เพียงแค่แรงอธิษฐานที่หน้าจอโทรทัศน์

เรียบเรียง  โดย......นายชินวัฒก์  รัตนเสถียร

R16016

            เมื่อวันที่  ๓๐  กันยายน  ๒๕๔๔  เวลาประมาณ บ่ายสองโมง  ที่กุฏิชั่วคราวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็มีโอกาสได้ต้อนรับ  คุณป้าส่องแสง  อมรศักดิ์  อายุ  ๖๓  ปี  กับ คุณป้า หนูเล็ก  หาญสกุล  อายุ ๖๕  ปี  ชาวตำบลท่าศาลา  อำเภอท่าศาลา  จังหวัดนครศรีธรรมราช  เป็นผู้สูงอายุที่เดินทางไกลเป็นครั้งแรกตามลำพังเพียงสองคน  ด้วยความมุ่งมั่น  ด้วยความศรัทธาที่มีต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ  เพียงแค่ประสบการณ์ของตนเองจากหน้าจอโทรทัศน์  เมื่อมาพบหน้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครั้งแรก  และพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สนทนาด้วย  อย่างสนิทสนม  ราวกับว่ารู้จักกันมานานปี  ยังความปลื้มปิติ  จนคุณป้าทั้งสอง  ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตา  แห่งความตื้นตันใจได้  ต่อหน้าประชาชนที่มาฟังธรรม  มาทำบุญถวายปัจจัยหรือสังฆทาน  จำนวนมาก

            คุณป้าส่องแสง  มีลูก    คน  เปิดร้านขายของเล็กๆ  น้อยๆ  อยู่กับบ้าน  ก็มีความสุขตามอัตภาพคุณลุงเสียไปแล้วก็เลยหันมาสนใจเรื่องการสวดมนตร์ไหว้พระ  นั่งสมาธิ  ส่วนคุณป้าหนูเล็ก  มีลูก     คน  แต่อยู่กันสองคนตายาย  ไม่ต้องทำงาน  เพราะลูกๆ  แต่ละคนเลี้ยงดูอย่างดี  คนโน้นให้บ้าง  คนนี้ให้บ้าง  ไม่เดือดร้อนเลย  ดังนั้น  คุณป้าทั้งสองจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำบุญ  สวดมนตร์  และนั่งสมาธิเช่นเดียวกัน  โดยเฉพาะป้าหนูเล็กจะรับเป็นเจ้าภาพกฐินและผ้าป่า ตลอดทั้งปีเลยทีเดียว  และที่ไม่เคยขาดเลยก็คือตักบาตรสม่ำเสมอ หรือไม่ก็ผูกปิ่นโต  ฝากไปถวายพระโดยเฉพาะวันอังคารต้องส่งปิ่นโตถวายพระถึงสองวัด  แต่ถ้าเป็นวันพระจะไปเอง  เรียกว่าสร้างสมบุญทานตลอดมา  ส่วนคุณป้าสองแสง  ก็ตักบาตรเป็นประจำ  เรื่องซองกฐินผ้าป่าก็ไม่ขัด

            รายการ “ชีวิตไม่สิ้นหวัง”  เวลาหกโมงเช้าวันอาทิตย์  ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓  คุณป้า  ทั้งสองติดตามมาโดยตลอดไม่เคยขาด  ประมาณ    ปีแล้ว  เพราะชอบฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อ  สอนธัมมะ  ฟังง่าย  เข้าใจง่าย  มีตัวอย่างชัดเจน

            ในวันที่มากราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ  คุณป้าส่องแสง  ได้หยิบหนังสือสวดมนตร์เล่มเล็กๆ  ของวัดอัมพวัน  ออกมาให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อดู  หนังสือเก่ามาก  หน้าปกก็ขาดไปแล้ว  เรียกว่าใช้งานคุ้มเลย  ซึ่งคุณป้าติดกระเป๋ามาด้วย  และบอกว่าได้รับจากพระที่เคยบวชอยู่วัดอัมพวัน เมื่อหลายปีมาแล้ว

