ด้วยแรงรักและห่วงใยจากดวงวิญญาณคุณแม่
เนื่องด้วยแรงรักและห่วงใยจากดวงวิญญาณของคุณแม่นี้
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในครอบครัวของกระผม กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๗ ธ.ค. ๔๑
ที่ผ่านมา คุณแม่ทองย้อย อารุณี อายุ ๘๕ ปี ซึ่งเป็นมารดาของ ดร.วลัย พานิช
ภริยาของกระผม (เป็นอาจารย์ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ได้เกิดป่วยอย่างกะทันหันโดยมิได้คาดคิดมาก่อน ในเช้าของวันที่ ๒๑ ธ.ค. ๔๑
เด็กที่รับใช้ในบ้านชื่อ เตี้ย ได้ไปดูที่ห้องคุณแม่ทองย้อย
ว่าทำไมวันนี้ไม่ลุกเข้าห้องน้ำตามที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน (เวลาประมาณ ๐๕.๓๐ น.)
ก็พบว่าคุณยายนอนห้อยเท้าลงจากเตียงนอนและลุกไม่ขึ้น จึงได้บอกกับอาจารย์วลัยว่า
คุณยายคงจะไม่ไหวแล้ว
กระผมและอาจารย์วลัยก็ลงไปดูพิจารณาแล้วเห็นว่าคงจะเป็นอาการทางสมองแน่นอน
เพราะประสาทสั่งการที่สมองเกิดผิดปกติไม่ทำงาน
กระผมจึงได้โทรศัพท์ติดต่อขอคำแนะนำจาก พ.อ.นพ. กฤษฎา ดวงอุไร
ว่าอาการของคุณแม่นี้น่าเป็นห่วงไม่สามารถลุกขึ้นได้
ขอให้ช่วยประสานกับแพทย์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าให้ด้วย
วันพรุ่งนี้จะพาคุณแม่มาพบกับแพทย์ กระผมจึงบอกให้อาจารย์วลัยแจ้งให้น้องชาย (นายศักดา
อารุณี) ทราบในวันที่ ๒๑ ธ.ค. ๔๑
ดังนั้นเช้าของวันอังคารที่
๒๒ ธ.ค. ๔๑ กระผม ภริยา
และน้องชายจึงได้นำตัวคุณแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
แพทย์ได้ตรวจและวินิจฉัยฟิล์มจากเอ็กซเรย์ จึงทราบว่าน่าจะเป็นอาการทางสมองแน่
ต้องทำ MRI แต่เครื่องที่จะทำเกิดเสียทำงานไม่ได้ต้องรอไปก่อน
จึงต้องนำตัวคุณแม่กลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านก่อน
และเอายาที่แพทย์สั่งมาให้รับประทาน
แต่แล้วอาการคุณแม่กลับทรุดตัวเร็วกว่าเดิมน่าเป็นห่วงมาก
ในวันพุธที่
๒๓ ธ.ค. ๔๑ เวลา ๑๘.๐๐ น. กระผมและน้องชายจึงต้องนำคุณแม่ไปตรวจเช็คด่วนที่ห้องฉุกเฉินที่ตึกคุณหญิงประภาศรี
โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เนื่องจากมีอาการไข้และหนาวสั่นไปทั้งตัว
จึงให้รับประทานยาก่อนไปโรงพยาบาล
พอไปถึงโรงพยาบาลอาการไข้ของคุณแม่เกิดหายเป็นปกติ
นายแพทย์เวรที่เข้าเวรที่ตึกคุณหญิงประภาศรีในขณะนั้นก็ได้ตรวจเช็คร่างกาย พบว่า
ปกติไม่เป็นไร จึงให้กลับบ้านและเดินทางกลับในเวลา ๒๒.๐๐ น.
โดยรถยนต์ของกระผมและมีเด็กรับใช้ชื่อเตี้ยนั่งไปด้วย
ในระหว่างเดินทางกลับบ้านคุณแม่ทองย้อยได้พูดคุยกับกระผม ดู ๆ แล้วไม่เป็นอะไร
คุณแม่ยังได้สอบถามเส้นทางกลับบ้านว่า กลับเส้นทางนี้ทุกวันหรือ กระผมก็ตอบไปว่าไม่กลับ
เพราะทางนี้โดยปกติรถติดเป็นประจำ กระผมใช้ทางอื่น
เมื่อถึงบ้านแล้วอาการไข้กลับมาเป็นอีก ทางลูก ๆ
ได้ให้ยาแก้ไข้รับประทานก็ไม่สามารถจะทำให้ไข้ลดลงได้
อาจารย์วลัยและน้องชายได้พยาบาลจนสุดกำลัง
เอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัวคุณแม่เพื่อให้ไข้ลด และยังนอนเฝ้ากันทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่อาการคุณแม่ก็ทรุดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดได้นำตัวคุณแม่เข้าไปตรวจ MRI
ที่โรงพยาบาลในวันศุกร์ที่ ๒๕ ธ.ค. ๔๑ ตั้งแต่เช้า ๐๗.๐๐ น.
และได้เจาะเลือดก่อนเข้าไปตรวจ MRI
คุณแม่ยังสติดี ระหว่างที่รอทำ MRI อยู่ที่หน้าห้อง MRI ใต้ตึกสมเด็จย่านั้น
คุณแม่อาเจียนอาหารที่รับประทานเข้าไปออกหมด
มีใบหน้าที่อิดโรยหมดแรงหน้าซีดขาวไม่มีสีเลือด
กระผมต้องให้น้องชายเฝ้าอยู่และกระผมไปซื้อน้ำมาให้บ้วนปาก
เป็นจังหวะพอดีได้มีโอกาสพบกับ พ.อ. นพ. กฤษฎา ดวงอุไร ในบริเวณนั้น
ก็ได้เห็นอาการคุณแม่อย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นอาการทางสมองแน่นอน พ.อ. นพ. กฤษฎาฯ
บอกว่าวันนี้จะพยายามหาห้องให้ แต่เนื่องจาก พ.อ. นพ. กฤษฎาฯ
ติดราชการสอนหนังสือที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงติดต่อกันไม่ได้
กระผมจึงต้องมอบให้น้องชายภริยานำคุณแม่กลับบ้าน ตอนเวลา ๐๙.๓๐ น.
และในเย็นวันนี้เองก็เกิดอาการอย่างเดิมอีก คือ เป็นไข้ กินอาหารไม่ได้
ต้องให้น้ำนมทางหลอด สภาพโดยทั่วไปแย่ลงมาก
รุ่งเช้าวันเสาร์ที่
๒๖ ธ.ค. ๔๑ ตลอดทั้งวันมีอาการที่เกิดมากขึ้น คือ มีอาการไข้สูงไม่ลดลง
เริ่มกินอาหารไม่ได้แล้ว กระผมกับอาจารย์วลัย
และน้องชายจึงตัดสินใจนำตัวคุณแม่ส่งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอีก ออกจากบ้านในเวลา
๑๘.๐๐ น. ถึงโรงพยาบาลในเวลา ๑๙.๐๐ น.
ในขณะนั่งรถมาคุณแม่ยังมีสติอยู่ได้สวดมนต์ตลอดเวลา จนมาถึงโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
คุณแม่มีอาการหนาวสั่นต้องนอนรถเข็นพาไปเอ็กซเรย์ที่ห้องฉุกเฉินฯ
อาจารย์วลัยและน้องชายอยู่ใกล้ ๆ คอยดูอาการอยู่ข้าง ๆ
เตียงนอนที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
คุณแม่มีอาการหนาวสั่นตลอดเมื่อแพทย์ได้ให้น้ำเกลือ
ต่อมาก็เริ่มไม่รู้สึกตัวมีอาการช็อค ต้องคอยดูอาการคุณแม่ที่โรงพยาบาลถึง ๐๑.๐๐
น. และได้ห้องพักหมายเลข ๖๒๔ ตึกสมเด็จย่า โดยมอบให้น้องชายนอนเฝ้าเป็นเพื่อนคุณแม่
เช้าเวลา ๐๘.๐๐ น. อาจารย์วลัยก็มาผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้าพยาบาลคุณแม่ ครั้นถึง ๐๙.๐๐
น. นายแพทย์เวรและคณะได้มาตรวจอาการ พบว่าคุณแม่ทองย้อยได้เสียชีวิตแล้ว
เพราะหัวใจหยุดเต้นและความดันไม่ขึ้น ลดลงถึงศูนย์
กระผมและอาจารย์วลัยได้นั่งเฝ้าอยู่ที่ห้อง ๖๒๔ อยู่นานเพื่อวางแผนจัดงานศพ
เห็นว่าควรรดน้ำศพในวันจันทร์ที่ ๒๘ ธ.ค. ๔๑ เวลา ๑๕.๐๐ น.
