ชีวิตใหม่ที่หลวงพ่อเมตตามอบให้

 

ไพบูลย์ เทอญชูชีพ

R15013

 

       ดิฉันอายุ ๕๕ ปี เป็นคน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี โดยกำเนิด เป็นภรรยาของนาวาอากาศโทกรวัฒน์ เทอญชูชีพ สังกัดอยู่กรมสรรพาวุธทหารอากาศดอนเมือง มีธิดา ๒ คน คนโตจบปริญญาโท เภสัชศาสตร์มหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี คนเล็กสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยต้นสังกัดให้ศึกษาต่อปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ขณะนี้อยู่ชั้นปีที่ ๓ (หลักสูตรกำหนด ๕ ปี) คนเล็กนี่แหละที่หลวงพ่อได้ให้ชีวิตใหม่แก่เขา

       ความจริงดิฉันได้รู้จักพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๕-๖ ขวบ ตอนนั้นดิฉันได้พาลูกไปดูต้นไม้ ดูนกในวัดซึ่งร่มรื่นมีต้นไม้มาก หลายต้นจะมีคำกลอนที่เป็นคติติดไว้ ดิฉันชอบไปอ่านเพราะเหมือนต้นไม้แต่ละต้นได้พูดสอนแทนหลวงพ่อ จำได้ว่าพาลูกไป ๓ ครั้ง เข้าไปกราบหลวงพ่อทุกครั้ง ท่านก็จะบอกให้ลูกไปกินข้าว ดิฉันก็ได้แต่ประทับใจในความเมตตาของท่าน ได้เคยฟังท่านเทศน์บ้างเพียงเล็กน้อย ตอนนั้นมีพระวีโก้อยู่ด้วยและท่านได้มาสั่งสมาธิรวมกับพระทั้งวัด หูฟังหลวงพ่อแต่ตามองพระวีโก้ เพราะท่านนั่งได้ตรงมาก รูปร่างใหญ่ไม่ไหวติงเลย เหมือนรูปปั้น ทึ่งท่านมาก แต่มันก็เหมือนดิฉันยังมีกรรมหนักอยู่ที่ไม่ได้รู้จักหลวงพ่อในตอนนั้นให้มากกว่านี้ ถ้าไม่มีกรรมได้เข้าพบหลวงพ่อเป็นประจำตั้งแต่ตอนนั้นชีวิตคงไม่เป็นอย่างที่จะเล่าให้ญาติธรรมฟังเลย

       ดิฉันเป็นลูกคนเล็ก เรียนจบ ม.๖ สมัยก่อนไม่ลำบากเลย พอแต่งงานมีลูก ๒ คน ตั้งแต่ลูกเล็ก ๆ สามีก็เริ่มเจ้าชู้ ออกชายแดน ไปจังหวัดไหนก็มีภรรยาน้อยที่นั่น โดยดิฉันไม่รู้ พอมีคนบอกก็ไม่เชื่อ จนหนัก ๆ เข้าไปดูจึงรู้ ก็ได้แต่อดทน แต่ความอดทนก็มีขีดจำกัด เมื่อแม่ของดิฉันรู้ จึงได้บอกกับดิฉันว่า “ลูกเอ๋ยกลับบ้านเราเถิด ขายหน้า คนบ้านนอกเราไม่เป็นอย่างนี้ ถ้าลูกของแม่กลับบ้าน เชื่อแม่ แม่จะปลูกบ้านให้ทำร้าน ลงทุนให้ค้าขาย ถ้าอยู่กับผัวแม่จะไม่ให้อะไรเลย” แต่สามีก็ดีอย่างหนึ่งคือเงินเดือนเขาให้ดิฉันไปรับทุกเดือน เขาใช้แต่เบี้ยเลี้ยง ดิฉันก็เชื่อแม่หนีกลับบ้านโดยที่เขาไม่รู้ ตอนหลังเขารู้รีบตามไปง้อ ทะเบียนเราไม่ฉีก มีน้าชายคืออาจารย์เจริญ สงวนพวก มาเตือนบอกไม่ให้หย่า เขาจะเป็นอย่างไรช่างเขา เราตั้งหน้าทำมาหากิน ส่งลูกเรียนให้สูง ๆ มีลูกดี ดียิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ ลูกสาวของดิฉันก็เป็นเด็กดีทั้งคู่ ว่าง่าย เรียนเก่งทั้งพี่ทั้งน้อง ดิฉันก็พร่ำสอนอย่างไม่หวังพึ่งสามี ให้พึ่งตัวเองดีที่สุด ให้ดูตัวอย่างแม่ ทั้งที่สมัยแม่โอกาสเรียนต่อก็มีมาก งานก็หาง่าย แม่ยังทิ้งมาแต่งงานกับพ่อ แม่ก็ต้องลำบาก

