หลวงพ่อจรัญที่ข้าพเจ้ารู้จัก
โดย.....พันเอกหญิง วาสุณี อนันตรพีระ
R16005
ข้าพเจ้ามองร่างพระภิกษุซึ่งนั่งพับเพียบหลังตรงอยู่บนตั่งตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ น้ำตาซึมออกมาคลอตาทั้ง ๒ ข้าง หลวงพ่อจรัญท่านเมตตารับมาเป็นองค์บรรยายธรรมะในหัวข้อ สร้างเกราะคุ้มใจ ห้องภัยยาเสพติด ให้กับกรมการทหารช่าง ในโอกาสที่กรมการทหารช่างจัดนิทรรศการต่อต้านยาเสพติดโลก ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นกิจกรรมในโครงการ สร้างเกราะคุ้มใจ ปัองภัยยาเสพติด อันเป็นชื่อเดียวกับหัวข้อบรรยายนั่นเอง โดยมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าโครงการ นับว่าเป็นความกรุณาอย่างหาที่เปรียบมิได้ จากประวัติของแผนกอนุศาสนาจารย์ กรมการทหารช่าง พบว่าหลวงพ่อเคยรับนิมนต์มาบรรยายธรรมะที่กรมการทหารช่างครั้งหนึ่ง เมื่อปี ๒๕๒๒ หลังจากที่ท่านประสบอุบัติเหตุรถชนคอหักประมาณ ๑ ปี ซึ่งในสมัยนั้น อนุศาสนาจารย์ที่เป็นผู้นิมนต์มาคือ ร้อยเอก เลื่อน สุนทรเศวต หลวงพ่อเล่าว่า คนมาฟังบรรยายและรับแจกเหรียญคอหักของหลวงพ่อเกือบหมื่น เรียกว่าเคาน์เตอร์ที่นั่งแจกเหรียญพังเลยก็ว่าได้ มาในครั้งที่ ๒ คือ ครั้งนี้ ห่างจากครั้งแรก ๒๒ ปี ซึ่งหลวงพ่อบอกว่า ถ้าไม่ใช่วาสุณี ก็จะไม่มา เพราะไกลมาก ข้าพเจ้าได้แต่ซาบซึ้งในความกรุณาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง วันนั้นหลวงพ่อไม่สบายเลย เสียงไม่มี และทราบจากลูกศิษย์ที่วัดว่า หลวงพ่อท่านอาพาธมาก่อนหน้านี้แล้ว
แวบแรกที่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าตกใจมาก
เพราะองค์ท่านซูบผอม
และเท้าบวมจากการนั่งรถทางไกลหลายชั่วโมง ไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือบาปกันแน่ ที่นิมนต์หลวงพ่อมา
ดูเหมือนเป็นการทรมานครูบาอาจารย์มากกว่า แต่หลวงพ่อรับปากลูกศิษย์แล้ว หลวงพ่อไม่อยากให้ลูกศิษย์ผิดหวัง
ท่านจึงฝืนสังขารมาโปรดชาวราชบุรีถึงที่ เมื่อนิมนต์ท่านมาแล้วข้าพเจ้าถือโอกาสถวายอาหารเพลที่บ้านด้วยเลย ซึ่งท่านยังนำขนมเปี๊ยะอินทร์บุรีมาฝากด้วย
ลูกศิษย์ของหลวงพ่อจะรู้ดีว่าหลวงพ่อไปที่ใดก็ตามท่านจะมีของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยเสมอ
นับว่าเป็นบุญของครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติธรรม และหลวงพ่อรับเป็นลูกศิษย์ ข้าพเจ้ามีแต่สิ่งดีงามเกิดขึ้นในชีวิตมากมายสำหรับเรื่องของสุขภาพที่ป่วยเป็นมะเร็ง เป็นผลจากกรรมของข้าพเจ้าเอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้บารมีแผ่เมตตาจากหลวงพ่อจึงทำให้หายได้ หลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี มีความกตัญญูรู้คุณ และมีความอดทนอดกลั้นเป็นที่สุด เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังหลวงพ่อเล่าด้วยตนเองบ้าง จากลูกศิษย์ลูกหาหลายๆ