            จากการที่ได้ดู  ได้ฟัง  พระเดชพระคุณหลวงพ่อ  จากรายการดังกล่าว  ทำให้อยากสวดมนตร์  ตามแนวทางที่พระเดชพระคุณนำมาเผยแพร่  คือ  พุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ  พาหุงฯ  มหากาฯ  แล้วก็  พุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่ง  แต่เนื่องจากคุณป้าทั้งสอง  เกิดในชนบท  ซึ่งเมื่ออดีต  ความเจริญต่างๆ  ยังเข้าไปไม่ทั่วถึง  คุณป้าทั้งสองจึงมีโอกาสได้เรียนเพียงแค่  ประถม    เท่านั้น  และยุคสมัยนั้น  สื่อสิ่งพิมพ์ยังไม่แพร่หลาย  บ้านไหนมีวิทยุก็นับว่ามีสตางค์  จะฟังวิทยุก็ต้องใช้ถ่ายไฟฉายเป็นลังๆ   เป็นแหล่งพลังงานให้กับวิทยุ  สถานีที่กระจายเสียงก็หายาก  บางทีรับไม่ได้เลยก็มี  ดังนี้  หลังจากคุณป้าออกจากโรงเรียนแล้ว  แทบไม่มีโอกาสอ่านหนังสือเลย  ความรู้หนังสือเพียงเล็กๆ น้อยๆ  ก็เลยกลับไปอยู่กับครูที่โรงเรียนหมด  ทำให้ไม่สามารถจะอ่านบทสวดมนตร์ ได้ทะลุปรุโปร่ง  คุณป้าส่องแสงกล่าวว่า  แม้แต่คำว่า  “สติ”  ก็ยังอ่านไม่ออก  แต่ก็ใช้ความพยายาม  และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ใครติดสะกดไม่ถูกก็ช่วยกันแนะ

            เมื่อได้ชมรายการโทรทัศน์ดังกล่าวแล้ว  ยิ่งมีความกระตือรือร้น อยากจะมากราบหลวงพ่อทั้งตัวอย่างของบุคคลผู้ได้รับอานิสงส์จากการสวดมนต์บทนี้  ก็เป็นตัวเร่งเร้า  ที่พยายามจะสวดให้ได้  แต่ก็จนใจ  เพราะอ่านบทสวดมนตร์ไม่ค่อยออก  ดังนี้  จึงขออธิษฐานให้หลวงพ่อช่วยทางโทรทัศน์จากรายการ “ชีวิตไม่สิ้นหวัง”  ด้วยการยกมือขึ้นจบ  แล้วอธิษฐานว่า  “หลวงพ่อช่วยด้วย  ลูกจะอ่านอย่างไรได้  ขอให้สวดได้  จะได้ไปวัดเยอะๆ”   เมื่อถามว่าอธิษฐานอะไรอีก  คุณป้าส่องแสงก็บอกว่า  “อธิษฐานให้หลวงพ่อช่วยอย่างเดียว  ช่วยให้อ่านหนังสืออก  ให้สวดมนตร์เป็น”  แล้วถามต่อไปอีกว่า  ใช้เวลานานไหม  คุณป้าตอบว่า  “ก็นานหลายเดือนทีเดียว  ค่อยๆ  รู้ไปทีละเล็กละน้อย”  คุณป้าหนูเล็กก็เช่นเดียวกัน  เมื่อถามว่าได้ผลไหม  คุณป้าทั้งสองก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า  “ได้ผลเยอะเลย”   คุณป้าหนูเล็กใช้เวลากว่าปี  ของคุณป้าส่องแสง ใช้เวลาเกือบปี  และเวลาไปวัดก็ถามกัน  ปรึกษากัน

            ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้  คุณป้าทั้งสองสามารถสวดมนตร์ได้คล่อง  รวมทั้งพระคาถาชินบัญชร  ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์(โต)  พรหมรังสี  ได้อีกด้วย  นอกจากนั้น  ยังสามารถสวดบททำวัตรเช้า  ทำวัตรเย็น  ตลอดจนยอดพระกัณฐ์ พระไตรปิฎก  แต่สองบทหลังนี่ใช้อ่าน  ยังว่าปากเปล่าไม่ได้

            ก่อนมาวัดอัมพวัน  คุณป้าทั้งสองสนใจทั้งการทำบุญและสร้างบุญ  คุณป้าส่องแสงเคยฝึกปฏิบัติกรรมฐาน  ที่วัดเจดีย์หลวง  ปฏิบัติมาได้    ปีแล้ว  ส่วนคุณป้าหนูเล็ก  ฝึกปฏิบัติกรรมฐานที่วัดชายนา  ระยะ ๑๘ วัน บ้าง  เดือนหนึ่งบ้าง  กว่า ๔-๕ ปี  มาแล้ว และก็ชอบตั้งแต่นั้นมา  ก็เลยปฏิบัติเรื่อยมา  ทุกวันนี้ทั้งสองท่านก็ยังคงปฏิบัตินั่งสมาธิ  ซึ่งท่านก็ได้กราบเรียนให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อทราบแล้ว

