พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) ที่ข้าพเจ้ารู้จัก

 

นายชัยวัฒน์ เกตุปรีชาสวัสดิ์

 

R15003

 

     ข้าพเจ้านายชัยวัฒน์ เกตุปรีชาสวัสดิ์ เกิดที่อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ขณะนั้นยังไม่มีอำเภอค่ายบางระจันแต่อย่างใด ข้าพเจ้าเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ข้าพเจ้าหยุดเรียน ต่อมาได้สมทบกับโรงเรียนเทศบาลเมือง (โรงเรียนวัดโพธิ์แก้วนพคุณ) สอบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ได้คะแนน ๘๔% หลังจากครอบครัวข้าพเจ้าย้ายมาอยู่ที่ตลาดจังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าจำได้ว่าระหว่างอยู่ที่ร้านค้าของข้าพเจ้า หลวงพ่อจรัญได้เดินผ่านหน้าร้านของข้าพเจ้า และมักจะยิ้มให้ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นคนในท้องที่และแสดงความรู้จักและคุ้นเคยกัน หลังจากนั้น ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ข้าพเจ้าได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อมาศึกษาเพิ่มเติมในชั้น ม.๑ – ๓ และสอบผ่านชั้น ม.๓ ได้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้าพเจ้าได้ศึกษาต่อชั้น ม.๔ – ๖ และสามารถสอบผ่านชั้น ม.๖ ได้ และในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ข้าพเจ้าได้ศึกษาต่อชั้น ม.๗ – ๘ ซึ่งเป็นหลักสูตรเดียวกันกับนักเรียนที่เรียนประจำ ปรากฏว่าสอบได้ชั้น ม.๘ แผนกวิทยาศาสตร์ และได้คะแนนเยี่ยมในวิชาคณิตศาสตร์ คือ ได้ ๗๗% หลังจากนั้นได้เข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์และคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ใช้เวลาเรียน ๔ ปี ข้าพเจ้าสำเร็จปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต และปริญญาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิต และต่อจากนั้นอีกหนึ่งปี ข้าพเจ้าสามารถสอบไล่ได้เนติปัณฑิตของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา พอดีกับกรมอัยการเปิดรับสมัครอัยการ ข้าพเจ้าสามารถสอบเข้าเป็นอัยการได้ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓

     ข้าพเจ้าได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งในจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอ่างทอง และจังหวัดนครสวรรค์ และย้ายเข้าสู่กรมอัยการ ขณะประจำอยู่ที่จังหวัดอ่างทองนั้น ข้าพเจ้าจำได้ว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๐๙ ข้าพเจ้าได้ไปนมัสการหลวงพ่อจรัญ ซึ่งข้าพเจ้ามีความเคารพนับถือตลอดมา จำได้ว่าครั้งหนึ่งหลวงพ่อจรัญได้มอบพระเครื่องตามที่ข้าพเจ้าได้ขอหนึ่งองค์ ข้าพเจ้าได้ดูแล้วรู้สึกว่าใหม่ ในขณะนั้นจากจังหวัดอ่างทองมาจังหวัดสิงห์บุรีต้องเดินทางโดยรถจักรยานยนต์ ผ่านคันคลองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังไม่ได้ลาดยาง คงมีเฉพาะดินลูกรัง และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยายังไม่มีถนนสายเอเซีย ข้าพเจ้าคิดในใจว่าหลวงพ่อให้พระใหม่ ทำไมจึงไม่ให้พระเก่า ทันใดนั้นรถจักรยานยนต์ที่ข้าพเจ้าได้ขี่มาเสียหลักพุ่งตกลงไปชนกอมะขามเทศ ส่วนข้าพเจ้าได้ร่วงลงจากรถในท่ากระโดดกบ ทำให้ปากไปกระแทกกับดินลูกรังถึงกับเลือดไหล เมื่อหันไปดูทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้เห็นวัดอัมพวันอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อจรัญเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ข้าพเจ้าจึงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าหลวงพ่อนี่ “เฮี้ยน” น่าดู

     ระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่ที่กรมอัยการ หลังจากข้าพเจ้าย้ายจากอัยการจังหวัดประจำศาลแขวงนครสวรรค์ เข้าไปเป็นอัยการประจำกองที่ปรึกษาแล้ว ได้ผ่านตำแหน่งที่สำคัญ ๆ กล่าวคือ เลขานุการ ก.อ. อัยการพิเศษฝ่ายอุทธรณ์, อัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่ง, อัยกายพิเศษฝ่ายคดีธนบุรี, และรองอัยการสูงสุด เมื่อเปลี่ยนเป็นสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยถูกย้ายไปประจำในส่วนภูมิภาคอีก

     เมื่อรับราชการอยู่ที่ส่วนกลางดังกล่าวแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้ทำงานจนสุดความสามารถ แม้เย็นย่ำค่ำมืดก็พยายามทำงานให้ดีที่สุดอยู่ ณ ที่ทำงานกรมอัยการ จนเวลา ๓-๔ ทุ่มแทบทุกวัน แต่กลับเจอปัญหาที่เพื่อนร่วมงานก่อขึ้น ข้าพเจ้าจึงไปหารือกับหลวงพ่อจรัญ หลวงพ่อจรัญแน่นำว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” มิให้โต้ตอบแต่ประการใด และหลวงพ่อได้บอกกับข้าพเจ้าเกี่ยวกับพนักงานอัยการซึ่งเป็นลูกมือของผู้มีอำนาจประมาณ ๒ คน ที่พยายามจะแซงขึ้นหน้าข้าพเจ้า แต่ไม่ควรจะกล่าวถึง ณ ที่นี้ เพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั้งสองเป็นความจริงตามที่หลวงพ่อพูดทุกประการ ท่านให้ข้าพเจ้ายึดถือปฏิบัติให้แก่ทางราชการอย่างถูกต้องเป็นธรรมตลอดมา ข้าพเจ้าจึงหาทางแก้ปัญหาโดยขออนุญาตปลวงพ่อจรัญไปนั่งวิปัสสนาประมาณ ๕-๖ ครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่นั่งวิปัสสนาอยู่ ห่างจากกุฏิท่านประมาณ ๒ เส้น หลวงพ่อได้พูดผ่านทางเครื่องขยายเสียง เรียกเจ้าหน้าที่ธนาคารทหารไทยให้ไปพบหลวงพ่อที่กุฏิโดยด่วน มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายขึ้น ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ในใจว่า เรากำลังนั่งอยู่ สมาธิไม่เสียหมดหรือ ทำไมหลวงพ่อไม่เห็นถามเราบ้างเลย เรายศอะไร คนที่ดูแลเราเป็นใคร อาหารการกินเป็นอย่างไร เสร็จแล้วเลยคิดไปว่า เรื่องของพระเราไม่ควรคิดน่าจะถูกต้องกว่า จึงทำใจให้นิ่งให้เข้าสู่ภวังค์ ขณะนั้นกองเพลได้ตีเสียงดังขึ้น ข้าพเจ้าจึงลืมตาขึ้นเพื่อไปทานอาหารกลางวัน ระหว่างที่ถือจานข้าวได้มีลูกศิษย์วัดเข้ามากระซิบบอกว่าหลวงพ่อให้ไปพบ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปพบหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อได้สอบถามตามที่ข้าพเจ้าคิดว่าทำไมไม่ถามข้าพเจ้าบ้างดังกล่าวแล้วทุกประการ จึงน่าเชื่อว่าหลวงพ่อน่าจะรู้ว่าลูกศิษย์คนไหนคิดอย่างไรโดยตลอด เพราะทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามานั่งวิปัสสนา หลวงพ่อไม่เคยเรียกข้าพเจ้าไปพบแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าทราบจากเพื่อนที่เข้าวิปัสสนาด้วยกันว่า ผู้นุ่งขาวห่มขาว ห้ามไปที่กุฏิหลวงพ่อจรัญ เว้นแต่หลวงพ่อจะเรียกให้ไปพบเอง

     ในการนั่งวิปัสสนานั้น ข้าพเจ้าจะเอาดินสอพร้อมกระดาษวางไว้ใกล้ ๆ ตัว บางครั้งข้าพเจ้ามีปัญหาอยู่ เมื่อคิดออกก็รีบจดไว้ บางครั้งคิดและจดไว้ได้ถึง ๑๑ ข้อ

     ข้าพเจ้าได้มังกร ๒ หัว ซึ่งเป็นโลหะหนักมากจากญาติที่จังหวัดอุบลราชธานีนำมาให้ ปรึกษากับผู้ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือแล้ว เห็นควรมอบให้หลวงพ่อจรัญ จึงนำถวาย ปัจจุบันยังคงประดิษฐานอยู่ที่ห้องรับแขก หลวงพ่อได้เขียนเรื่องดังกล่าวไว้ในกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ พระภาวนาวิสุทธิคุณ เล่ม ๖ หน้า ๘ ถึง ๙

     สำหรับภรรยาของข้าพเจ้าคือ แพทย์หญิงจิรพร เกตุปรีชาสวัสดิ์ ครั้งหนึ่งเดินทางมาวัดอัมพวัน มีเพื่อนนั่งมาในรถด้วย เพื่อนได้ถามว่า “อยากรวยไหม ถ้าอยากรวยให้ท่องคาถานี้ โดยตั้งนโม ๓ จบ แล้วท่องคาถาไปมารวม ๓ จบ ครั้นรุ่งขึ้นจึงให้ใส่บาตรพระสงฆ์ รวม ๙ รูป ก็จะสมความปรารถนา” เมื่อมาถึงที่วัดแล้ว หลวงพ่อลงจากกุฏิแล้วพูดว่า คนจะร่ำรวยจะต้องทำมาหากิน มัวไปท่องแต่คาถามันไม่ทำให้รวยได้หรอก เพื่อนภรรยาของข้าพเจ้าได้คุยเรื่องท่องคาถาดังกล่าวแล้ว ขณะอยู่ในรถยนต์ซึ่งติดเครื่องปรับอากาศระหว่างที่เดินทางเข้าวัด หลวงพ่อย่อมไม่รู้ข้อความที่ได้พูดกันในรถ อนึ่งขณะนี้ภรรยาของข้าพเจ้าได้สายสะพายสายที่ ๓ และได้ย้ายไปดำรงตำแหน่ง ๑๐ วช. กรมการแพทย์ และภรรยาของข้าพเจ้ามีเวลารับราชการอีก ๖ ปีเศษ จึงจะมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ แพทย์หญิงจิรพร ภรรยาข้าพเจ้าเชื่อในคำแนะนำของหลวงพ่อ ขณะฟังจะจดและนำไปปฏิบัติเสมอมา ทุกเช้าจะท่องพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปิโส กับ พาหุงมหากา พร้อมกับเดินจงกรมและนั่งสมาธิด้วย

     เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้าพเจ้าได้เกษียณอายุราชาการจากสำนักอัยการสูงสุดแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้มาทำงานอยู่ที่เนติบัณฑิตยสภา ในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งเป็นพนักงานประจำที่มีตำแหน่งระดับสูงสุดของพนักงานของเนติบัณฑิตยสภาเป็นคนแรก สามารถอยู่ได้ถึงระดับ ๑๑ และอยู่ได้ถึงอายุ ๗๐ ปีบริบูรณ์จึงพ้นจากตำแหน่ง ในการสร้างเนติบัณฑิตยสภาที่แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้กำหนดรูปแบบสร้างห้องพระขึ้นในอาคารชั้น ๒ และได้นิมนต์หลวงพ่อจรัญมาทำพิธีในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายนของทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เหตุที่นิมนต์หลวงพ่อจรัญ เนื่องจากเป็นที่เคารพศรัทธาของพนักงานเนติบัณฑิตยสภา หลวงพ่อจรัญเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ซึ่งปัจจุบันได้รับแต่ตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ได้รับปริญญาและรางวัลเกียรติคุณมากมายดังนี้

       ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง

       ปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

       ใบประกาศเกียรติคุณและโล่เกียรติยศผู้มีผลงานดีเด่นด้านสิ่งแวดล้อม จากกรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม

       โล่เกียรติคุณนักสังคมสงเคราะห์ดีเด่น

       เสาเสมาธรรมจักรพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในด้านส่งเสริมชักชวนประชาชนมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

       เข็มเกียรติคุณนักพัฒนาดีเด่นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง จากพลเองเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี

       ประกาศเกียรติคุณพระราชทานในฐานส่งเสริมวัฒนธรรมดีเด่น จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

       นอกจากนี้หลวงพ่อจรัญยังได้ตอบปัญหาแก่ชาวตะวันตก เช่น ศ.ดร.เจอร์รัลด์ แมกเคนนี หัวหน้าภาควิชาศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยไรซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา, ศ.ดร.เจม สจ๊วตท์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตวิทยา, ศ.ดร.ไวโอเล็ต ลินเบค ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญสาขาปรัชญาและศาสนา ฯลฯ

       ข้าพเจ้าได้จัดสร้างพระบรมรูปรัชกาลที่ ๖ ประทับยืน ทรงครุยเนติบัณฑิต ขนาด ๙ นิ้ว และ ๑๘ นิ้ว และไดสร้างเหรียญพระบรมรูปรัชกาลที่ ๙ ทำด้วยทองคำ ๙๐% ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓.๕ ซ.ม. น้ำหนัก ๕๐ กรัม และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒.๖ ซ.ม. น้ำหนัก ๑๕ กรัม เงิน, คิวโปรนิกเกิล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ ซ.ม. และทองแดง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ ซ.ม. และ ๗ ซ.ม. ได้นิมนต์หลวงพ่อจรัญทำพิธีพุทธาภิเษกที่เนติบัณฑิตยสภาและได้ทำที่วัดอัมพวันอีกหลายครั้ง เฉพาะเหรียญทองคำหักต้นทุนแล้วออกจำหน่ายได้ ๖ ล้านเศษ ยังเหลือเป็นกำไรทั้งสิ้นอีกประมาณ ๙ ล้านเศษ เงินที่เหลือได้นำไปสร้างพระบรมราชนุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๖ ขนาด ๒ เท่าครึ่งของพระองค์จริง ในลักษณะประทับยืนทรงครุยเนติบัณฑิต ประดิษฐานอยู่หน้าอาคารเนติบัณฑิตยสภาเรียบร้อยแล้ว

