กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?

 

น.ส.ชิตรัตน์  อนุฤทธิ์  อายุ ๕๖ ปี

การเคหะเมืองใหม่บางพลี  จ.สมุทรปราการ

R13004

 

       เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐  ดิฉันได้เข้ารับการตรวจร่างกายที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ  และคุณหมอที่นั้น  ท่านได้บอกกับดิฉันว่าต้องผ่าตัดด่วน  เพราะเป็นเนื้องอกไม่พึงปรารถนา  และให้ดิฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐  ดิฉันเองก่อนที่จะมาตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาตินี้  ก็ได้รักษาอยู่ต่างจังหวัดมาก่อน  คุณหมอที่นั้นบอกว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบรักษาอยู่ประมาณ ๕ เดือน  ไม่ยุบและก็ไม่แตกมีแต่อาการที่โตขึ้น  และปวดมากขึ้น  ทำให้เกิดความกังวลใจ  เพราะว่าเวลาปวดก็ปวดแบบสุด ๆ เลย  ไม่ปวดก็ไม่ปวด  วัน ๆ หนึ่งจะปวดก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น  ปวดนี้จะปวดเข้าสมองเลย  ทุกครั้งที่ปวดก็คิดว่าตายดีกว่าอยู่ทรมานอย่างนี้  ในที่สุดดิฉันก็เขียนจดหมายถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ  แห่งวัดอัมพวัน  จ.สิงห์บุรี  เพราะว่าดิฉันเคยอ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนท่านเล่าว่า  มีคนเป็นมะเร็งและเคยผ่าตัดถึงสี่ครั้ง  และกำลังจะผ่าครั้งที่ห้า  ก็มาหาหลวงพ่อ  เขาบอกว่าจะตายก็มาตายที่หลวงพ่อเถิด  เพราะว่าไม่อยากจะผ่าอีกแล้ว  หลวงพ่อก็ให้เข้ากรรมฐานและโรคดังกล่าวก็หายไปได้ 

        แต่แล้วในที่สุดหลวงพ่อก็ตอบจดหมายมานับได้ ๑๖ วัน   วันที่ได้รับจดหมายของหลวงพ่อดีใจเป็นที่สุด  คิดไว้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร  ขอให้ตอบมาก็เป็นบุญแล้ว  จดหมายของหลวงพ่อเป็นยาชนิดหนึ่งเป็นโอสถทิพย์คือกำลังใจที่ได้รับ   คนเราเวลาทุกข์ยากนั้นได้กำลังใจแล้วมีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป  โดยเฉพาะจดหมายของหลวงพ่อ  ดิฉันถือว่าเป็นยาวิเศษที่สุดคือ  หลวงพ่อให้ธรรมะจนดิฉันอ่านแล้วอ่านอีกจนกระดาษเปื่อยก็ยังไม่อิ่มในการอ่าน  อ่านได้ทุกวัน  และวันละหลายครั้ง  ประทับใจตรงที่ว่า

        “ขอให้คุณโยมจงทำใจให้ได้นะว่าอะไร ๆ ในโลกนี้มันไม่เที่ยง  อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด  จะไปขัดขวางไม่ได้  อาตมาขอให้โยมขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรเขาเสีย  เวรกรรมอะไรที่มีอยู่ก็ขอให้หมดไปในชาตินี้  ขออย่าให้ไปถึงชาติหน้าอีกเลย  อาตมาก็ขอแผ่เมตตาให้  ขอให้คุณโยมจงหายจากโรคภัยไข้เจ็บ  และขอให้คุณโยมทำสมาธิให้มาก ๆ  และให้สวด อิติปิโส พาหุงมหากาฯ  และอาตมาขอให้คุณโยมไปให้หมอเช็คร่างกายให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง  ทางที่ดีที่สุดคือไปที่สถาบันมะเร็งโดยตรง  อาตมาก็จะแผ่เมตตาไปให้  ขอให้คุณโยมทำตามที่อาตมาบอกเถิดและกรรมฐานมาก ๆ และอย่าลืมแผ่เมตตาให้กับคนในครอบครัวมาก ๆ  อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้มาก ๆ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันในชาตินี้จบสิ้นไป  โยมไม่เป็นอะไรหรอก”

        ดิฉันซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อที่เมตตาต่อดิฉันมาก  พระคุณอันนี้จะจดจำเอาไว้จะไม่มีวันลืมเลยที่หลวงพ่อได้เมตตา  ให้สติ  ให้ธรรมะ  จนดิฉันมีกำลังใจต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

        และวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ ไปตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ  ถนนราชวิถี  คุณหมอบอกว่าต้องผ่าด่วน  และให้ดิฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวผ่าตัดในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐  ดิฉันก็กลับเหมือนกัน  กลับจากโรงพยาบาลมาบ้านพักที่หมู่บ้านทานสัมฤทธิ์  ที่เป็นบ้านพี่ที่เป็นญาติกันบอกกับพี่จะไปวัดอัมพวัน  จ.สิงห์บุรี  สัก ๓ วัน  ไปหาหลวงพ่อก็เพราะว่าหนีการผ่าตัด  เพราะคิดว่าผ่าก็ตาย  ไม่ผ่าก็ตาย  เพราะฉะนั้นก่อนตายก็ขอเก็บเกี่ยวเอาผลบุญไปเป็นเสบียงไว้บ้าง  ดิฉันเองก็เคยปฏิบัติธรรมมาบ้างรู้บ้างเล็กๆ น้อยๆ  เพราะเคยปฏิบัติมาจากวัดอโศการาม  จ.สมุทรปราการ  แต่เนื่องจากว่าต้องทำงานหาเลี้ยงชีพเลยไม่ได้เอาอย่างจริง ๆ มาถึงตอนนี้เมื่อรู้แน่แล้วว่าตายแน่ก็ต้องเอาจริงกันละ  เผื่อว่าตอนที่ตายไปจะไม่ต้องลำบากเหมือนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  ก็เลยตั้งใจจริงเรียกว่าเตรียมตัวตายกัน

        ดิฉันเดินทางมาสิงห์บุรีคนเดียว  มาถึงก็บ่ายจะสองโมง  ไปขอเข้าอบรมกรรมฐานไม่มีผู้รับรองเพราะว่ามาคนเดียว  ก็ได้ผู้ที่เข้ากรรมฐานด้วยกันรับรองให้เสร็จแล้วก็ไปนั่งคอยหลวงพ่อ  เพราะเขาบอกว่าหลวงพ่อจะลงมาตอนบ่าย  ก็นั่งคอยนานและแขกก็มากมาย  ดิฉันไม่กล้าที่กราบเรียนท่าน  เพราะเห็นว่าลูกศิษย์ของท่านมากมายนัก  ก็เลยถวายดอกไม้และปัจจัยแล้วลาท่านเข้ากรรมฐาน  แต่ดิฉันแปลกใจมากตอนที่ดิฉันเข้าไปหาท่าน  หลวงพ่อท่านเห็นดิฉันแล้วท่านมองจ้องอย่างกับว่าท่านเห็นหนออะไรสักอย่างหนึ่ง  แต่พอดิฉันเข้าไปใกล้ท่าน  ท่านก็หลับตาเสีย  ดิฉันเลยถวายของแล้วกราบลาท่านไม่กล้าถามอะไรท่านเลย  ตอนเย็นก็ฝากจดหมายกับคุณสมประสงค์  กราบเท้าหลวงพ่อขอเมตตาว่าดิฉันเดินทางมาจากนครศรีธรรมราชแล้ว  ให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้  คุณสมประสงค์ก็กลับมาบอกว่าคืนนี้หลวงพ่อจะนั่งแผ่เมตตาให้  ขอให้สบายใจเถอะ

        คืนนั้นเมื่อเลิกกรรมฐานแล้วต่างคนก็ต่างเข้านอนเพราะอากาศหนาวก็รีบนอนกัน  ดิฉันหลับไปมาตกใจตื่นเมื่อคล้าย ๆ กับมีคนมาเรียกว่า  “ตื่น ๆ เร็วหลวงพ่อกำลังแผ่เมตตามาให้เข้าสมาธิเร็ว”  ได้ยินชัดเจนทีเดียว  แล้วก็รีบลุกขึ้นมานั่งสมาธิทันที  พอนั่งได้สักประมาณ ๕ นาที    เนื้อตัวรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยและที่เม็ดที่ข้างคอเริ่มเต้น  และเต้นอยู่ประมาณ ๕ นาที  แล้วก็หยุด  และค่อย ๆ เย็นลงจนเป็นปกติ  ดิฉันก็นอนต่อแต่นอนไม่หลับดูนาฬิกาบอกเวลา  ๐๐.๑๕ นาฬิกา  ที่นอนไม่หลับก็แปลกใจว่าใครมาเรียก  และเรียกคำเดียวก็ตื่นเลย  ตื่นมาก็ไม่ได้ขอบคุณเขาที่อุตส่าห์มาเรียกให้  แล้วคนนั้นเขาไปไหน  ทำไมเราไม่เห็น  และอาการที่ตัวร้อนในขณะนั้นมันก็ร้อนแปลก ๆ เหมือนกับเราเดินผ่านกองไฟร้อน ๆ มา  แต่พอผ่านพ้นไปแล้วมันก็เย็น  แต่นี่มันร้อนไปทั้งตัวรวมทั้งภายในด้วย  และร้อนอยู่นานกว่าจะเย็น  มันให้แปลกใจจริง ๆ คิดไปคิดมาก็เคลิ้มไปนิดหนึ่งก็ได้เวลาเตรียมไปสวดมนต์ตอนตีสี่  ระฆังจะปลุกตอนตีสามครึ่งทุกวัน 

