สัญญาใจ
โดย... เทพเทวี
ปาละวงศ์
R17011
ดิฉันชื่อ นางเทพเทวี ปาละวงศ์ และสามีชื่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญมี ปาละวงศ์ ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๖๙/๕๒ หมู่ที่ ๑ ตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ได้มาปฏิบัติธรรมทีวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
เป็นเวลาติดต่อกันหลายปีและหลายโอกาสด้วยกัน
สิ่งที่ดิฉันจะนำเรียนท่านผู้เจริญในธรรม ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ
ประสบการณ์ชีวิตที่ได้ข้อคิดจากการให้พรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เจ้าคุณพระเทพสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
เมื่อวันที่ ๒๒
มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๓
ดิฉันได้ชวนสามีมากราบนมัสการหลวงพ่อด้วยจิตคิดทำบุญกุศลถวายจตุปัจจัยร่วมสร้างเสนาสนะตามอัธยาศัยของหลวงพ่อ ในโอกาสคล้ายวันเกิดของดิฉันเอง ดิฉันลืมบอกไปว่า ดิฉันเกิดวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๔๘๙ แต่ที่ต้องมากราบหลวงพ่อในวันที่ ๒๒
มีนาคม ๒๕๔๓ ซึ่งไม่ตรงวันเกิด
เพราะสามียังไม่ว่างจากงานในการเดินทางจากจังหวัดกำแพงเพชร ระยะทางประมาณ ๒๐๐
กว่า กิโลเมตร โดยเริ่มออกเดินทาง เวลาประมาณ ๐๗.๓๐ น.
ได้อธิษฐานจิตตลอดเวลาว่าขอให้ได้พบและมีโอกาสได้สนทนากันหลวงพ่อด้วย เมื่อดิฉันและสามีมาถึงวัดอัมพวัน
ปรากฏว่ามีรถยนต์จอดทั้งด้านในและด้านนอกวัดเต็มไปหมด
เมื่อไปถึงกุฏิหลวงพ่อได้ทราบจากคณะศิษยานุศิษย์ของท่านว่าวันนี้คณะนายตำรวจมาปฏิบัติธรรม
เมื่อหลวงพ่อ
ฉันเพลเสร็จก็จะไปทำพิธีเปิด
ดิฉันและสามีไปถึงวัดอัมพวันดูเหมือนจะเป็นเวลา ๑๑.๐๐ น.
พอดี
จึงเข้าไปกราบท่านพร้อมกันคนอื่นๆ
ที่เฝ้ารออยู่พร้อมกับได้ถวายจตุปัจจัยร่วมสร้างเสนาสนะ โดยมอบให้กับไวยาวัจกรของท่าน หลวงพ่อได้ถามว่ามาจากไหน ตอบหลวงพ่อว่า มาจากจังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่อมองหน้าดิฉันสักพักหนึ่งแล้ว บอกว่าให้รอรับพรก่อนอย่าพึ่งกลับ แล้วท่านก็หันมาบอกอีกว่า ไม่นานจะได้รวยเป็นเศรษฐี ดิฉันก็ได้แต่ปลื้มใจ จึงตอบหลวงพ่อว่า ขอให้สมปรารถนา
จากวันนั้นเป็นต้นมาเวลาผ่านไป ๓
เดือน
ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๓ สามีของดิฉันก็ล้มป่วยลง
จึงพาไปโรงพยาบาลทั้งของเอกชนและของรัฐบาล ประมาณ ๑
อาทิตย์
หมอตรวจรักษาให้ยาแล้วก็ให้กลับบ้าน
แต่อาการไม่ดีขึ้นแลย ๒ อาทิตย์ต่อมา อาการทรุดหนักลงทุกวันๆ สามีเลยพูดกับดิฉันว่า เขาคงไม่หายหรอกให้คุณกลับไปอยู่กับน้องคุณที่บ้านจังหวัดยโสธรก็แล้วกัน มันคงเป็นโรคกรรมตามมา
ดิฉันเลยนึกขึ้นได้ อ้อ!
ที่หลวงพ่อบอกว่าไม่นานจะได้รวยเป็นเศรษฐีนั้น
ก็เพราะจะได้เงินค่าทำศพของสามีนี้เอง ดิฉันก็เลยกับสามีว่า ไม่ต้องการเงินของเขาแม้แต่บาทเดียว
ถ้าเขาจะตายก็ให้มอบฉันทะทั้งหมดให้แม่และน้องๆ ของเขา พอตื่นเช้ามาเลยบอกสามีว่า
จะมานอนรอความตายอยู่ทำไม
ไปหาหมอที่โรงพยาบาลพิษณุโลกหรือที่กรุงเทพฯ ให้เลือกเอา ทั้งนี้เพราะดูอาการแล้วมันเพียบลงทุกวัน เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลพิษณุเวช(โรงพยาบาลของเอกชน) จังหวัดพิษณุโลก โดยขอให้รถของสถาบันราชภัฏกำแพงเพชร
ซึ่งเป็นที่ทำงานของสามีไปส่ง
ไปถึงบอกหมอว่า ให้ตรวจเช็คหมดทุกอย่าง
เมื่อหมอตรวจเสร็จก็บอกว่าต้องนอนค้างคืน เพราะอาการที่ปรากฏในช่วงนั้น คือ เป็นไข้ ท้องอืด ผลการตรวจเลือดหมอแจ้งว่า มีเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดง หมอจึงถามว่าเคยไปเที่ยวป่าให้ยุงกันก่อนหน้านี้สัก ๒-๓
เดือนไหม
ดื่มสุราหรือไม่ ก็ไม่ได้เคยไปเที่ยวป่าและไม่ดื่มสุรา
เวลาประมาณบ่าย ๕
โมงเย็นของวันที่ ๒
ในการเข้าพักรักษาตัว
สามีก็บอกดิฉันว่า คุณบอกให้หลวงพ่อจรัญ
ช่วยหน่อยเถอะดิฉันก็สวดมนต์นั่งสมาธิ
อธิษฐานจิตบอกหลวงพ่อให้ช่วยลูกด้วยเถอะ สามีของลูกป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลพิษณุเวช ห้อง(จำหมายเลยไม่ได้) ชั้น ๗ จังหวัดพิษณุโลก
อาการป่วยของสามีดิฉันแทบไม่ได้นอนเลย ประเดี๋ยวร้อน ประเดี๋ยวหนาวตลอดทั้งคืน พยาบาลเข้าออกทุกระยะ ๔
ชั่วโมง ช่วงประมาณตี ๓ ๔
ดิฉันฝันไปว่าหลวงพ่อจรัญไปเยี่ยม
แต่ไม่ได้เข้าไปในห้อง
ผู้ที่เข้าไปในฝันก็คือ ท่านเจ้าคุณพระราชสารโมลี เจ้าอาวาสวัดนาควัชรโสภณ (วัดช้าง)
อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นวัดที่เข้าไปช่วยงานของท่านตลอดมา
พอรุ่งเช้าดิฉันก็เล่าให้สามีฟังว่า หลวงพ่อจรัญมาแต่ไม่ได้เข้ามาหา ผู้ที่เข้ามา คือหลวงพ่อวัดช้าง ดิฉันก็ใจไม่ดี เพราะคิดว่าหลวงพ่อท่านคงไม่ช่วยแล้ว ก็ทำใจว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ก็ไม่ได้บอกให้น้องๆ หรือใครทราบ
เพราะคิดว่าถึงบอกไปเข้าก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ตายก็ตายแทนเราไม่ได้ ก็อยู่กันเพียงสองคน พอเวลา ๑๐.๐๐ น. ของวันที่ ๓ ในการเข้ารักษาตัวก็มีพระอาจารย์จากวัดนาควัชรโสภณ(วัดช้าง) กำแพงเพชร ไปเยี่ยมจึงถามท่านว่า รู้ได้อย่างไรว่ามาอยู่โรงพยาบาลนี้ ท่านบอกว่า
มาลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เลยโทรศัพท์เช็คตามโรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดพิษณุโลก ทางโรงพยาบาลพิษณุเวช
เลยบอกว่ามีชื่อผู้ป่วยดังกล่าวเข้ามารักษาที่นี่ ๒
วันแล้ว ก็เป็นเรื่องแปลก
หลังจากนั้น
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสารโมลี
เจ้าอาวาสวัดนาควัชรโสภณ(วัดช้าง) กำแพงเพชร ก็ไปเยี่ยมพร้อมทั้งพระภิกษุสามเณร
จึงทำให้นึกทบทวนถึงความฝันที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ) ไปเยี่ยมแต่ไม่ได้เข้าไปในห้อง
กลายเป็นพระเดชพระคุณพระราชสารโมลีเข้าไปเยี่ยมแทน ก็เป็นจริงดังฝันทุกประการ สามีรักษาที่โรงพยาบาลพิษณุเวช ๕
วัน
จึงขออนุญาตหมอว่าจะกลับบ้านได้หรือไม่ หมออนุญาต และออกใบนัดให้มาตรวจอีกครั้ง หลังจากนั้นประมาณ ๗