       ดิฉันประกอบการค้าโดยขายของกินทุกชนิดทั้งของสดของแห้ง ใครถามหาอะไรเราเอามาขายหมด เป็นสรรพสินค้าย่อย ๆ ประจำหมู่บ้าน ขายของดีมาก ตื่นตั้งแต่ตี ๔ นอนก็ ๔-๕ ทุ่ม จนส่งลูกทั้งสองจบ โดยที่พ่อของเขากลับมาอยู่ที่บ้านพักทหารอากาศ เลิกเจ้าชู้ตั้งแต่เมื่อไร ดิฉันไม่ได้สนใจ เอาลูกไปดูแล ส่วนดิฉันก็ส่งเงินลูกคนเดียว ในขณะที่ขายของอยู่นั้น ใน พ.ศ. ๒๕๓๗ น้าชายของดิฉัน คือ อาจารย์เจริญ สงวนพวก ได้มาวานดิฉันให้ไปเป็นเพื่อนภรรยาของท่านเพื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๗ วัน ด้วยความเกรงใจ ดิฉันก็รับปาก แต่แม่ของดิฉันท่านเห็นแก่การขายของดี รู้สึกเสียดาย ท่านก็จะไม่ให้ไป น้าชายดิฉันก็บอกว่า “ป้าครับถ้ามันจะจนภายใน ๗ วันก็ให้มันจนไป ขายมาตั้งนานก็ไม่เห็นรวย” แม่ของดิฉันก็ไม่ว่า ดิฉันก็บอกลูกค้า แล้วปิดร้าน ๗ วัน ดิฉันได้เข้าปฏิบัติธรรมครั้งนั้นรู้สึกซาบซึ้งมาก นึกเสียใจว่าแต่ก่อนเราไปอยู่ไหน นั่งมองคนที่มาสมัคร มาปฏิบัติ ผิวพรรณดี เรียบร้อยเป็นส่วนมาก เราหรือได้แต่ทำบุญ เราไม่เคยทำอย่างนี้ สามีเราออกชายแดนมีแต่พระพุทธรูป บูชามาบ้าง กราบครูบาอาจารย์ท่านแจกมาบ้าง ดิฉันก็กราบไหว้บูชาธรรมดาทุกวัน แต่ไม่รู้วิธีปฏิบัติ ตอนมาปฏิบัติครั้งนี้ก็ได้แต่อธิษฐานขอให้สามีของลูกมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถอด ให้ได้เข้ามาวัดอย่างสามีภรรยาคู่อื่น ดิฉันออกจากกรรมฐานแล้วได้ลาหลวงพ่อกลับ แล้วก็ปฏิบัติธรรมจนทุกวันนี้

       จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ สิ่งที่นึกไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉัน คือ ลูกสาวคนเล็กของดิฉันที่ชื่อ ปาริชาต (ชื่อเล่นปู) ขณะนั้นสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร สอบชิงทุนเพื่อไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกาได้ โดยก่อนไปได้ขออนุญาตไปเรียนภาษาอังกฤษก่อน ๖ เดือน ขณะที่เรียนภาษาอังกฤษใกล้จะจบนั้น เกิดอาการเครียด เหม่อลอย ตอนนั้นเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปพักกับพ่อที่บ้านพักทหารอากาศ สามีโทรมาบอกว่าลูกเป็นอะไรไม่รู้ ไม่เคยมีอาการอย่างนี้ ปรกติลูกคนนี้จะเป็นคนเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ตอนนี้พ่อพูดกับเขาจะไม่เหมือนตัวเขาเลย ดิฉันก็บอกให้เขาปะเหลาะลูกกลับบ้าน สามีก็ได้พาลูกกลับบ้านด้วยความยากลำบาก จะกระโดดรถบ้างสารพัด นานพอดูกว่าจะถึงบ้าน พอมาถึงดิฉันได้คอยอยู่แล้ว ดิฉันและสามีได้พาลูกไปยังสำนักสงฆ์ยอดเขาสนามแจง (วัดยอดเขาสนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ในปัจจุบัน) ได้ไปกราบพระอาจารย์ทนง กิตติปัญโญ และพระอาจารย์ปริญญา (ท่านกลาง) เพราะท่านทั้งสองเป็นพระสายปฏิบัติ สายของหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา สุภัทโท กว่าดิฉันและสามีจะพาลูกขึ้นถึงยอดเขาได้ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว พาไปกราบพระอาจารย์ทั้งสอง ลูกสาวก็ไม่พูด ท่านเสกน้ำมะพร้าวอ่อนให้กินก็ไม่ยอมกิน บอกกินไม่ได้ปากเล็กเป็นเปรต เขาจ้างมาให้มาฆ่า แล้วก็ไม่ค่อยพูด จนสามีดิฉันร้อนใจ เอามีดหมอหลวงพ่อเดิมไปลูกตัวลูกสาว เท่านั้นลูกสาวก็ลุกขึ้นอาละวาด พูดเพ้อเจ้อต่าง ๆ นานา จนเหนื่อย แถมยังด่าพระอาจารย์ทั้งสองด้วย ท่านพระอาจารย์ทั้งสองพร้อมทั้งลูกศิษย์ที่ขึ้นไปทำวัตรเย็น ก็พร้อมกันสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ นั่งสมาธิให้เป็นเวลานานจึงสงบ คืนนั้นดิฉันและสามีก็ได้ค้างที่บนยอดเขา ตอนก่อนเช้าก็ได้ให้สามีไปเอาเสื้อผ้า พาไปหาหมอถอนเอาของออก โดยที่ให้ลูกศิษย์ท่านอาจารย์ทั้งสองนำทางไป ท่านอาจารย์ทั้งสองให้ของคุ้มกันไม่ให้อาละวาดไปกับรถ ดิฉันได้รู้จักกับพระอาจารย์ทั้งสอง โดยที่ไปซื้อของที่ตลาดสดตอนเช้าเพื่อนำไปขาย ซื้อของเสร็จก็จะเจอพระอาจารย์ทั้งสองพอดี ดิฉันก็ต้องการทำบุญอยู่แล้ว จึงได้ซื้อของใส่บาตรท่านทันทุกวัน เมื่อมีโอกาสก็ได้ทำกับข้าวจากที่บ้านนำมาถวายท่านบนยอดเขา ได้ขึ้นไปกราบถามปัญหาธรรมะเป็นประจำ จึงเป็นลูกศิษย์ท่านอีกผู้หนึ่งและท่านก็ได้มีเมตตาให้ดิฉันและญาติธรรมติดตามท่านไปกราบครูบาอาจารย์ของท่านในงานวันสำคัญต่าง ๆ เสมอ

