อานิสงส์ของการสวดมนต์และปฏิบัติพระกรรมฐาน

โดย... อนงค์ภัทร์   ปิติวรรณ

R17013

 

            ดิฉัน นางอนงค์ภัทร์  ปิติวรรณ  สามีชื่อ  นายธนคุณ    ปิติวรรณ  ครอบครัวของดิฉัน  มีลูกสาว    คน

            เมื่อปี  พ.ศ.๒๕๒๖  ขณะนั้นดิฉันยังรับราชการอยู่  กรมส่งเสริมสหกรณ์  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ทำงานอยู่ในกรมส่งเสริมฯ  กทม.  ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดสระบุรี   มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นเจ้าหน้าที่การเงิน  ประมาณ  ๑๔  ปี  และจะได้รับพิจารณาเงินเดือน    ขั้น  บ่อยมาก  ส่วนคุณธนคุณ   ปิติวรรณ  ทำงานบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย จำกัด  ประจำอยู่ที่จังหวัดสระบุรี  ขณะนั้นหน้าที่การงานและการเงินดีมาก  อยู่จังหวัดสระบุรีไม่นาน  ดิฉันก็ได้รู้จักกับเพื่อนต่างหน่วยงานกัน  เขาได้นำหนังสือ กฎแห่งกรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จรัญ  ฐิตธมฺโม    มาให้ดิฉันอ่าน  เมื่อได้อ่านแล้วชอบมาก  เกิดความเลื่อมใส  ศรัทธาหลวงพ่อ  แต่ก็ยังไม่มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านเลย

