ประสบการณ์ในการฝึกกรรมฐาน
Juri Dennison
R13002
ในเดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๔๒ ฉันอยู่ระหว่างทางแยกของชีวิต ฉันควรจะทำอย่างไรดี
เมื่อสัญญาที่ฉันรับสอนภาษาอังกฤษเป็นเวลา ๓ ปี จะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายนนี้
ฉันได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อพบกับเพื่อน ๆ คนไทย
และหวังว่าจะได้รับข้อคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับอนาคต
หลังจากที่ฉันใช้เวลาในกรุงเทพฯ
หนึ่งสัปดาห์ ฉันได้วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวทะเลในสัปดาห์สุดท้ายที่อยู่เมืองไทย
แต่เพื่อนของดิฉันคือ ดร.พินิจ รัตนกุล ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
ได้แนะนำให้ฉันไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เนื่องจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้เคยไปหัดฝึกทำกรรมฐานที่วิเวกอาศรมมาแล้วเป็นเวลา ๑ สัปดาห์
เพราะฉันต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาให้มากขึ้น ถึงแม่ว่าฉันจะเป็นชาวคริสต์
แต่ก็สนใจพุทธศาสนา และจากการที่ได้ไปเรียนรู้ที่วิเวกอาศรม
ซึ่งสามารถช่วยให้ฉันดำเนินชีวิตได้อย่างดีแล้วนั้น ฉันจึงตกลงใจไปวัดอัมพวัน
ฉันรู้สึกประหลาดใจและดีใจมาก
เมื่อท่านเจ้าอาวาส (หลวงพ่อจรัญ) ได้บอกกับ ดร.พินิจ ทางโทรศัพท์ว่าท่านจะสอนฉันด้วยตัวท่านเอง
ตามปกติหลวงพ่อมีงานยุ่งมากเกินกว่าที่จะสอนเป็นรายบุคคล
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรู้สึกกลัว ๆ ที่จะพบกับท่าน
เพราะฉันได้ยินมาว่าท่านสามารถเห็น ข้างใน
ของคนได้ เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าอะไรนัก
ในวันตรุษจีนเดือนกุมภาพันธ์
คุณชุลี เลขาของ ดร. พินิจ และคนขับรถได้พบฉันไปที่วัดอัมพวัน
ครั้งแรกที่ฉันได้พบหลวงพ่อ ท่านเคร่งขรึมเงียบเฉยและท่าทางน่าเกรงขาม
คุณชุลีไม่ค่อยจะแปลอะไรให้ฉันเท่าใดนัก
หลวงพ่อให้ฉันลองนั่งขัดสมาธิในท่าที่ยากที่สุด ซึ่งเป็นที่พระในป่าท่านปฏิบัติ
(ขัดสมาธิเพชร) ฉันต้องดึงและสอดขาซึ่งในที่สุดก็นั่งได้ แต่ก็ปวดขาเหลือเกิน
หลังจากนั้นท่านก็สอนท่านั่งที่ง่ายกว่า ค่อยสบายใจหน่อย
แล้วท่านก็ยิ้มอย่างมีเมตตา ท่านบอกว่าฉันเป็นคนจิตใจดี ถึงแม้จะเป็นชาวคริสต์ก็ไม่ทะนงตัว
ท่านเริ่มสอนคำศัพท์ภาษาไทยเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ของศีรษะ เช่น ผม หู ตา จมูก
และอื่น ๆ ฉันพูดและจดตามทุก ๆ คำที่ท่านพูด ท่านสามารถทราบสิ่งต่าง ๆ
เกี่ยวกับฉัน เช่น อายุ และอนาคตที่ไม่แน่นอนของฉันได้