            คุณป้าส่องแสงเล่าให้ฟังว่า เตรียมตัวมาวัดอัมพวันเป็นปีแล้ว  เดิมทีจะมากันตั้ง    คน  แต่ก็พร้อมกันแค่    คน  ก็อ่านคู่มืออ่านระเบียบของวัด (เล่มสีชมพู)  มาก่อนแล้ว  พวกสาวๆ  ที่เคยมาปฏิบัติ  เอามาให้อ่าน  เมื่อมาถึงวัดใหม่ๆ  ก็งงเหมือนกัน  แต่เมื่ออยู่ไป  ยอมรับว่ามีความสุขมากที่สุด  มากกว่าที่เคยไปมาแล้ว

            “อย่างคืนแรกที่มาถึง  ก็นั่งสวดมนตร์กันตลอด  แล้วก็ทำสมาธิ  ไม่ค่อยได้นอน”  คุณป้าส่องแสงเล่าให้ฟังต่ออีกว่า  ในสมาธินั้น  “ได้เห็นแม่ใหญ่  นั่งยิ้มกับตนเอง แต่ไม่พูดอะไร  (คุณป้าไม่เคยมาวัดแต่เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับแม่ใหญ่ ที่พระวัดอัมพวันนำไปให้)  และได้เห็นหลวงพ่อมายืนดูอยู่  ไม่ได้ว่าอะไร  ยิ้มอย่างเดียว  รุ่งขึ้นตอนเที่ยง  ก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อชอบใจ”  ผมถามย้ำว่าเห็นจริงๆ  หรืออุปาทาน  คุณป้าก็ยืนยัน  เห็นในสมาธิจริงๆ

            เมื่อกลับมาถามเกี่ยวกับการสวดมนตร์  คุณป้าทั้งสองมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า  ที่สวดมนตร์ได้เป็นเพราะหลวงพ่อช่วย  เมื่อถามว่า หลังจากอธิษฐานแล้วเคยฝันเห็นหลวงพ่อบ้างไหม  คุณป้าส่องแสงบอกว่า “ไม่เคย  แต่ทุกคืนจะสวดมนตร์ก่อนนอน  แล้วก็ออกชื่อหลวงพ่อเป็นประจำ ให้หลวงพ่อช่วยด้วย  อย่างนั้นอย่างงี้  เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้   ขอให้หายด้วย  แล้วจะได้มาที่วัด  ก็ได้ผล  หลวงพ่อช่วยให้หายเหอะ  มาในรถก็ยังเจ็บ  พอนั่งรถมาก็มีอาการปวด  ก็บอกว่า  หลวงพ่อช่วยด้วยจะถึงแล้วยังปวดอยู่อีกจะทำอย่างไร  ก็หายแป๊บเลย”   ส่วนคุณป้าหนูเล็กบอว่า  มีแต่เบาหวานอย่างเดียว  เพิ่งทราบว่าดื่มน้ำต้ม  ตะไคร้ตากแห้งรักษาโรคเบาหวานได้

            ก่อนปิดต้นฉบับ  ได้เข้าไปพบคุณป้าทั้งสองอีกครั้ง  เพื่อให้ท่านตรวจสอบความถูกต้องว่าตรงตามความเป็นจริง  ดังที่ได้เรียนถามไว้ก่อนหน้านี้แล้ว  และก็เลยถือโอกาสสอบถามผลความก้าวหน้าในการปฏิบัติ  ที่ผ่านมา  -  วันว่าเป็นอย่างไรบ้าง  คุณป้าส่องแสง ก็ได้กรุณาเล่าประสบการณ์จากการปฏิบัติให้ฟังดังนี้

            “เวลาจะเดินก็ อธิษฐานว่า  หลวงพ่อช่วยดิฉันด้วยนะ  มาแล้วทำให้ดีที่สุดนะคะ  ช่วยด้วยๆ  สะดุดสิ่งที่ชอบนะ  เวลาจะเดิน  หลวงพ่อก็มีเทปมาให้คุณป้านะ  พักหนอๆ        ธรรมดาไม่มีนะ  พักหนอห้าครั้ง  นี่”