และเริ่มสวดพระอภิธรรมศพที่วัดโสมนัสวรวิหาร กระผมจึงเริ่มติดต่อวัดโสมนัส
เขตป้อมปราบ กทม. ได้ศาลา ๓ ต่อมาก็เริ่มโทรศัพท์แจ้งให้ญาติรับทราบ
และกลับขึ้นมาที่ห้องพัก ๖๒๔ อีกครั้ง ก็ชวนอาจารย์วลัยออกไปหารือนอกห้อง
ไปนั่งที่โซฟาหน้าลิฟท์ชั้น ๖
ก็พบว่ามีกลิ่นโชยมาผ่านตรงหน้าของกระผมและอาจารย์วลัย และมีกลิ่นอับ ๆ
อย่างไรบอกไม่ถูก กระผมมีสติทราบได้ทันทีว่าเป็นดวงวิญญาณของคุณแม่ทองย้อยแน่นอน
กระผมจึงได้กล่าวออกมาว่า กระผมจะรักอาจารย์วลัยและจะดูแลอาจารย์วลัยให้ดีเท่ากับที่คุณแม่ที่เลี้ยงดูอาจารย์วลัยมา
และจะดูแลลูก ๆ ของกระผมให้มีการศึกษาที่สูงและเป็นฝั่งเป็นฝาในอนาคต
ขอให้ดวงวิญญาณของคุณแม่อย่าได้เป็นห่วงเลย พอพูดเสร็จปรากฏว่ากลิ่นที่อับ ๆ
ที่อยู่ข้างหน้าก็หายไป แสดงว่าคุณแม่รับรู้แล้ว และกระผมก็ได้บอกให้ต้อ (นายศักดา
อารุณี) รีบไปเอาเสื้อผ้ามาให้คุณแม่
ด้วยแรงอะไรไม่ทราบมาดลใจให้กระผมดำเนินการเกี่ยวกับการแจ้งการตาย
จำหน่ายชื่อจากโรงพยาบาลและสำนักงานเขตราชเทวีตลอดจนจองศาลา
จัดการเพื่อบำเพ็ญกุศลที่วัดโสมนัสวรวิหาร ได้เสร็จเรียบร้อยภายในวันเดียวกัน
อนึ่ง
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์การจากไปของคุณแม่ทองย้อยนั้น
กระผมได้ฝันเห็นเป็นภาพนิมิตขึ้น เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๑ เวลา ๐๓.๐๐ น.
ว่าคุณน้าฉลองรัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่เสียชีวิตแล้ว
ได้นั่งรถมาพร้อมกับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาของกระผม และมีผู้ติดตามอีก ๒ คน
ล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ทางมารดาของกระผม มาพูดคุยกับคุณแม่ทองย้อย
เพียงท่านเดียวที่นั่งอยู่ที่หน้าบ้าน ในความฝัน
(บ้านในความฝันมีต้นไม่สาระอยู่หน้าบ้าน) เมื่อพูดคุยจบคุณน้าฉลองรัฐ อิศรางกูร ณ
อยุธยา ก็เดินหนีแล้วขึ้นรถกลับโดยไม่พูดกับใคร ๆ และในขณะนั้นก็มีคุณพ่อฉันท์
อารุณี ที่เสียชีวิตไป ๔ ปีที่แล้ว ยืนอยู่ที่ต้นสาระแอบดูคุณแม่ทองย้อย
กระผมจึงถามว่า ทำไมไม่ไปหาคุณแม่ทองย้อย โกรธกันก่อนที่จะเสียชีวิตหรือ
คุณพ่อฉันท์ ท่านพยักหน้ารับ จากวันนั้นก็เป็นเวลา ๙ เดือน
จนถึงวันที่คุณแม่ทองย้อยเสียชีวิต เมื่อตื่นขึ้นมากระผมก็มาเล่าให้คุณแม่ทองย้อยฟัง
ท่านก็นั่งหัวเราะ คล้าย ๆ จะไม่เชื่อเรื่องความฝันของกระผม
การที่กระผมจะรู้เรื่องเทพนิมิตต่าง ๆ นี้มาตลอดหลาย ๆ เรื่องก็เพราะว่า
กระผมได้ปฏิบัติธรรม คือ การสวดมนต์ไหว้พระ การถือศีล ๕ การทำบุญทำทาน
การทำบุญชนิดต่าง ๆ เช่น ทำบุญการบวชพระชาวเขา การสร้างศาลาพักศพ
การร่วมสร้างพระอุโบสถ การสร้างศาลาการเปรียญ การทำบุญตักบาตร การทำบุญ
การบำเพ็ญในสิ่งที่ดีงามนี้ กระผมได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของลุงจรัญ วัดอัมพวัน
จ.สิงห์บุรี ยิ่งการสวดมนต์ไหว้พระนั้น ได้กระทำและปฏิบัติตั้งแต่ปี ๒๕๐๙ เพราะคุณพ่อกระผมคือ
พล ต. วสันต์ พานิช อดีตท่านเคยรับราชการที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี
ได้พากระผมไปฝากกับพระเดชพระคุณหลวงลุงจรัญ เมื่อครั้งกำลังสร้างอุโบสถ
และเคยมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน สิ่งต่าง ๆ ที่ดี ๆ ในการปฏิบัติตัว
กระผมได้จดจำไว้และนำมาปฏิบัติในชีวิตของกระผมตลอดมา
ทำให้เกิดภาพนิมิตบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า
หลังจากเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพคุณแม่ทองย้อย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ม.ค. ๔๒ รุ่งขึ้นวันจันทร์ ๔ ม.ค. ๔๒
อาจารย์วลัยและน้องชายก็ต้องไปลอยอังคารคุณแม่ทองย้อยกันสองคน
ส่วนกระผมไม่อาจจะไปร่วมได้ด้วยสาเหตุมีการเปลี่ยนแผนลอยอังคารจากเดิมจะทำในจังหวัดปทุมธานี
แตกลับมาเปลี่ยนเป็นจังหวัดชลบุรี กระผมไม่สามารถลาราชการได้ทัน
เนื่องจากผมมีหน้าที่รับผิดชอบต่อจากผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน
สำนักบริหารทรัพยากร สำนักงานปลัดบัญชีทหาร และผู้อำนวยการกองฯ ได้ลาพักร้อนไม่อยู่ด้วย
กระผมจำเป็นต้องรักษาการแทน เป็นไปตามคำสั่งที่กำหนดไหว้
จึงเป็นภาระอาจารย์วลัยและน้องชาย ซึ่งมีญาติและเพื่อนของน้องชายร่วมเดินทางไปด้วย
ส่วนกระผมก็ได้อธิษฐานขอให้ดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยไปสู่สุคติ
นับตั้งแต่วันที่
๔ ม.ค. ๔๒ เป็นต้นมาจนถึงวันที่ ๒๒ ม.ค. ๔๒ กระผมได้กลิ่นตัวคุณแม่ตลอดเวลา
อบอวลส่งกลิ่นขึ้นมาข้ารงบนห้องนอนของกระผมตลอดทุกวัน
จากบริเวณห้องนอนของท่านที่ใกล้กับห้องน้ำชั้นล่าง
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมีความสงสัยยิ่งนัก
จนในที่สุดกระผมได้มีโอกาสได้พบกับลูกศิษย์ของอาจารย์วลัยที่เป็นอิสลาม คือ
อาจารย์ เชาวลิต สุไลมานดี เป็นนิสิตปริญญาโท คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ เชาวลิต สุไลมานดี สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบางประกอกพิทยาคม
ถนนสุขสวัสดิ์ กทม. เป็นผู้สามารถติดต่อดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยได้
และทราบว่าคุณแม่ห่วงใยรักใคร่อาจารย์วลัยผู้เป็นลูกสาวมาก และห่วงใยหลาน ๆ ๒ คน
ได้แก่เด็กหญิง เพ็ญจันทร์ พานิช (รุ้ง) และ ด.ช. โกศล พานิช (นท) มากเช่นกัน
และได้บอกว่าอาจารย์วลัยจะไม่สบายและจะมีปากเสียงกับกระผมเกี่ยวกับบุตรชาย คือ
ด.ช. โกศล จะไปทำให้เพื่อนต้องบาดเจ็บถึงกับเลือดตกยากออกทีเดียว
กระผมบอกผ่านอาจารย์เชาวลิตไปว่าคุณแม่ไม่ต้องห่วง
ซึ่งคุณแม่ได้เข้าใจเจตนาของกระผม และคุณแม่ได้บอกผ่านมาทางอาจารย์เชาวลิตฯ
ให้ทราบว่าจะไปจากบ้านเลขที่ ๒๙๖/๑ ซอยวิภาวดี ๔๒
เพื่อไปอยู่ในโลกแห่งวิญญาณในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันพุธที่ ๓๑ มี.ค. ๔๒
เวลา ๐๖.๐๐ น. กระผมและอาจารย์วลัยจะทำบุญบ้านดังกล่าวในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มี.ค. ๔๒
เวลา ๐๗.๐๐ น. เพื่ออุทิศผลบุญให้กับเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง
แม่นางไม้และดวงวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ บ้านให้ได้รับส่วนกุศลนี้ด้วย
จึงให้อาจารย์เชาวลิตถามคุณแม่ว่าต้องการพระสงฆ์ที่จะมาสวดพระพุทธมนต์ในวันนั้นจะให้นิมนต์ที่วัดไหน
ปรากฏว่าคุณแม่ต้องการให้นิมนต์พระสงฆ์ ได้แก่ พระธรรมเมธาภรณ์ (พระมหาอัมพร),
พระปริยัติกวี (พระมหาประสงค์) พระพระครูวินัยธร (วันชัย)
จากวัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม
หลังจากสามี
(คุณพ่อฉันท์) ได้เสียชีวิตลง เมื่อ ๒ มิ.ย. ๓๖ เป็นต้นมา ท่านได้มาอยู่ดูแลหลาน ๆ
ที่บ้านของกระผมตั้งแต่ปี ๓๗ จนถึงปี ๔๑ รวมระยะเวลา ๔ ปีเต็ม
อีกทั้งท่านก็ยังเป็นผู้ช่วยเหลือกิจการในบ้านและงานครัว
คุณแม่ได้แนะนำสั่งสอนการทำอาหารเป็นประจำให้กับเด็กที่รับใช้ในบ้านชื่อเตี้ย
จนสามารถทำอาหารได้บ้าง คุณแม่มีโรคประจำตัว คือ โรคความดันและเบาหวาน
ต้องกินยาควบคุมมาเป็นเวลาหลายปี แต่ยังไปงานสังคมพบปะเพื่อนฝูง ญาติ อยู่เสมอ
เมื่อเข้าสู่วัยชราภาพ อายุ ๘๕ ย่างเข้า ๘๖ ปี
ก็ได้เด็กรับใช้คนนี้ช่วยพยุงเข้าห้องน้ำ
เมื่อโรคได้กำเริบขึ้นและอาการทรุดลงเรื่อย ๆ พาไปหาหมอแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้
วาระสุดท้ายก็ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เกิด แก่ จบ ตาย
เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น บรรดามิตรสหายลูกหลานก็ได้ดำเนินการไปตามประเพณี
ได้นำเงินที่ได้จากการร่วมทำบุญแบ่งเข้ามูลนิธิและบำรุงพระพุทธศาสนา พร้อมตั้งจิตอธิษฐานให้คุณแม่จงไปสู่สุคติ
ด้วยผลบุญที่ทำไป ขอให้ลูกหลานจงอยู่อย่างมีความสุข
เหตุการณ์ได้ผ่านไปเป็นปกติไม่ปรากฏวี่แววล่วงหน้าให้รู้ว่า
อะไรจะเกิดขึ้นในบ้านที่เคยอยู่ จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวขึ้น
กระผมได้รายงานเหตุการณ์ให้หลวงลุงช่วยประมาณ ๒ ครั้ง (๒๙ ม.ค. ๔๒ และ ๘ มี.ค.
๔๒) เหตุการณ์ต่าง ๆ
ผ่อนคลายลงมาตามลำดับ ซึ่งพอจะสรุปให้ทราบดังต่อไปนี้
เหตุการณ์ครั้งที่
๑ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ ม.ค. ๔๒
มิใช่เป็นความฝันแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนกลางคืนซึ่งเราทุกคน หมายถึงกระผม ภริยา
และลูก ๆ ยังไม่หลับ เพราะเตรียมให้ลูกดูหนังสือสอบไล่ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ ๒๑.๐๐ น.
ก็มีกลิ่นตัวของคุณแม่ทองย้อยลอยโชยมาอยู่บริเวณหน้าห้องนอน
กระผมเลยบอกอาจารย์วลัยพร้อมด้วย ด.ญ. เพ็ญจันทร์ ออกมานั่งคุกเข่าหน้าห้องนอน
กระผมก็พนมมือเริ่มกล่าวคำพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า คุณแม่ครับ กระผมทราบว่าคุณแม่มา
กระผมหวังว่าคงจะได้รับของที่กระผมทำบุญไป
และขอให้คุณแม่มีความสุขกายและใจในกายทิพย์ อาจารย์วลัยก็กล่าวในใจ บอกคุณแม่ว่า
ดึกมากแล้ว ขอเชิญคุณแม่ไปนอนพักผ่านในห้องนอนของคุณแม่ข้างล่าง
หลังจากนั้นกลิ่นตัวคุณแม่ก็หายไปอยู่ในห้องนอนคุณแม่ข้างล่าง
ภริยากระผมจึงได้ตะโกนถามเด็กรับใช้ว่า ช่วยดูซิคุณยายอยู่ในห้องหรือยัง
เด็กเข้าไปดูก็พบว่าคุณยายอยู่ในห้องนอนเรียบร้อย ก็ตอบกลับไปว่าอยู่เรียบร้อยแล้ว
เหตุการณ์ครั้งที่
๒ ตอนกลางวันของวันที่
๒๒ ม.ค. ๔๒ เด็กรับใช้ได้นอนหลับ ฝันว่าคุณยายมาฝากบอกขอบคุณผู้พันและอาจารย์วลัย
และบอกสั่งให้หลาน ๆ ทั้ง ๒ คน ให้ตั้งใจเรียนหนังสือ และในช่วงตอนเย็นเวลาประมาณ