ท่านแสดงให้ฉันดูวิธีการเดินจงกรม การกำหนดลมหายใจในการทำสมาธิ
การหัดทำสมาธิครั้งแรกของฉัน
เริ่มต้นในเย็นวันนั้นระหว่างเดินจงกรม
ฉันได้เห็นภาพมาปรากฏมากมายใบหน้าอันเปี่ยมด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ
ทำให้ฉันตื้นตันจนน้ำตาไหล
หลังจากนั้นฉันเห็นร่างกายของฉันเริ่มกลายเป็นโครงกระดูก มีหนอนเต็มไปทั้งตัว
ได้เห็นพระพุทธรูปยิ้ม พระเยซูที่ใจดี
จากนั้นพระเยซูถูกตรึงกับไม้และเต็มไปด้วยเลือดซึ่งทำให้ฉันกลัว
และฉันก็เห็นดอกบัวบาน
วันรุ่งขึ้นได้พบหลวงพ่อ
ท่านเตือนให้ฉันกำหนด เห็นหนอ
เมื่อฉันเห็นภาพนิมิตต่าง ๆ ท่านยังเป็นครูที่ใจดี พูดคุยสนุกสนานและน่ารักยิ่ง
วันนี้มีลูกศิษย์ของท่านคือ พันทิพา ช่วยแปลให้ฉัน
หลวงพ่อเชื่อว่าคนเราต้องเคยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
หรือเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อน ดวงชะตาจึงทำให้ฉันได้มาที่วัดอัมพวัน โดยมีบางสิ่งที่ฉันต้องทำ
ท่านบอกว่าปัญญานั้นมาจากข้างใน
ถ้าฉันขยันฉันจะสามารถก้าวหน้าในการทำสมาธิได้เร็วขึ้น
ท่านบอกไม่ให้ฉันกลัวในการทำสมาธิ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ
ฉันอยู่ที่นี่
ฉันรู้สึกจริง
ๆ ว่า ฉันเจอพระเจ้าซึ่งรักเมตตาและยอมรับฉันอย่างที่ฉันเชื่อแล้ว
การฝึกสมาธิของฉันดูช่างยาวนานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
โดยเฉพาะตอนนั่งสมาธิ บางเวลารู้สึกปวดแสนปวด แต่ฉันตั้งใจให้ก้าวหน้า
ฉันจึงบังคับตัวเองในการเดินการนั่ง ถึงแม้ฉันนะรู้สึกป่วยหรือเจ็บปวด
ฉันไม่ย่อท้อ เพราะได้รู้สึกถึงความรักที่หลวงพ่อมีอยู่ ฉันซาบซึ้งใจอย่างยิ่งและรู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่ที่วัดช่วยซักเสื้อผ้า
นำอาหารมาให้วันละมื้อ และมีน้ำปานะ เช่น กาแฟกระป๋อง โยเกิร์ต น้ำอัดลม น้ำแข็ง
และทำความสะอาดอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างนอก
ก้าวแต่ละก้าว
ลมหายใจแต่ละครั้งแต่ละขณะ ฉันได้เรียนที่จะอยู่กับปัจจุบัน หลวงพ่อบอกเสมอว่า อย่าไปกลุ้มกังวลหรือโกรธเคืองกับอดีต
อย่ากังวลกับอนาคต ใจเย็น ระลึกรู้อยู่แต่ปัจจุบัน แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นเอง
ฉันเลิกห่วงเกี่ยวกับกรรมเก่าในอดีต
ฉันสงสัยอยู่ว่าการทำสมาธิจะช่วยฉันในการวางแผนอนาคตให้ชัดเจนได้อย่างไร
และฉันก็บังคับตัวเองให้รู้อยู่กับปัจจุบัน ฉันมีสติมากขึ้น
ไม่ใช่เฉาพะขณะนั่งสมาธิ กระทั่งเวลารับประทานอาหาร อาบน้ำและทำอย่างอื่น
เวลาที่เกิดมโนภาพหรือมีสิ่งรบกวนจิตใจเกิดขึ้น ฉันจะกำหนด เห็นหนอ หรือ