            ประมาณ  พ.ศ.๒๕๓๕   ได้มีเพื่อนนำหนังสือของหลวงพ่อมาให้อ่านอีก  พร้อมทั้งเล่าเรื่องต่างๆ  ที่เกี่ยวกับวัดอัมพวันให้ฟัง   ครั้งนี้ดิฉันได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อ  จำได้ว่า  วันที่ไปนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิด ลูกสาวคนโต  ขณะนั้น  ลูกสาวอายุได้ประมาณ  ๘-๙  ขวบ  ลูกของดิฉันอายุห่างกันประมาณ    ปี  และชอบเถียงกันเป็นประจำ  บางครั้ง  ดิฉันก็พูดกับลูกไม่เพราะ  ตอนนั้นดิฉันทำงานการเงินบางครั้งจะเครียดมาก  และก็ยังไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ  สวดมนต์ ก็ไม่รู้จัก  พระกรรมฐาน(สติปัฏฐานสี่)  ก็ไม่รู้จัก  วันแรกที่ได้ไปกราบหลวงพ่อ  ดิฉันก็ได้รับเมตตาจากหลวงพ่อ  ท่านชี้มาที่ดิฉัน และบอกว่าลูกดีอยู่แล้ว เป็นแม่ต้องพูดกับลูกให้ดี  อาตมาขอบิณฑบาต  พอดิฉันได้ยินได้ฟัง เท่านั้น  ใจก็คิดว่า ต่อไปจะไม่พูดกับลูกอย่างนั้นอีกแล้ว  หลังจากนั้น  ดิฉันและสามีก็จะไปกราบหลวงพ่อ อยู่เนืองๆ   เวลาไปกราบหลวงพ่อครั้งใด  ดิฉันและสามีจะได้ยินหลวงพ่อท่านพูดว่า  สวดมนต์นะ  สวดแล้วจะดี  สวดแล้วจะรวย  สวดแล้วหน้าที่การงานก็จะเจริญก้าวหน้า  ลูกๆ ก็จะดี  ครอบครัวก็จะมีความสุข  ไปครั้งใดก็จะได้ยินอย่างนี้ทุกครั้ง  ดิฉันและสามีจึงได้นำไปปฏิบัติ  โดยการสวดมนต์  เจริญพระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  และพาหุงมหากาฯ   กับอิติปิโส  เท่าอายุ + ๑   ตามที่หลวงพ่อท่านบอก  ขณะที่ดิฉันรับราชการอยู่  ดิฉันจะมีความคิดว่า ถ้ากรมฯ  ย้ายดิฉันออกจากจังหวัดสระบุรี  เมื่อไรดิฉันจะลาออกจากราชการ  เพื่อที่จะอยู่กับครอบครัว ดังนั้น  ดิฉันจึงเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบหาอะไรทำ  เมื่อเวลาออกจากราชการแล้วตัวเองจะได้มีงานทำมีรายได้  ดิฉันเรียนตัดเสื้อ ของพรสี  ตอนนั้นรับราชการไป  และก็รับตัดเสื้อสตรีไปด้วยลูกค้ามากบางครั้งทำไม่ทัน  เท่านั้นยังไม่พอบางครั้งจะประดิษฐ์ดอกไม้ เป็นของชำร่วยส่งขายที่พาหุรัด  ก็ทำไม่ทันอีกเช่นกัน  ขายดีมาก  จะมีผู้ช่วยทำ  ๓-๔ คน  จากนั้นไม่นานดิฉันก็คิดที่จะค้าข้าวสารอีก  เพราะหน่วยงานราชการที่ดิฉันอยู่  จะคุมสหกรณ์ทุกประเภท  รวมทั้งสหกรณ์การเกษตรด้วย และมีโรงสีข้าว  ดังนั้น ดิฉันจึงมีโอกาสขายข้าวสารโดยการขายปลีกและส่ง  นอกจากงานประจำของสามีแล้ว  เขาจะช่วยงานพวกนี้อีก  เราทั้งสองสนุกกับงานพวกนี้มาก  เพราะเราได้เงิน เราคิดว่าเงินเป็นสิ่งที่สำคัญกับเรามาก  ดิฉันทำกิจการพวกนี้มาก  เพราะเราได้เงิน  เราคิดว่าเงินเป็นสิ่งที่สำคัญกับเรามาก  ดิฉันทำกิจการพวกนี้อยู่ประมาณ  ๔-๕ ปี  ช่วงนั้น ดิฉันได้เดินทางไปบ้านเกิด  ซึ่งจะไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ ที่จังหวัดนครปฐม  ดิฉันเป็นคนนครปฐม  พอไปเยี่ยมคุณพ่อ คุณแม่  ดิฉันได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า  ที่นครปฐมได้มีร้านค้าขนม เขาขายวุ้นมะพร้าวอ่อน  ขายดีมาก  ทำเป็นรูปร่างต่างๆ  เป็นวุ้น สีสันสวยงาม  คุณแม่ก็บอกให้ดิฉันไปซื้อทาน  เวลาไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ทีไร  ดิฉันก็จะแวะเวียนเข้าไปอุดหนุนทุกครั้ง  แต่ละครั้งที่เข้าไปอุดหนุน  ดิฉันจะมีความคิดที่อยากจะทำขนมวุ้นมะพร้าวนี้มาก  แต่ดิฉันทำไม่เป็นเกิดมาไม่เคยทำขนมอะไรเลย  ดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวในจำนวนพี่น้อง    คน  คุณพ่อ  คุณแม่จะสั่งลูกๆ  เรียนอย่างเดียว  คุณพ่อเป็นข้าราชการบำนาญ  คุณแม่ก็เป็นข้าราชการบำนาญ  เหตุที่ดิฉันตัดเสื้อผ้าเป็น เพราะคุณแม่จะมีฝีมือตัดเย็บให้ดิฉันใส่  จนดิฉันมีสามีแล้ว ดิฉันจึงไปเรียนเพิ่มเติม ส่วนขนมไม่มีความรู้เลย  แต่ดิฉันก็อยากที่จะทำ  เพราะที่บ้านนครปฐมจะมีมะพร้าวน้ำหอม  ดังนั้นดิฉันจึงเริ่มนำไปหัดทำโดยถามผู้รู้บ้าง ทำถูกทำผิดบ้าง  โดยจะได้กำลังใจจากสามี  ไม่ว่าดิฉันจะคิดริเริ่มทำอะไร  สามีจะเป็นกำลังใจให้  และช่วยทำทุกอย่าง  ส่งเสริมดิฉันทุกอย่างทุกอาชีพที่ดิฉันคิดทำ  จากนั้น ดิฉันก็ได้มีกิจการขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน เป็นของตนเอง  ดิฉันหยุดกิจการอื่นๆ  ทั้งหมด ทำราชการเป็นงานประจำ  และก็ทำกิจการวุ้นมะพร้าวอ่อน  สามีก็ทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทอยู่เหมือนเดิม  ดิฉันมีครอบครัวที่อบอุ่น  สามีเป็นคนดีมาก  รักครอบครัว  จนเพื่อนๆ  หรือผู้ที่รู้จักดิฉันออกปากชม  ว่าดิฉันโชคดี  ที่มีสามีดี  ลูกๆ ก็น่ารัก  ครอบครัวของดิฉันชอบไปวัดทำบุญ  ขณะเดียวกันดิฉันและสามีก็จะสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อท่านสอน  แต่ทำแบบขาดตอนทำแบบไม่สม่ำเสมอ  ทำๆ  หยุด เป็นอย่างนี้เสมอมา  หลวงพ่อท่านจะสอนเสมอว่า  ถ้าทำแบบลุ่มๆ  ดอนๆ  ทำแบบจิ้มๆ  จ้ำๆ  ก็จะได้อย่างที่ทำ  เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  ขณะที่ดิฉันรับราชการาชการอยู่  และก็มีกิจการทำขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน  ดิฉันจะทำส่งตามห้าง   ตามร้านอาหาร  ส่งกับเซเว่นฯ  และมินิมาร์ท  อีกหลายแห่ง  ตอนนั้นขายดีมาก  กิจการกำลังเติบโตและเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คน  มีคนช่วยทำประมาณ  ๗-๘  คน  ทำแทบไม่ทัน  ในแต่ละวัน  ดิฉันจะต้องใช้มะพร้าวอ่อน  วันละประมาณ  ๑๐๐ กว่าลูก  ใช้กะทิประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรัม  ทำอย่างนี้ทุกๆ  วัน  ยิ่งเป็นเวลาเทศกาลต่างๆ  ที่ผู้คนเขาเที่ยวกัน  ช่วงนั้นกิจการของดิฉันยิ่งขายดี  ถ้าเป็นช่วงปีใหม่ยิ่งขายดีมากๆ