วัน เมื่อกลับมาตรวจตามหมอนัด หมอเห็นว่าอาการยังไม่ดีขึ้น จึงบอกว่าอาจารย์ย้ายโรงพยาบาลหรือไม่
เพราะอยู่ที่นี่ค่าใช้จ่ายแพงหน่อย
นั่นคือหมอแนะนำเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลของรัฐ จึงตัดสินใจย้ายไป โรงพยาบาลพุทธชินราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐ อยู่ห่างจากโรงพยาบาล พิษณุเวชเพียง ๑๐๐ ๒๐๐ เมตร เท่านั้นเอง โดยหมอจากโรงพยาบาลพิษณุเวช
ได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลพุทธชินราช
หลังจากหมอตรวจเสร็จก็จัดหาห้องพิเศษให้ทันที่
และโชคดีที่เหลือห้องพิเศษเพียงห้องเดียวอยู่ตึกไอซียู เมื่อเข้าไปคืนแรก
ดูเหมือนเจ้าของห้องไม่อนุญาต
พอคนไข้(หมายถึงสามีของดิฉัน)
ขึ้นเตียงนอน
เขาก็มาโยกเตียงไปมา
จนสามีนึกว่าเป็นดิฉันไปโยกเตียงคนไข้ ก็เลยบอกว่า ไม่ได้โยก
และให้สามีกำหนดจิตและบอกเจ้าของห้องเขาและอย่าลืมสวดอิติปิโส และแผ่เมตตาให้เขาด้วย
ในคืนนั้นดิฉันและสามีต่างก็สวดมนต์บทอิติปิโสและแผ่เมตตาให้เจ้าของห้อง รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย จึงได้มีเวลาได้หลับนอนบ้าง
แต่ในวันที่ ๒
ดิฉันเข้าห้องน้ำช่วงเวลาประมาณ
๕ ๖ โมงเย็นก็บอกสามีว่า
ขออาบน้ำก่อนนะคุณ เมื่อ
อาบน้ำเสร็จเปิดประตูออกมาได้พบกับผู้หญิงนุ่งกระโปรงชุดสีเทายืนอยู่หน้าห้องน้ำ ด้วยความตกใจจึงร้อง อุ้ย!
สามีซึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ได้ยินจึงถามว่า ทำไม ก็เลยบอกสามีว่า ไม่มีอะไร พอแต่งตัวเสร็จเลยบอกสามีว่า เจ้าของห้องเป็นผู้หญิงชื่อนี้นะ
(หมายถึงชื่อที่ทางโรงพยาบาลติดไว้ที่หน้าห้องว่าเป็นผู้บริจาคสร้างห้องพิเศษห้องนี้) ถ้าหายป่วยกลับไปต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาด้วย
สามีพักรักษาอยู่โรงพยาบาลพุทธชินราช ประมาณ ๑๗
วัน
เราสวดมนต์แผ่เมตตาให้ทุกวันเหตุการณ์ต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้น แถมยังช่วยเหลือเราเสียด้วยซ้ำไป
เพราะการรักษาของหมอจะต้องให้ยาทางเส้นเลือดครั้งละ ๒๐๐
ซี.ซี. ติดต่อกันช่วงห่างกันประมาณ
๔ ชั่วโมง
ในช่วงดึกบางวันก็อ่อนเพลียหลับไปน้ำยาหมดขวด เขาก็มาสะกิดให้เราตื่น เพื่อเรียกพยาบาลเปลี่ยนยาให้ เป็นต้น
ประมาณวันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๔๓ หมอแจ้งว่าอาการดีขึ้นแล้ว กลับบ้านได้แล้ว แต่ต้องตรวจซ้ำอีกครั้ง จึงจะให้กลับบ้านได้ ในช่วงที่รอหมอเข้ามาตรวจ พอดีมีพระอาจารย์มหาสุพิสิทธิ์ สำเภา ซึ่งอยู่วัดนาควัชรโสภณ(วัดช้าง) กำแพงเพชร เดินทางไปกับน้องชายเพื่อจะรับกลับ ท่านไปถึงก่อน ๑๑.๐๐ น.
เล็กน้อย
ก็เลยไปซื้ออาหารมาถวายเพลท่าน
และถือโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของห้องไปเลย
พอสามีหายป่วยเป็นปกติ ตั้งแต่วันออกจากโรงพยาบาล
ถึงวันครบรอบวันเกิดในปี พ.ศ.๒๕๔๕
(สามีเกิดวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๘๖) เลยชวนมาทำบุญที่วัดอัมพวัน ได้ถวายจตุปัจจัยแด่หลวงพ่อ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพราะดิฉันได้อธิษฐานไว้ว่า ไม่ต้องการเงินจากเขา ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป เลยต้องมาทำบุญทำกุศลตาม สัญญาใจ ดังกล่าว
นางเทพเทวี
ปาละวงศ์
๖๙/๕๒ หมู่ที่ ๑
ตำบลนครชุม อำเภอเมือง
จ.กำแพงเพชร ๖๒๐๐๐
โทรศัพท์ ๐-๕๕๗๒-๑๔๖๐