คนบ้างจากหนังสือที่ลูกศิษย์เขียนถึงหลวงพ่อบ้าง และที่สำคัญ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ด้วยตนเองก็มี
หากสังเกตให้ดีหลวงพ่อจะกล่าวถึงครูบาอาจารย์ ด้วยความเคารพบูชา
ไม่ว่าจะพูดถึงหลวงพ่อเดิม
ซึ่งสอนวิชาคชศาสตร์ให้หลวงพ่อจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในช่วงเดินธุดงค์ในป่า หลวงพ่อจง วัดหน้าต่าง
ซึ่งหลวงพ่อได้เรียนวิชาหุงน้ำมันจากท่าน หรือการแผ่เมตตาโดยให้คนเขียนชื่อนามสกุลลงในบาตร
การให้พระซึ่งควรให้กับผู้ที่มีศรัทธาต่อครูบาอาจารย์ อย่างแท้จริงก็ได้จากหลวงพ่อสด
เป็นต้น
ความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อครั้งสำคัญ คือเมื่อครั้งที่พระพิมลธรรม(วัดมหาธาตุ) ถูกกล่าวหาจากรัฐบาลในสมัยนั้นว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และบังคับให้ท่านสึกจากความเป็นพระ ได้เคยมีตำรวจมาที่วัดอัมพวัน พบรูปพระพิมลธรรม ซึ่งหลวงพ่อนับถือเป็นอาจารย์องค์หนึ่งตั้งวางไว้ เขาบังคับให้ปลดรูปลงมิฉะนั้น จะถือว่าหลวงพ่อทำผิดด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็ไม่ยอมให้ปลด แล้วสุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ในส่วนของบุพการีนั้น แม้จะอยู่ในเพศบรรพชิต หลวงพ่อท่านก็ได้ดูแลคุณแม่ของท่าน อย่างดีจนกระทั่งตายจากไปเมื่ออายุได้ ๑๐๑ ปี
นับเป็นความกตัญญูอย่างสูงสุด
แม้แต่ในเหตุการณ์ต่างๆ
ท่านผ่านมาในชีวิตหลวงพ่อจะจดจำได้แม่น และไม่เคยลืมใครที่มีบุญคุณกับท่านเลย ขนาดที่ท่านถูกพระและลูกศิษย์ที่วัดโตนด รุมทำร้าย และนายหมั่นช่วยไว้ เวลาจะผ่านมานานแค่ไหนก็ตามท่านไม่เคยลืม
เมื่อมีโอกาสก็ได้ตอบแทนในรุ่นลูกของเขาจนได้ ในส่วนของความอดทนอดกลั้นนั้น ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาตนเองบ่อยๆ ส่วนมากจะเป็นวันสำคัญของหลวงพ่อ เช่น
งานวันเกิด หรือวันปีใหม่
ซึ่งหลวงพ่อจะแจกหนังสือหรือเหรียญให้ลูกศิษย์ เวลาแจกแต่ละครั้งลูกศิษย์ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะรักหลวงพ่อน้อยกว่าความโลภของตนเอง เพราะเจ้าหน้าที่เขาก็ประกาศอยู่ปาวๆ
ว่า ให้ทุกคนลุกขึ้นยืนเป็นแถว แล้วเดินทยอยกันออกมารับ
แล้วเขาจะเริ่มแจกจากคนที่มาหาที่นั่งคอยในศาลาไปก่อน เพื่อจะได้ไม่คับคั่ง ซึ่งก็ยุติธรรมดีแล้ว เพราะคนพวกนี้เขารีบมาก่อน แล้วมานั่งคอยในศาลาทนเมื่อย นั่งรอเป็นเวลา ๕-๖ ชั่วโมง กว่าจะได้รับแจก
แต่ปรากฏว่าคนภายนอกมักจะเดินเข้ามาด้านหลังแล้วตีแถวโอบด้านข้าง ล้อมพวกที่นั่งรอในศาลาไว้
พอถึงเวลาแจกของก็จะเริ่มพรูออกไปทั้ง ๒ ข้าง แล้วยืนออแน่นกันอยู่ด้านหน้า บางครั้งแทบจะทำให้หลวงพ่อเป็นลม เพราะไม่มีอากาศหายใจ