            ประมาณ  พ.ศ.๒๕๓๖  ขนมของดิฉันได้มีโอกาสขึ้นโต๊ะเสวยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และขึ้นโต๊ะเสวยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯที่วัดมงคลชัยพัฒนา  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  จังหวัดสระบุรี  หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เชลล์ชวนชิม  จากหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี  ลงหนังสือพิมพ์ มติชนรายสัปดาห์  กิจการก็ยิ่งขายดีมากขึ้น  ดิฉันจึงได้ลาออกจากราชการเพื่อมาดำเนินกิจการขนมของตนเอง  ตอนนั้นขนมขายดีมากๆ  แต่ยิ่งขายดีเท่าไรดิฉันก็ยิ่งไม่มีเวลา  ดิฉันและสามีไม่มีเวลาแม้แต่จะสวดมนต์ ทำการค้าขายอย่างเพลิดเพลิน  บางวันนึกได้ก็จะสวดมนต์บ้าง  บางวันก็ไม่สวด  ทำแบบนี้ เสมอมา  จนกิจการเริ่มแย่ลง แล้วก็ต้องหยุดตัวเอง  ซึ่งไม่สามารถที่จะทำขายต่อไปได้  ทำส่งไปเท่าไร ก็ต้องเก็บคืนมาทิ้ง  ดิฉันและสามีจึงรู้ว่านี้คือผลจากการที่เราทั้งสอง สวดมนต์แบบลุ่มๆ  ดอนๆ  แบบเจ็บๆ  ทำแบบจิ้มๆ  จ้ำๆ  เมื่อเหตุไม่มี  ผลมันก็คงจะไม่เกิด  จากนั้นดิฉันก็กลายเป็นคนว่างงานแต่ก็ยังไม่ได้สำนึก  ในการกระทำของตัวเอง  ดิฉันกลับไม่สวดมนต์เลย  ไม่เข้าวัด  ไม่ทำบุญ  ไม่ทำทาน  ปิดห้องพระไม่เข้าไปสวดมนต์  และยังมีความคิดอีกว่าเราเกิดมาไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน  ทำไมชีวิตของดิฉันจึงเป็นแบบนี้  มีป้ายเชลล์ชวนชิม  รับรองความอร่อยในรสชาติของขนม  แต่ก็ไม่สามารถทำการค้าขายได้  เพื่อนดิฉันเขาบอกกับดิฉันว่า  ดิฉันมีวาสนาที่ทำขนมขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้  แต่ดิฉันไม่มีบุญที่จะครองป้ายเชลล์เพื่อที่จะทำการค้าต่อไป  ดิฉันรู้ว่า บุญมี  บาปมี  กรรมมี  แต่ก็ได้แต่รู้  ไม่เคยเข้าใจในคำพวกนี้เลย  การค้าของดิฉันลงสุดยังไม่พอ  จากนั้น ชีวิตครอบครัวที่เคยว่าดีมีความสุข  ก็กำลังลงอีก  โชคดีที่ดิฉันมีหลวงพ่ออยู่ในหัวใจ

