นิมิตลูกสาวนายพลลี

ตอนที่ ๒

 

ฉวีวรรณ ชัยศิริ

R15006

 

            เรื่องต่อไปนี้มีความต่อเนื่องกับเรื่องในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติเล่มที่ ๕ ในหัวข้อเรื่อง นิมิตลูกสาวนายพลลี จำเป็นต้องอ่านเล่มดังกล่าวข้างต้นเพื่อความเข้าใจ และปะติดปะต่อเรื่องได้ถูกต้อง

          หลังจากขุนส่าได้ให้ลูกน้อยระเบิดบ้านข้าพเจ้าเมื่อเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ แล้ว ๑๓ ปีให้หลังคำพูดของหลวงพ่อที่ให้สติและกล่าวแก่ข้าพเจ้าก็เป็นความจริง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ขุนส่าทรยศต่อแผ่นดินและเผ่าพันธุ์ของตนเอง ยอมแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่พม่าเสนอและหยิบยื่นให้ ยอมสวามิภักดิ์แก่พม่า ทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาให้ต้องรับชะตากรรมอันเจ็บปวดขมขื่นแสนสาหัส ข้อเขียนต่อไปนี้พิสูจน์ได้ดีถึง กฎแห่งกรรม ที่เกิดขึ้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น เพียงวันเดียว ก่อนที่ขุนส่าจะมอบตัวกับพม่า ได้มีคำสั่งฆ่าคนถึง ๒๓ คน ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นหน่วยสังหารพิเศษประจำกองทัพของขุนส่า ขอเล่าที่มาของหน่วยงานนี้และทั้ง ๒๓ คน นี้ว่ามีความสำคัญอย่างไรต่อขุนส่า

          ก่อนจะเข้ามาอยู่หน่วยงานนี้ได้ ต้องผ่านการทดสอบมาอย่างดีหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะด้านความรู้ ความเฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ หลายคนจบทางด้านวิศวะจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง จะเห็นได้ว่ากว่าจะยืนระดับนี้ได้ไม่ง่ายเลย งานหลักของพวกเขาคือ ฆ่าและก่อวินาศกรรม เท่าที่ทราบการปฏิบัติงานของคนเหล่านี้ไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แน่นอน ๓ คนในจำนวน ๒๓ คน ได้รับคำสั่งให้วางระเบิดครอบครัวข้าพเจ้า ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่ชีวิตเดียว แต่พวกเขาทำพลาด ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ใครก็ตามเห็นสภาพบ้านของข้าพเจ้าในขณะนั้น ไม่มีใครเชื่อว่าไม่มีการตายเกิดขึ้น โดยเฉพาะครอบครัวข้าพเจ้าที่ขุนส่าตั้งใจจะให้ตายทั้งหมดนั้น กลับไม่มีใครเป็นอะไรเลยแม้แต่คนเดียว ปัจจุบันข้าพเจ้ายังจำคำพูดของผู้เฒ่าที่เข้าฝัน ขณะที่ยังเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านพูดว่า “จำไว้ใครก็ตามที่คิดทำการร้ายต่อผู้มีพระคุณ จักไม่มีวันทำได้สำเร็จ” ในความฝันนั้นท่านได้บอกให้ข้าพเจ้ากลับบ้านเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำที่ท่านบอกอีกว่า “จะได้พบพระดี” ขณะนั้นคิดไม่ออกว่าพระดีที่ท่านกล่าวนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน กาลเวลาได้พิสูจน์แล้ว ข้าพเจ้าคงไม่ต้องพูดอีกว่าพระดีรูปนี้คือใคร

          เหตุการณ์ร้าย ๆ ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาตลอดจนคำสอนจากหลวงพ่อ ซึ่งเป็นบุญของข้าพเจ้า หลวงพ่อสอนให้มีสติ หยุดการจองเวร ให้แผ่เมตตาแก่พวกที่คิดร้ายต่อเรา หลวงพ่อยังได้กล่าวอีกว่า “เวลานี้ขุนส่ายังกินบุญเก่า วันใดที่บุญเก่าที่เขาทำไว้สิ้นสุดลง เขาจะได้รับกรรมที่ทำไว้ ให้กรรมเป็นตัวตัดสินเขาเอง”

          ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ชาย ๓ คนที่ได้รับคำสั่งให้ก่อวินาศกรรมสังหารครอบครัวข้าพเจ้านั้น สุดท้ายพวกเขาพร้อมเพื่อนอีก ๒๐ คน กลับต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือเจ้านายตัวเอง ตรงกันข้ามกับครอบครัวข้าพเจ้าที่พวกเขามุ่งร้ายให้ถึงชีวิตนั้น กลับไม่ได้ทำการใด ๆ ต่อพวกเขาเลย

          ขุนส่ารู้แก่ใจดีว่า ไม่มีใครในกองทัพกู้ชาติไทยใหญ่ จะไม่เจ็บแค้นในการทรยศครั้งนี้ นี่เองเป็นที่มาของการกำจัดหน่วยสังหารชุดนี้ เพื่อไม่ให้มีโอกาสย้อนกลับมาล้างแค้น วันนี้ของขุนส่าคือ ป่วยเดินไม่ได้ มีโรคแทรกซ้อนประดังเข้ามาอีก ทั้งต้องอยู่ในสายตาของรัฐบาลทหารพม่า สิ้นแล้วซึ่งอิสระและเสรีภาพ พวกเขาได้รับกรรมของเขาแล้ว ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม จะไม่มีการจองเวรต่อกันอีกต่อไป

          ๗ ปีเต็ม (๒๕๓๗ – ๒๕๔๔) คำสอนของหลวงพ่อที่กล่าวแก่ข้าพเจ้า ได้พิสูจน์แล้วในทุกประโยคพร้อมทั้งกาลเวลาที่ผ่านไป ข้าพเจ้ารอวันนี้วันที่จะมีโอกาสเขียน เตือนตัวเองและผู้อ่านให้ตระหนักว่า กฎแห่งกรรมได้ทำหน้าที่อย่างมั่นคงและเที่ยงตรง การกระทำของเราวันนี้ เวลานี้ ผลกรรมได้รอเราแล้ว รอเพียงระยะเวลาที่จะหวนกลับมาตอบสนอง ใครทำกรรมใดไว้ย่อมรู้แก่ใจ ไม่มีใครแบ่งเบาหรือรับแทนใครได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว

          ข้าพเจ้าใครขอยกคำสอนของหลวงพ่อที่ได้ให้แก่ข้าพเจ้าเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ “สติ” คือ คำที่หลวงพ่อได้ย้ำเตือน ข้าพเจ้าขอมอบคำ ๆ นี้แก่ผู้อ่านทุกท่าน หากเรามีสติอยู่ทุกขณะจิต สติจะเป็นเกราะป้องกันตัวเราตลอดไป อำนาจใฝ่ต่ำใด ๆ ก็ไม่อาจจะชนะได้