สะสมบุญบารมีมากพอแล้วจะได้รับอานิสงส์ผลบุญนั้นๆ

 

  วรวรรณ    พลายงาม

R14011

 

            ดิฉันเคยบวชชีโกนผมมาแล้วครึ่งปี  ในครั้งนั้นนับว่าเป็นบุญของดิฉันที่เริ่มหันหน้าเข้าวัด  ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา  ได้เรียนทางธรรมถึงขั้นได้สอบนักธรรมเอก  พอสึกออกมาก็เริ่มลืมวัดข้อปฏิบัติ  คือบวชวัดอโศการาม  ที่สมุทรปราการ   เป็นวัดธรรมยุต  มีการสอนนั่งกรรมฐาน  พอมีครอบครัวเริ่มมีกิจการของตัวเอง  ก็เริ่มเหนื่อย สมาธิก็ไม่นั่ง  งานการก็เริ่มติดขัดเปิดกิจการทำเสื้อส่งห้างใบหยก  ทำอยู่ ๗ ปี มีหนี้สิน ๑ ล้านบาท ใช้หนี้ได้ ๓ ปี แล้วก็เลิกกิจการ

 

            ในเดือน ก.. ..๒๕๔๐ ดิฉันไปกราบหลวงตาจันทา ถาวโร ที่วัดป่าเขาน้อย  ตอนขากลับตกลงแวะวัดอัมพวัน  และเพราะได้ยินคำบอกเล่าจากเพื่อนชื่อ ธนกร คูหาทัศนดีกุล  คนนี้ต้องจารึกชื่อเลย  เพราะเป็นผู้พูดและพูดกับดิฉันบ่อยมากในเรื่องของหลวงพ่อจรัญ ทุกคนในรถวันนั้นจึงอยากชมบารมี หลวงพ่อ และเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ดิฉันเดินไปเดินมาอยู่ในวัดตั้งนานไม่รู้จะไปไหน เลยเดินไปชมพระอุโบสถ สายตาของดิฉันก็เหลือบไปเห็น ผู้ปฏิบัติธรรมสวมชุดขาวเต็มศาลาภาวนากรศรีทิพพา แต่ทำไมทุกคนถึงเงียบกริบ ทุกอย่างเรียบร้อยสวยงาม เพื่อดิฉันซึ่งเคยเป็นคนที่อาศัยวัดมาก่อน ถึงกับอุทานว่า  หลวงพ่อต้องมีบุญบารมีไม่อย่างนั้นวัดไม่สะอาด เงียบ มีระเบียบ ทันใดนั้นดิฉันเห็นหลวงพ่อมา และเห็นทุกคนทำความเคารพ ดิฉันแน่ใจว่าต้องเป็นหลวงพ่อจรัญแน่  ดิฉันนั่งฟังหลวงพ่อพูดได้ ๕ นาที ก็ต้องสะดุ้งในคำพูดที่ว่า "ถ้าใครไม่มีบุญ ไม่ได้มาบวชวัดนี้"  ดิฉันตอบเพื่อนทันทีว่า อยากมีบุญจะต้องมาวัดนี้ให้ได้  ในปลายเดือน สิงหาคม ๒๕๔๐  ดิฉันเข้ารับกรรมฐานเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัญได้ ๗ วัน มีเพื่อนมาด้วย ๕ คน

 

            ครั้งแรกในการปฏิบัตินั้น  ไม่ได้เรื่องเท่าไรเพราะกรรมฐานเก่าที่ให้ภาวนา "พุทโธ" ตีกันในใจกับ "พองหนอ ยุบหนอ"  เพราะพูดสลับกันจนหมด ๗ วัน  วันกลับมาลาหลวงพ่อ ในบรรดาเพื่อนๆ ๕ คน หลวงพ่อชี้มาที่ดิฉัน แล้วพูดว่า "มาวัดอีกน่ะ" …"เจ้าค่ะ"  ดิฉันรับปากทั้งๆ ที่ใจยังไม่หายเมื่อยเลย  วันที่ ๓๑ ส.. ๒๕๔๐  เพื่อนชื่อพนมพร  จารุกนก  เป็นคนเหมารถพาดิฉันมาวัด เพราะดิฉันปวดศีรษะมาก  เป็นเรื่องบังเอิญ ดิฉันพบหลวงพ่อที่บริเวณข้างทาง ริมศาลาภาวนากรศรีทิพพา  ดิฉันนั่งลงกับพื้นกราบเรียนหลวงพ่อเรื่องปวดศีรษะ  หลวงพ่อบอกว่าเอาศีรษะมาใกล้ๆ จะเป่าให้  พอหลวงพ่อเป่าเสร็จแล้วพูดว่า "กรรมเยอะต้องมาวัดอีกนะ.."เจ้าค่ะ"  ดิฉันรับคำ  อีก ๓ เดือนต่อมาดิฉันก็ได้มาวัดอีก ๗ วันในเดือน พ.. ๔๐  ในครั้งที่สองนั่งได้เกือบชั่วโมง  แล้วชอบลืมตาคือทนไม่ได้  พอวันพระหลวงพ่อลงเทศน์ว่า ใครก็ตามถ้าอดทนไม่ได้ ก็ใช้ไม่ได้ จะตายให้มันตาย พูดไว้ชั่วโมงต้องทำให้ได้  วันรุ่งขึ้นดิฉันนั่งได้เกือบชั่วโมงแล้ว และรู้สึกปวดจนตัวสั่น  รู้แต่ว่าต้องสู้เอาจิตปักตรงที่ปวด  เราต้องแก้ใขแล้วน่ะ ปวดหนออยู่ ๕ เที่ยว ก็ถอนจิตพูดพองหนอ ยุบหนอต่อ เป็นเหน็บอีกแล้ว ต้องช่วยตัวเองอีกที เอาจิตปักตรงเท้าที่ปวดหนอ ๕ ครั้ง แล้วทำพองยุบต่อไป สู้จนกริ่งช่วย ดิฉันบอกตัวเองทันทีว่าเราชนะแล้ว ๑ ชั่วโมง  ทุกๆท่านที่อ่านถึงตรงนี้ ถ้าใครทำกรรมฐานถึงชั่วโมงแล้วผ่านตรงนี้ได้ ถือว่าด่านแรกผ่าน  ไม่ใช่ตะโกนในใจว่า หลวงพ่อช่วยด้วยๆ ดิฉันเคยได้ยินหลวงพ่อเทศน์  มาเรียกให้หลวงพ่อช่วย จะช่วยได้อย่างไร ตัวเองยังไม่ช่วยตัวเองเลย

 

            ดิฉันได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สาม..ที่สี่..ที่ห้า พอปลายปี ๒๕๔๑ ดิฉันก็เกิดเรื่อง ถูกโกงเงิน ถูกโกงค่าแชร์  หนี้สินเริ่มมาก  ดิฉันต้องเป็นแม่ค้าจำเป็นคือขายโจ๊ก  ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน  ตอนเช้าขายโจ๊กเสร็จ ๑๐ โมงเช้ายกหม้อโจ๊กลงก็ตั้งตู้ขายลาบ น้ำตก ส้มตำ ตอนบ่ายลูกค้าว่างดิฉันก็รับตัดเสื้อ เก็บร้านตอนเย็นเสร็จ ต้องไปประชุมบรรยายให้กับบริษัทขายเครื่องสำอางค์แห่งหนึ่ง ทำงานมาก กรรมฐานก็เริ่มมีปัญหา ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง ดิฉันนึกถึงหลวงพ่อ  ได้เขียนจดหมายมากราบเรียนหลวงพ่อ ว่าดิฉันขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ด้วย แบกภาระหนี้สินจะไม่ไหวแล้ว  หลวงพ่อตอบกลับมาว่า  สวดมนต์จิตต้องสงบ สวดให้เป็นสมาธิ  แล้วแผ่เมตตาถึงได้ผล  เสร็จแล้วให้นั่งกรรมฐานต่ออย่าได้ขาด  แล้วหลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้  ถ้าโยมนั่งกรรมฐานทุกวันโยมจะได้รับการแผ่เมตตาจากอาตมาทุกวัน   เมื่อโยมสะสมบุญบารมีมากพอแล้ว  จะได้อานิสงส์ผลบุญนั้นๆ ดิฉันได้แต่น้ำตาไหล  เมื่อไหร่หนอบุญนั้นจะเต็ม  วันที่  ๒๗  .. ๒๕๔๒  ดิฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะปฏิบัติกรรมฐานวันละ ๒ ชั่วโมง ตลอดชีวิตของดิฉัน ดิฉันขออธิษฐานจิตว่า ขอให้ข้าพเจ้ารอดพ้นออกจากหนี้สิน  เกิดชาติหน้าฉันใดคำว่า "ไม่มี"  อย่าได้บังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกเลย  ภพนี้ชาตินี้ข้าพเจ้าขอให้ปฏิบัติธรรมมีดวงตาเห็นธรรมให้จงได้

 