       ดิฉันได้พาลูกไปรักษาที่ต่าง ๆ หลายแห่ง หมดเงินไปมาก เขาว่าที่ไหนดีก็พาไปหมด บางครั้งกลับมาถึงบ้านลูกสาวคลุ้มคลั่งต้องจับกุมกัน ดิฉันก็ได้แต่สงสารลูก แอบร้องไห้เป็นประจำ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้เป็นแต่ลูก พ่อกับแม่ก็เป็นด้วย ลูกเอ๋ยกรรมอันใดหนอที่มาเกิดกับแม่ ชีวิตนี้แม่มีแต่ทุกข์กับทุกข์ พอแม่จะได้สบายลูกก็มาเป็นเช่นนี้ ให้แม่เป็นเสียดีกว่า แม่อายุมากแล้ว ลูกยังมีอนาคต คิดวกไปวนมาไม่รู้จบ โรงพยาบาลบ้านสมเด็จก็พาไป โดยมีคุณหมอพิพัฒน์ ขันตยานุวงศ์ เป็นเจ้าของไข้รักษา ได้ให้ยาหลายอย่าง ยาพักผ่อน ยาคลายเครียด เพราะลูกสาวบอกว่าหูแว่วมีคนมาสั่งให้ทำต่าง ๆ บางครั้งขาดสติ ขณะที่เฝ้ารักษาลูกอยู่นั้น เห็นคนมีอาการเหมือนลูกหลายคน ถามคุยกับพ่อแม่เขา เขาก็บอกว่าเป็นมานานแล้วไม่หาย ก็คิดเสียใจว่าลูกเราก็คงไม่หายเหมือนลูกเขา รักษาอยู่หลายวันคุณหมอก็สั่งให้กลับบ้านได้ เอายามาทานที่บ้าน

       พอกลับมาบ้านดิฉันก็ให้ลูกอยู่บ้านพักหนึ่ง ก็ได้นำไปฝากน้าชายที่อยู่บางแสน คือ รศ.จำเนียร สงวนพวก ไม่อยากให้อยู่บ้าน เพื่อนฝูงพี่น้องมาเยี่ยมซักถามสารพัด ดิฉันเสียใจมากอยู่แล้ว รับไม่ได้ ซึ่งแต่ละคนก็พูดไม่เหมือนกัน มีคนบอกว่าให้ไปหาหมอที่เป็นพระ อยู่วัดตราชู จ.สิงห์บุรี ดิฉันกับสามีและญาติก็ได้พาลูกสาวไปโดยโทรศัพท์ไปเรียนท่านก่อน ท่านก็ดีมาก ตอนนั้น น้ำท่วมไปลำบากมาก ท่านมีธุระแต่ท่านก็บอกว่าให้เอาเด็กไปให้ท่านดูก่อน ท่านจะยังไม่ไปไหน พอท่านเห็น ดูอยู่นาน ท่านก็บอกว่า ท่านช่วยไม่ได้หรอก ผีเต็มตัว ถ้าท่านไล่ออกเด็กก็จะตาย ท่านบอกว่าให้ไปหาพระสุปฏิปันโน หรือสำเร็จแล้วที่ท่านรู้อดีตปัจจุบันอนาคตถึงจะช่วยเด็กคนนี้ได้ ดิฉันสามีและญาติก็ได้ลาท่านกลับด้วยความเสียใจ พอมาถึงบ้าน คุณน้าเจริญ สงวนพวก ก็ได้คิดว่าพาไปหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญเถิด เหมือนหนึ่งจะหมดกรรม ดิฉันร้องอ้อทำไมดิฉันไม่ได้นึกถึงท่าน กรรมบังตาบังใจ จนเกือบจะเสียลูก

