ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่สวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น

 

โดย   ปราณี   ทินราช

R14009

 

                        เกือบ ๓ ปีมาแล้ว จำได้ว่าพี่สาวดิฉันเป็นคนชวนให้ดิฉันไปที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน บอกว่า หลวงพ่อจรัญท่านจะมา ซึ่งดิฉันฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่เคยคิดอยากจะไปเลย  ในใจก็คิดไปว่าหลวงพ่อก็คงเหมือนพระอาวุโสทั่วๆไป จึงปฏิเสธ ว่าไม่ว่าง ให้ลองไปชวนคนอื่น  ทั้งๆที่พี่สาวดิฉันได้สาธยายสิ่งดีๆ เกี่ยวกับการไปวัด ไปกราบหลวงพ่อจรัญให้ฟังมากมาย ก็หาได้เป็นการกระตุ้นให้ฉันอยากไปไม่  จึงยืนกรานความตั้งใจเดิมคือ "ไม่ไป"

 

            เข้าวันรุ่นขึ้นพี่สาวดิฉันไปที่บ้าน  บอกว่าให้ไปวัดเป็นเพื่อนหน่อยสิ ขับรถไกลๆอยากมีเพื่อน  ดิฉันงงว่าพูดกันไม่รู้เรื่องหรือไรกัน  บอกแล้วไงว่าไม่ไป  วันนี้อยากอยู่บ้าน ซึ่งพี่สาวดิฉันหน้าระห้อยทันที ขอร้องดิฉันอีกทีว่า "วันนี้หาคนไปเป็นเพื่อนไม่ได้จริงๆ คนที่นัดไว้ก็ไม่อยู่บ้าน ไปไหนก็ไม่รู้ ฉันอยากไปกราบหลวงพ่อ อยากถวายเงินกับมือหลวงพ่อจรัญ"  ดิฉันฟังพี่สาวพูดจนจบ เห็นสภาพของพี่สาวแล้วก็คิดว่า "เออ! ท่าจะจริง"  เห็นอากัปกิริยาของพี่สาวแล้วน่าเห็นใจ ดูงุ่นง่าน มองนาฬิกาตั้งหลายหน  คงกลัวไปสายหรือกลัวไปไม่ทันเวลาเป็นแน่  เป็นอันว่าดิฉันจำใจต้องไปเพราะขัดไม่ได้นั่นเอง

 

                        เมื่อไปถึงศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน  ดิฉันตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศอันร่มรื่นและเงียบสงบ  รถราจอดเรียงมากมาย แต่เงียบกริบ  ยังอดคิดในใจไม่ได้ว่าขนาดอยู่ขอนแก่นแท้ๆ ยังไม่เคยเข้ามาทำบุญที่นี่เลย เรานี่แย่จัง มองไปรอบๆ ก็คิดว่าผู้คนไปไหนกันหมดหนอ ชักแปลกใจ  แสดงว่าเขาต้องรวมกันอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ฉันคิดอยู่คนเดียว  พอจอดรถเสร็จ พี่สาวดิฉันรีบไปถามคนที่ข้างโรงครัว ได้รับคำตอบว่าหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิ  กำลังจะขึ้นเทศน์ที่บนศาลา ให้ไปคอยบนศาลาใหญ่ ดิฉันหันไปมองศาลาอันกว้างใหญ่ ความขัดเขินต่อสถานที่ทำให้ไม่กล้าเดินไปที่นั่น ยืนหันรีหันขวางอยู่ไม่ทันตัดสินใจ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาว่า "ไปหาหลวงพ่อดีกว่า" ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าพี่สาวหายไปไหน  มารู้ที่หลังว่ากลับไปเอาร่มที่รถเพราะแดดร้อน

 