รู้หนอ การฝึกสมาธิของฉันต่อมาเริ่มปวดน้อยลงและรู้สึกลึกซึ้งมากขึ้น
สิ่งที่ตั้งอยู่เสมอคือ รอยยิ้ม ความรัก และกำลังใจของหลวงพ่อ
ซึ่งทำให้ฉันซึ้งใจและอบอุ่น บางครั้งฉันกลัวกรรมเก่า
แต่ฉันต้องพยายามอย่างมากที่จะกำหนดปัจจุบัน จึงทำให้ฉันสับสนกับนิมิตที่เห็นต่าง
ๆ
นิมิตอันหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ห้าของการปฏิบัติกรรมฐานทำให้ฉันกลัวคือ
ขณะที่ฉันกำหนด ยืนหนอ
เท้าของฉันรู้สึกจมลึกลงไปในพื้น
และทันใดนั้นทั้งตัวฉันและพื้นได้หลอมละลายรวมตัวเป็นสสาร
หลังจากนั้นฉันเห็นป่าที่มีคนแต่งตัวสวยงามมาฟ้อนรำล้อมรอบฉัน
ซึ่งหลวงพ่อได้อธิบายให้ฉันฟังว่า ที่เห็นคือเทวดาและนางฟ้าที่ใส่ชฎา ที่บ่ามีอินธนูและมีสายสังวาลย์
มาฟ้อนรำอนุโมทนาบุญกับฉัน ขณะที่ฉันเห็นฉันมีความสุขมาก
และในทันทีทุกสิ่งทุกอย่างก็มืดสนิทจนฉันรู้สึกตกใจกลัวอย่างมาก และกำหนดไม่ถูก
จึงได้ไปกราบถามหลวงพ่อ ซึ่งท่านก็ได้อธิบายให้ฟังว่าเพราะสมาธิมีมาก
และกำหนดไม่ทัน ฉันจึงหายกลัวและกล้าที่จะปฏิบัติต่อในคืนนั้นได้
ก่อนวันกลับหนึ่งวัน
ขณะทำ ยืนหนอ ได้เกิดมีมโนภาพขึ้น ฉันจึงกำหนด เห็นหนอ
เพื่อให้ภาพนั้นหายไป แต่ฉันรู้สึกว่ามีพลังงานได้ไหลเข้ามาในร่างกายของฉัน
โดยเข้ามาจากพื้นขึ้นสู่เท้าฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหนักมาก
แล้วไหลขึ้นไปตามขาและอวัยวะทุกส่วน ตลอดจนถึงท้องน้อย สะดือ ลิ้นปี่ หัวใจ ลำคอ แล้วระเบิดออกมาเป็นตาที่
๓
เมื่อฉันเริ่มปักจิตที่กลางกระหม่อมโดยกำหนด
ยืนหนอ พลังงานดูเหมือนจะมาจากท้องฟ้าหรือพระอาทิตย์แล้วมาสู่ศีรษะ
ตา หู ปาก คอ แขน มือ หัวใจ และอื่น ๆ จนลงไปสู่เท้า
ทันใดนั้นฉันได้ตระหนักว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น จะเกิดขึ้นต่อเมื่อรู้สึกเป็นอยู่กับปัจจุบัน
และมันจะเป็นพลังงานที่มีประโยชน์ยิ่งใหญ่ เมื่อเราตั้งจิตกับปัจจุบัน โดยอย่าปล่อยให้อดีต
อนาคต หรือ ความคิดล่องลอยต่าง ๆ เข้ามารบกวน
จากประสบการณ์นี้
ทำให้ฉันสามารถเห็นภาพและรู้ชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อไปกับอนาคต
ฉันเป็นชาวคริสต์ที่เชื่อในพระเจ้าที่มีเมตตากรุณารอบรู้
รัก และยอมรับฉันในสิ่งที่ฉันเป็น เมื่อฉันได้พบหลวงพ่อ ฉันได้รับรู้ถึงความรู้สึกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
การทำสมาธิทำให้ฉันได้ประสบกับต้นกำเนิดของความรักที่ยิ่งใหญ่ในตัวฉัน
ชั่วชีวิตนี้ฉันจะไม่ลืมพระคุณของ
ดร.พินิจ, หลวงพ่อจรัญ, พันทิพา และเจ้าหน้าที่ที่วัดอัมพวัน
ซึ่งเป็นผู้ให้ของขวัญชิ้นนี้กับฉันเป็นอันขาด....