       วันรุ่งขึ้นก็พากันไปกราบหลวงพ่อ เห็นลูกศิษย์ท่านนั่งคอยจำนวนมาก คุณน้าเจริญก็ได้เขียนหนังสือรายงานท่านบอกสาเหตุที่เด็กเป็นอย่างนี้ มากราบขอความเมตตาจากท่าน พอหลวงพ่อลงมา ลูกศิษย์กราบท่านหมดแล้วดิฉัน สามีลูกสาวและคุณน้าเจริญนั่งอยู่ตรงกลาง ท่านหันมามองลูกสาว ชีหน้าพูดว่า “หนูมานั่งตรงหน้าหลวงพ่อได้อย่างไร หนูหมดอายุแล้ว วิบากกรรมเธอตามมา เธอหมดอายุแล้ว อาตมาดูหน้าผากเธอก็รู้ หลวงพ่อสงสารเธอจริง ๆ เธอยังมีบุญเก่า พ่อแม่เธอก็พอมีบุญบ้าง หลวงพ่อจะช่วยเธอให้ชีวิตใหม่แก่เธอ หลวงพ่อจะรับเธอเป็นลูกบุญธรรม รับเธอเป็นลูกบุญธรรมคนที่ ๕๕ ไม่ใช่หลวงพ่อจะรับง่าย ๆ นะ ลูกศิษย์นั้นเยอะมาก แต่ลูกบุญธรรมนั้นต้องพิจารณา หนูเป็นครูบาอาจารย์ หายแล้วจะได้ไปสอนคนอีกมาก”

     คำพูดอันศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ของท่านยังระลึกอยู่ในใจของดิฉันตลอดมาจนทุกวันนี้ ต่อจากนั้นท่านก็ได้ให้ยาห่อด้วยใบบัวให้ไปต้มให้ลูกสาวดื่มจนกว่ายาจะจาง แล้วบอกอีกว่าให้ไปสอนได้แล้วเดี๋ยวจะเลยเวลา เขาจะไล่ออกให้แม่ไปอยู่ด้วย ท่านถามดิฉันว่าแม่มีอาชีพอะไร ดิฉันก็เรียนท่านว่าค้าขาย ท่านก็บอกว่าให้ปิดร้านเอาลูกก่อน ดิฉันกราบเรียนถามท่านว่าจะสอนได้อย่างไรเจ้าคะ หลวงพ่อบอกว่าให้ไปเถิดหลวงพ่อจะช่วย ไปรายงานตัวก่อน มันจะหมดเวลาแล้ว ความดีใจมีความหวังดิฉันลาท่านกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปอยู่กับลูก ได้บอกลูกค้าจะปิดร้านชั่วคราว จะไปรักษาลูก เช้าวันรุ่งขึ้น ดิฉันและสามีก็ได้พาลูกไปที่มหาวิทยาลัยนเรศวร สามีขับรถไม่พูดเลยคงใช้ความคิด ดิฉันก็พูดกับลูก ชี้โน่นชี้นี่ตามประสา ลูกก็ไม่ได้สนใจ ตอนนั้นคิดถึงแต่หลวงพ่อตลอด คิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรพูดแทนลูก ใจก็อธิษฐานถึงหลวงพ่อช่วยลูกด้วยเถิด

