ชีวิต...ไม่สิ้นหวัง

 

สุรีย์ จีนขจร

 

R15010

 

       ดิฉันอายุ ๕๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๔๕ หมู่ ๖ ตำบลองครักษ์ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง เดิมทีมีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า ขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ฐานะทางครอบครัวค่อนข้างยากจน ประมาณปี ๒๕๑๓ ได้แต่งงานกับคุณไพบูลย์ จีนขจร ซึ่งรับราชการอยู่กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตร เมื่อแต่งงานแล้วเก็บเงินได้ก็ไปซื้อรถบรรทุกเก่ามาคันหนึ่ง รับจ้างบรรทุกข้าวสารล่องกรุงเทพฯ ฐานะก็พอจะดีขึ้นบ้าง แต่แล้วเหมือนเรือโดนมรสุม เมื่อแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาฯ ตรวจพบว่าคุณไพบูลย์เป็นมะเร็ง ตอนนั้นคุณไพบูลย์ย้ายไปประจำที่สำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก สมัยก่อนการเดินทางลำบากมาก ถนนหนทางไม่มีมากเหมือนสมัยนี้ จึงจำเป็นต้องลาออกจากราชการ มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี โดยนายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการในสมัยนั้น ท่านเมตตาให้รับประทานยาโบราณของท่านควบคู่ไปด้วย สามีของดิฉันต้องนอนโรงพยาบาลสิงห์บุรีเป็นเวลาหลายเดือน เงินทองก็เริ่มขัดสน เพราะงานก็ทำไม่ได้ ลูกก็ยังเล็กอีก ๒ คน ขณะนั้นจิตใจเริ่มเครียดมาก ห่วงสามี ห่วงลูก เงินทองก็หมดตัว ดิฉันต้องนำจักรไปเย็บผ้าที่โรงพยาบาล เอาไปไว้รับจ้างตัดเสื้อในห้องน้ำโรงพยาบาล (เป็นห้องพิเศษในสมัยนั้น)

       หลังจากคุณหมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด จึงเป็นภาระที่หนักมาก เงินทองก็หาไม่ได้ แม้แต่ออกปากขอยืมญาติพี่น้องเขาก็ยังเมินหน้าหนี กลัวเราจะไม่มีเงินใช้คืน คนเราเมื่อมีทุกข์มีเรื่องเดือดร้อน จิตใจก็เป็นกังวล ดิฉันจึงปรึกษาคุณไพบูลย์ว่าอยากไปหาพระเพื่อสะเดาะเคราะห์ หาที่พึ่งทางจิตใจ คุณไพบูลย์เขาถามว่า จะไปหาหลวงพ่ออะไร วัดไหน ดิฉันจึงอธิบาย่ามีหลวงพ่ออยู่รูปหนึ่ง ชื่อหลวงพ่อจรัญ อยู่วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งคุณตาของดิฉันเคยเจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อจรัญเมื่อครั้งยังอยู่วัดพรหมบุรี เมื่อดิฉันได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวัน และแนะนำตัวเองว่าเป็นหลานสาวของตาหมออยู่บ้านหงษ์ เมื่อหลวงพ่อทราบเช่นนั้น หลวงพ่อดีใจมากที่มีลูกหลานของคนรุ่นเก่ามาหา ทั้งที่คุณตาของดิฉันได้เสียชีวิตไปนานแล้ว หลวงพ่อแนะนำให้สวดพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา ทุกวัน และเจริญกรรมฐาน จะช่วยครอบครัวและสามีได้ เมื่อสามีของดิฉันได้พบกับหลวงพ่อเขาพอใจมาก ดูเขาคลายความวิตกกังวล ธรรมดาสามีดิฉันไม่เคยไหว้พระเท่าไร จะเลือกไหว้ที่เป็นพระจริง ๆ คือเขาได้เข้าไปเรียนกรุงเทพฯ เมื่อปี ๒๕๐๒ ไปอาศัยอยู่ที่วัดชนะสงคราม บางลำพู พบพระภิกษุและสามเณรจำนวนหนึ่งที่มาจากภาคต่าง ๆ เพื่อมาเล่าเรียน ไม่เคร่งครัดต่อระเบียบวินัยของสงฆ์ จึงขาดศรัทธา

       ดิฉันและสามีปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำ ชีวิตก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการเงินและอาการป่วยของสามี และราวปี ๒๕๑๖ ดิฉันคิดจะซื้อโรงสีเล็ก ๆ ข้าง ๆ บ้าน มีญาติที่ทำโรงสีสนับสนุนเต็มที่ ช่วงนั้นโรงสีกำลังบูม ทำกำไรดีมาก ดิฉันเองก็ไม่มีความรู้เลยเกี่ยวกับโรงสี ใจเองก็อยากจะซื้อ เพาะได้รับการสนับสนุนจากญาติ ๆ ดิฉันคิดไม่ตกจึงได้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อทักว่า “สุรีย์เอ๋ย ดวงเอ็งทางด้านโรงสีนั้นไม่มี... เอ็งมีดวงทางรถยนต์” ดิฉันและสามีเชื่อหลวงพ่อ ดิฉันมุมานะค้าขายรำ ปลายข้าวสาร ข้าวเหนียว โดยต้องเดินทางไปเชียงรายทุกครั้ง ดิฉันจะต้องแวะกราบขอพรจากหลวงพ่อ หลวงพ่อจะให้โอวาทว่า “ไปที่ไหน สิบนิ้วพนมไหว้ทุกคน มืออ่อน ปากหวาน นอบน้อม ถ่อมตน จะประสบผลสำเร็จ ค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง” หลวงพ่อเป็นที่พึ่งของครอบครัวของดิฉันมาตลอด เมื่อก่อนนี้บ้านของดิฉันเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตอะไร หลวงพ่อก็แนะนำให้ปลูกใหม่ ทุกครั้งที่ไปหาหลวงพ่อ ท่านจะถามว่า “จะปลูกเมื่อไร ปลูกเถอะ” ดิฉันเองก็ยังมีเงินไม่มากพอ เพราะกลัวจะไม่มีเงินทุนทำการค้าจึงตัดสินใจไม่ถูก แต่หลวงพ่อก็บอกว่า “ปลูกเถอะสุรีย์ เงินทองมาเอง ถึงเวลาปลูกบ้านได้แล้ว หลวงพ่อจะช่วย” ดิฉันจึงตัดสินใจปลูก และภูมิใจจนบัดนี้ที่เชื่อหลวงพ่อ

       ดิฉันมีบุตร ๓ คน คนโตอายุ ๓๐ ปี จบการศึกษาปริญญาตรีวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ทำงานอยู่ ๒ ปีกว่า ๆ จึงกลับมาช่วยงานธุรกิจส่วนตัว ส่วนคนที่ ๒ จบวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเคมี และเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเก้าพระนครเหนือ ปัจจุบันได้รับทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยในเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา บุตรชายของดิฉันถ้ามีเวลาว่างยามปิดเทอมขณะเรียนที่เมืองไทย ก็จะหาเวลาไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันเสมอ ก่อนออกเดินทางไปอเมริกาก็ไปเจริญกรรมฐานอยู่ ๗ วันที่วัดอัมพวัน และเข้ากราบขอพรจากหลวงพ่อ ท่านให้โอวาทว่า “ให้มานะ อดทน การเรียนปริญญาโทและเอก วิศวเคมีนั้นยากมาก ให้คบแต่เพื่อนที่ดี  เพื่อนที่ดี ๆ จะนำความสำเร็จมาให้เรา ให้หมั่นสวดมนต์ เจริญกรรมฐาน แล้วปัญญาจะเกิด” ในปี ๒๕๔๐ บุตรชายของดิฉันก็ได้เดินทางไปเรียนต่อยังอเมริกา เมื่อเข้าไปเรียนปีแรก ๆ บุตรชายโทรศัพท์มาบอกว่าเรียนยากมาก เครียดมาก เพราะภาษาที่เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง ดิฉันก็ได้แต่ปลอบใจลูกว่า “ลูกเอ๋ย จำคำหลวงพ่อพูดไว้ หมั่นสวดมนต์ มีเวลาก็เจริญกรรมฐาน ปัญญาจะเกิดเอง” และเวลาผ่านไปเขามีเพื่อนนักศึกษาจากจีน อินเดีย ตุรกี ซึ่งเขาเก่งกันมาก ภาษาเก่ง หัวดี คอยติวและแนะนำให้ ด้วยบุญกุศลที่สวดมนต์เป็นประจำตามที่หลวงพ่อสั่งสอน เมื่อสอบปริญญาโท ปรากฏว่าบุตรชายของดิฉันได้คะแนนดีเด่น และได้รับรางวัลจากมหาวิทยาลัยเพนสเตท ๕,๐๐๐ เหรียญ ขณะนี้กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ และเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์มาก อาจารย์จะหางานวิจัยให้ทำอยู่เป็นประจำ ซึ่งงานวิจัยที่อาจารย์รับมานั้น จะได้เงินพอ ๆ กับที่เมืองไทยส่งไปให้

       ส่วนบุตรสาวคนเล็ก จบวิศวกรรมศาสตร์สาขาเครื่องกล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานบริษัทและเรียนปริญญาโทด้วย กำลังทำวิทยานิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ความสำเร็จของลูกทั้ง ๓ คน และฐานะทางครอบครัวที่ดีขึ้น เพราะหลวงพ่อแนะนำให้สวดมนต์ พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา และปฏิบัติธรรม ชีวิตครอบครัวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ลูกทั้ง ๓ คนก็ดี ดิฉันสอนให้ลูกสวดมนต์และปฏิบัติธรรม และระลึกถึงหลวงพ่อผู้มีพระคุณต่อครอบครัวดิฉันเสมอ