๑๗.๐๐ น. เด็กรับใช้ได้กลิ่นตัวคุณยายที่เก้าอี้นั่งและกลิ่นในห้องนอนแรงมาก
จึงได้บอกว่าวันนี้ผู้พัน และอาจารย์วลัย รุ้ง และ นท ไปชมคอนเสิร์ตที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเมื่อผู้พันและอาจารย์วลัยถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้ก็รายงานให้ทราบ
เหตุการณ์ครั้งที่
๓ เวลาประมาณ
๐๔.๐๐ น. ของวันที่ ๒๕ ม.ค. ๔๒
กระผมได้ฝันว่าดวงวิญญาณของคุณแม่ทองย้อยเดินเข้ามาในห้องนอนของกระผม
และถือถุงเสื้อผ้าเข้ามาด้วย ๒ ถุง มากองที่ฝาผนังด้านในห้องนอนของกระผม
ในฝันผมกำลังนอนอยู่บนที่นอน คุณแม่พูดว่าอย่างนึกว่าแม่จะเข้ามาในห้องนอนไม่ได้นะ
พูดเสร็จแล้วก็เอามือยาวจะมาบีบคอกระผม
กระผมตั้งสติได้โดยใช้คาถาของหลวงลุงจรัญแผ่เมตตาไป
ทันใดนั้นดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยก็ดึงมือกลับแล้วหันหลังกลับออกไปนอกประตูห้องนอน
ตรงไปที่ห้องน้ำข้างบนเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำใหม่
และเป็นเวลาเดียวกันที่เห็นเด็กรับใช้เดินขึ้นมาข้างบน
คุณแม่กลายเป็นผู้หญิงสาวเข้ามาห้องนอนของกระผมใหม่อีกพร้อมด้วยอารมณ์ดีไม่โกรธ
กระผมเลยแผ่เมตตาไปอีกครั้งก็พอดีตกใจตื่น จากเหตุการณ์ที่ฝันในครั้งนี้
กระผมมีความคิดว่าดวงวิญญาณของคุณแม่คงจะอยู่ที่บ้าน
และมีความปรารถนาที่จะได้เสื้อผ้าใส่แน่
วันนั้นกระผมก็นำอาการไปถวายพระที่วัดเบญจมบพิตร กทม. และเรียนปรึกษากับพระสงฆ์
ท่านได้ให้คำปรึกษาและแนะนำให้ทำสังฆทานพร้อมสร้างพระพุทธรูป
กระผมจึงซื้อเครื่องสังฆทานดังกล่าวจากร้านค้า สหกรณ์พัฒนามาทำในวันเดียวกัน
เสร็จแล้วก็เดินทางไปหาอาจารย์วลัยที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และได้มีโอกาสพบกับอาจารย์เชาวลิตผู้สามารถเข้าถึงดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยได้
สอบถามก็ได้ทราบว่าคุณแม่มีความห่วงใยรักใคร่อาจารย์วลัยและห่วงใยหลาน ๆ คือ
ด.ญ.เพ็ญจันทร์ (รุ้ง) และ ด.ช.โกศล (นท)
ตลอดจนได้บอกถึงเหตุการณ์ให้ทราบล่วงหน้าว่า อาจารย์วลัยจะป่วยไม่สบาย
หลานชายจะทำเรื่องเดือดร้อน จะทำเพื่อนถึงกับเลือดตกยางออก
ทำให้อาจจะเกิดผิดใจกันระหว่างพ่อกับแม่ได้ จะต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรงได้
ทางอาจารย์เชาวลิตได้ให้กระผมและภริยาไปขอต่อองค์พระอินทร์
ที่บริเวณอมรินทร์พลาซ่า จะมีรูปองค์พระอินทร์อยู่ให้ไปขอพรจากพระองค์ท่านโดยด่วน
กระผมกับอาจารย์วลัยก็เลยไปขอพรท่าน เพื่อให้ดูแลเด็กชายโกศลให้ว่านอนสอนง่าย
และเชื่อฟังพ่อแม่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ ๒๕ ม.ค. ๔๒ และอาจารย์เชาวลิต
ได้ส่งกระแสจิตนี้ให้ดวงวิญญาณคุณแม่ลดแรงกดดันที่รุนแรงลงได้ระยะหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม
กระผมก้ไม่ต้องการให้คุณแม่มีความห่วงใยยึดติดกับครอบครัวของกระผมมากเกินไปเนื่องจากอยู่กันคนละภพแล้ว
กระผมต้องการให้ดวงวิญญาณของคุณแม่พร้อมที่จะไปอยู่ในที่ซึ่งควรจะไป
กระผมจึงได้เขียนจดหมายขึ้นกราบนมัสการหลวงลุง จรัญ
ขอความเมตตาจากท่านประสงค์จะขอให้ดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยได้ไปปฏิบัติธรรม
ก่อนที่จากไปสู่โลกแห่งวิญญาณสภาวะใหม่ที่สูงขึ้น เพื่อที่จะให้ดวงวิญญาณของคุณแม่ทองย้อยหลุดพ้นจากสิ่งที่ห่วงใย
ไม่ต้องยึดติดสิ่งต่าง ๆ ให้ละวางเสียที
วันที่
๒๕ ม.ค. ๔๒ กระผมได้ทำบุญโดยนำอาหารไปถวายเพลพระสงฆ์ที่กุฏิ ๓๒ วัดเบญจมพบิตร
(ทั้งอาหารคาวหวานมีทุเรียนด้วย) พอตอนกลางคืนที่บ้านของกระผม เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ ๒๑.๐๐ น.
ก็ได้กลิ่นทุเรียนหอมทั้งห้องนอน
(เป็นห้องที่ใช้แต่งตัวไปทำงานและอยู่ตรงกับห้องนอนคุณแม่เมื่อมีชีวิตอยู่)
ก็แสดงว่าคุณแม่ได้รับของทำบุญทุกอย่างที่กระผมทำไปแล้ว
เพื่อความแน่ใจว่าใช่หรือไม่ กระผมจึงไปเรียกอาจารย์วลัยมารับทราบกลิ่น
ซึ่งอาจารย์วลัยก็ยอมรับว่าใช่แน่นอน ได้กลิ่นเหมือนกันคือกลิ่นทุเรียน
เป็นกลิ่นที่แสดงว่าดวงวิญญาณของคุณแม่อยู่ในบ้าน ๒๙๖/๑ ซอยวิภาวดี ๔๒
ตลอดเวลาอย่างแน่นอน เพราะขณะยังมีชีวิตอยู่คุณแม่ชอบทุเรียนมาก
เหตุการณ์ครั้งที่
๔ วันพฤหัสบดีที่
๔ ก.พ. ๔๒ ได้มีสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านคือ ตอนเช้าประตูห้องน้ำเปิด
ที่ห้องนอนคุณแม่ทองย้อย มีไฟเปิดอยู่ มีคนใช้ผ้าขนหนูถูตัวและแขวนเอาไว้
กระผมและอาจารย์วลัยได้สอบถามเด็กเตี้ยว่ามีใครใช้ เตี้ยบอกว่าไม่มีใครใช้
กระผมและอาจารย์เข้าใจและทราบดีว่าน่าจะเป็นคุณแม่แน่นอน ต้องการจะแสดงให้รู้ว่า
อยู่ที่บ้านไม่ได้ไปที่ไหน
เหตุการณ์ครั้งที่
๕ วันเสาร์ที่
๖ ก.พ. ๔๒ เช้าวันนี้อาจารย์วลัยได้ทำบุญตักบาตรตอนเช้า ปรากฏว่าตอนเวลา ๒๐.๐๐ น.