            ดิฉันจึงเดินไปตามทางเดินเล็กๆ กว้างประมาณ ๑ เมตรเห็นจะได้ ตรงไปที่กุฏิที่คิดว่าหลวงพ่อจรัญพักอยู่ที่นั่น ในใจก็คิดว่ารู้จักท่านไว้หน่อยก็ดี กราบท่านเสร็จแล้วจะได้กลับไม่ต้องขึ้นไปบนศาลา  เพราะข้างบนคนคงเยอะมาก สังเกตดูจากรถที่จอดอยู่ในบริเวณวัดก็มากมายอยู่  เดินไปยังไม่ทันถึงกุฏิก็พอดีได้พบหลวงพ่อที่กำลังเดินสวนทางมาพร้อมด้วยคนถือบาตรน้ำมนต์ คนถือร่ม และคนเดินตามหลังท่านมากลุ่มหนึ่งตรงมาหาดิฉัน กลายเป็นว่าดิฉันขวางทางท่านโดยบังเอิญ ความเก้งก้างเริ่มปรากฏ ดิฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนมองหลวงพ่ออย่างปิติอยู่ตรงนั้นเอง พอดีพี่สาวดิฉันวิ่งมาพร้อมกับร่มที่ถือในมือ และดึงแขนให้ดิฉันนั่งลง บอกว่านี่แหละหลวงพ่อจรัญ  แล้วพี่สาวดิฉันก็ได้ถวายเงินกับมือหลวงพ่อจริงๆ

 

            พี่สาวดิฉันพูดกับหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อค่ะ น้องหนูกำลังทำผลงานอาจารย์ ๓ อยากให้หลวงพ่อช่วยด้วยค่ะ" พูดแล้วพี่สาวดิฉันก็ดึงดิฉันหลบออกจากทางเดิน  นั่งรวมกลุ่มกับคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นก่อนแล้ว  หลวงพ่อท่านเมตตาพรมน้ำมนต์ให้ดิฉันและใช้พรมน้ำมนต์แตะที่ดิฉัน ๒-๓ ครั้ง เหตุการณ์ในวันนั้นดิฉันไม่เคยลืมเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อถึงเพียงนี้ พอพี่สาวดิฉันขอให้ท่านเคาะศีรษะให้บ้าง หลวงพ่อปฏิเสธ ท่านบอกว่าต้องไปให้หลวงพ่อคูณเคาะ แล้วท่านก็หัวเราะ  ก็มีคนโชคดีอย่างดิฉันไม่กี่คนนักหรอก ณ ที่ทางเดินตรงนั้น

 

            ดิฉันมีความรู้สึกปีติยินดีเป็นพิเศษ  มีความสุข ใจชุ่มฉ่ำเย็นสบาย  ไม่รู้สึกร้อนเลย เดินตามหลังท่านไปห่างๆ มีการถ่ายทำ V.D.O. ด้วย พอขึ้นพ้นบันใดศาลา ภาพที่ดิฉันเห็นด้านในศาลาใหญ่ คนแต่งชุดขาวและชุดธรรมดานั่งอย่างเป็นระเบียบแน่นขนัด ดิฉันแปลกใจเพราะไม่คิดว่าตนจะมากขนาดนี้ และทุกคนนั่งกันเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนและอีกอย่างไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย เป็นความสัตย์จริง ดิฉันโชคดีที่ได้นั่งด้านหน้าเยื้องพระพุทธนิมิต ตรงประตูเล็ก ห่างจากหลวงพ่อประประมาณ ๔-๕ เมตรเท่านั้นเอง วันนั้นฟังหลวงพ่อเทศน์จนจบ มีความสนุกสนานเบิกบานใจจริงๆ ไม่รู้สึกง่วงหรือเมื่อยขบเลย  มีผู้ปฏิบัติธรรมจากโรงเรียนตำรวจภูธร ๔ จ.ขอนแก่น และนักเรียนนักศึกษาจากโรงเรียนต่างๆอีกหลายโรง รวมทั้งญาติธรรมจากที่อื่นๆมากันเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อท่านเทศน์สั่งสอนได้เยี่ยมมาก คติธรรมที่ท่านสอดแทรกฟังดูลึกซึ้งจับใจยิ่งนัก เช่น สอนให้ตำรวจใช้เอ็ม ๑๖ ให้เป็นประโยชน์ คือ มือทั้งสองข้างพนม ก้มศีรษะเข้าหาประชาชน ยิงความดีออกไปด้วยมือทั้งสอง ฯลฯ ส่วนนักเรียนนักศึกษาให้หลีกเลี่ยงยาเสพย์ติด  เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ให้มาเที่ยววัดดีกว่าไปเที่ยวเธคหรือเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า มาวัดมีข้าวให้กินไม่ต้องเสียเงินซื้อ ฯลฯ