            จากนั้นทุกวัน ดิฉันจะนั่งกรรมฐาน ๑ ชั่วโมง เดิน ๑ ชั่วโมง  ผลที่ได้รับอย่างแรกคือ  สามีเปลี่ยนเป็นคนละคน จากไม่เคยช่วยงาน ก็หันมาช่วย เอื้ออาทรต่อกัน  ตอนเช้าหลังจากขายโจ๊ก  กลับเข้าบ้านล้างชามเสร็จสามีก็ทำกับข้าวไว้ให้ แล้วสามีก็ไปทำงานบริษัทต่อ เงินทองจากการแนะนำของหลวงพ่อก็ทำให้ขายของดีขึ้น  จากการขายครั้งแรกได้วันละร้อยกว่าบาท หลวงพ่อแนะนำให้แผ่เมตตาให้ลูกค้า ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ไม่ให้อิจฉาริษยาใคร ถ้าใครจะขายดีกว่าก็ตาม ตอนนี้ขายได้วันละ ๘๐๐-๙๐๐ บาทต่อวัน ดิฉันขายโจ๊กแค่ ๓ ชั่วโมง ได้กำไรวันล่ะ ๓๐๐-๔๐๐ บาทต่อวัน  แล้วดิฉันยังมีงานอื่นๆที่คอยอยู่อีก ลูกจากเรียนหนังสือไม่เก่ง  ก็เรียนเก่ง ดิฉันเป็นแม่แบบให้กับลูก  ลูกจึงสวดอิติปิโสเกินอายุ ๑ จบทุกวัน และไม่ดื้ออีกด้วย

 

            ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อตลอดเวลา ๔ เดือนเต็มที่แต่งชุดขาวปฏิบัติธรรมทุกครั้งเพราะหลวงพ่อบอกว่าเป็นมงคลแก่ตัวเอง  ดิฉันสามารถเอาหนี้สิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทลงหมดได้เหมือนปาฏิหาริย์ ดิฉันมีโชคลาภโดยบังเอิญ  ซึ่งก็ไม่ได้ยึดติดตรงนั้น  นักกรรมฐานต้องผ่านตรงจุดนี้ให้ได้รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย

 

            ดิฉันไม่เคยนิ่งดูดาย  เพื่อบางคนเดินมาหาบอกมีทุกข์  ดิฉันจะสอนให้สวดมนต์  และได้ผลมีรายหนึ่งจะฆ่าตัวตายพร้อมลูกไม่เคยรู้จักดิฉันมาก่อน มาซื้อโจ๊กที่ร้าน แล้วพูดคุยกันก็รู้ว่าเขามีทุกข์ตกงาน  เป็นผู้ดีตกยากถูกสามีโกง  สวดมนต์ได้ ๑๐ วันก็ได้งานทำ หน้าตาแจ่มใส พาเพื่อนมาอีกคน แต่คนนี้บุกมาถึงวัดอัมพวัน ไปสมัครปฏิบัติกรรมฐานได้ ๓ วัน ดิฉันบอกบุญกับเพื่อๆ สวดมนต์เข้าวัดประมาณ ๕๐ คน แต่ในจำนวนนี้ มีดิฉันและเพื่อนที่ชื่อ พัชรศรัญ  เรือนใจหลัก  ที่ทำกรรมฐานต่อเนื่องทุกวัน เขาเป็นเพื่อที่ให้กำลังใจ และเป็นเพื่อนที่ผลักดันให้ดิฉันได้หลุดพ้นจากหนี้สิน  เป็นเพื่อที่ดีเสมอมา

 

            ทุกวันนี้ดิฉันจากที่เคยเป็นคนใจร้อนเป็นกลับเป็นคนใจเย็น ใครด่าก็ไม่เถียง ใครเกลียดก็ทำไม่เห็น  ใครมาซื้อโจ๊กไม่ค่อยมีสตางค์ก็ให้กินฟรี  สามีบอกว่าให้เป็นทาน เมื่อเรารอดแล้วเราก็ต้องเมตตาคนอื่นต่อ ครั้งล่าสุดไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน ๗ วัน ไปรายงานเรื่องพ้นทุกข์ทั้งหมดให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อให้ดิฉันรับปากว่า ให้ส่งลูกให้ถึงดอกเตอร์ได้ไหม  ดิฉันเคยได้ยิน และเชื่อในคำพูดของหลวงพ่อว่าทักใครแล้วต้องเป็นจริง ดิฉันรับปากหลวงพ่อ และหลวงพ่อยังแนะนำให้ดิฉันปฏิบัติกรรมฐานวันละ ๒ ชั่วโมงให้ได้ตลอดทุกวัน และให้พรว่าโยมจะได้เป็นมหาเศรษฐี  ดิฉันขอน้อมรับคำหลวงพ่อ และจำปฏิบัติตามสัจจะที่ให้กับหลวงพ่อตลอดชีวิตของดิฉัน

 

 

วรวรรณ   พลายงาม

๑๒๗๙    ตำบลตลาด

อำเภอพระประแดง

จังหวัดสมุทรปราการ