        ดิฉันอยู่ปฏิบัติที่วัดอัมพวันครบ ๓ วันพอดี  ก่อนกลับได้พบหลวงพ่อกราบลาท่าน  และท่านก็ได้ถามว่าหมอบอกว่าเราเป็นมะเร็งใช่ไหม?  ก็กราบเรียนท่านว่าเขาว่าเป็นเนื้องอกต้องผ่าออกด่วนอันตรายมาก  และดิฉันก็ใคร่จะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าดิฉันควรผ่าหรือไม่ควรผ่า  หลวงพ่อตอบทันทีว่าเรื่องนี้หลวงพ่อตัดสินให้ไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่ควรตัดสินใจเอง  หลวงพ่อบอกไม่ได้  แต่ไม่เป็นไรหรอกกรรมฐานมาก ๆ เข้าแล้วก็หายเอง  ดิฉันขอยาหลวงพ่อบอกว่า  เอาน้ำมันมนต์ไปทาและกรรมฐานมาก ๆ โดยเฉพาะยืนหนอ… ทำให้ได้  แต่อย่าทำแบบหนอ ๆ แหน ๆ  แล้วไปหลอ ๆ แหล ๆ  นะโยมนะทำให้จริงจังรับรองหายทุกราย  ดิฉันจำคำหลวงพ่อเอาไว้  แล้วกลับมาทำต่อที่บ้านและจัดธุระให้เข้าที่เข้าทาง  ดิฉันกลับมาอีกวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐  ไม่ไปบ้านแต่ไปพักกับคุณแม่ดวงรัตน์ที่วัดอโศการาม  จ.สมุทรปราการ  ตอนแรกก็คิดว่าไปสัก ๒ วัน  แล้วเลยไปวัดอัมพวัน  แต่เมื่อขึ้นไปกราบท่านพ่อลี  ก็เปลี่ยนใจประกอบกับคุณแม่บอกว่าอยู่กรรมฐานที่นี้ก็ได้ไม่ต้องไปถึงโน้นหรอกที่นี้ก็มีหมออยู่  พระท่านก็มียาดีเหมือนกัน  ก็อยู่ทานยาด้วยและสมาธิด้วย

        วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐  ดิฉันก็ขออนุญาตคุณแม่ไปวัดอัมพวันอีก  เพราะตอนนี้เม็ดที่คอทำท่าจะเปลี่ยนไป  คือมันจะแตกก็ไม่แตก  จะยุบก็ไม่ยุบ  มันอยู่คงที่อยู่อย่างนั้น  ดิฉันไปถึงวัดอัมพวันยังเช้าอยู่  เอาดอกไม้จัดไปถวายพระและไปกราบพระรูปของรัชกาลที่ ๕ ด้วย  พร้อมทั้งสมเด็จพุฒาจารย์โต  พรหมรังสีด้วย  และขออยู่กรรมฐาน ๗ วัน  คราวนี้มีอะไรแปลก ๆ อีก  ออกจากที่ปฏิบัติกรรมฐานมานอนที่พักเหมือนกับมีคนมาปัดเป่าให้  ดิฉันอยากอยู่หลายวันแต่ทางวัดเขาจัดให้แค่ ๗ วันเท่านั้น  และพอเอาจิตไปกำหนดที่แผลก็เกิดการตอบรับกันขึ้นคือที่แผลตรงนั้นจะเต้นตุ๊บ ๆ ๆ จนเรารู้สึกเต้นแรงมากจะเต้นอยู่อย่างนี้ประมาณ ๕ นาทีแล้วหยุดก็เต้นใหม่เหมือนอัตโนมัติ  ตอนที่มานั้นแผลมันสีม่วง  และพอมาอยู่ได้แค่สองวันคือวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐  เม็ดที่คอก็เริ่มเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีแดง  และค่อย ๆ แดงจัดขึ้นมาเรื่อย ๆ

        วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๐  ตอนเช้าแผลก็แตกออกมาเป็นเลือดสด ๆ  เหมือนกับเอามีดไปกรีดออกมาอย่างนั้น  เอากระดาษทิชชูเช็ด  เช็ดสองสามครั้งก็หมดและแผลก็แห้ง  แต่ตอนนั้นกำลังเดินจงกรมอยู่  ก็ไม่รู้จะเอาอะไรปิดปากแผลพอดีเห็นต้นพลู  เอาใบพลูนั้นมาปิดปากแผลไว้ก่อน  ใบพลูนี้เป็นใบพลูที่แม่ใหญ่ปลูกไว้  พวกกรรมฐานเขาบอกว่าแม่ใหญ่ปลูกเอาไว้และแม่ใหญ่ยังบ้วนน้ำหมากใส่ด้วยเป็นยาอีกขนานหนึ่งดีจริง ๆ  ตามธรรมดาใบพลูนี้เผ็ดร้อน  แต่เมื่อเอาปิดปากแผลกลับเย็นฉ่ำเลยก็น่าแปลก  ปิดอยู่ได้ทั้งวัน  พอเย็นเอาใบพลูออกกลับเป็นว่าใบพลูนั้นแห้งกรอบเลย  แต่ก็ดูดน้ำเหลืองและเลือดติดใบพลูออกมาด้วย  และเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็เอาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อมาทาที่ใบพลูเอามาปิดปากแผล  และวันรุ่งขึ้นก็มีเลือดออกมาอีก  แต่น้อยกว่าเมื่อวาน  ยังสีสดเหมือนเดิมเป็นเลือด  วันรุ่งขึ้นก็มีเลือดไหลอีก  แต่คราวนี้ก็น้อยกว่าเมื่อวานหน่อยหนึ่ง  และพอตอนเย็นมีเลือดปนน้ำเหลืองออกมาอีก  และเอาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อทาใส่ใบพลูปิดเอาไว้อีก  และตอนนี้จะมีแต่น้ำเหลืองออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มาก  พอครบ ๗ วัน  ก็เอาใบพลูปิดไว้กลับมาที่วัดอโศการาม  สมุทรปราการ  แผลเกือบจะสนิท  พระอาจารย์บุญชู  เห็นก็บอกโยมเอายาแก้น้ำเหลืองไปทานนะมันจะได้หายเร็วขึ้น  ก็ทานยาของท่านพระอาจารย์บุญชูด้วย  ทาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อด้วยก็เลยหายเร็ว  ดิฉันกลับมาปฏิบัติต่อที่วัดอโศการาม  สมุทรปราการ  อยู่อีก ๑๕ วันก็กลับบ้าน  อาการดังกล่าวยังคงเหลือแต่ปวดขากรรไกร  มันเป็นเพราะก่อนหน้านี้ปวดชนิดที่อ้าปากไม่ขึ้นเลย  ทานข้าวแต่ละมื้อมันสุดแสนจะเวทนา  อ้าปากถึงสามสี่ครั้งถึงจะเอาข้าวใส่ในปากได้  ปัจจุบันนี้หายแล้ว  เพราะพอแผลมันหาย  อยู่มาอีกหลายเดือนกว่าอาการปวดขากรรไกรจะหาย   ทรมานอีกประมาณ ๕ เดือน  รวมเวลาที่เป็นนี้ ๑๑ เดือนพอดี  คือนับตั้งแต่วันที่รู้สึกก็เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐  และมาหายเป็นปกติเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๑

        ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงตั้งหัวข้อว่าการปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ?  คำตอบก็คือได้จริง ๆ  เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานนั้นไม่ใช่ของที่จะทำกันเล่น  ต้องทำกันจริง ๆ ถึงจะบรรลุผลอย่างที่ดิฉันปฏิบัติมานี้  เพราะว่าบางขั้นบางตอนยังมีเอาอย่างอื่นมาผสมด้วย  เช่น  น้ำมันมนต์ของหลวงพ่อที่ใช้ทา  และใบพลูนั้นที่รู้มาก็รักษามะเร็งได้ผลเหมือนกัน  และรับประทานยาของพระอาจารย์บุญชูอีก  แต่ที่จริง ๆ แล้วเขาบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติจริง ๆ แล้วไม่ต้องใช้ยาเลย  อันนี้ดิฉันเชื่อ ๑๐๐ %  แต่คนเราส่วนมากรวมทั้งดิฉันด้วย  ก็เกิดอาการกลัวก็เอาโน้นบ้างนี้บ้างมาช่วยกัน  แต่จริงแล้วสำหรับดิฉันได้ตั้งใจว่าก่อนที่จะตายก็ขอเก็บเกี่ยวบุญเอาไว้เป็นเสบียงไว้บ้าง  กรรมฐานดีที่สุด  เพราะขณะที่เข้ากรรมฐานอยู่เรายังได้พบกับอะไรต่อมิอะไรมากมายนัก  มีคนมาช่วยปัดเป่าให้  และยังมีผู้ที่ไม่เห็นตัวตนมาให้คาถาให้อีกต่างหาก  แต่ถ้าไม่เข้ากรรมฐานใครที่ไหนจะมาให้เราได้

        เพราะฉะนั้นกรรมฐานนอกจากรักษาโรคได้แล้ว  กรรมฐานยังช่วยแก้กรรมให้ได้อีกด้วย  และกรรมฐานยังช่วยสงเคราะห์ญาติพี่น้องที่ตายไปให้ได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย.

 

----------------------------------