            ปลายปี  พ.ศ.๒๕๔๑   เพื่อนที่เคยรับราชการอยู่กับดิฉันได้มาแนะนำอาชีพขายตรง  จำพวกสินค้าอุปโภค บริโภค  ให้ดิฉันและสามี ตัวดิฉันฟังแล้ว ก็ไม่สนใจที่จะทำ  แต่สามีดิฉันได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก และก็ได้ทำควบคู่กับงานประจำ  สามีของดิฉันก็ได้ชวนเพื่อนหญิง ของเขาเข้ามาทำด้วย  กิจการดู  เหมือนว่าจะไปได้ดี  สามีของดิฉันก็จะออกไปทำงานร่วมกับเพื่อนหญิง ของเขาเสมอจนมีข่าวในลักษณะไม่ดีไม่งาม  ดิฉันจึงขอร้องให้สามีเลิกทำงานขายตรงนั้น  แต่สามีดิฉันเขาไม่ยอมเลิก  ครอบครัวเริ่มมีปัญหา

              มีนาคม  ๒๕๔๓   ดิฉันและสามีได้เดินทางไปรับ ลูกสาวจากโรงเรียนประจำ  ช่วงนั้นสอบเสร็จ  จึงปิดภาคเรียน  ลูกๆ จึงได้อยู่บ้านครอบครัวดิฉันจะเลี้ยงลูกโดยดิฉัน และสามี  จะเป็นทั้งพ่อ แม่ และเพื่อน  ดังนั้นมีปัญหาอะไร ลูกๆ  ก็เลยรับรู้ด้วย  สามีดิฉันเมื่อทำงานประจำเสร็จก็จะไปทำงานขายตรงเป็นอย่างนี้ทุกวัน  เริ่มมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม จากการกลับบ้าน  ตามเวลาก็จะเริ่มกลับไม่ตรงเวลา  และจะบอกว่างานยุ่ง  บางครั้งอยู่บ้านก็จะมีคนโทรศัพท์  ตามให้ไปทำงานขายตรง  จนดิฉันเริ่มมีปากเสียง  ทะเลาะกัน  ดิฉันพยายามขอร้องไม่ให้เขาทำงานขายตรงนั้น  แต่สามีดิฉันก็ไม่ฟัง  บ้านที่เคยว่ามีความสุข  ก็เริ่มร้อนเป็นไฟ  เหมือนนรก ดิฉันจะทะเลาหาเรื่องสามีทุกวัน  แต่สามีดิฉันจะไม่โต้ตอบ  จะเงียบ  ดิฉันเป็นคนที่มีทิฐิสูง  ถ้าต้องการอะไรแล้วต้องให้ได้ดั่งใจ  ว่าถูกก็คือถูก  ว่าผิดก็คือต้องผิด  จะไม่ฟังใคร  คำว่าอภัยก็ให้ไม่เป็น    เดือนเต็ม  ที่บ้านเป็นเหมือนนรก  หาสุขไม่ได้  มีแต่การทะเลาะ  ซึ่งเกิดจากดิฉันเป็นคนเริ่มทุกครั้ง  จนลูกๆ  เครียดมาก  สามีก็เลยเลิกไม่ออกไปทำงานขายตรง  สามีดิฉันจะเป็นคนรักลูกๆ  มาก  และไม่อยากเห็นลูกเสียใจ

            ๑๗  เมษายน  ๒๕๔๓   ดิฉันและสามีพร้อมลูกสาวได้มีโอกาส ไปจังหวัดสิงห์บุรี  เส้นทางที่ไป จะผ่านวัดอัมพวัน   ดิฉันจึงบอกสามีแวะเข้าไปนมัสการกราบหลวงพ่อ  เพราะครอบครัวไม่ได้ มากราบหลวงพ่อ  นานมากตั้งแต่กิจการเจ๊ง  ดิฉันบอกว่าสามีบุญก็ได้พบท่านถ้าบุญไม่มีก็ไม่ได้พบ  แต่ต้องบอกว่าเป็นโชคดี  ของดิฉันและครอบครัว  เราได้พบหลวงพ่อ  ดิฉันและครอบครัวได้นั่งฟังหลวงพ่อท่านสอนธรรมะ  แล้วท่านก็พูดกับลูกศิษย์  คนนั้น  คนนี้ สักพักท่านก็ชี้ มาที่ดิฉันกับสามี  และพูดว่า “ จะเรื่อง ผัวมีชู้ เมียมีชู้  กรรมฐาน เท่านั้นช่วยได้ ”  เป็นลูกศิษย์เรา  เราเรียกให้ทำแล้วจงทำเสียนะ  ถ้าไม่ทำ ระวังประสาทมันจะกิน  เราจะช่วยอะไรไม่ได้  ผัวก็ช่วยเมียได้  เมียก็ช่วยผัวได้  ลูกก็ช่วยพ่อแม่ได้  พ่อแม่ก็ช่วยลูกได้   พอดิฉันได้ยินหลวงพ่อท่านพูดจบ  ดิฉันก็คิดว่าเราต้องเข้าปฏิบัติพระกรรมฐาน  ปัญหาเรื่องผัวมีชู้จะได้ไม่เกิดขึ้น  กับครอบครัวดิฉัน  แล้วหลวงพ่อท่าน ก็ชี้มาที่ดิฉันอีก  และพูดว่า  รอวาสนาหรือ เราจะบอกให้นะ มันไม่เกิดหรอก  ถ้าไม่กรรมฐาน แล้วหลวงพ่อก็พูดต่อ  จำไว้นะชีวิตจะดีได้ด้วยกรรมฐาน  ขณะที่หลวงพ่อสอนดิฉันอยู่  ลูกสาวคนเล็กก็คิด ว่าหลวงตารู้ได้อย่างไร  หลวงพ่อท่านก็พูดต่อเราบวชมาตั้ง  ๕๒  พรรษา  แล้ว เราเห็นหนอ อย่างเดียวเราก็รู้หมด  แล้วหลวงพ่อท่านก็ชี้มาที่ดิฉันอีก  ท่านบอกว่า  แม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี  “ แม่แบบ  แม่แผน  แม่แปลน  แม่บท  แม่กลอน ”  แม่เท่านั้นที่เป็นแบบอย่าง  ทุกวันนี้ดิฉันทำตามที่หลวงพ่อท่านเมตตาสอนดิฉันทุกอย่าง เป็นแบบอย่าง  ทุกวันนี้ดิฉันทำตามที่หลวงพ่อท่านเมตตาสอนดิฉัน ทุกอย่าง เป็นแบบอย่าง สวดมนต์  ปฏิบัติกรรมฐาน  ปัจจุบัน  สามี  และลูกทั้งสอง ก็ได้สวดมนต์  เข้าปฏิบัติกรรมฐาน  วันพระถ้ามีโอกาสก็จะไปกราบนมัสการหลวงพ่อ และฟังธรรมะบรรยาย

              พฤษภาคม  ๒๕๔๓   เป็นวันแรกที่ดิฉันได้ไปเข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน  ครั้งนี้ดิฉันเข้า    วัน  จำได้ว่าเป็นวันฉัตรมงคล   ผู้คนเข้ากรรมฐานเป็นพันๆ  คน  ดิฉันรู้สึกประทับใจ  ในชีวิตมาก  พอกลับถึงบ้าน ดิฉันก็เล่าให้สามีฟัง  เหตุการณ์ในการปฏิบัติ  สามีก็สนใจ พอมีวันหยุดงาน  ก็ได้เข้ากรรมฐาน ตามดิฉัน