       เมื่อถึงมหาวิทยาลัยนเรศวร ดิฉันและสามีได้ขอเข้าพบท่านอธิการบดี ศ.ดร.สุจินต์ จินายน (ดำรงตำแหน่งในขณะนั้น) พอพบท่านอธิการบดี สิ่งที่ดิฉันวิตกมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลย ท่านและรองอธิการบดี รศ.ดร.กาญจนา เงารังสี ได้ต้อนรับอย่างดี เข้ามาลูบหัวลูกสาวอย่างมีเมตตา สอบถามทุกอย่างจากสามี ดิฉันพูดไม่ออกน้ำตามันไหลไม่หยุด นึกถึงแต่หลวงพ่อ ซาบซึ้งเหลือเกิน หลวงพ่อของลูกท่านดลบันดาลเปิดทางให้คนที่ไม่รู้จักลูกเรามาก่อนให้ความช่วยเหลืออย่างมากและเต็มใจ โดยที่ท่านอธิการบดีได้สั่งให้คุณแม่บ้านของมหาวิทยาลัยเข้าพบท่านเดี๋ยวนั้น ให้จัดบ้านพักครอบครัวให้ภายในวันนั้น ให้ดิฉันพาลูกไปอยู่ในวันรุ่งขึ้น ตรงกับคำที่หลวงพ่อได้บอกให้ดิฉันไปอยู่เป็นเพื่อนลูก (เมื่อก่อนลูกสาวไปสอน จะพักอยู่หอพักอาจารย์โสด) ท่านอธิการบดียังบอกให้คุณแม่แต่งตัวให้ลูกสาว ขับรถมาส่งที่มหาวิทยาลัยนี่ ไม่เป็นไรมาชมนกชมไม้ มาพูดกับเพื่อนที่นี่ช่วยกันไม่เป็นไร ดิฉันลาท่านกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปอยู่ ขณะที่ดิฉันไปอยู่กับลูก สามีจะไปรับดิฉันและลูกมากราบหลวงพ่อเป็นประจำ ไม่ว่ากลางวันหรือเย็น บางครั้งเข้าไปกราบที่โบสถ์ฟังท่านสวดมนต์ในขณะที่ท่านทำวัตรเย็น บางครั้งสามีไม่ไปรับเพราะมาปฏิบัติธรรมที่วัด ส่วนดิฉันก็ได้ปฏิบัติที่บ้านพักลูกสาวเช้าเย็น

       ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ ไม่นานลูกสาวก็ขอเข้าพบท่านอธิการบดี เพื่อขอสอน ท่านก็เมตตาให้คุมนักศึกษาในห้องทดลอง (ห้องแลป) ก่อน ต่อมาอีกมากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ได้ให้ยาห่อใบบัวอีกห่อหนึ่ง พร้อมทั้งท่านให้ลูกสาวก้มหัวต่อหน้าท่าน ท่านใช้นิ้วชี้ไปทางหัวลูกสาว ท่านเพ่งประมาณ ๒ นาที ท่านบอกว่าหาย ตั้งแต่นั้นมาลูกสาวก็หายวันหายคืน จากการคุมแลปก็ได้สอน ต่อมาอีกไม่นานมากราบหลวงพ่ออีก หลวงพ่อพูดขึ้นว่าลูกสาวพ่อทุกคนต้องได้เป็นดอกเตอร์หมด พอดีตอนนั้นทางมหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและปริญญาเอก) ลูกสาวได้กราบเรียนหลวงพ่อว่าต้องการเรียนปริญญาเอกที่เมืองไทยที่มหาวิทยาลัยมหิดล จะขอทุนและขออนุมัติทางมหาวิทยาลัยนเรศวรไปเรียนต่อ หลวงพ่อก็อนุญาตและให้พรไปสมัครสอบเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก ภาควิชาที่ลูกสาวเลือกสอบรับนักศึกษา ๓ คน (ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล) พอสอบเสร็จลูกสาวสอบได้คนเดียว ต้องใช้เวลาเรียนถึง ๕ ปี) ขณะนี้ลูกสาวเรียนอยู่ปี ๓ ขึ้นปี ๔ ด้วยบารมีของหลวงพ่อช่วยไว้โดยแท้จึงสอบได้ ระยะที่เรียนอยู่ ลูกสาวจะหาเวลาว่างมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ครั้งละ ๓ วันบ้าง ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ลูกสาวมีปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็มากราบเท้าเรียนหลวงพ่อด้วยตัวเอง หรือบางครั้งลูกสาวคิดผิด ๆ ดิฉันและสามีจะมากราบเรียนท่านด้วยตนเอง หลวงพ่อท่านจะเมตตาแก้ไขให้สำเร็จทุกครั้ง

