ดิฉันเคยบวชชีโกนผมมาแล้วครึ่งปี
ในครั้งนั้นนับว่าเป็นบุญของดิฉันที่เริ่มหันหน้าเข้าวัด ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ได้เรียนทางธรรมถึงขั้นได้สอบนักธรรมเอก พอสึกออกมาก็เริ่มลืมวัดข้อปฏิบัติ คือบวชวัดอโศการาม ที่สมุทรปราการ เป็นวัดธรรมยุต มีการสอนนั่งกรรมฐาน พอมีครอบครัวเริ่มมีกิจการของตัวเอง ก็เริ่มเหนื่อย สมาธิก็ไม่นั่ง
งานการก็เริ่มติดขัดเปิดกิจการทำเสื้อส่งห้างใบหยก ทำอยู่ ๗ ปี มีหนี้สิน ๑ ล้านบาท
ใช้หนี้ได้ ๓ ปี แล้วก็เลิกกิจการ
ในเดือน
ก.ค. พ.ศ.๒๕๔๐ ดิฉันไปกราบหลวงตาจันทา ถาวโร ที่วัดป่าเขาน้อย ตอนขากลับตกลงแวะวัดอัมพวัน และเพราะได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนชื่อ
ธนกร คูหาทัศนดีกุล
คนนี้ต้องจารึกชื่อเลย
เพราะเป็นผู้พูดและพูดกับดิฉันบ่อยมากในเรื่องของหลวงพ่อจรัญ
ทุกคนในรถวันนั้นจึงอยากชมบารมี หลวงพ่อ และเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง
ดิฉันเดินไปเดินมาอยู่ในวัดตั้งนานไม่รู้จะไปไหน เลยเดินไปชมพระอุโบสถ
สายตาของดิฉันก็เหลือบไปเห็น ผู้ปฏิบัติธรรมสวมชุดขาวเต็มศาลาภาวนากรศรีทิพพา
แต่ทำไมทุกคนถึงเงียบกริบ ทุกอย่างเรียบร้อยสวยงาม
เพื่อดิฉันซึ่งเคยเป็นคนที่อาศัยวัดมาก่อน ถึงกับอุทานว่า
หลวงพ่อต้องมีบุญบารมีไม่อย่างนั้นวัดไม่สะอาด เงียบ มีระเบียบ
ทันใดนั้นดิฉันเห็นหลวงพ่อมา และเห็นทุกคนทำความเคารพ ดิฉันแน่ใจว่าต้องเป็นหลวงพ่อจรัญแน่ ดิฉันนั่งฟังหลวงพ่อพูดได้ ๕ นาที
ก็ต้องสะดุ้งในคำพูดที่ว่า "ถ้าใครไม่มีบุญ ไม่ได้มาบวชวัดนี้" ดิฉันตอบเพื่อนทันทีว่า
อยากมีบุญจะต้องมาวัดนี้ให้ได้
ในปลายเดือน สิงหาคม ๒๕๔๐
ดิฉันเข้ารับกรรมฐานเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญได้ ๗ วัน มีเพื่อนมาด้วย ๕ คน
ครั้งแรกในการปฏิบัตินั้น ไม่ได้เรื่องเท่าไรเพราะกรรมฐานเก่าที่ให้ภาวนา
"พุทโธ" ตีกันในใจกับ
"พองหนอ ยุบหนอ" เพราะพูดสลับกันจนหมด ๗ วัน วันกลับมาลาหลวงพ่อ ในบรรดาเพื่อนๆ ๕ คน
หลวงพ่อชี้มาที่ดิฉัน แล้วพูดว่า "มาวัดอีกน่ะ"
"เจ้าค่ะ" ดิฉันรับปากทั้งๆ
ที่ใจยังไม่หายเมื่อยเลย วันที่ ๓๑
ส.ค. ๒๕๔๐
เพื่อนชื่อพนมพร
จารุกนก
เป็นคนเหมารถพาดิฉันมาวัด เพราะดิฉันปวดศีรษะมาก เป็นเรื่องบังเอิญ ดิฉันพบหลวงพ่อที่บริเวณข้างทาง
ริมศาลาภาวนากรศรีทิพพา
ดิฉันนั่งลงกับพื้นกราบเรียนหลวงพ่อเรื่องปวดศีรษะ หลวงพ่อบอกว่าเอาศีรษะมาใกล้ๆ จะเป่าให้ พอหลวงพ่อเป่าเสร็จแล้วพูดว่า "กรรมเยอะต้องมาวัดอีกนะ"
.."เจ้าค่ะ" ดิฉันรับคำ อีก ๓ เดือนต่อมาดิฉันก็ได้มาวัดอีก ๗
วันในเดือน พ.ย. ๔๐