       เย็นวันหนึ่งเมื่อข้าพเจ้าขับรถไปโรงแรมดุสิตธานี เป็นงานแต่งงานของลูกเพื่อน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าขับรถไปไม่ตรงทาง คงจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงตกลงใจไม่ไปงาน พยายมที่จะขับรถกลับบ้าน พอถึงสี่แยกมักกะสัน ก็มีคนขับรถคันหนึ่งบังคับให้ข้าพเจ้าจอดรถ โดยอ้างว่า ข้าพเจ้าขับรถชนรถของเขา เมื่อข้าพเจ้าจอดรถข้างทางและบอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้ขับรถชนของเขาแต่อย่างใด คนนั้นบอกตำรวจที่มาอยู่ข้างรถของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่สบาย ให้โทรศัพท์บอกทางบ้านด่วน ตำรวจจึงโทรศัพท์บอกไปที่บ้าน ภรรยาข้าพเจ้าไปที่รถและได้นำตัวข้าพเจ้าไปที่โรงพยาบาลพญาไท ๑ เมื่อเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ หมดความรู้สึกไป ภริยาของข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ไปยังหลวงพ่อเพื่อปรึกษาว่าควรจะทำอย่างไร หลวงพ่อตอบว่าแล้วแต่แพทย์ แพทย์บอกอย่างไรให้ทำตามที่แพทย์สั่ง ภรรยาของข้าพเจ้าได้บอกว่า ข้าพเจ้าพูดมาหลายปีแล้วว่า ห้ามผ่าตัดเป็นอันขาด แม้จะถึงแก่ความตายก็ยอม หลวงพ่อบอกว่าคืนนี้จะนั่งเพ่งส่งพลังจิตมาช่วย ถ้าเลือดในสมองออกก็ขอให้หยุดก็แล้วกัน เหตุการณ์ผ่านไปจนวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าเลือดในสมองที่ไหลได้หยุดไหล จึงไม่ต้องทำการผ่าตัด ภรรยาข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปหาหลวงพ่อตอนเช้า ผู้รับสายตอบว่า เมื่อคืนหลวงพ่อนั่งแผ่เมตตาให้อัยการชัยวัฒน์ตลอดทั้งคืน ขณะนี้นอนหลับยังไม่ตื่น ภรรยาข้าพเจ้ากล่าวว่าหลวงพ่อมีพระคุณต่อครอบครัวมากมายหาที่เปรียบมิได้ เหตุเกิดครั้งนี้ข้าพเจ้าได้ขับรถชนเสาไฟฟ้าจนหน้ารถยุบต้องเสียค่าซ่อม ๔ หมื่นบาทเศษ หากไม่ได้หลวงพ่อช่วยบอกเหตุตั้งจิตระวัง ครอบครัวของข้าพเจ้าก็คงแปรเปลี่ยนเป็นอีกรูปหนึ่งไม่เหมือนดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

       จากอุบัติเหตุที่เกิดกับข้าพเจ้ามาเป็นเวลา ๒ ปีเศษ จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าอดีตอัยการสูงสุดผู้หนึ่งถูกอดีตพนักงานอัยการ ตำแหน่งอธิบดี ฟ้องเป็นคดีอาญา โดยผู้ที่ไปเบิกความเป็นพยานโจทก์ล้วนแต่เป็นอัยการชั้นผู้ใหญ่ของสำนักอัยการสูงสุด ไม่มีใครบอกเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าจึงไม่รู้เรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ครั้นต่อมาในช่วงเช้าของวันหนึ่ง ได้มีพนักงานเนติบัณฑิตยสภาผู้หนึ่งนำหนังสือพิมพ์ซึ่งลงข่าวเกี่ยวกับอดีตอัยการสูงสุดมาให้ข้าพเจ้าอ่าน ข้าพเจ้าจึงเพิ่งทราบ ณ บัดนั้นเองว่า อัยการสูงสุดผู้นั้นได้ถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก ๖ ปี ปรับ ๖๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ในข้อหากลั่นแกล้งพนักงานอัยการผู้นั้น

       จากเรื่องนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของหลวงพ่อจรัญที่ว่า อย่าไปถือโทษโกรธเคืองเขาเลย ปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ซึ่งเขาจะต้องรับอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จะทำให้จิตใจเราเศร้าหมองเสียเปล่า ๆ เราควรเดินจงกรม นั่งสมาธิ แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขามาก ๆ จึงเป็นมูลเหตุสำคัญให้ข้าพเจ้านั่งสมาธิตามคำแนะนำของหลวงพ่อจรัญ เพื่อแผ่เมตตาให้แก่อดีตเพื่อนร่วมงาน ข้าพเจ้าได้ถือปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อจรัญด้วยดีตลอดมา

 

นายชัยวัฒน์ เกตุปรีชาสวัสดิ์ ผู้เขียน

นิติศาสตร์บัณฑิต สังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิต, เนติบัณฑิต