            เมื่อคุณป้าส่องแสงกำหนดคำนี้ออกมา  ผมก็สงสัย  จึงถามว่าคุณป้าเคยฝึกที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า  คุณป้าก็ตอบว่า  “ไม่มี  ฝึก  แต่ไม่เคยเดินจงกรม  ไม่เคยกำหนดอย่างนี้”  แล้วคุณป้าส่องแสงก็เล่าต่อไปว่า  “พักหนอเสร็จแล้วก็กำหนด  ยืนหนอๆๆอีกห้าครั้ง  แล้วเวลายืนเฉยๆ  ในหูบอก  ยกหนอๆ ๆ สามครั้ง  ย่างหนอ  เหยียบหนอ  อะไรอย่างนี้  สามครั้งอีก  ไปตามเสียงหลวงพ่อพูดให้ไป”

            ท่านผู้อ่านที่เคยมาปฏิบัติที่วัดอัมพวัน  อาจสงสัยคำภาวนา  เพราะผู้มาใหม่  หรือการปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้า  จะกำหนดเพียงแค่  ยืนหนอ  ขวา-ย่าง-หนอ  ซ้าย-ย่าง-หนอ  แต่จากการกำหนดที่คุณป้าส่องแสงเล่าให้ฟังนั้น  เป็นการกำหนด  ของการเดินจงกรมระยะที่ สาม

            เมื่อซักถามต่อไปคุณป้าส่องแสงก็บอกว่า  “ได้ยินเกือบทุกครั้ง  เอ๊ะเป็นไปได้อย่างไร  ก็ทำใจ  ในหูได้ยิน  พองหนอ  ยุบหนอ  จะได้ยินของหลวงพ่อ  พักหนอห้าครั้ง  แล้วก็ยืนหนอห้าครั้ง  แล้วก็ยกหนอสามครั้ง  แล้วก็เหยียบหนอสามครั้ง  ย่างหนออะไรอย่างนี้  ป้าก็ยกตามลำดับ  ที่หลวงพ่อกะให้ไป  ได้เร็วนะ  ตอนนี้นั่งได้ชั่วโมงครึ่งแล้ว ... อยู่บ้านนั่งได้สิบนาที  ยี่สิบนาที  ก่อนจะมานี่นั่งได้ชั่วโมงกับสามนาทีดีใจเยอะ  จะมาวัดแล้ว  บอกว่ามาแน่นอน...”

            สุดท้ายคุณป้าส่องแสงแสดงความมั่นใจในพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก “หลวงพ่อเก่งมาก  ไม่ใช่อุปาทาน  ป้ากำหนดตลอด  เสียงหนอ  กำหนด  เห็นหนอ  ไม่ใช่อุปาทานแน่นอน  อัศจรรย์มาก”

            คุณป้าหนูเล็กบอกว่า “ก่อนกลับจะขอของดีหลวงพ่อ อย่างทางใต้เขาจะมีรูปพระ  มีผ้ายันต์” ผมก็ถือโอกาสชี้แจงว่า หลวงพ่อมีแต่ธัมมะ การปฏิบัติธรรม แล้วก็สวดมนตร์  ถ้าจะขอของดี  ก็ขอเป็นของที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์ไปก็แล้วกัน

            สำหรับตัวคุณป้าเอง  ได้บอกกับผมว่า  เมื่อกลับไปแล้วก็จะปฏิบัติให้มากขึ้น  เพราะทุกวันนี้ก็สวดมนตร์และนั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้ว  เมื่อได้มาพบและกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้รู้ได้เห็นกับตาตนเองหลายอย่าง  ท่านมีเมตตามาก  ท่านเก่งจริง  จะตั้งใจปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้น

            คุณป้าทั้งสองบอกว่า  “อยากให้คนไทยมาวิปัสสนาเยอะๆ  กับหลวงพ่อ  ให้ทำความดีเยอะๆ  และกลับไปแล้วจะบอกให้คนมาปฏิบัติกันเยอะๆ”

            หลายท่านที่เพิ่งเคยมาวัดเป็นครั้งแรก  และตั้งใจอยากมาเจอพระเดชพระคุณหลวงพว่อมักจะมีเหตุดลใจให้มาวัดต่างๆกัน  แต่ที่แน่ๆ  คือ  เขาเหล่านั้นมักจะอดทนต่อการรอคอย  พระเดชพระคุณหลวงพ่อ  ลงมาพบ  และหลายรายมีปัญหาแก้ไม่ตก  ตั้งคำถามไว้ในใจจากบ้านมาแล้ว  ก็รอจังหวะที่จะเข้าไปเรียนถาม  ก็มีเหตุประทับใจ  ที่คำสอนที่ท่านสอนญาติโยมโดยรวมนั้น  ตรงกับปัญหาของเราด้วย  พร้อมแนวทาง  และคุณป้าทั้งสองท่านในเรื่องนี้  ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่เพิ่งเคยมาวัดครั้งแรก