       ด้วยพระคุณอันสูงสุดนี้ ดิฉันและสามีจะปฏิบัติตามคำสอนของท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ดิฉันและสามีจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นประจำ ท่านจัดงานอะไรก็จะมาเกือบทุกครั้ง สิ่งที่ดิฉันได้รู้ได้เห็นจากการมาวัดบ่อย ๆ ถ้าหลวงพ่อบอกกล่าวญาติธรรมผู้ใด แล้วโปรดน้อมนำเอาไปปฏิบัติตามเถิด อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ หลวงพ่อท่านเป็นผู้ให้ ถ้าเราไม่รับจะได้หรือ เปรียบเสมือนท่านยื่นช้อนให้เราตักอาหารใส่ปาก เราไม่เอาช้อนตักอาหารใส่ปาก อาหารจะเข้าปากเราไหม ทำจริง ๆ ปฏิบัติจริง ๆ เหมือนที่หลวงพ่อบอก ทำจริงก็ได้ของจริงไป ทำเล่นก็ได้ของเล่นไป บุญกรรมมีจริง ดิฉันและสามีเชื่อ ๑๐๐% หนังสือธรรมะ เทปธรรมะทุกตลับถ้ามีโอกาสอ่าน ฟังและศึกษา แล้วท่านปฏิบัติตาม ชีวิตท่านชาตินี้จะมีความสุขตลอดจนภพต่อไปอีก หลวงพ่อบอกว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ดิฉันได้มารู้จากการปฏิบัติธรรมจริงจังตามหลวงพ่อนี่แหละ

       บางครั้งดิฉันไปนั่งคอยท่านนาน ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร เวลาเท่าไรก็คอยได้ แต่บางคนไม่เคยเห็นหลวงพ่อเลย จะมากราบท่าน แต่บอกว่ากว่าท่านลงมาคงจะนาน ดิฉันอยากให้เขาเห็นหลวงพ่อ บอกให้เขาคอย เขาก็ไม่คอย มันก็เหลือวิสัยที่เขายังมีกรรมอยู่ การไปกราบหลวงพ่อแต่ละครั้ง ไม่จำเป็นต้องพูดกับหลวงพ่อหรอก ไม่จำเป็นต้องไปนั่งข้างหน้าท่าน ท่านเห็นหนอรู้หนอหมด บางครั้งเรานึกคิดอะไร ท่านก็พูดตรงที่เรานึกคิด นั่งอยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้ได้ยินเสียงท่านเถิด บางคนรีบกลับ บอกว่าท่านไม่พูดด้วย น่าสงสารแท้ ๆ ที่ไม่ทันรู้จักหลวงพ่อจริง ๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันตั้งใจจะไปกราบท่านตอนบ่ายโมง พอไปถึงยังไม่ ๕ โมงเช้าดี ก็เห็นหลวงพ่อท่านนั่งรับรองลูกศิษย์อยู่ ดิฉันกับสามีรีบเข้าไปกราบท่าน ได้ยินว่าอีก ๕ นาทีหลวงพ่อจะขึ้นฉันเพล ดิฉันถวายของ กราบท่านแล้วรีบถอยออกมา แล้วไปรับประทานข้าวที่โรงทานของหลวงพ่อ รับประทานข้าวจนเสร็จเดินผ่านมาเห็นหลวงพ่อยังคุยอยู่กับลูกศิษย์อีกมากมาย เข้าไปใกล้คนที่นั่งอยู่ด้านนอก ถามว่าหลวงพ่อได้ขึ้นไปฉันเพลหรือไม่ เขาก็ตอบว่าไม่ได้ฉันเลย เป็นอันว่าวันนั้นหลวงพ่อไม่ได้ฉันเพลเลย หลวงพ่อเสียสละมากเหลือเกิน

       ด้วยความเมตตากรุณาที่หลวงพ่อมีให้ลูกศิษย์ทุก ๆ คน โดยที่ท่านไม่ได้เลือกตัวบุคคลเลย ขอให้ผลที่หลวงพ่อเมตตาให้ลูกศิษย์จงย้อนกลับไปให้หลวงพ่อได้อยู่เป็นร่มโพธิ์ใหญ่ในพระพุทธศาสนา เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกศิษย์ให้นานเท่านานด้วยเถิดเจ้าค่ะ

ด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงสุด