ปฏิบัติธรรมทำให้หายจากโรค
โดย นางสมจิตร์ กาญจนกุล
R16011
ดิฉันอายุ ๕๐ ปี เรียนจบ ป.๔ มีอาชีพรับตัดเย็บเสื้อผ้า สามีอายุ ๖๐ ปี เรียนจบ ป.๓ อาชีพขับรถแท็กซี่ มีลูกสาว ๒ คน
ดิฉันรู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อจรัญ จากการที่ได้อ่านหนังสือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเล่ม ๑ และ ๒ อ่านจบแล้วรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก คิดว่าสักวันจะต้องไปกราบนมัสการหลวงพ่อให้ได้ ดิฉันสนใจที่เรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ดิฉันได้ไปวัดอัมพวันปลายปี ๒๕๔๑ ดิฉันไปนั่งรอกราบนมัสการหลวงพ่อที่กฏิหลังเก่า มีคนจำนวนมากนั่งรออยู่เช่นกัน ดิฉันนั่งอยู่สักพักหลวงพ่อก็ลงมา ดิฉันเห็นหลวงพ่อครั้งแรกก็รู้สึกปลื้มปีติดีใจจนน้ำตาไหล วันนั้นหลวงพ่อให้หนังสือสวดมนตร์กับทุกๆ คน ดิฉันก็นำมาสวดทุกคืนก่อนนอนไม่เคยขาด ดิฉันอ่านหนังสือไม่ค่อยคล่องนัก บางคำที่อ่านไม่ออกก็ถามลูกสาวจน ปัจจุบันนี้สามารถสวดได้โดยไม่ต้องอ่านจากหนังสือสวดมนตร์แล้ว หลับตาสวดมนตร์ก็เห็นเป็นตัวหนังสือ ดิฉันไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานวัดอัมพวัน เมื่อต้นปี ๒๕๔๒ พร้อมด้วยลูกสาวคนเล็ก ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ ดิฉันไปคนเดียว ๗ วัน ในวันที่ ๓ ตอนช่วงบ่าย ขณะที่ดิฉันกำลังนั่งสมาธิ ครูผู้สอนก็ให้นั่งสมาธิคนละ ชั่วโมงครึ่ง ชั่วโมงแรก ดิฉันปวดมาก ดิฉันรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างหนักมากขยับเขยื้อนไม่ได้ ปวดหัวเข่าจนน้ำตาไหล อยากจะขยับขาก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรมาทับขาอยู่ พอดีดิฉันนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อ ตายให้มันตายไป มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ดิฉันจึงไม่ไปสนใจกับการปวดนั้นอีก มาให้ความสนใจในลมหายใจของตนเองกับการกำหนดยุบหนอพองหนอแทน สักพักจึงรู้สึกดีขึ้นคลายอาการปวดลงไป ดิฉันเห็นผู้หญิงกำลังเอามีดเชือดคอไก่อยู่โดยมีเด็กผู้ชายจับตัวไก่และคอไก่ไว้ ให้เด็กหญิงเชือดคอ เด็กผู้ชายบอกเชือดคอหอยให้ขาดไม่งั้นมันไม่ตาย เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือตัวดิฉันเองและเด็กผู้ชายคนนั้นก็คือพี่ชายของดิฉันนั่นเอง ดิฉันจำได้ว่าตอนนั้น พ่อดิฉันเสียไปแล้ว ซึ่งตามปกติแล้วในเทศกาลตรุษจีนนั้นพ่อของดิฉันจะเป็นคนฆ่าไก่เพื่อนำมาไหว้ ดังนั้นแม่จึงใช้ให้ดิฉันกับพี่ชายไปฆ่าไก่เพื่อนำมาไหว้แทน ดิฉันก็ฆ่าไก่ในปีนั้นปีเดียว หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่ทำอีกเลย เพราะดิฉันกลัว มันเป็นภาพที่ติดตาดิฉันมากเพราะกว่าที่ไก่จะตายนั้นมันดิ้นทุรนทุรายมาก เมื่ออกจากสมาธิดิฉันก็อุทิศส่วนกุศลให้กับไก่ตัวนั้น ดิฉันจะต้องแผ่บุญกุศลไปให้ไก่ตัวนั้นทุกครั้งที่ออกจากสมาธิ
ทุกวันนี้ดิฉันหายจากโรคที่ดิฉันเป็นมาเกือบ ๓๐ ปี คือโรคเจ็บคอในเวลากลางคืนกับโรคกระเพาะ ซึ่งดิฉันได้ไปรักษาเกือบทุกโรงพยาบาลในกรุงเทพ ทั้งต้องกลืนกินแป้งเพื่อเอกซเรย์กระเพาะ อัลตร้าซาวน์ ส่องกล้องดูในกระเพาะ และต้องกินยาตลอดทั้งน้ำและเม็ดเวลาที่เกิดอาการปวดท้อง ส่วนอาการเจ็บคอในเวลากลางคืนนั้นทรมานมาก บางครั้งปวดมากจนต้องไปทำการรักษาด้วยการฉีดยา แต่นับตั้งแต่ดิฉันไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันมา ๑๗๑๘ ครั้ง ไม่รู้ว่าโรคเหล่านี้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ดิฉันไม่เคยคิดว่าการไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะทำให้หายจากโรคได้ ไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้เลย ที่ดิฉันมาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันเพราะดิฉันมีความเลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อเป็นอย่างมาก กระว่าจะไปเพื่อทำให้จิตใจสบายขึ้น ดิฉันเป็นคนที่ใจร้อนมาก ลูกทำอะไรผิดเป็นต้องตี สามีทำอะไรไม่ถูกใจก็โกรธ บางครั้งโกรธลูกโกรธสามีเป็นสัปดาห์กว่าจะพูดกันอีก พอได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกลับเป็นคนใจเย็น ถึงบางครั้งจะโกรธบ้างแต่เพียงช่วงเวลาไม่นานนักก็จะหาย ส่วนลูกสาวคนเล็กตั้งแต่ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๗-๘ ครั้ง ปัจจุบันนี้การเรียนดีขึ้น เมื่อก่อนลูกสาวคนเล็กเรียนอ่อนมาก แต่ขณะนี้สอบได้เกรด ๓ กว่าทุกครั้งในแต่ละเทอมจนเพื่อนๆ แปลกใจ ส่วนลูกสาวคนโตก็ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเหมือนกัน และหลวงพ่อก็ช่วยแผ่เมตตาให้สอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ครอบครัวของดิฉันสวดมนตร์กันทุกคืน สามีดิฉันขับรถแท็กซี่กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ต้องสวดมนตร์ก่อนทุกครั้ง ไม่ว่าจะกลับดกดื่นแค่ไหนก็ตาม เมื่อก่อนสามีดิฉันไม่ยอมสวดมนตร์ เขาบอกว่าเรื่องอย่างนี้อยู่ที่ใจ ตอนหลังเขาก็นำไปปฏิบัติ และก็สวดมนตร์ทุกเช้าก่อนไปขับรถ ตั้งแต่สามีดิฉันสวดมนตร์ก็ขับรถมีรายได้ดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ฐานะทางบ้านก็ไม่ดีนักแต่ดิฉันกับสามีพยายามที่จะส่งลูกให้เรียนได้สูงที่สุดเท่าที่กำลังของดิฉันและสามีจะทำได้ เพราะดิฉันกับสามีเรียนมาน้อยจึงอยากจะให้ลูกเรียนให้สูงๆ เพื่อจะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อกับแม่ ตอนที่ดิฉันยังไม่ได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครอบครัวของดิฉันลำบากมากทำงานหามรุ่งหามค่ำเงินก็ไม่พอใช้จ่าย เงินหาได้ก็เอาไปเป็นค่ารักษาตัวหมด และค่าเทอมลูก บางครั้งต้องเอาของไปจำนำ เวลาที่มีคนมาเรี่ยไรเงินไปทำบุญทอดกฐินผ้าป่า ก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ได้มีจิตศรัทธาอะไร บางครั้งทำไปแล้วยังนึกเสียดาย แต่เมื่อดิฉันมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานความรู้สึกเหล่านี้ก็ไม่มีเหลืออยู่อีก มีแต่อยากจะทำบุญอยากจะให้ อยากจะช่วยคนที่ลำบากกว่าเรา ตอนนี้ครอบครัวดิฉันมีความสุขมาก ถึงจะไม่รวยเหมือนครอบครัวอื่นๆ
ก่อนนอนทุกคืนดิฉันต้องสวดมนตร์และเดินจงกรม นั่งสมาธิมากน้อยแล้วแต่เวลาจะอำนวย เพราะดิฉันได้รู้สึกได้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองแล้วว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นให้อะไรกับชีวิตดิฉันได้มากมายนัก และดิฉันจะไม่ลืมในพระเดชพระคุณของหลวงพ่อ ที่ทำให้ดิฉันได้รู้จักกับทางสว่างแห่งชีวิตของดิฉันและครอบครัว
( นางสมจิตร์ กาญจนกุล )
๙๓/๓๔ ม.๔ ศิริวัฒนา ๒
ตำบลบางศรีเมือง
อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
โทรศัพท์ ๐๒๔๔๖๓๒๔๖