หลวงพ่อผู้เปี่ยมด้วยเมตตา
สุจีน ยิ้มรักษา
R14005
ครอบครัว
ของดิฉันเป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่สามารถใช้เป็นอุทาหรณ์
สอนทุกครอบครัวได้เป็นอย่างดี ถึงโทษของการพนัน สุรา และ อบายมุขทั้งปวง
เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นภาพที่ชัดเจน ว่ามันนำพาความหายนะมาให้กับเราได้อย่างไร
ดิฉันขอย้อนกลับไปเล่าตั้งแต่ดิฉันเริ่มแต่งงานกับสามี
(คุณประยงค์ ยิ้มรักษา) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ หลังแต่งงาน
สามีซึ่งเคยเป็นลูกจ้างโรงปูนผลิตเสาซีเมนต์ โอ่งซีเมนต์
ได้ลาออกมาเปิดกิจการของตนเองที่อำเภอตะกั่วป่า จ.พังงา เป็นกิจการขนาดเล็ก
สามีเป็นทั้งเจ้าของและลูกจ้าง สามีเป็นคนมีฝีมือในการปั้นโอ่งซีเมนต์
ซึ่งสมัยนั้นนิยมใช้สำหรับใส่น้ำฝนไว้ดื่มกิน
ดำเนินการอยู่ที่จังหวัดพังงาได้ปีกว่า ๆ การค้าไม่ค่อยดี ฝนตกชุกตลอดปี
พอดีมีญาติคนหนึ่งชวนให้ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดิฉัน สามี และ
ลูกจึงได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่ตำบลไร่เก่า กิ่งอำเภอสามร้อยยอด
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ยังไม่ใช่ที่อยู่ปัจจุบัน ตอนแรกที่ย้ายมา
บ้านไม่ได้อยู่ติดถนนเพชรเกษม เราปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ ข้างฝาบ้านก็ยังไม่มี
สามีและดิฉันช่วยกันค้าขาย มีลูกจ้าง ๑ คน กิจการดำเนินไปด้วยดี
เราพอมีเงินขยับขยายออกมาซื้อที่ซื้อทางปลูกบ้านติดถนนเป็นบ้านชั้นเดียว
ตอนนี้กิจการดีมาก ลูกค้าให้ความไว้วางใจ
จะปลูกบ้านต้องมาซื้อเสาปูนที่ร้านเพราะคุณภาพดีแข็งแรงทนมาก
สามีเป็นคนทำงานที่เน้นคุณภาพ ไม่เอาเปรียบลูกค้า เราเริ่มมีลูกจ้าง ๕ ๑๐ คน
ดิฉันลืมเล่าไปว่า สามีของดิฉันเป็นคนดื่มสุราทุกวันเป็นนิสัย
หลังเลิกงานจะดื่มจนเมา บางทีเมาแล้วยังออกไปเล่นสนุกเกอร์บ้าง การพนันบ้าง เล็ก ๆ
น้อย ๆ พอกลับบ้านก็หลับยาวถึงสายยังลุกไม่ขึ้น
ดิฉันต้องให้ลูกสาวตักข้าวต้มไปให้ทานถึงที่นอน พอสายหน่อยก็ฟื้นมาทำงาน
ตกเย็นก็ดื่มเป็นอยู่อย่างนี้ทุกวัน ในขณะที่กิจการดีขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่อัตคัดขัดสนเหมือนเมื่อก่อน และสามียังประมูลงานก่อสร้างโรงพยาบาลได้อีก ๑ โรง
แต่เป็นงานที่ทำแล้วไม่ได้กำไร แค่พ่อเสมอตัว แต่เราได้ไม้แบบมากมาย
ทำให้มีความคิดที่จะปลูกบ้านหลังใหม่ คราวนี้สามีตัดสินใจปลูกเป็นบ้านตึก ๓ ชั้น ๒
คูหา ใช้เวลาปลูก ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เราได้ย้ายเข้าอยู่บ้านหลังใหม่