ในครั้งที่สองนั่งได้เกือบชั่วโมง
แล้วชอบลืมตาคือทนไม่ได้
พอวันพระหลวงพ่อลงเทศน์ว่า ใครก็ตามถ้าอดทนไม่ได้ ก็ใช้ไม่ได้ จะตายให้มันตาย
พูดไว้ชั่วโมงต้องทำให้ได้
วันรุ่งขึ้นดิฉันนั่งได้เกือบชั่วโมงแล้ว และรู้สึกปวดจนตัวสั่น รู้แต่ว่าต้องสู้เอาจิตปักตรงที่ปวด เราต้องแก้ใขแล้วน่ะ ปวดหนออยู่ ๕ เที่ยว
ก็ถอนจิตพูดพองหนอ ยุบหนอต่อ เป็นเหน็บอีกแล้ว ต้องช่วยตัวเองอีกที เอาจิตปักตรงเท้าที่ปวดหนอ
๕ ครั้ง แล้วทำพองยุบต่อไป สู้จนกริ่งช่วย ดิฉันบอกตัวเองทันทีว่าเราชนะแล้ว ๑
ชั่วโมง ทุกๆท่านที่อ่านถึงตรงนี้
ถ้าใครทำกรรมฐานถึงชั่วโมงแล้วผ่านตรงนี้ได้ ถือว่าด่านแรกผ่าน ไม่ใช่ตะโกนในใจว่า หลวงพ่อช่วยด้วยๆ
ดิฉันเคยได้ยินหลวงพ่อเทศน์ มาเรียกให้หลวงพ่อช่วย
จะช่วยได้อย่างไร ตัวเองยังไม่ช่วยตัวเองเลย
ดิฉันได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สาม..ที่สี่..ที่ห้า
พอปลายปี ๒๕๔๑ ดิฉันก็เกิดเรื่อง ถูกโกงเงิน ถูกโกงค่าแชร์ หนี้สินเริ่มมาก
ดิฉันต้องเป็นแม่ค้าจำเป็นคือขายโจ๊ก ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ตอนเช้าขายโจ๊กเสร็จ ๑๐ โมงเช้ายกหม้อโจ๊กลงก็ตั้งตู้ขายลาบ
น้ำตก ส้มตำ ตอนบ่ายลูกค้าว่างดิฉันก็รับตัดเสื้อ เก็บร้านตอนเย็นเสร็จ
ต้องไปประชุมบรรยายให้กับบริษัทขายเครื่องสำอางค์แห่งหนึ่ง ทำงานมาก
กรรมฐานก็เริ่มมีปัญหา ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง ดิฉันนึกถึงหลวงพ่อ ได้เขียนจดหมายมากราบเรียนหลวงพ่อ
ว่าดิฉันขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ด้วย แบกภาระหนี้สินจะไม่ไหวแล้ว หลวงพ่อตอบกลับมาว่า สวดมนต์จิตต้องสงบ สวดให้เป็นสมาธิ แล้วแผ่เมตตาถึงได้ผล
เสร็จแล้วให้นั่งกรรมฐานต่ออย่าได้ขาด แล้วหลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้ ถ้าโยมนั่งกรรมฐานทุกวันโยมจะได้รับการแผ่เมตตาจากอาตมาทุกวัน
เมื่อโยมสะสมบุญบารมีมากพอแล้ว
จะได้อานิสงส์ผลบุญนั้นๆ ดิฉันได้แต่น้ำตาไหล เมื่อไหร่หนอบุญนั้นจะเต็ม วันที่ ๒๗ ก.ค. ๒๕๔๒
ดิฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะปฏิบัติกรรมฐานวันละ ๒ ชั่วโมง ตลอดชีวิตของดิฉัน
ดิฉันขออธิษฐานจิตว่า ขอให้ข้าพเจ้ารอดพ้นออกจากหนี้สิน เกิดชาติหน้าฉันใดคำว่า "ไม่มี" อย่าได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกเลย
ภพนี้ชาตินี้ข้าพเจ้าขอให้ปฏิบัติธรรมมีดวงตาเห็นธรรมให้จงได้
จากนั้นทุกวัน
ดิฉันจะนั่งกรรมฐาน ๑ ชั่วโมง เดิน ๑ ชั่วโมง ผลที่ได้รับอย่างแรกคือ สามีเปลี่ยนเป็นคนละคน
จากไม่เคยช่วยงาน ก็หันมาช่วย เอื้ออาทรต่อกัน ตอนเช้าหลังจากขายโจ๊ก
กลับเข้าบ้านล้างชามเสร็จสามีก็ทำกับข้าวไว้ให้ แล้วสามีก็ไปทำงานบริษัทต่อ
เงินทองจากการแนะนำของหลวงพ่อก็ทำให้ขายของดีขึ้น จากการขายครั้งแรกได้วันละร้อยกว่าบาท
หลวงพ่อแนะนำให้แผ่เมตตาให้ลูกค้า ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ไม่ให้อิจฉาริษยาใคร
ถ้าใครจะขายดีกว่าก็ตาม ตอนนี้ขายได้วันละ ๘๐๐-๙๐๐ บาทต่อวัน
ดิฉันขายโจ๊กแค่ ๓ ชั่วโมง ได้กำไรวันล่ะ ๓๐๐-๔๐๐
บาทต่อวัน
แล้วดิฉันยังมีงานอื่นๆที่คอยอยู่อีก ลูกจากเรียนหนังสือไม่เก่ง ก็เรียนเก่ง ดิฉันเป็นแม่แบบให้กับลูก ลูกจึงสวดอิติปิโสเกินอายุ ๑ จบทุกวัน
และไม่ดื้ออีกด้วย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อตลอดเวลา
๔
เดือนเต็มที่แต่งชุดขาวปฏิบัติธรรมทุกครั้งเพราะหลวงพ่อบอกว่าเป็นมงคลแก่ตัวเอง ดิฉันสามารถเอาหนี้สิน ๓๐๐,๐๐๐
บาทลงหมดได้เหมือนปาฏิหาริย์ ดิฉันมีโชคลาภโดยบังเอิญ ซึ่งก็ไม่ได้ยึดติดตรงนั้น นักกรรมฐานต้องผ่านตรงจุดนี้ให้ได้รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย
ดิฉันไม่เคยนิ่งดูดาย เพื่อบางคนเดินมาหาบอกมีทุกข์ ดิฉันจะสอนให้สวดมนต์
และได้ผลมีรายหนึ่งจะฆ่าตัวตายพร้อมลูกไม่เคยรู้จักดิฉันมาก่อน
มาซื้อโจ๊กที่ร้าน แล้วพูดคุยกันก็รู้ว่าเขามีทุกข์ตกงาน เป็นผู้ดีตกยากถูกสามีโกง สวดมนต์ได้ ๑๐ วันก็ได้งานทำ
หน้าตาแจ่มใส พาเพื่อนมาอีกคน แต่คนนี้บุกมาถึงวัดอัมพวัน
ไปสมัครปฏิบัติกรรมฐานได้ ๓ วัน ดิฉันบอกบุญกับเพื่อๆ สวดมนต์เข้าวัดประมาณ ๕๐ คน
แต่ในจำนวนนี้ มีดิฉันและเพื่อนที่ชื่อ พัชรศรัญ เรือนใจหลัก
ที่ทำกรรมฐานต่อเนื่องทุกวัน เขาเป็นเพื่อที่ให้กำลังใจ
และเป็นเพื่อนที่ผลักดันให้ดิฉันได้หลุดพ้นจากหนี้สิน เป็นเพื่อที่ดีเสมอมา
ทุกวันนี้ดิฉันจากที่เคยเป็นคนใจร้อนเป็นกลับเป็นคนใจเย็น
ใครด่าก็ไม่เถียง ใครเกลียดก็ทำไม่เห็น
ใครมาซื้อโจ๊กไม่ค่อยมีสตางค์ก็ให้กินฟรี สามีบอกว่าให้เป็นทาน เมื่อเรารอดแล้วเราก็ต้องเมตตาคนอื่นต่อ
ครั้งล่าสุดไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน ๗ วัน
ไปรายงานเรื่องพ้นทุกข์ทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อให้ดิฉันรับปากว่า ให้ส่งลูกให้ถึงดอกเตอร์ได้ไหม ดิฉันเคยได้ยิน และเชื่อในคำพูดของหลวงพ่อว่าทักใครแล้วต้องเป็นจริง
ดิฉันรับปากหลวงพ่อ และหลวงพ่อยังแนะนำให้ดิฉันปฏิบัติกรรมฐานวันละ ๒
ชั่วโมงให้ได้ตลอดทุกวัน และให้พรว่าโยมจะได้เป็นมหาเศรษฐี ดิฉันขอน้อมรับคำหลวงพ่อ และจำปฏิบัติตามสัจจะที่ให้กับหลวงพ่อตลอดชีวิตของดิฉัน
๑๒๗๙ ตำบลตลาด
อำเภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