ได้กลิ่นอาหารในห้องนอน เป็นกลิ่นอาหารที่ผัด มีเครื่องแกง
ก็เลยบอกอาจารย์วลัยให้ไปทดสอบกลิ่น
ก็พบว่าได้กลิ่นเช่นเดียวกันและในวันเดียวกันนี้เมื่อเวลาเที่ยงคืน
เด็กเตี้ยได้เข้าห้องนอนของเขา (ห้องนอนของเด็กเตี้ยอยู่หน้าห้องอาหาร)
ได้ยินเสียงคุณแม่ทองย้อยเดินมาที่ห้องทานข้าว
เลื่อนเก้าอี้และกลับไปที่ห้องน้ำและออกไปห้องครัวข้างนอก
เหตุการณ์ครั้งที่
๖ วันอาทิตย์ที่
๗ ก.พ. ๔๒ เวลา ๒๒.๐๐
๒๒.๕๐ น. กระผมเข้าไปในห้องนอนข้างบน มีกลิ่นดอกไม้แห้งในห้องนอน
แสดงให้ทราบว่าคุณแม่อยู่ที่บ้าน
เหตุการณ์ครั้งที่
๗ เช้าวันจันทร์ที่
๘ ก.พ. ๔๒ กระผมและอาจารย์วลัยนอนตื่นสาย ซึ่งเดิมเคยตื่นนอน ๐๕.๐๐ น. ของทุกวัน
แต่วันนี้ตื่นนอน ๐๖.๐๐ น. ผิดเวลาไป กระผมได้ยินเสียงมีคนทุบประตูหน้าห้องนอนเสียงดัง
และมีเสียงเรียกว่า กบ-วลัย
สายแล้ว ตื่น ๆ
กระผมตกใจตื่นขึ้นมา จำได้ว่าเป็นเสียงคุณแม่ทองย้อย เกรงว่าจะไปไม่ทันทำงาน
จึงแยกรถกันไปคนละคัน ก็แสดงว่า คุณแม่ทองย้อยท่านเป็นห่วงคอยดูแลกระผมและครอบครัว
เหตุการณ์ครั้งที่
๘ วันอังคารที่
๙ ก.พ. ๔๒ วันนี้อาจารย์วลัยมอบให้กระผมนำอาหารไปใส่บาตรทำบุญให้คุณแม่ทองย้อย
ที่วัดเบญจมบพิตร นำไปมอบให้กุฏิ ๓๓ ของที่ทำบุญ ก็มีข้าว ๒ ถุง ผัดผักถั่วลันเตา
แกงปลาดุก ข้าวเหนียวมะม่วง น้ำฝรั่ง ตอนเย็นกลับมาถึงบ้านเด็กรับใช้รายงานว่า ข้าวที่หุงไว้ในหม้อหายไป
กระผม อาจารย์วลัย และลูก ๆ กลับมาก็อาบน้ำและรับประทานข้าว
เมื่อเสร็จแล้วก็ขึ้นบนห้องนอน กระผมก็เดินเข้าห้องแต่งตัว
ได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้
และกระผมก็ไปตามอาจารย์วลัยมาดมกลิ่นปรากฏว่าได้กลิ่นหอมเช่นกัน
เหตุการณ์ครั้งที่
๙
วันเสาร์ที่ ๑๓ ก.พ. ๔๒ เด็กรับใช้ได้ตื่นนอนเวลา ๐๕.๓๐ น.
พอเปิดไฟและประตูบ้านก็พบสิ่งที่คาดไม่ถึงคือ
ดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยนั่งหันหน้าไปทางหลังบ้าน
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๐ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ก.พ. ๔๒ เป็นวันทำบุญครบ ๕๐ วัน
ของการจากไปของคุณแม่ทองย้อย ที่วัดราชบพิตร ได้ทำอาหารที่คุณแม่ชอบทุก ๆ อย่าง
เช่น น้ำยาไก่ แกงส้ม หมี่กรอบ หมูอบ ผัดผักรวมมิตร มีปลาสลิด ปลาแห้ง
จากร้านในวัดอัมพวัน ๒ กก. ด้วย แกงมัสมั่น ผลไม้ก็มี แตงโม มะละกอ และทุเรียน
ของหวานได้แก่ ไอศครีมกะทิ วุ้นกะทิ และซ่าหริ่ม เวลา ๒๐.๒๐ น.
กระผมได้เดินเข้าไปห้องแต่งตัวพบว่ามีกลิ่นทุเรียนตามมาที่หน้าห้อง
จึงเรียกอาจารย์วลัยให้ไปทักคุณแม่ แล้วก็กล่าวคำพูดทักทายไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง
แล้วเชิญคุณแม่ไปนอนที่ห้องคุณแม่ ในเวลาเดียวกัน ด.ญ.เพ็ญจันทร์ (รุ้ง)
กำลังแปรงฟันอยู่ทีห้องน้ำใกล้บันได เห็นภาพคุณยายกำลังเดินเข้าห้องนอน
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๑ วันอาทิตย์ที่
๒๑ ก.พ. ๔๒ กระผมได้ฝันเห็นไม้เท้าสีขาวและไม้เท้าของคุณแม่ทองย้อยวางคูกัน ทั้ง ๆ
ที่ไม้เท้าทั้งสอง กระผมและอาจารย์วลัยนำไปถวายพระสงฆ์ที่โรงพยาบาลสงฆ์ ถนนพญาไท
หลายวันแล้ว หลังจากคุณแม่ได้สิ้นบุญ วันนี้เวลา ๒๒.๔๐ น.
คุณแม่ทองย้อยได้ส่งกลิ่นตัวมาให้ทราบ ที่หน้าห้องนอนข้างบน
กระผมต้องเรียกอาจารย์วลัยและลูก ๆ มาพบหน้าห้องนอน พูดกับคุณแม่หลายครั้ง
ไม่ยอมไป จนกระทั่งต้องพารุ้งออกมาพบอีกครั้ง
และให้รุ้งพูดจากับคุณยายและขอพรเนื่องจากวันนี้ (๒๒ ก.พ.) เป็นวันเกิดของรุ้ง
เสร็จแล้วขอให้คุณยายไปนอน กลิ่นค่อย ๆ หายไป อาจารย์วลัยก็เลยตะโกนถามเด็กว่า
เตี้ยช่วยดูซิคุณยายอยู่ในห้องนอนหรือยัง เด็กเตี้ยก็ดูในห้องนอนพบว่า
กลิ่นตัวของคุณยายอยู่ในห้องนอนแล้ว
จึงได้ขึ้นไปเรียนอาจารย์ว่าคุณยายอยู่ในห้องแล้ว
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๒
วันอังคารที่ ๒๓ ก.พ. ๔๒ วันนี้กระผมไปรับเงินบำนาญให้คุณพ่อ (พล.ต.วสันต์)
น้าตุ๊และน้องแหม่ม และนำมาให้ที่บ้านฝั่งธนบุรี พอขากลับมาทำงานเวลาประมาณเที่ยง
ไม่ทราบมีอะไรดลใจให้เลี้ยวรถไปวัดราชบพิตร
เพื่อนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มี.ค. ๔๒ เวลา
๐๖.๐๐ น. เมื่อถึงวัดราชบพิตรก็มีคนออกรถพอดี มีที่จอด
เมื่อกระผมเดินลงจากรถเข้าประตูวัดราชบพิธ สิ่งที่กระผมไม่คาดมาก่อนก็เกิดขึ้น
กล่าวคือ มีกลิ่นดอกไม้แห้งนำหน้ากระผมไปจนถึงกุฏิหลวงพี่จ้าย พระครูวินัยธร
(วันชัย) พอผมรอสักครู่ก็พบท่านพระปริยัติกวี (พระมหาประสงค์) และพระครูวินัยธร (วันชัย)
ซึ่งเดินกลับมาจากการรับกิจนิมนต์ ฉันอาหารเพลนอกวัด ก็ได้พูดตกลงกันเรียบร้อย
มอบให้หลวงพี่จ้ายเป็นผู้นิมนต์พระสงฆ์ ๙ รูป มาเจริญพุทธมนต์ที่บ้านกระผม
ท่านบอกให้กลับไปก่อนจะส่งข่าวให้ทราบภายหลัง คิดว่าพระสงฆ์คงไม่มีกิจนิมนต์
กระผมก็เดินทางกลับมีกลิ่นดอกไม้แห้งนำหน้าอีก
แสดงว่าคุณแม่ทองย้อยมากับกระผมตลอดเวลา
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๓ วันอังคารที่
๒๓ ก.พ. ๔๒ หลังจากเลิกทำงาน เวลา ๑๖.๓๐ น. ก็เดินทางจาก
สปช.ทหารไปรับอาจารย์วลัยและลูก ๆ ทั้ง ๒ คน ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ
ก่อนขึ้นรถที่จอดอยู่บริเวณหน้า สปช.ทหาร เมื่อเปิดประตูกลิ่นดอกไม้แห้งหอมอยู่ในรถทั้ง
ๆ ที่ในรถของกระผมไม่มีดอกไม้หน้ารถเลย
จึงเกิดความสงสัยอยู่ในใจกลิ่นดอกไม้มาได้อย่างไร
คงมิใช่ใครอื่นนอกจากดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยที่มีความห่วงใยและทราบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอนจึงได้ตามกระผมไปด้วย
กระผมพยายามขับรถไปด้วยความระมัดระวังตลอดเส้นทางจนถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเข้าในลานจอดรถบริเวณหน้าตึก ๖ ของคณะครุศาสตร์
กรผมเห็นที่จอดรถอยู่ทางขวามือว่างก็คิดว่าจะเข้าจอด
และในเวลาเดียวกับอาจารย์จรูญศรี มาดิลกโกวิท เป็นอาจารย์ภาควิชาสารัตถศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังถอยรถยนต์ออกจากที่จอดรถเพื่อกลับบ้าน
ส่วนผมก็ถอยรถเข้าที่จอด ดังนั้นรถทั้ง ๒ คัน จึงกำลังจะถอยมาหากัน
คุณแม่ก็ดลใจให้ผู้ชายที่ยืนอยู่บริเวณนั้นเห็น
แล้วมาเคาะประตูรถกระผมทำให้กระผมหยุดรถทันที รถเกือบจะชนกัน
ห่างกันแค่คืบหนึ่งเท่านั้น นับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คุณแม่ช่วยไว้ทัน
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๔ วันพุธที่
๒๔ ก.พ. ๔๒ เป็นวันโกน โดยปกติแล้ว เวลาดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยจะมาที่บ้านเวลา
๒๒.๔๐ น. หมาจะหอนจากปากทางเข้ามาจนถึงประตูบ้านเป็นระยะ ๆ
ก็แสดงว่าดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยมาถึงบ้านแล้ว สำหรับวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน
มาแบบเงียบแต่เวลาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือ เวลา ๒๒.๔๐ น.