ชาวบ้านในละแวกนั้น เริ่มคิดว่าทำไม ตายงค์ขี้เมา
(ฉายาที่ชาวบ้านเรียกสามี) ใช้เวลาในการนร้างตัว ๑๐ โดยประมาณ
จากบ้านที่ไม่มีข้างฝามาอยู่บ้านไม้ชั้นเดียว และล่าสุดได้อยู่บ้านตึก
กิจการคงจะดี จึงมีคนเปิดโรงปูนค้าวัสดุก่อสร้างขึ้นอีกหลายโรง
มีผลกระทบกระเทือนบ้าง ลูกค้าลดลงไปบ้าง แต่เราก็ยังขายดี รถบรรทุก ๖ ล้อ ๒
คันที่ใช้ส่งสินค้าให้ลูกค้าต้องออกส่งวันละหลายเที่ยว
แต่ตอนนั้นดิฉันและสามีได้ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
ดิฉันเริ่มเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนัน เป็นการเล่นกันสนุก ๆ ในหมู่เพื่อน
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นการพนัน ไม่นานดิฉันก็ติดและหยุดเล่นไม่ได้ เริ่มออกเล่นนอกบ้าน
สามีเริ่มไม่พอใจ จากที่ดื่มอยู่แล้วก็ประชดดื่มให้มากขึ้นอีก
ตอนกลางวันก็ดื่มด้วย ดิฉันก็ไม่สนใจมันติดไปแล้ว ไม่มีสติที่จะยับยั้งชั่งใจ
ยังเล่นต่อไป ในเมื่อสามีไม่พอใจที่ดิฉันทิ้งร้านออกไปเล่นข้างนอก
ดิฉันจึงขออนุญาตชวนเพื่อน ๆ มาเล่นที่บ้าน
ซึ่งสามีเห็นว่ายังดีกว่าไปเล่นข้างนอกจึงอนุญาต
และมีบางครั้งที่แกล้งประชดเล่นด้วย และ แกล้งเล่นให้เสียเงิน สามีบอกว่าช่วย ๆ
กันเล่นจะได้เจ๊งเร็ว ๆ ท่านอาจจะสงสัยว่าแล้วใครดูแลร้าน
พอดีช่วงนั้นมีลูกน้องคนหนึ่งเป็นพนักงานขับรถ ทำงานดี ลูกค้าชอบอัธยาศัย
มาซื้อของที่ร้าน และ จะถามหาคน ๆ นี้ จึงมอบหมายให้เขาดูแลจัดการทุกอย่าง
ทั้งเขียนบิล ส่งของ เก็บเงินไว้ใจทุกเรื่องจนมาทราบในภายหลังว่า
ลูกน้องคนนี้ยักยอกเงินไปหมุนใช้เอง และใช้วิธีแต่งบิลให้เราทราบ ตอนนั้น
หมดเงินไปมากพอสมควรแต่ก็ยังไม่มีสติอีก สามียังคงดื่มสุรา ดิฉันยังคงเล่นการพนัน
ตอนนั้น ลูก ๆ ยังเรียนไม่จบ กิจการหน้าร้าน หลานชายเป็นคนช่วยดูแลทุกอย่าง
หลานคนนี้เป็นคนเก่ง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๙ เศรษฐกิจเริ่มทรุด
บัญชีกระแสรายวันที่มีใช้อยู่เต็มวงเงิน ไม่สามารถเบิกเกินบัญชีได้อีก
บางวันขายได้น้อยจนแทบไม่มีเงินซื้อกับข้าว
ดิฉันและสามีจึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี
พอดีขณะนั้นพี่ชายของดิฉันซึ่งเป็นเจ้าของบริษัททัวร์สายใต้
ได้แนะนำให้ดิฉันทำร้านอาหาร พี่ชายจะนำทัวร์มาลงให้ ตอนนั้นเหมือนทางตัน
ดิฉันจึงตัดสินใจทำร้านอาหาร ก่อนเปิดร้าน สามีขอร้องดิฉันอย่างหนึ่งว่า
ถ้าดิฉันเลิกเล่นการพนันได้ อยู่บ้านดูแลกิจการจึงสมควรเปิด
แต่ถ้าทำไม่ได้ไม่ต้องเปิด ดิฉันบอกว่าทำได้ จึงเปิดร้านอาหารขึ้น