แต่หลวงพ่อก็ทนนิ่งเฉยไม่กล่าวคำตำหนิใครเลย ข้าพเจ้าเห็นแล้วสงสารหลวงพ่อเหลือเกิน สภาพเช่นนี้ทำให้นึกถึงคำพูดที่หลวงพ่อเทศน์ให้พวกเราฟังว่า ความขลังของอาจารย์ คือ ความคลั่งของลูกศิษย์ ก็เป็นจริงเหมือนที่หลวงพ่อว่านั่นแหละ
คนที่ลุกฮือขึ้นไปเหล่านั้นเหมือนคนบ้าคลั่ง ทำไมไม่คิดว่าหลวงพ่อท่านเหนื่อยกว่าพวกเราหลายเท่านัก อายุท่านก็มากแล้ว ในวันสำคัญต่างๆ เหล่านี้ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ
(บางครั้งดึกดื่น โดยเฉพาะช่วงปีใหม่
จะถึง ตี ๓ - ตี ๔) ท่านไม่เคยได้พัก
ฉันเช้าแล้วลงมารับแจก
ซึ่งวนเวียนกันมาวันละ ๒ รอบ (เช้า บ่าย)
พอรับแขกกลับขึ้นไป
ลูกศิษย์ก็จะมาปรึกษางานบ้าง
มีแขกทางโทรศัพท์บ้าง
บางครั้งงานหนังสือหรืองานบริหาร ในฐานะเจ้าคณะจังหวัด และเจ้าอาวาสก็มีมากมาย ทำไม่เคยทันเลย พอลงมาที่ศาลาก็ต้องสวดมนตร์ให้พรลูกศิษย์กับญาติโยมอีก เหนื่อยแสนสาหัส
พอถึงเวลาแจกของท่านควรจะได้เห็นลูกศิษย์ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้ามากราบท่านและรับของไป
กลับกลายเป็นว่าเห็นลูกศิษย์วิ่งแย่งกันเข้ามาไม่เป็นแถวเป็นแนวอย่างที่ควรจะเป็นเลย หลวงพ่อท่านจะสะเทือนใจแค่ไหน ท่านอุตสาห์อบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์เป็นคนดี รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักเสียสละ ที่สำคัญท่านชอบให้ทุกคนมีสติ แล้วเป็นอย่างไร ทุกคนที่ข้าพเจ้าเห็นเหมือนคนไร้สติ ต้องขออภัยหากท่านคิดว่าข้าพเจ้ามาตำหนิติเตียนว่ากล่าว
ความจริงก็คือเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน ถ้าเรารักกันก็ต้องเตือนกัน
หลายคนที่ข่าพเจ้าสังเกตว่าเขาร้องไห้เนื่องจากว่าเขารอนานกว่าจะได้เข้ามากราบ และรับของจากหลวงพ่อ แต่คิดในมุมกลับบ้างเถิดว่า พวกเรามารอนานแค่ไหนก็ตาม เราก็ได้กินอิ่ม นั่งสบาย นอนสบาย
อยากเหยียดแข้งเหยียดขา
ลุกเดินไปไหนก็ได้ ปวดท้องเข้าห้องน้ำเมื่อไรก็ลุกไปเข้าได้
แต่หลวงพ่อนั้นตั้งแต่ขึ้นนั่งบนศาลาแล้ว ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง
หลวงพ่อไม่เคยขยับ
ไม่เคยได้ลุกเข้าห้องน้ำหรือเหยียดแข้งเหยียดขาเลย ท่านจะนั่งพับเพียบอยู่ในท่าเดิม
ตลอดเวลาและท่านก็ไม่เคยแสดงความเบื่อหน่ายลูกศิษย์ หรือญาติโยมด้วย พวกเราควรดูท่านเป็นตัวอย่าง และทำให้ได้ อดทนได้ได้เพียง
๑ ใน ๑๐๐ ของท่านก็พอแล้ว
บางครั้งลูกศิษย์จะพูดอะไร
ทำอะไรให้หลวงพ่อเสียหายท่านก็นิ่งเฉย จนบางคนเคยคิดว่าหลวงพ่อใจดี นึกจะพูดแซวหลวงพ่ออย่างไรก็ได้ ถ้าทุกคนคิดสักนิดก็จะรู้ว่าหลวงพ่อของเรานั้นท่าน รู้ ทุกอย่าง
อย่าว่าแต่เราทำหรือพูดออกไปเลย
แค่เพียง คิด ท่านก็รับรู้ได้แล้ว ที่ไม่ตำหนิติเตียนใคร เพราะหลวงพ่อเป็นพระดี มีเมตตา ท่านให้อภัยในความไม่รู้ของลูกศิษย์เสมอ แต่เราจะเป็น ผู้ไม่รู้ อยู่ตลอดเวลาเชียวหรือ