กระผมก็ออกไปยืนตรงบันไดข้างบน กระผมก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูห้องนอน
จึงยืนนิ่งสักพักใหญ่ แล้วเช็คว่าเด็กเตี้ยอยู่ที่ไหน จึงร้องตะโกนถามไป
ก็ได้ยินเสียงตอบกลับว่า หนูอยู่ข้างนอกค่ะ
ก็แสดงว่าที่ได้ยินเสียงดัง
เปิด-ปิดประตูเมื่อสักครู่บอกให้รู้ว่าดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยมาแล้วนั่นเอง
พอตอนกลางคืนเด็กเตี้ยดูทีวีอยู่ คุณแม่ทองย้อยก็ออกมาทักทาย โดยเอามือตบที่ไหล่
แล้วได้ยินเสียงทิ้งตัวลงที่เบาะโซฟา
และในวันนี้น้องนทได้ฝันตอนเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ก.พ. ๔๒ ว่าเห็นคุณยายมานั่งเล่นที่โซฟาข้างล่างและเรียกน้องนทไปหา
นทก็เข้าไปไหว้คุณยายและพาพี่รุ้งไปหาคุณยาย รุ้งก็ตอบว่ารู้แล้วว่าคุณยายมา
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๕ วันพฤหัสบดีที่
๔ มี.ค. ๔๒ เวลา ๐๑.๐๐ น. กระผมได้นอนหลับแล้วตั้งแต่ ๒๑.๐๐ น.
อาจารย์วลัยได้นั่งทำงานอยู่ในห้องนอนคนเดียวยังไม่หลับ
พอเวลาดังกล่าวกระผมมีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงหมาหอนแต่ไม่ทราบเวลา
กระผมครึ่งหลับครึ่งตื่น กระผมมีความรู้สึกว่าดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยมาแน่นอน
จึงเอ่ยปากไปว่าระวังคุณแม่จะมาหานะ อาจารย์วลัยกำลังทำงานก็บอกว่า
เอออย่างนั้นก็เก็บงานที่ทำและนอนดีกว่า เพียงไม่ถึง ๑๐ นาที
อาจารย์วลัยร้องเสียงดังว่า คุณแม่มา กลัว ๆ พูดได้ ๒ คำตรงเข้ามากอด
เอาเข่ามากระแทกหลังกระผมจนเจ็บ และจับกระผมขึ้นเขย่าทั้งตัว
และมีน้ำเสียงที่สั่นกลัวกระผมจึงขอตัวไปเปิดไฟ อาจารย์วลัยก็ยังมากอดอยู่
กระผมก็บอกไปว่าให้แผ่เมตตาไป คุณแม่ทองย้อยจะได้มีความสุข
กระผมต้องแผ่เมตตานำทางอาจารย์วลัยให้พูดตามโดยใช้คาถาของหลวงลุงจรัญแผ่เมตตาไปให้ทำให้ดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยได้ออกไปจากห้องนอน
กระผมรู้ดีว่าไม่มีอะไร เจตนาต้องการมาหาเท่านั้น
เพราะมีความรักและคิดถึงลูกและหลาน ๆ ๒ คน เพราะก่อนเสียชีวิตนั้นมีความผูกพันกันมาก
ๆ
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๖ วันเสาร์ที่
๖ มี.ค. ๔๒ เวลา ๒๒.๐๐ น. มีเสียงหมาหอนรับกันจากภายนอกบ้าน
และในบ้านเป็นเวลาเดียวกันที่อาจารย์วลัยได้พาลูก ๆ ทั้ง ๒ คน ไปดื่มนมก่อนนอน
ซึ่งปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน ขณะที่เดินลงบันไดมานั้น ได้กลิ่นทุเรียนหอมสวนทางขึ้นบันไดบ้านก่อนจะขึ้นข้างบน
ซึ่งในวันนี้อาจารย์วลัยได้ทำบุญตักบาตรตอนเช้ามีทุเรียนใส่บาตรไปให้
ซึ่งเป็นของชอบของคุณแม่
ก็สรุปว่าคุณแม่ทองย้อยได้รับอานิสงส์ผลบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ท่านต้องการจะมาบอกและขอบคุณที่ทำบุญไปให้นั้นเอง
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๗ วันอาทิตย์ที่
๗ มี.ค. ๔๒
เด็กรับใช้ได้ฝันว่าคุณยายได้พาเตี้ยขึ้นมาบนห้องนอนของกระผมและอาจารย์วลัย
พอมาถึงหน้าประตูห้องคุณยายก็ยกมือไหว้หน้าประตูแล้วบอกว่าขอเข้าไปห้องลูกสาวหน่อย
เสร็จแล้วคุณยายก็เดินเข้าไปผ่านประตูห้องนอน ปรากฏว่าโดนผลักออกมาและล้มลงหน้าห้องนอน
เด็กรับใช้จึงได้พยุงคุณยายขึ้นและ พาลงมานอนที่ห้องนอนของคุณยาย
คุณยายก็ร้องไห้น้ำตาไหลเสียใจที่เข้าห้องนอนไม่ได้
คุณยายต้องการไปหาอาจารย์วลัยและหลาน ๆ ด้วยความรัก
สาเหตุที่ดวงวิญญาณคุณแม่เข้าไม่ได้ เพราะกระผมเอาผ้ายันต์ติดไว้ด้านในประตูหลังจากวันที่
๔ มี.ค. ๔๒ เป็นต้นมา เพราะอาจารย์วลัยและลูก ๆ กลัว
อนึ่ง
ในคืนวันเดียวกันนี้ ลูกสาวของกระผม (รุ้ง)
ได้ฝันว่าคุณยายได้พยายามเข้ามาในห้องจนได้
แต่งกายชุดสีเขียวเป็นชุดที่ใส่ตอนรดน้ำศพถือกระเป๋า
และคุณยายก็ร้องไห้บอกว่าวันที่ ๓๑ มี.ค. ๔๒ ก็หันหลังกลับและหายไปเลย
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าตรงกับที่อาจารย์เชาวลิต ได้บอกไว้
เมื่อวันที่ ๒๕ ม.ค. ๔๒
ว่าคุณยายจะไปจากบ้านเลขที่ ๒๙๖/๑ นี้
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๘
วันจันทร์ที่ ๘ มี.ค. ๔๒ เวลา ๐๕.๓๐ น.
อาจารย์วลัยได้ปลุกเด็กรับใช้ให้ลุกจากที่นอนข้างล่าง
เด็กก็ลุกขึ้นตรงไปเปิดประตูออกไปข้างนอกบ้าน
และคิดว่าจะตรงไปในห้องครัวเพื่ออุ่นอาหาร ทันใดนั้นเองเมื่อเปิดประตูเห็นคุณยาย
นั่งเก้าอี้หันหลังให้ เกิดอาการตกใจ จึงดึงประตูกลับมาตั้งหลัก
เมื่อรวบรวมสติได้แล้วก็เปิดประตูออกไป พร้อมเปิดไฟนีออนหน้าห้องครัว
ภาพที่เห็นเป็นคุณยายดังกล่าวก็หายไป เมื่อเด็กรับใช้ได้เข้าไปในห้องครัวก็พบว่า
ถ้วยชามมีการหายเข้าไปเก็บในที่เก็บชามทั้งหมด ทำให้เกิดอาการตกใจอีกครั้ง
และมานั่งบ่นอยู่ในใจว่าถ้าหากผีมายุ่งเกี่ยวในเรื่องของคน
เห็นทีจะอยู่ไม่ได้ต้องขอลาออกจากบ้านนี้
พอเวลาประมาณ
๑๒.๐๐ น. ของวันเดียวกัน เด็กรับใช้ทำความสะอาดตามที่อาจารย์วลัยสั่ง
กำลังเช็ดถูทำความสะอาดผนังกำแพงบ้านอยู่
ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจทำให้เด็กรับใช้มีอาการง่วงนอนและหลับทันที
ปรากฏว่าได้ฝันไปว่าคุณยายทองย้อยที่พูดกับเตี้ยว่า เอาผ้ายันต์ออกได้หรือยัง เตี้ยบอกว่าเอาออกไม่ได้เพราะอาจารย์วลัยกลัวคุณยาย
เมื่อคืนที่คุณยายเข้าไปหาอาจารย์วลัย อาจารย์ตกใจกระโดดเข้ามากอดผู้พัน
ทำให้เข่ามาโดนกลางหลังของผู้พัน ผู้พันเลยเจ็บตัว คุณยาย (แต่งกายชุดสีขาว)
เลยบอกเด็กรับใช้ว่าเอาเถอะไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะไปปฏิบัติธรรมจะไปบวชชีพราหมณ์ พอทำบุญบ้านแล้วฉันก็ไปแล้วไม่ต้องกลัว
ต่อมาคุณยายได้พูดว่า เตี้ยเธอเปิดน้ำทิ้งไว้น้ำจะท่วม เดี๋ยวเธอปิดน้ำเสียนะ
คุณยายพูดเสร็จก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านเด็กรับใช้ได้เห็นว่ามีเด็กสาวมารับคุณยายไปปฏิบัติธรรมด้วย
๒ คน แต่งกายชุดสีขาว ขณะที่เด็กเตี้ยมาส่งยายที่ประตู คุณยายก็ถาม
เมื่อเช้าเธอบ่นว่าจะไม่อยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม ฉันรู้เพราะตอนที่เธอบ่นอยู่นั้น
ฉันอยู่ใกล้ ๆ เธอ ก่อนไปคุณยายได้บอกเตี้ยให้บอกรุ้งว่าเขาจะโชคดีวันนี้
พอกระผมและอาจารย์วลัยและลูก ๆ ๒ คน กลับมาจากโรงเรียนเด็กรับใช้ก็มาบอกให้ทุกคนรับทราบ
โดยเฉพาะรุ้ง คุณยายสั่งพิเศษว่าน้องรุ้งจะโชคดีวันนี้
ปรากฏว่าน้องรุ้งรับทราบผลการสอบ ๒ วิชา ได้แก่ วิชาเลข และวิชา สปช.
ว่าสอบได้คะแนนเต็ม ซึ่งดูแล้วก็ตรงตามที่คุณแม่ทองย้อยบอกทุกประการ
จากความรักความห่วงใยของดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยที่มีต่อลูกสาวและหลาน
ๆ ทุกคนทำให้ดวงวิญญาณของท่านไม่หลุดพ้น
ก็จะเกิดเป็นการใช้กรรมและอาจจะได้รับการลงโทษจากเบื้องบน
ซึ่งกระผมได้เคยรับทราบจากการบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.
สิงห์บุรี ถึงดวงวิญญาณของแม่กาหลง จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๒
เมื่อครั้งที่หลวงลุงไปซื้อบ้านที่ผู้ใหญ่บ้านแนะนำมาทำโรงครัววัดอัมพวัน
ดวงวิญญาณของแม่กาหลง ก็ยังคงอยู่ที่บ้านและไม่จากไปจากเรือนเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งดวงวิญญาณแม่กาหลงมาเข้าแม่บุญชู สามีชื่อนายสงวน ศรีพวงวงษ์ เป็นภารโรง
โรงเรียนวัดอัมพวันที่ขอแรงมาช่วยทำครัวเลี้ยงพระสงฆ์ จึงทราบว่า
ชอบหอบกระเทียมไปบ้าน หมูเหลือ ปลาเหลือ จากทำถวายพระก็เอาไป
ดวงวิญญาณแม่กาหลงทนไม่ไหว จึงแสดงให้หลวงพ่อจรัญได้ทราบและยังได้เล่าเรื่องในอดีต
ซึ่งท่านจะหาอ่านเรื่องนี้ได้ในหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๒ หน้า ๓๑
ที่สำคัญที่จะขอกล่าวก็คือ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป
ก็ยังมีอำนาจโลภห่วงใยสมบัติห่วงใยสามี
จึงผูกคอตายทำให้เป็นเปรตอยู่ในเรือนหลังนี้
ต่อมาหลวงลุงชวนวิญญาณของแม่กาหลงอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
จนสำเร็จพ้นจากเปรตไปเป็นเทพในที่สุด
ด้วยความรักและเคารพแด่ดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยซึ่งไม่ปรารถนาจะให้ดวงวิญญาณคุณแม่ไปทางที่ไม่ดี
(เป็นสัมภเวสี) และมีความสงบตลอดจนพ้นต่อสิ่งผูกพันทุกอย่างที่เป็นอยู่
เพื่อเริ่มต้นให้ดวงวิญญาณของคุณแม่ทองย้อยไปสู่สุคติ
กระผมจึงเขียนจดหมายมาหาหลวงลุงจรัญ ว้ดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ๒ ครั้ง คือวันที่ ๒๙
ม.ค. ๔๒ และ ๘ มี.ค. ๔๒ โดยส่งโทรสาร (๐๓๖) ๕๙๙๑๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น.
เพื่อต้องการจะให้ดวงวิญญาณของคุณแม่ทองย้อยไปปฏิบัติธรรมและเกิดความสงบสุข
ไม่เกิดความกังวลวุ่นวายในจิตใจแห่งดวงวิญญาณของท่าน ดังนั้นในวันจันทร์ที่ ๘
มี.ค. ๔๒ ทำให้ดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยตัดสินใจไปบวชชีพราหมณ์ เวลา ๑๒.๐๐ น.
และได้กลับมาบ้านเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ มี.ค. ๔๒ เวลา ๑๒.๐๐ น.
นับว่าหลวงลุงจรัญได้ให้ความกรุณากับกระผมมาก
กระผมได้เฝ้าสังเกตอาการหลังจากกลับมาที่บ้านได้ ๕ วัน
อาการของดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยสงบลงไม่กระวนกระวายใจ ไม่ส่งกลิ่น รูป
และเสียงให้กับใคร ๆ ได้ยินหรือเห็น
แต่สำหรับกระผมนั้นทราบถึงความต้องการที่ดวงวิญญาณจะให้ทำบุญไปให้ อาทิเช่น
ขณะที่กระผมสวดมนต์อยู่ที่ห้องพระเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มี.ค. ๔๒ เวลาประมาณ
๑๗.๐๐ น. ก็ได้กลิ่นหอมของไก่จ๊อตรงที่กระผมนั่งสวดมนต์
กระผมก็ทราบทันทีว่าดวงวิญญาณคุณแม่ทองย้อยต้องการให้ทำบุญไปให้ ท่านจึงขอมา
เหตุการณ์ครั้งที่
๑๙ ได้เกิดขึ้นในวันพุธที่ ๑๐ มี.ค. ๔๒
หลังจากที่เด็กรับใช้ตื่นนอนตอนเช้า เวลา ๐๕.๓๐ น.
ก็เข้าห้องน้ำข้างล่างที่อยู่ข้าง ๆ ห้องครัว พบว่าน้ำที่ใช้อาบซึ่งเมื่อคืนเหลือเกินครึ่งถัง
แต่พอมาดูตอนเช้าปรากฏว่าไม่มีน้ำเหลืออยู่ในถังแล้ว
กระผมก็เลยพูดกับเด็กรับใช้ว่าสงสัยถังน้ำรั่วก็ได้
แต่เด็กรับใช้ก็ยืนยันว่ามีอยู่ครึ่งถัง กระผมเลยบอกว่าช่างเถอะไม่ต้องพูด
เหตุการณ์ครั้งที่
๒๐ เป็นความฝันที่เกิดขึ้นกับ
ด.ญ.เพ็ญจันทร์ (รุ้ง) เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มี.ค. ๔๒ ตอนกลางคืน ช่วงเวลา
๐๓.๐๐-๐๔.๐๐ น. รุ้งฝันเห็นพ่อและแม่หนีขึ้นข้างบนบ้าน
รุ้งเหลือบไปเห็นคุณยายนั่งที่โซฟา ก็บอกน้องนทว่าคุณยายมาแล้ว
น้องนทกับพี่รุ้งก็ไปสวัสดีคุณยาย รุ้งถามคุณยายว่ากล่องอะไรอยู่ที่ข้างหลัง
คุณยายบอกว่ากล่องใส่อาหาร แล้วคุณยายก็หยิบขึ้นมาเปิดฝากล่อง
รุ้งถามคุณยายว่าเป็นอะไร คุณยายบอกว่าเป็นปลาเล็กปลาน้อย
คุณยายให้นทและรุ้งรับประทาน รุ้งถามคุณยายว่าชอบหรือไม่ คุณยายบอกว่าชอบ
และรุ้งถามว่าประตูห้องนอนเปิดทำไมไม่ปิด รุ้งก็ยื่นหน้าไปดู
รุ้งเห็นคุณยายเก็บของหมดเลย คุณยายเก็บผ้าห่ม ๒ ผืน นาฬิกา ไฟฉาย วิทยุ
และไม่เท้าที่พิงฝาผนังอยู่ คุณยายก็เก็บทั้งหมดเหมือนคุณยายจะบอกว่าจะไปในวันที่
๓๑ มี.ค. ๔๒
จะเอาคนมาช่วยถือของด้วยเป็นผู้หญิง รุ้งถามคุณยายว่าใคร
คุณยายตอบไปว่าอย่ารู้เลย แล้วรุ้งก็ตกใจตื่น
เหตุการณ์ครั้งที่
๒๑ วันจันทร์ที่
๑๕ มี.ค. ๔๒ เป็นวันที่ลูก ๆ ๒ คน ปิดเทอมวันแรกอยู่บ้านกับเด็กรับใช้
รุ้งกับนทเล่นอยู่ข้างบนห้องนอนจนถึงเวลา ๑๒.๐๐ น. ไม่ยอมลงมารับประทานข้าว
ในเวลาเดียวกันที่เด็กรับใช้กำลังรีดผ้า
ได้ยินเสียงคุณยายสั่งในหูให้รีบขึ้นไปดูเด็ก ๆ ที่อยู่ข้างบนให้ลงมารับประทานข้าวเที่ยงได้แล้ว
ขณะนี้เด็ก ๆ เล่นบนห้องนอนเลอะเทอะแล้วให้รีบไป เตี้ยก็รับปากคุณยายไปนำตัวเด็ก ๆ
ลงมา และก็เห็นที่นอนเลอะเทอะจริง ๆ ตรงกับที่คุณยายบอกทุกประการ
และในวันนี้อาจารย์วลัยมีโอกาสได้พบกับลูกศิษย์นักศึกษาปริญญาโท ชื่อเชาวลิต สุไลมานดี
บอกว่า คุณแม่ได้กลับจากการปฏิบัติธรรมแล้ว เมื่อตอน ๑๒.๐๐ น.
แต่ไม่แสดงตนเพราะเชื่อฟังกระผมที่ขอร้องไว้
กระผมต้องขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงลุงจรัญ
หรือท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน
จ.สิงห์บุรี รองเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ที่ให้ความกรุณากระผมมาโดยตลอด
ตั้งแต่กระผมเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตั้งแต่ปี ๒๕๐๙
ในขณะนั้นศึกษาอยู่ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ กทม.
ในการปฏิบัติตนเพื่อให้เรียนหนังสือได้ดี
โดยใช้การปฏิบัติกรรมฐานช่วยให้เกิดสมาธิในการดูหนังสือ ทำให้จำได้แม่นยำ
จนกระผมได้เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในปี ๑๓
ท่านหลวงลุงจรัญก็ยังให้ความกรุณากระผมเหมือนเดิม ใน การอบรมสั่งสอนการปฏิบัติธรรม จนออกรับราชากรในปี พ.ศ.
๒๕๒๐ เป็นว่าที่ร้อยตรี ท่านหลวงลุงก็ยังดูแลกระผม ช่วยเป็นภาระในการอุปสมบทใน
พ.ศ. ๒๕๒๔ มีความเจริญก้าวหน้าในราชการ ได้รับยศ พ.อ. และได้ตำแหน่ง พ.อ.(พิเศษ)
ในปัจจุบันหลวงลุงยังคงให้ความกรุณาช่วยเหลือกระผมมาตลอด เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓
ม.ค. ๔๒ หลวงลุงได้ช่วยเหลือมอบเหรียญของท่านให้ ๓๐๐ เหรียญ และหนังสือสวดมนต์อีก
๓๐๐ เล่ม นับได้ว่าท่านเจ้าคุณ (หลวงลุง) ได้เมตตากรุณาเสียสละช่วยเหลือในยามยากเปรียบเสมือนสายฝนโปรยปรายคลายความร้อนนำความชื่อฉ่ำลงสู่ดวงใจของกระผมและครอบครัว
จึงไม่มีวันลืมเลือนไปได้เลย
เพื่อรับรู้โลกแห่งดวงวิญญาณที่เร้นลับมีจริง
กระผมจึงเขียนเรื่องนี้เพื่อเผยแพร่สนับสนุนกฎแห่งกรรมตามที่ประสบมาตามความเป็นจริง
มีพยานรู้เห็น ขอให้ท่านผู้รู้ได้รับไว้พิจารณาด้วย ถึงแม้เรื่องจะยาวไปบ้าง
กระผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สุดท้ายนี้
กระผมขอถือโอกาสอำนวยพรในวันคล้ายวันเกิดที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบในวันที่ ๑๕
สิงหาคม ๒๕๔๒ นี้ ขออำนาจบารมีพระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดประทานพรอภิบาลรักษาพระเดชพระคุณหลวงลุงจรัญ
ให้ปราศจากทุกข์ ประสบความผาสุกไร้หมู่มารผจญ
และความสำเร็จตามที่ท่านปรารถนาทุกประการเทอญ...