 

            หลังจากหลวงพ่อจรัญท่านเทศน์จบ ดิฉันก็ปลีกตัวลงไปทานข้าวที่โรงครัว เหมือนมีอะไรมาดลใจหรือเชื้อเชิญ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะตั้งแต่เช้าจนบ่าย ๓ โมงเย็น ดิฉันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ไม่รู้สึกหิว มีแต่ความอิ่มเอมใจตลอดเวลา ดิฉันจึงไปที่โรงครัวกับพี่สาว  ตักข้าวทานคนเดียวเงียบๆ ทานเสร็จก็เอาถาดไปล้างแล้วก็นั่งเล่นอยู่พักหนึ่ง  หลวงพ่อท่านลงก็ลงไปโปรดแม่ครัวที่บริเวณโรงครัว ดิฉันก็กลายเป็นผู้โชคดีได้รับน้ำมนต์จากหลวงพ่ออีกเป็นครั้งที่ ๒ และได้ถ่ายภาพท่านไว้ ๘-๙ ภาพ

 

            จากวันแรกที่ดิฉันไปสวนเวฬุวันจนกระทั่งถึงบัดนี้ ดิฉันจำไม่ได้ว่าไปกี่ครั้งแล้ว ดิฉันได้แนะนำเพื่อนครูบาอาจารย์ที่ไม่เคยไป ให้ได้ไปสัมผัสบรรยากาศแห่งโลกธรรมะ และฝึกกรรมฐาน ร่วมสวดมนต์ทำวัตรอยู่เสมอ ตั้งแต่ดิฉันไปพัฒนาจิตพัฒนาตนที่สวนเวฬุวันแห่งนี้ ส่งผลให้ดิฉันประสบความสำเร็จในชีวิต ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น  อาจารย์ ๓ ระดับ ๗ ดังที่มุ่งหวัง  มีคนรักคนเมตตา  มีคนไปมาหาสู่เสมอทั้งใกล้-ไกล สามารถนั่งคุยกับแขกได้นานนับ ๑๐ ชั่วโมง โดยที่เสียงไม่แหบแห้งและไม่ปวดหลัง สอนเด็กที่โรงเรียนก็สนุกสนานไม่เหนื่อยล้า  ได้รับคัดเลือกให้เป็นครูผู้มีผลงานดีเด่นหลายครั้งหลายครา  นำชื่อเสียงมาสู่ตนเองและหน่วยงานอยู่เสมอ

 

            ในวันที่ ๒๔-๒๘ ก.. ๔๒ ดิฉันได้มีโอกาสไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี กับโครงการธรรมศึกษาสัญจร มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้สัมผัสบารมีหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด แม้ผู้คนจะมากมายเพียงใด หลวงพ่อก็เมตตาออกต้อนรับ สนทนา และเทศนาสั่งสอนทุกคนเสมอ ถึงสุขภาพท่านจะไม่อำนวย ท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยให้เห็นเลย ดิฉันได้บอกท่านในวันที่ ๒๕ ก..ว่า "คำสั่งอาจารย์ ๓ ยังไม่ออก ขอพรหลวงพ่อหน่อยเถิดเจ้าค่ะ" ท่านพูดกับดิฉันว่า "ได้…ได้"  แม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่มีความหมายกับดิฉันมากที่สุด เพราะหลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ทราบผลในวันที่ ๑๑ ส.. ๔๒ และคำสั่งอาจารย์ ๓ ก็ออกมาเมื่อวันที่ ๑๓ ก.. ๔๒ อย่างเป็นทางการ

 

 

นางปราณี   ทินราช

ตำแหน่งอาจารย์ ๓  ระดับ ๗ 

โรงเรียนบ้านม่วง  .บ้านทุ่ม

อำเภอเมือง  จังหวัดขอนแก่น ๔๐๐๐๐