กิจการร้านอาหารมีเงินหมุนทุกวัน ขายดีมีแขกมาก ดิฉันไม่ได้เล่นการพนัน
สามีหยุดดื่มสุรา แต่อบายมุขก็คืออบายมุข ไม่นานดิฉันก็เริ่มเล่นการพนันอีก
ทิ้งร้านให้หลานชายดูแลกับลูก ๆ สามีเมื่อเห็นดิฉันเริ่มเล่น
ก็หันกลับมาดื่มสุราประชดอีก ครอบครัวดิฉันชอบใช้วิธีประชดใส่กัน
การค้าที่ขาดการดูแลจากเจ้าของกิจการ ปล่อยให้ลูกน้องทำกันไปตามลำพัง ก็ค่อย ๆ
แย่ลงโดยที่เราไม่รู้ตัว บัญชีกระแสรายวันที่เริ่มกระเตื้องขึ้น
เพราะนำหลักทรัพย์คือ ที่ดินไปขอกู้เพิ่มก็เต็มขึ้นมาอีกคราวหนึ่ง ต้องเล่นแชร์
ต้องกู้จากนอกระบบ เพื่อนำมาปิดบัญชีให้ลงตัวไม่เกินวงเงิน
ส่วนทางด้านลูกชายคนโตก็ฝักใฝ่กับการพนันอีกคน ชอบตีกอล์ฟ คบเพื่อนมีฐานะ
ใช้เงินเกินตัว ลูกชายคนนี้เรียนไม่จบปริญญา เพราะดิฉันให้ออกมาดูแลร้านอาหาร
แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ออกจากบ้านไปเล่นการพนันบ้าง ตีกอล์ฟบ้าง กลับบ้านค่ำ ๆ ทุกวัน
เป็นแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งล้มป่วย บ่นว่าปวดหัว สามีพาไปโรงพยาบาล
ผลการตรวจออกมาทำให้ดิฉันและสามี รวมทั้งพี่น้องทุกคนหัวใจสลาย
หมอบอกว่าติดเชื้อเอดส์ ดิฉันคิดไม่ถึงเลยว่า โรคบ้า ๆ
นี้จะมาเกิดขึ้นในครอบครัวของดิฉัน ตอนนั้นอาการลูกชายหนักมากเป็นตายเท่ากัน
แต่โชคดีได้หมอเก่ง สามารถผ่านวิกฤตมาได้
แต่ตั้งแต่นั้นมาต้องใช้เงินซื้อยาประมาณเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาททุกเดือน
ลูกชายเมื่อหายแล้วก็ยังทำตัวเหมือนเดิม อาจแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ
เพราะก่อนป่วยไม่ดื่มสุรา ตอนนี้เริ่มดื่มสุรา สูบบุหรี่ การพนันทุกอย่าง
เพราะจิตใจคงไม่มีความหวังอีกแล้ว แต่ยังไม่มีสติที่จะคิดทำบุญทำกุศล
ยังคงใช้ชีวิตอย่างประมาทอยู่อย่างนั้น ยาทีคุณหมอให้ทานก็ทานบ้าง ไม่ทานบ้าง
สร้างความทุกข์ใจให้กับพ่อแม่มาก ด้วยความเป็นห่วงลูก
จากที่ทุกข์เรื่องธุรกิจอย่างเดียว ก็มากพออยู่แล้ว ยังมาทุกข์เรื่องลูกอีก
หนี้สินก็มากมาย มองไปทางไหนมีแต่เจ้าหนี้
แต่ดิฉันและสามีไม่ได้มีสติปัญญาในการแก้ปัญหาเลย
สามีดื่มสุราเมาทั้งกลางวันกลางคืน ดิฉันเล่นการพนันมากขึ้น
กลับบ้านค่ำมืดดึกดื่นเพราะเครียด
ชีวิตนี้ไม่มีทางไหนที่จะทำให้ได้เงินมากเท่ากับการเสี่ยงโชคแบบนี้อีกแล้ว ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งไม่ได้
แถมเข้าเนื้อไปทุกวัน ในที่สุดเมื่อถึงยุค IMF ดิฉันแทบบ้า
ธนาคารไม่ปล่อยบัญชีกระแสรายวัน การค้าไม่มีเงินหมุนอีกต่อไป
แชร์ที่เล่นไว้ต้องส่งทุกเดือน เดือนละหลายแสน
