านเห็นว่าข้าพเจ้านอนตามอำเภอใจ ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมทำไม่ถูก ข้าพเจ้าเกิดความเข้าใจทันที

            วันที่เจ็ดของการปฏิบัติ (๘ ต.ค.) ข้าพเจ้าปฏิบัติตามปกติไม่มีอะไรบกพร่อง ก่อนนอนคืนนั้น ข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิจนได้ที่ ก็เริ่มนอนสมาธิ จนเริ่มสงบนิ่ง ก็มีคลื่นสะเทือนและมีเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า เสียงที่สงสัยแบบนี้ที่วัดมีเยอะเลย ก็ปรากฏเป็นภาพที่มีเปรตมากมายจริง ๆ ท่านหลวงพ่อยังสอนอีกว่า นอนสมาธิให้กำหนด ปวดหนอ ๆ ไป อย่าได้หยุด ขณะที่ฟังก็มีเสียงสวดมนต์ปริศนา ฟังไพเราะ พอเสียงหลวงพ่อหายไปเสียงสวดมนต์ก็ยังอยู่ตลอดการนอนสมาธิ

            ตอนบ่ายข้าพเจ้าได้ไปลาหลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังจะไปทำวัตรเย็น ข้าพเจ้าพูดว่า หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันจะมาลา ท่านหันมาพร้อมกับชี้มือมาที่ข้าพเจ้ากับเพื่อน แล้วพูดว่า “ครูมาแตร์ ไม่ใช่ญาติกันไม่มาหรอก” ดิฉันจะมาลาเจ้าค่ะ หลวงพ่อพูดว่า “ขอให้โชคดีมีชัย” ข้าพเจ้าไดฟังแล้วตื้นตันใจจริง ๆ

            (วันก่อนพวกเพื่อน ๆ ไปลากลับบ้าน ข้าพเจ้าตามเขาไปด้วย ท่านถามว่าใครจะกลับ เพื่อน ๆ ก็ตอบกัน แต่ข้าพเจ้าตอบว่า “ดิฉันจะอยู่ ๗ วันเจ้าค่ะ” หลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้าว่า จะกลับไปทำไมเดี๋ยวก็มาอีก นอนมันซะที่นี่เลย ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจวาจาของท่าน จนขณะที่เขียนเรื่องราวอยู่นี้ แจ้งตลอดว่า ท่านมีญาณรู้ล่วงหน้าจริง วันนี้คือ ๑๒ ต.ค. ข้าพเจ้าตั้งใจจะไปทำบุญวันที่ ๑๔ ต.ค. ส่วนท่านทักข้าพเจ้าเมื่อ ๕ ต.ค.)

            หลังจากข้าพเจ้าลาหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้าเข้าไปฟังสวดมนต์ในโบสถ์ที่หลวงพ่อทำวัตรเย็น ข้าพเจ้าปีติจนสะอื้น ไม่สามารถสวดมนต์ตามได้ เพราะข้าพเจ้ามาที่วัดนี้เพื่อคุณแม่ผู้ป่วยไข้โดยเฉพาะ ท่านหลวงพ่อบอกว่าอีกไม่นานนักเวลาสำหรับคุณแม่ของข้าพเจ้า ท่านรู้ใจ รู้วาระจิต เหมือนมานั่งอยู่กลางใจข้าพเจ้า เพื่อนที่พักกับข้าพเจ้าเขารู้ใจบอกว่า เทศน์เปิดอบรมและสวดมนต์เย็นวันลา เป็นของข้าพเจ้าคนเดียวเต็ม ๆ เลย

            ข้าพเจ้าเดินทางออกจากวัด ๘.๓๐ น. ขณะขับรถกลับใจเบิกบาน ปีติ ดังคำสวดว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

            ปัจจุบันนี้การเดินทางทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ มีบริการนำความสะดวกสบาย รวดเร็วทันใจ ให้บริการกับเราตามแต่ความพอใจ กำลังทรัพย์ และการขายบริการที่นำเสนอ เราเห็นว่าการไปในที่ไกล ๆ ได้เร็วที่สุดก็โดยเครื่องบิน มีสายการบินที่เสนอขายบริการมากมายให้เลือกตามความถูกใจและกำลังของเงิน ทางชีวิตก็เช่นเดียวกัน มีหนทางมากมายให้เลือกเดิน นำมาใช้ดำเนินชีวิตกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่นำเสนอทางสายตรงหรือทางด่วน ทางที่พระองค์ท่านเลือกเฟ้นให้เดิน ท่านทดสอบ ตรวจสอบ พิจารณาและปฏิบัติมานาน มานำเสนอให้กับพวกเราก็คือ หลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ท่านทุ่มเทแรงกาย แรงใจ จัดอบรมพัฒนาจิตให้กับเราอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด เพื่อให้เรานำใช้ไปปฏิบัติให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ สุขของชีวิต บ้างก็ว่ายาก บ้างก็ว่าง่าย บ้างก็ว่าสุข บ้างก็ว่าทุกข์ ข้าพเจ้าว่าสุดแต่วาสนาบารมีหนุนนำ ต่อให้วาสนาบารมีมากมาย ตราบใดที่มีกรรมมาบังก็ป่วยการ อธิบายและเชิญชวนดังคำของหลวงพ่อที่ว่า “ไม่เรียนก็ไม่รู้ ไม่ดูก็ไม่เห็น ไม่ทำก็ไม่เป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย” อย่ารอให้ใกล้ตายแล้วจะเพิ่มมาสนใจศึกษา เพราะเวลาทุกนาทีมีค่ามีราคา สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น อย่าได้เชื่อทั้งหมด หรือเชื่อเลย ควรมาเรียนรู้ด้วยตนเอง สัมผัสเอง ค้นหาเอง แล้วทุก ๆ ท่านจะเกิดความรู้สึกตามคำสอนว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน” ฉันใดก็ฉันนั้น

            สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จงปกปักรักษาหลวงพ่อจรัญ ให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากโรคภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นเสาหลักในงาน ปลุกคนให้ตื่น เสกคนให้เป็นงาน ของหลวงพ่อ ลูกดีใจซาบซึ้งใจ ถึงแม้จะเพิ่งเคยมาปฏิบัติเป็นครั้งแรก แต่ได้รับความเมตตาสุดเหลือจะพรรณนา อย่างกับว่าคุ้นเคยมานานแสนนาน หรือจะเป็น ญาติธรรม – ญาติกัน กันแน่.