หลายคนมาฝึกปฏิบัติธรรมหลายครั้งแล้ว ต้องให้ได้ประโยชน์
ต้องเกิดผลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้นบ้าง หลวงพ่อมีความมุ่งมั่นในการสั่งสอนศิษย์ ท่านจะพูดย้ำซ้ำซากในเรื่องเดิมๆ บ่อยมาก จนมีบางคนมาพูดว่า
หลวงพ่อพูดอะไรซ้ำๆ อยู่เสมอ คนเหล่านี้คิดบ้างไหมว่า
ขนาดหลวงพ่อพูดย้ำซ้ำซากในเรื่องเดิมๆ เช่น
สอนให้ พ่อ แม่
เป็นตัวอย่างที่ดี
แก่ลูกสอนให้พ่อแม่อย่าทะเลาะกันให้ลูกเห็น สอนให้ใช้สติในการแก้ปัญหา ครอบครัว
สอนให้สวดมนตร์
แผ่เมตตา นั่งกรรมฐาน ซึ่งหลวงพ่อสอนมาเป็น ๑๐ - ๒๐ ปี แล้ว
แต่ทุกคน
ก็ยังทำตามไม่ได้
ถ้าพูดแค่ครั้ง ๒ ครั้ง จะมิยิ่งแย่หรือ
สำหรับข้าพเจ้าเองนั้น
ฟังหลวงพ่อทุกครั้ง
หลวงพ่อก็พูดเหมือนเดิม
แต่ข้าพเจ้าจะได้ข้อคิดใหม่ๆ
มาทุกครั้ง บางคนฟังครั้งแรกยังตีความไม่เป็น พอฟังไป หลายครั้งเข้าก็เกิดความเข้าใจมากขึ้น
ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่บารมีของแต่ละคนที่สร้างมา
ข้าพเจ้าเป็นคนที่เรียกว่าเชื่อมั่นในตนเองสูง การที่ใครจะชักจูงให้คล้อยตามนั้นยากมาก
คนที่รู้จักและใกล้ชิดข้าพเจ้าจะรู้ดี เมื่อแรกที่มาวัดและปฏิบัติก็พบและเห็นอะไรด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เชื่อ ยิ่งตอนอ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ
ยิ่งมีความรู้สึกว่าเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่
เพราะทุกคนเหมือนจะพรรณนาถึงความวิเศษของการปฏิบัติธรรม และคุณวิเศษของหลวงพ่อมากมาย
ต่อเมื่อได้ปฏิบัตินานเข้าได้รู้ได้เห็นอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะพลังแห่งความเมตตา และบารมีแห่งความดีของหลวงพ่อ ถึงวันนี้ข้าพเจ้าไม่แปลกใจอีกแล้ว
จะมีก็แต่พยายามหาทางตอบแทนคุณความดีของหลวงพ่อ และพระศาสนาเท่านั้นเอง
หลวงพ่อเป็นอาจารย์ที่รักและห่วงลูกศิษย์มาก ท่านจะยกย่องลูกศิษย์เสมอเมื่อมีโอกาส (นั่นหมายถึงลูกศิษย์ดี หากเป็นลูกศิษย์ไม่ดี ท่านก็คงต้องเอามาพูดเพื่อไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง) มาในระยะหลังๆ นี้
ข้าพเจ้าสังเกตว่าหลวงพ่อเหนื่อยมาก
บางครั้งดูท่าทางท้อถอยอยู่ลึกๆ
แต่หลวงพ่อก็ยังต่อสู้ทั้งกับงานและความร่วงโรยของสังขาร
เพื่อเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้กับลูกศิษย์ต่อไป เมื่อครั้งที่หลวงพ่อมาบรรยายพิเศษที่ราชบุรี ซึ่งท่านขาบวมและเหนื่อยมากจนข้าพเจ้าสังเกตเห็น และนำมาปรารภให้เพื่อนนายทหารคนหนึ่งฟังว่า
ข้าพเจ้าคิดผิดหรือถูกันแน่ที่นิมนต์ครูบาอาจารย์ให้มาลำบาก เขาตอบว่า หลวงพ่อเปรียบเสมือนเรือที่ใช้งานมานานแล้ว เราควรบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี และเก็บไว้ชื่นชม