       สำหรับชีวิตดิฉันจะมีสุขหรือทุกข์อย่างไร หลวงพ่อท่านทราบดีทั้งหมด ดิฉันไม่สามารถเขียนเรื่องต่าง ๆ ทั้งหมดที่หลวงพ่อท่านได้ช่วยเหลือครอบครัวดิฉันได้ เวลาใดที่ทุกข์ เมื่อพบหลวงพ่อ ท่านจะให้โอวาทเสมอว่า “สุรีย์เอ๋ย จำไว้ เชื่อหลวงพ่อ หลวงพ่อนิ่ง หลวงพ่ออด หลวงพ่อทน คือจะต้องอดทน อดกลั้น และอดออม และที่ขาดเสียไม่ได้คือต้องสวดมนต์พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา การค้าขายสุรีย์ต้องเอาอย่างคนจีนนะ ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ต้องทน เราต้องเอาเงินจากเขามาซื้อของเราให้ได้” เสียงของหลวงพ่อดังก้องในความรู้สึกของดิฉันเสมอค่ะ และโอวาทอีกอย่างที่หลวงพ่อได้ให้ไว้คือ จะต้องเป็นคนที่กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ โอวาทของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับดิฉัน

       เมื่อต้นปี ๒๕๔๑ คุณไพบูลย์ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตาย เส้นเลือดตีบ ได้ไปรักษามา ๒ โรงพยาบาลและอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ดิฉันได้ไปปรึกษาหลวงพ่อ ท่านก็แนะนำให้เปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่ “คุณไพบูลย์ไม่เป็นไรหรอก แต่สุรีย์อย่าบอกลูกชายที่อยู่เมืองนอกล่ะ ประเดี๋ยวลูกจะเป็นห่วงแล้วจะเสียการเรียน” พอหลวงพ่อแนะนำดิฉันก็กลับบ้านและทำตามที่หลวงพ่อแนะนำทันที ดิฉันย้ายคุณไพบูลย์ไปอยู่โรงพยาบาลกรุงเทพ พอรักษาที่นี่ได้สักประมาณ ๕ วัน อาการของคุณไพบูลย์ดีขึ้นมาก ตอนเย็นที่โรงพยาบาลคุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้จะให้คุณไพบูลย์กลับบ้านได้ ดิฉันดีใจมากคิดว่าคุณไพบูลย์หายเป็นปกติแน่ คุณหมอบอกว่า ก่อนกลับคุณหมอขอฉีดสีสวนหัวใจดูหน่อยนะ หลังจากฉีดสี ๑ วัน คิดว่าจะกลับบ้านได้ โดยปกติคุณหมอจะมาเยี่ยมคนไข้วันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น นี่คุณหมอฉีดสีแล้ว ทั้งวันคุณหมอไม่มาบอกเลยว่าคุณไพบูลย์เป็นอย่างไร ดิฉันและคุณไพบูลย์กังวลใจมากที่คุณหมอไม่มา พอดึกประมาณ ๔ ทุ่มกว่า ๆ จึงได้โทรศัพท์กราบเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบว่าคุณหมอบอกให้กลับบ้านได้แล้วหมอไม่มาสั่งให้กลับ หลวงพ่อท่านตอบว่า “สุรีย์ ถ้าคุณหมอบอกว่า ไม่ให้กลับก็อย่าขอคุณหมอกลับนะ” พอตอนเช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมอมาพูดว่า “คุณสุรีย์ถ้าหมอจะให้คุณไพบูลย์อยู่ประมาณ ๑ เดือน คุณจะพร้อมหรือไม่” ดิฉันนึกถึงที่หลวงพ่อท่านเตือนแล้ว ตอบคุณหมอทันที่ว่า “พร้อมค่ะ” คุณหมอบอกว่าคุณไพบูลย์ต้องผ่าตัดทำบายพาส ดิฉันใจหายวาบเพราะที่ผ่านมาทั้ง ๒ โรงพยาบาลก่อนบอกว่าคุณไพบูลย์ไม่สามารถผ่าตัดได้เพราะกล้ามเนื้อหัวใจตายกว่า ๖๐% เส้นเลือดตีบตันทั้งหมด ผ่าตัดแล้วจะไม่ฟื้น ดิฉันก็ต้องคิดถึงหลวงพ่อก่อนใคร จึงโทรศัพท์ไปกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบว่า “คุณหมอจะผ่าตัดหัวใจคุณไพบูลย์ หนูจะตัดสินใจอย่างไรดีคะ” หลวงพ่อตอบทันทีเลยว่า “ให้คุณหมอผ่าตัดเลยนะ หลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้คุณไพบูลย์หาย แต่จำไว้ไม่มีอะไรดีเท่าปฏิบัติกรรมฐาน และสวดมนต์พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา” ก็จริงดังหลวงพ่อแนะนำ คุณไพบูลย์รอดตายมาได้เพราะบารมีของหลวงพ่อ ที่ช่วยให้พบคุณหมอที่เก่ง

       ครอบครัวดิฉันและลูก ๆ ประสบความสำเร็จเพระมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งและกำลังใจ หลวงพ่อเป็นทั้งผู้ให้และช่วยเสมอค่ะ พระคุณของหลวงพ่อมากล้นสุดพรรณนาได้ ดิฉันและครอบครัวขอกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญาณมงคล ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของทุกคนตลอดไป