อานิสงส์การสวดมนต์

โดย…..อรนิช ตระการพฤกษ์

R16012

ดิฉันชื่อเดิมคือ ทัม ชุยโต เป็นชาวมาเลเซีย อายุ ๓๙ ปี  มีบุตร ๒ คน โดยเป็นชาย ๑ และหญิง ๑ ดิฉันได้แต่งงานเมื่ออายุ ๒๗ ปีกับสามีชาวไทยและได้ย้ายมาอยู่ใน ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.. ๒๕๓๒  พ่อแม่ดิฉันเป็นชาวจีนกวางตุ้ง นับถือศาสนาพุทธ พักอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตอนที่ดิฉันยังอยู่ที่มาเลเซียนั้น ขณะนั้นอายุประมาณ ๑๖ ปี ดิฉันได้ตามแม่ดิฉันไปที่วัดพุทธเสมอ โดยแม่ดิฉันได้สอนให้ไหว้พระและสวดมนตร์ ซึ่งขณะนั้น แม่ดิฉันนับถือเจ้าแม่กวนอิมตามแบบอย่างชาวจีนโดยส่วนมาก และได้มีโอกาสเข้ากราบ นมัสการหลวงพ่อซวนฮั่ว ซึ่งเป็นพระชาวจีนที่พำนักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้ เดินทางมาประเทศมาเลเซียในปี พ.. ๒๕๓๕ หลังจากที่ดิฉันได้เข้ากราบนมัสการและรับศีล แล้ว ดิฉันก็ได้สวดมนตร์ตามแบบจีนเสมอมา

ดิฉันได้พบกับสามีครั้งแรกในปี พ.. ๒๕๓๐ ซึ่งดิฉันและเพื่อนได้มาเที่ยวประเทศไทย เป็นครั้งแรก และได้พบกับมัคคุเทศก์นำเที่ยว แต่ต่อมาวันที่สองมีเหตุที่จะต้องทำให้มีการ เปลี่ยนตัวมัคคุเทศก์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดิฉันได้พบกับมัคคุเทศก์คนใหม่ ซึ่งต่อมาอีกเกือบ ๓ ปีให้หลังก็ได้แต่งงานกัน นับว่าเป็นเรื่องแปลก โดยดิฉันเชื่อว่าเราทั้งคู่ได้ทำบุญกรรมร่วมกัน มาจึงทำได้ได้พบกันอีกในชาติภพนี้ทั้งที่อยู่ห่างไกลกันคนละประเทศ และก็ได้พบกัน ด้วยความบังเอิญโดยแท้

หลังจากที่ดิฉันได้แต่งงานแล้วก็ได้ย้ายมาอยู่กับสามีในประเทศไทย ซึ่งในตอนแรกดิฉัน ไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยได้เลย แต่โชคดีที่แม่สามีสามารถพูดภาษาจีนกลางได้ จึงสามารถสื่อสารกันได้บ้าง และก็ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับน้อง ๆ ของสามี ดิฉันมีความ สนใจในวัฒนธรรมไทยและภาษาไทย จึงสามารถที่จะฟังและพอพูดภาษาไทยได้บ้าง หลังจาก ที่ได้ย้ายมาประเทศไทยเป็นเวลาประมาณ ๑ ปี ผ่านไป แต่ก็ยังไม่สามารถเขียนหรืออ่าน ภาษาไทยได้เลย ต่อมาดิฉันก็ได้เข้าทำงานในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง โดยทำหน้าที่เป็นพนักงาน บัญชี ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จึงมิได้มีโอกาสเรียนรู้การเขียนหรืออ่าน ภาษาไทย ดิฉันได้ลาออกจากที่ทำงานและเป็นแม่บ้านอยู่ดูแลลูกตั้งแต่ปี ๒๕๔๐

ดิฉันได้รู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อจรัญเป็นครั้งแรกจากสามีดิฉันซี่งได้เข้าปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันครั้งแรกในปี ๒๕๓๕ โดยการชักชวนของเพื่อน และได้ไปปฏิบัติเป็นเวลา   วัน ซึ่งเมื่อสามีกลับมาก็ได้เล่า ประสบการณ์ให้ฟังและชักชวนดิฉันไป แต่ในขณะนั้นดิฉันรู้สึก ไม่พร้อมและรู้สึกกลัวผี จึงยังไม่ได้ไปปฏิบัติ ดิฉันเห็นสามีซื้อหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อ มาอ่านหลายเล่ม แต่ดิฉันก็ไม่สามารถอ่านได้เพราะเป็นภาษาไทย ต่อมาสามีได้ซื้อหนังสือ กฎแห่งกรรมภาคภาษาอังกฤษซึ่งแปลโดยอาจารย์สุจริตรา รณรื่น มาให้ดิฉันอ่านซึ่งหลังจาก อ่านแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งและอยากจะไปที่วัด แต่เนื่องจากในขณะนั้นลูกดิฉันยังเล็ก จึงยังไม่ได้มี โอกาสเดินทางไปกราบหลวงพ่อ อีกทั้งดิฉันยังไม่ประสบกับปัญหาชีวิตก็ไม่รู้สึกรีบร้อนแต่ อย่างใด

ดิฉันและสามีเริ่มมีการทะเลาะกันบ้างในช่วงปี ๒๕๔๓ จากปัญหาครอบครัวนี้ทำให้ดิฉัน กลุ้มใจมาก จึงได้กลับมาอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมภาคภาษาอังกฤษของหลวงพ่ออีกครั้ง แต่ดิฉันก็รู้สึกว่ายังไม่พอ จึงได้ไปยังร้านหนังสือ ซื้อเทปธรรมะของหลวงพ่อมาฟัง และได้โทรไปหาอาจารย์สุจริตราเกี่ยวกับหนังสือกฎแห่งกรรมภาคภาษาอังกฤษของหลวงพ่อ ว่าเมื่อไหร่จะมีเล่ม ๓   เพราะอยากจะอ่านมาก แต่อาจารย์บอกว่ายังแปลไม่เสร็จและแนะนำ ให้อ่านภาคภาษาไทย แต่ดิฉันอ่านไม่ได้  จึงถามวิธีเดินทางไปยังวัดอัมพวัน เนื่องจากดิฉัน ได้แรงบันดาลใจจากเทปธรรมะหลวงพ่อเกิดความรู้สึกอยากไปปฏิบัติกรรมฐาน อาจารย์ สุจริตราก็ได้กรุณาบอกทางและยังแนะนำอีกว่ามีอาจารย์ซูง้อซึ่งเป็นชาวสิงคโปร์ สามารถสอน ดิฉันได้ถ้าดิฉันไม่เข้าใจภาษาไทย ดิฉันได้เดินทางไปยังวัดอัมพวันครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ โดยสามีขับรถไปส่ง แต่สามีมิได้เข้าปฏิบัติด้วย ดิฉันได้เข้าลงทะเบียน และปฏิบัติเป็นเวลา ๓ วัน ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกมีความสุข และมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ไม่คิดฟุ้งซ่าน มีจิตใจเข้มแข็งมั่นคง ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปฏิบัติธรรมที่วัดนั้นเอง

เมื่อกลับมาแล้ว ดิฉันได้สวดมนต์บทสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุง มหากาฯ ตามที่หลวงพ่อสอนโดยตลอดไม่มีขาดทุก ๆ วัน ขณะนั่งรถเดินทางก็สวดและ อธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยดลบันดาลให้ดิฉันสามารถอ่านภาษาไทยได้ เพราะ ดิฉันอยากจะอ่านหนังสือกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อ นับว่าเป็นอานิสงส์โดยแท้ ภายในระยะเวลา ๖ เดือนหลังจากดิฉันเริ่มสวดมนตร์ ดิฉันสามารถอ่านภาษาไทยออกได้เป็นคำ ๆ แต่ยังไม่คล่อง แต่ก็สามารถเข้าใจได้ดี เมื่อเห็นผลแห่งอานิสงส์และความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อและบทสวดมนต์  ดังนั้นแล้วก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ดิฉันปฏิบัติธรรมต่อไป ซึ่งหลังจากการสวดมนตร์ ทุกครั้งดิฉันจะแผ่เมตตาและอธิษฐานจิตต่อหลวงพ่อ ขอให้ดิฉันอ่านภาษาไทยได้ดีเพื่อที่ จะได้สอนการบ้านลูก และขอให้ลูก ๆ เรียนหนังสือได้ดี 

นอกจากนี้ดิฉันยังอยากจะขอยกตัวอย่างของอานิสงส์การสวดมนต์และความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อจรัญเพิ่มเติมดังนี้คือ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๔ สามีของดิฉัน กลับจากที่ทำงาน ดิฉันสังเกตได้ถึงความทุกข์ใจแต่สามีก็ไม่ได้บอกถึงสาเหตุ บอกให้สามี สวดมนต์หรือฟังเทปธรรมะหลวงพ่อ สามีก็ปฏิเสธ ดิฉันจึงได้สวดมนต์แผ่เมตตาในวันนั้น ขอให้สามีพ้นจากทุกข์และฝืนใจปฏิบัติธรรม นับเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เช้าวันต่อมาคือ วันเสาร์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ เวลา ๖.๐๐ น. เมื่อสามีตื่นนอน ได้เรียกให้ดิฉันและลูก ๆ แต่งตัว เพราะจะเดินทางไปกราบหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน โดยในวันนั้นได้มีโอกาสเข้ากราบ หลวงพ่อและฟังธรรม ซึ่งหลวงพ่อได้เทศนาในเรื่องการฝืนใจว่า ถ้าฝืนใจไม่ได้ก็เอาดีไม่ได้ ทำให้ดิฉันรู้สึกแปลกใจยิ่งนักว่า หลวงพ่อเหมือนกับทราบได้จากรู้หนอเห็นหนอของท่าน โดยท่านได้กล่าวย้ำหลายครั้ง โดยหลังจากที่กลับจากวัดอัมพวัน สามีดิฉันก็สบายใจขึ้น แต่ก็ยังมิได้เริ่มสวดมนต์ ดิฉันได้ถามสามีว่าทำไมถึงเกิดอยากจะไปที่วัด ซึ่งสามีตอบว่า ไม่ทราบ เกิดความรู้สึกอยากไป ต่อมาในเดือนกันยายน ๒๕๔๔ สามีเดินทางไปฝึกอบรม ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ ๑๑ กันยายน ขณะที่สามีอยู่ในกรุงวอชิงตันนั้น ได้มีข่าว ผู้ก่อการร้าย โจมตีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันดีซี ดิฉันก็ได้ทราบข่าวจาก โทรทัศน์แต่ไม่ได้ทราบข่าวจากสามี ก็จึงสวดมนตร์ แผ่เมตตาให้ และได้มาทราบภายหลัง ว่าระหว่างเกิดเหตุสามีอยู่ใกล้กับทำเนียบขาวซึ่งใกล้กับกระทรวงกลาโหม แต่ก็มิได้รับอันตรายแต่อย่างใดและได้เดินทางกลับในอีก   อาทิตย์ถัดมา

ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของดิฉัน ดิฉันก็ได้สวดมนตร์แผ่เมตตา ตามปกติ และได้อธิษฐานจิตขอให้หลวงพ่อดลใจให้สามีได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัด  เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจอีกเช่นกัน ในวันที่   พฤศจิกายน สามีเป็นคนชวนดิฉันไปปฏิบัติธรรม ที่วัดเอง โดยได้ไปปฏิบัติกรรมฐานเป็นเวลา   วัน ได้รับความกรุณาจากพระครูสังฆรักษ์ธเนศ อาจารย์พันธ์ทิพย์ และอาจารย์ซูง้อเป็นผู้ให้การอบรมสั่งสอน ซึ่งหลังจากที่สามีกลับจากวัดมา ในวันนั้นก็ได้เริ่มสวดมนตร์ และกลับมาปฏิบัติกรรมฐานที่บ้านเป็นประจำ ทุกวัน

อีกเหตุการณ์หนึ่ง ประมาณวันที่  ๒๐  สิงหาคม ๒๕๔๔ น้าของสามีได้มีปัญหาครอบครัว แก้ไม่ตกคิดจะฆ่าตัวตาย ดิฉันจึงได้โทรไปหาและมอบหนังสือสวดมนต์ให้ ซึ่งในตอนแรก น้าก็ยังไม่ยอมสวด อ้างว่าไม่มีเวลา ดิฉันก็จึงได้แผ่เมตตาให้น้าหลังจากสวดมนตร์ประจำวันแล้ว หลังจากนั้นน้าก็ได้เริ่มสวดมนตร์เองตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา และปัจจุบันนี้ก็ได้ รับทราบจากน้าว่าการสวดมนตร์ทำให้จิตใจสงบ อารมณ์เย็นขึ้น และไม่มีความคิดที่จะฆ่า ตัวตายอีกแล้ว นับว่าเป็นอานิสงส์แห่งการสวดมนต์โดยแท้

ดิฉันต้องขอขอบพระคุณพระเดชพระคุณพระราชสุทธิญาณมงคลเป็นอย่างสูง ถึงแม้ดิฉันจะได้เคยมีโอกาสไปกราบท่านหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้มีโอกาสสนทนากับท่านเลย ก็ได้แต่สวดมนตร์และอธิษฐานจิตถึงท่านขอให้ท่านช่วยเวลาเกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ก็ได้สวดมนตร์แผ่เมตตาตามที่ท่านสอน ดิฉันและสามีรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน ทุกวันนี้ ลูก ๆ ทั้งสองคน เห็นพ่อแม่สวดมนตร์ก็เริ่มสวดมนต์ ก่อนนอนทุกวัน การเรียนก็ดีขึ้นมาก ครอบครัวเราขออธิษฐานให้บุญกุศลที่หลวงพ่อได้สร้างมาโดยตลอดนี้ จงปกปักรักษา หลวงพ่อให้อยู่เป็นมิ่งขวัญแก่ลูกศิษย์ลูกหาตลอดไปด้วยเทอญ

 

 

นางอรนิช  -  นายวิฑูรย์    ตระการพฤกษ์

๓๙/๒๖๑  หมู่บ้านบุศรินทร์

ถนนพระยาสุเรนทร์  เขตคลองสามวา

กรุงเทพมหานคร  ๑๐๕๑๐

โทรศัพท์  –๒๙๑๔–๔๘๘๔,  –๑๘๐๑–๖๒๒๒