หากนำมาใช้งานไม่นานก็จะผุพังไม่เหลือเลย ข้าพเจ้าร้องไห้กับคำพูดนี้ จริงซินะ ถ้าหลวงพ่อยังอยู่เป็นมิ่งขวัญให้พวกเราไหว้ เราก็ชื่อใจแล้ว ถ้าพวกเรารบกวนหลวงพ่อ นิมนต์ให้ท่านเดินทางไปทางโน้นทีทางนี้นี้ที ท่านไม่มีเวลาได้พักผ่อน วันหนึ่งสังขารท่านก็ทรุด ทำไมเราไม่มาหาและกราบท่านที่นี่ ที่วัดอัมพวัน หรือหากมีภารกิจก็ขอให้มีเท่าที่จำเป็น ท่านจะได้อยู่กับพวกเรานานๆ เล่า ข้าพเจ้าอยากจะบอกพวกเราว่า ปีนี้หลวงพ่อมีอายุ ๗๓ ย่างเข้าปีที่
๗๔ แล้ว ท่าน ตรากตรำกับงานมามากมายนัก ลำพังกับแจกทุกวัน ๆ ละ ๒ รอบ
และขึ้นศาลาเพื่อให้กรรมฐาน
หรือรับการลาจากคณะปฏิบัติธรรม
แต่ละคณะนั้นท่านก็เหนื่อยเหลือเกินแล้ว เราทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ควรร่วมกันทำความดี เร่งสวดมนตร์ไหว้พระ ปฏิบัติกรรมฐาน ตามที่หลวงพ่อสอน เพื่อมิให้หลวงพ่อต้องห่วงใยพวกเรามากนัก ทุกวันนี้หลายคนยังทำตัวเป็นภาระให้ต้องห่วง
เพราะมาหาหลวงพ่อเพื่อให้หลวงพ่อช่วย โดยไม่คิดจะช่วยตัวเองเลย ในแต่ละคืนกว่าหลวงพ่อจะได้พักผ่อนก็ดึกมาก
เท่าที่รู้ท่านจะสรงน้ำราว ๕
ทุ่มกว่า จากนั้นนั่งเขียนหนังสือหรือรับโทรศัพท์จากลูกศิษย์ที่มีปัญหาโทรมาปรึกษา นอกจากนั้นยังต้องแผ่เมตตาให้กับลูกศิษย์ทุกคน ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะพักราวตี ๒ ล่วงไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นช่วงเข้าพรรษาก็จะตื่นมานำพระทำวัตรเช้าในโบสถ์ตอนตี
๓ ซึ่งแสดงว่า หลวงพ่อมีเวลาพักประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง เท่านั้น ลองนึกดูว่าคนที่อายุ ๒๐๓๐ ปี ยังแย่เลย แล้วหลวงพ่ออายุ ๗๔ ท่านอยู่ได้อย่างไร
แม้เราทุกคนคิดว่าหลวงพ่อเก่ง
หลวงพ่อพิเศษกว่าคนอื่น แต่สังขารของหลวงพ่อก็ไม่แตกต่างจากพวกเราเลย ฉะนั้นทุกคนควรช่วยหลวงพ่อด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อ และประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี ให้ท่านได้ชื่นใจ จะได้มีกำลังใจสู้ต่อไป ทุกวันนี้เหตุการณ์บ้านเมืองมีแต่ปัญหารุมเร้า
มากมาย บางอย่างลามปามเข้ามาถึงศาสนาด้วย หากเราไม่ช่วยกันจรรโลงพระศาสนาไว้ วันหนึ่งวัดของเราก็ไม่เหลือ หลวงพ่อก็จะไม่อยู่กับพวกเรา แล้วพวกเราจะทำอย่างไร
ขอฝากข้อเขียนนี้ไว้เตือนใจพวกเราทุกคน มิให้ประมาท จงเร่งทำความดีเพื่อชดใช้หนี้กรรมให้หมด อย่าให้เหลือไปถึงชาติต่อๆ ไปเลย หลวงพ่อเตือนพวกเรามานานแล้ว
สุดท้ายนี้ลูกของอาราธนาบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบารมีแห่งคุณความดีที่หลวงพ่อบำเพ็ญมา ได้โปรดเป็นปัจจัยให้หลวงพ่อมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงมีอายุยืนยาว เพื่อเป็นมิ่งขวัญของลูกศิษย์ต่อไป
(พันเอกหญิง วาสุณี อนันตรพีระ)
กองวิทยาการ กรมการทหารช่าง
ค่ายภาณุรังษี อ.เมือง จ.ราชบุรี ๗๐๐๐๐