แล้วยังดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบอีกที่ต้องส่ง จนตอนหลังแม้แต่ดอกเบี้ยก็ไม่มีส่ง
ไปตลาดจ่ายกับข้าว เจ้าหนี้ทวงต้องร้องไห้น้ำตาตกใน
กลับบ้านทุกวันกลุ้มใจอยากคิดฆ่าตัวตายก็หลายครั้ง ติดที่เป็นคนไม่กล้า
ถ้าใจเด็ดซักนิด ดิฉันคงไม่มีวันนี้ และคงต้องตกนรกไปอีกนาน
บุญกุศลแต่ชาติปางก่อน
ยังพอมีอยู่บ้าง วันหนึ่งขณะที่ดิฉันอยู่บ้านมีสองสามีภรรยาที่ดิฉัน
ไม่อาจจะลืมบุญคุณได้เลย คือ คุณพาณิชย์ และคุณถวัลย์ สมาบุตร มาหาดิฉันที่บ้าน
ดิฉันแปลกใจมากเพราะขาดการติดต่อกันไปหลายปี อยู่ ๆ ก็มาหาและบอกว่า
คิดถึงพี่สุจีนมาก และใจคิดว่า พี่สุจีนกำลังลำบากมีความทุกข์
อยากจะมาชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน วัดนี้ถ้าใครได้ไปแล้วจะไม่ทุกข์
จะมีสติแก้ไขปัญหาชีวิตได้ดี ดิฉันฟังแล้วก็มิได้ปฏิเสธหรือไม่เชื่อ
แต่ขอผลัดเขาว่าวันหน้าจะไปตอนนี้ไม่ว่าง เพราะกำลังเปิดร้านหมูย่างเกาหลี
ต้องจ่ายตลาดเอง บริหารงานบริหารเงิน รับหน้าเจ้านี้เองคนเดียว
เพราะอำนาจการตัดสินใจอยู่ทีดิฉัน จึงเป็นเหตุให้ดิฉันไม่สามารถไปปฏิบัติธรรมได้
คุณพาณิชย์แนะนำให้ดิฉันคิดว่า ตัวเองได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว
ถ้าเราตายแล้วคนอื่นก็จะรับผิดชอบแทนเราเอง แต่ดิฉันยังขอเวลาคิดอีก ๑ คืน
ดิฉันคงยังพอมีบุญที่จะได้ปฏิบัติธรรม และ ปวารณาตนเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญ เมื่อดิฉันบอกกับสามีและลูก
ๆ ว่า จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ๗ วัน ทุกคนยินดีให้ดิฉันไป และ
บอกว่าจะดูแลงานแทนเอง
วันที่
๙ กันยายน ๒๕๔๑ ดิฉันจึงไปปฏิบัติธรรม ครั้งแรกที่ไปไม่ประสบความสำเร็จนัก
ดิฉันเพียงแค่ทำตามที่ครูสอน แต่จิตใจยังไม่ซาบซึ้งในการปฏิบัติมากนัก
เมื่อกลับมาบ้านดิฉันยังได้ออกไปเล่นการพนันอีก ๑ ครั้ง
โดยที่ไม่ทราบเลยว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เดือนตุลาคม
คุณพาณิชย์มารับดิฉันไปวัดอัมพวันอีกเช่นเคย ทุกครั้งที่ไปปฏิบัติธรรม
เราจะไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิ เพื่อรับฟังโอวาทและร่วมทำบุญกับหลวงพ่อก่อน วันนั้นเป็นจุดพลิกผันชีวิตและจิตใจของดิฉัน
ต่อหน้าหลวงพ่อและคนอื่น ๆ อีกมากมาย คุณพาณิชย์กราบนมัสการหลวงพ่อว่า
ดิฉันคิดฆ่าตัวตาย เพราะมีหนี้สินมากมาย หลวงพ่อผู้เปี่ยมด้วยเมตตา
ได้ขอบิณฑบาตชีวิตดิฉันไว้ และพรมน้ำมนต์ให้เป็นกำลังใจ
ดิฉันตั้งใจว่าต่อไปนี้จะเชื่อฟัง และปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนทุกประการ หลวงพ่อสอนว่า
ถ้าเจ้าหนี้มาทวง อย่าหลบหน้า ให้บอกเขวว่าไม่โกงหรอก ไม่หนีไปไหน ถ้ามีแล้วจะให้
บอกเขาไปแบบนี้ อย่าไปทุกข์ อย่าไปคิดฆ่าตัวตาย ถ้าฆ่าตัวตายจะไปเกิดเป็นเปรต
กลับจากวัดครั้งนั้น ดิฉันได้มาปฏิบัติที่บ้านทุกวัน
เลิกเล่นการพนันอย่างเด็ดขาด ส่วนสามียังดื่มสุราอยู่
จนกระทั่งดิฉันไปปฏิบัติธรรมทุกเดือน เดือนละ ๗ วัน ได้ประมาณ ๓ ครั้ง ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับสามี สามีเริ่มสนใจว่า
วัดนี้ทำไมทำให้คนเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ เวลาว่างสามีเริ่มหยิบหนังสือธรรมะ เช่น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมบ้าง
กฎแห่งกรรมบ้าง มาอ่าน และรู้สึกศรัทธาหลวงพ่อตั้งแต่ยังไม่เคยพบไม่เคยรู้จัก
และด้วยอานิสงส์ของการปฏิบัติของข้าพเจ้า สามีสามารถเลิกดื่มสุราได้เด็ดขาดจนถึงทุกวันนี้
ทั้ง ๆ ที่ดื่มมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี โดยที่ไม่ต้องบังคับใจตนเอง
สามีบอกดิฉันว่ารู้สึกไม่อยากดื่มอีกแล้ว ปกติสามีดิฉันไม่ศรัทธาอะไรง่าย ๆ
เป็นคนเชื่อคนยาก ต้องเห็นว่าดีจริงจึงจะเชื่อ แต่ด้วยบารมีหลวงพ่อ
เพียงได้อ่านจากในหนังสือก็สามารถโน้มน้าวจิตใจสามีให้ไปปฏิบัติที่วัดได้ ๗ วัน
หลังจากกลับจากวัด สามีมิได้ปฏิบัติกรรมฐาน แต่สวดมนต์พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
พาหุงมหาการุณิโก จบด้วยพุทธคุณ ๑๐๘ จบ ทุกวันอย่างเคร่งครัด
ดิฉันตั้งสัจจะว่าจะไปปฏิบัติที่วัดอัมพวันทุกเดือน
เดือนละ ๗ วัน เป็นเวลา ๑ ปี การได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด
ทำให้ดิฉันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นในทุก ๆ
ด้าน ดิฉันมีสติในการบริหารงาน บริหารเงิน บริหารหนี้สิน
ยามว่างที่เคยออกนอกบ้าน ก็ทำงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้า อ่านหนังสือธรรมะ ฟังเทปธรรมะ
ซึ่งจะมีติดรถตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปทางไหน ใกล้ไกลจะมีหลวงพ่อไปด้วยตลอด
การปฏิบัติบวกกับการอ่าน การฟัง ที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทำให้จิตใจเข้มแข็ง
มีสติในการต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ขลาดกลัวกับการทำผิดศีล
อานิสงส์จากการสวดมนต์และปฏิบัติธรรม
ไม่ได้ช่วยดิฉันเฉพาะด้านเศรษฐกิจการเงินเท่านั้น
ยังช่วยให้ลูกชายของดิฉันรอดตายราวปาฏิหาริย์ด้วย ประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๔๒
ลูกชายคนเดิมเริ่มป่วยอีกครั้ง โดยครั้งนี้ไม่ปวดหัวเหมือนครั้งก่อน
แต่เริ่มทานอาหารไม่ได้ และผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็ว ดิฉันและสามีพาลูกไปรักษาที่โรง
พยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี
แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย จึงได้ขอรถพยาบาลย้ายลูกชายไปโรงพยาบาลจุฬา ตามคำแนะนำของเพื่อน
แต่เมื่อตรวจแล้วเป็นโรคหลายอย่างในช่องท้องอาการหนัก
บวกกับเตียงของโรงพยาบาลไม่ว่าง คุณหมอแนะนำให้กลับบ้าน และ
ให้ยามารับประทานพร้อมทั้งนัดให้มารับผลตรวจเลือดในอาทิตย์ถัดไป
ระหว่างนอนรักษาอยู่ที่บ้าน ลูกชายไม่สามารถทานอะไรได้เลย
โชคดีอยู่หน่อยที่ทานยาได้ สามีคอยดูแลให้ยาทุกวันตามที่หมอสั่ง ๑ อาทิตย์
ผ่านไปด้วยความทรมาน เพราะสามีต้องดูแลลูกอยู่คนเดียว
ต้องทนเห็นสภาพลูกที่ผอมลงทุกวันจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เหมือนนอนรอความตาย
ส่วนดิฉันทุกข์ใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไรแล้ว จึงตัดสินใจทิ้งลูกที่นอนป่วยอยู่
ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเพื่อหวังที่จะแผ่เมตตาให้บุญกุศลช่วยลูก
ดิฉันตั้งจิตถึงหลวงพ่อว่า ถ้าลูกชายของดิฉันจะต้องตาย ขอให้ตายเลยอย่าทรมาน
และขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ลูกไปดี แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวตาย
ขอให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาให้หายด้วย
นอกจากอธิษฐานจิตแล้วยังได้กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยวาจาด้วย หลวงพ่อรับปากที่จะช่วยแผ่เมตตาให้
ด้านสามีเมื่อครบกำหนดได้พาลูกชายไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
เพื่อตรวจเลือดใหม่อีกครั้ง ผลการตรวจออกมาครั้งนี้ คุณหมอรับลูกชายเป็นผู้ป่วยใน
ให้นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล อาการดีขึ้นตามลำดับ เริ่มทานอาหารได้ ๒-๓ คำ
อาเจียนออกบ้างเป็นบางครั้ง รักษาที่โรงพยาบาลไม่กี่วัน
ลูกชายขอกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน เพราะไม่มีเทคนิคอื่นใดในการรักษา
นอกจากทานยากับเจาะเลือด เมื่อไปตรวจครั้งหลัง ๆ คุณหมอบอกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว
ใช้เวลารักษาประมาณ ๓ เดือน ก็จะหายเป็นปกติ ระหว่างนั้นลูกชายยังบ่นว่า เจ็บแปลบ
ๆ ที่บริเวณหน้าอก เวลาหายใจก็เจ็บ ขยับตัวก็เจ็บ ทรมานแทบไม่อยากหายใจ
ดิฉันและสามีได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออีกครั้ง
เมื่อไปกราบนมัสการหลวงพ่อตามปกติที่เคยปฏิบัติ
แต่ครั้งนี้หลวงพ่อได้ให้ยามารับประทาน บอกว่าให้รับประทานกันทั้ง ๒ ครอบครัว คือ
ครอบครัวของคุณพาณิชย์ด้วย เป็นยาอายุวัฒนะของพระร่วงเจ้าแห่งสุโขทัย
พร้อมทั้งบอกตำรายาด้วยว่า มีเกลือ ๓ ถ้วย มะขามเปียก ๗ ด้วย
บอระเพ็ดหั่นละเอียด ๕ ถ้วย ตำบอระเพ็ดกับเกลือให้ละเอียด แล้วนำมะขามเปียกลงตำผสม
จากนั้นนำมาผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานเช้าและก่อนนอน
เมื่อกลับจากวัด สามีได้นำยามาปั้นให้ลูกชายรับประทาน
ปกติลูกรับประทานยายากแต่พอบอกว่าเป็นยาของหลวงพ่อ ซึ่งเขาศรัทธาอยู่แล้ว
จึงยอมรับประทานแต่โดยดี และขอรับประทานทุกมื้อที่หลวงพ่อบอก รับประทานไปได้เพียง
๓-๔ วัน เท่านั้น อาการเจ็บแปลบข้างในหน้าอกหายไป จนตอนนี้ไม่มีอาการนั้นอีกแล้ว
ทานอาหารเก่ง น้ำหนักขึ้นจากเดิมมากจนเกือบเป็นปกติแล้ว
ครอบครัวของดิฉันซาบซึ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่หลวงพ่อเมตตากับครอบครัวของดิฉัน จนยากจะบรรยายได้หมด
เพราะเรื่องทุกข์ของดิฉันนั้นมันมากมาย จนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะแก้ไขอะไรให้ดีได้
และด้วยเมตตาบารมี และคำสั่งสอนของหลวงพ่อที่ดิฉันและทุกคนในครอบครัวยึดถือปฏิบัติ
สามารถพลิกผันชีวิตได้มากขนาดนี้ ชาตินี้ไม่สามารถตอบแทนพระคุณหลวงพ่อได้หมด
มีเพียงทางเดียว คือ จะตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติธรรม ตั้งอยู่ในศีลในธรรม
สร้างความดีถวายแด่หลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวันไปตลอด จนกว่าชีวิตจะหาไม่
เมื่อหลวงพ่อเดิมให้
(คาถาเมตตา) มา อาตมาก็ท่องไปเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ได้สึก
พอมาเรียนพระกรรมฐาน และ สติปัฏฐานสี่ในตอนหลังนี้ ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า
คาถาที่หลวงพ่อให้ไม่ใช่คาถาเมตตาที่ไหนเลย แต่เป็นคำสอนของพระบรมศาสดาทั้งนั้น
เช่น
ให้ระมัดระวังศีรษะ
ให้รู้จักน้อมคารวะผู้มีคุณธรรม
หน้าผาก
ก็ให้ผ่าเผยด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม
ดวงตา
ให้สำรวมระวังในการมองดู เพราะนั่นเป็นทางเกิดกิเลสต่าง ๆ
ดังนั้น
คาถาเมตตาของหลวงพ่อเดิม จึงรวมเอาคำสอนของพระบรมศาสดา เรื่องการสำรวมระวังอินทรีย์ทั้งนั้น
แต่เมื่อคนเกิดไปภาวนาด้วยความมั่นใจแล้ว ก็ทำให้ขลังได้เหมือนกัน
จากเรื่อง เมื่ออาตมาอยู่เรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม
โดย พระราชสุทธิญาณมงคล (หนังสือกฎแห่งกรรมฯ เล่ม ๑๐)