            ๑๙  พฤษภาคม  ๒๕๔๓   เป็นครั้งที่ ๒  ครั้งนี้ สามีดิฉันได้ ไปเข้ากรรมฐานด้วย  ดิฉันและสามีได้ไปกราบ  หลวงพ่อที่กุฏิ  มีลูกศิษย์  และผู้คนไปกราบหลวงพ่อมากมาย  ต่างก็นำพวงมาลัยถวายหลวงพ่อ  บางคนก็นำซองปัจจัยถวายเพื่อที่จะทำบุญกับหลวงพ่อ  ดิฉันจึงพูดกับสามีเบาๆ  ว่านำซองปัจจัยถวายหลวงพ่อ  พูดยังไม่ทันจบคำ  หลวงพ่อท่านชี้มาที่ดิฉันกับสามี ว่าเราไม่อยากได้เงินแต่เราอยากให้ทั้ง ๒ คน มาปฏิบัติกรรมฐานกับเรา  ดิฉันและสามีตกใจ  เพราะพูดกันเบามาก  แต่หลวงพ่อท่านได้ยิน  หลังจากนั้นดิฉันก็จะเข้ากรรมฐานทุกเดือน    วันบ้าง  ๗ วันบ้าง  ส่วนสามี  ถ้ามีเวลาก็จะเข้า

              กุมภาพันธ์  ๒๕๔๔   ดิฉันได้ไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิ  ได้นั่งอยู่ข้างหน้า  ดิฉันก็นั่งมองหลวงพ่อท่านเหมือนทุกครั้ง  หลวงพ่อท่านได้เมตตาชี้  มาที่ดิฉัน และพูดว่า  ถ้าเอาจริงให้รู้จัก แม่พานิช คนประจวบฯ    หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ได้รู้จัก แม่พานิช ตามที่หลวงพ่อท่านบอก  พี่เขาจะเป็นคนที่ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานมาก  หลวงพ่อท่านสอนอะไร  พี่พานิช ก็จะทำตามทุกอย่าง  วันแรกที่ดิฉันรู้จักพี่พานิช  เขาจะเข้าปฏิบัติกรรมฐาน  พี่เขาจะบอกว่าถ้าเธอจะปฏิบัติกรรมฐานเธอต้องมีสัจจะ  เขาให้ดิฉันตั้งสัจจะกับตัวเอง  ให้เข้ากรรมฐานทุกเดือนๆ  ละ    วัน  ดิฉันก็ตั้งสัจจะแล้วก็เข้าเดือนละ ๗ วัน  จากนั้นคำว่าสัจจะ นี้ดิฉันก็นำไปใช้ในการปฏิบัติกรรมฐาน  คือต้องตื่นตามเวลา  แล้วก็เข้าปฏิบัติกรรมฐานทุกรอบ  แบบตั้งใจ ทำตามครูผู้สอน  แล้วคิดว่าถ้ามาแล้วต้องทำ  ทำให้จริง  ถ้าทำไม่จริง  ก็ให้อยู่บ้าน  ไม่ต้องเสียเวลา  บางเดือนพี่พานิช จะชวนดิฉันเข้ากรรมฐาน  ๑๕  วัน  ดิฉันก็เข้า  เวลาที่เข้ากรรมฐานจะเป็นวันพระ หรือวันลาศีล หลวงพ่อท่านจะเทศน์  สอนกรรมฐาน  ท่านจะพูดเสมอว่า  ๑๐๐ คน  ปฏิบัติได้    คน  ท่านก็ดีใจแล้ว  คนเราไม่ใช่ว่าเห็นเขาปฏิบัติแล้ว ชีวิตเขาดีขึ้น  ครอบครัวดีขึ้น  ลูกดีตั้งใจเรียนหนังสือ  ลูกเลิกติดยาเสพติด สามีเจ้าชู้ก็เลิกเจ้าชู้  กลับร้ายกลายดี  จะทำได้กันทุกคนนั้นหามีไม่  ถ้าจะทำให้ได้  เหมือนกันก็ต้องสร้างบุญ  สร้างความดี ให้ได้ ถึง  ๘๐ %  ก็คือ  ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน อย่างต่อเนื่อง  หลวงพ่อท่านจะยกตัวอย่างแม่พานิช  คนประจวบ อยู่ตลอด  ว่าตั้งใจปฏิบัติจนชีวิตดีขึ้น  ดิฉันและสามี  ทำตามแบบอย่างพี่พานิช  ดิฉันจะเข้าปฏิบัติกรรมฐาน  พร้อมพี่พานิช  เป็นประจำ  บางครั้ง พี่เขาจะปฏิบัติวันละ  ๑๒ – ๑๕  ชั่วโมง  ดิฉันก็พยายามปฏิบัติตาม  พี่เขาว่าอะไรดี  ดิฉันจะทำตามทุกอย่างให้ดิฉันเดิน    ชั่วโมง  นั่ง    ชั่วโมง  ดิฉันก็ทำตาม  แล้วชีวิตมันก็ดีจริงๆ  พอกลับบ้านก็จะพยายาม นำไปทำให้ต่อเนื่อง  ตามที่หลวงพ่อท่านสอน  เวลาเข้ากรรมฐาน    วัน ที่วัด  ดิฉัน ก็จะพยายามปฏิบัติตามหลวงพ่อท่านสอน  คือ  กินน้อย  นอนน้อย  พูดน้อย  ดิฉันเริ่มเป็นคนใจเย็น  มีเหตุ  มีผล  รู้จักการให้อภัย  และทิฐิก็ลดลง  ดิฉันได้ตั้งใจปฏิบัติ  ตามที่หลวงพ่อสอน  ได้ประมาณ    ปี  จนรู้ว่าสามีได้มีผู้หญิงอื่น  รู้ได้จากการปฏิบัติกรรมฐาน  ตามที่หลวงพ่อสอน ให้เรายืนหนอ    ครั้ง ช้าๆ  แล้วก็เดิน ขวาย่างหนอ  ซ้ายย่างหนอ ช้าๆ  ตรงนี้สติจะบอกเลย  ว่าสามีของดิฉันนอกใจมีผู้หญิงอื่น  ดิฉันก็ตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานต่อเนื่อง  ตัวสติ มันจะบอกให้ดิฉัน ถามสามี

              พฤศจิกายน  ๒๕๔๔ ดิฉันได้ถามสามีว่า นอกจากดิฉันแล้ว ขามีคนอื่นอีกหรือไม่  สามีเขาถามดิฉันว่า  เขาทำอะไรให้ครอบครัว เดือดร้อน หรือเขาดูแลครอบครัวดีมาตลอด   ดิฉันจึงบอกเขาว่าๆ  เขามีสิทธิ  พูดคำว่า ไม่มี กลับมีเท่านั้น   ดังนั้น  คำที่ดิฉันได้ยินได้ฟัง  ก็คือ  เขายอมรับว่าเขามีคนอื่นอีก   เขาบอกว่ามันเป็นกรรมของเขา  ซึ่งเขาเลี้ยงดูกันมาประมาณ  ๓-๔ ปี  โดยที่ดิฉันไม่รู้เรื่องเลย  ดิฉันได้ฟังรู้สึกเสียใจมาก  แต่ต้องบอกว่าเป็นบุญของดิฉัน  ที่ได้ตั้งอกตั้งใจฝึกปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง  และหมั่นฟังธรรม คำสอนของหลวงพ่อ  นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน  จึงทำให้ดิฉันเกิดสติปัญญาแก้ไขปัญหาได้  ถ้าวันนั้น ดิฉันไม่เข้าปฏิบัติกรรมฐาน  ไม่สวดมนต์ให้ต่อเนื่อง  วันนี้ดิฉันคงไม่มีโอกาส เขียนข้อความนี้แน่นอน  ทุกวันนี้ดิฉันจะสวดมนต์  และปฏิบัติกรรมฐาน แบบต่อเนื่อง  ไม่ยอมทำแบบ  ลุ่มๆ  ดอนๆ  ทำแบบเจ็บๆ  ทำแบบจิ้มๆ  จ้ำๆ  อย่างเด็ดขาด  เพราะกลัวบุญหมด  หลวงพ่อท่านจะพูดเสมอว่า  “ มีวาสนา ถ้าบุญไม่มีวาสนามันก็ไม่เกิด ”

            ๒๙  กุมภาพันธ์  ๒๕๔๕   ดิฉันและสามีได้มีโอกาส  ไปกราบหลวงพ่อ พร้อมครอบครัวพี่พานิช  ดิฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดจากสามีกราบหลวงพ่อ  “ หลวงพ่อครับ ด้วยเมตตาจากหลวงพ่อที่ได้ให้ครอบครัวผมรู้จักกรรมฐาน ทุกวันนี้ผมได้สวดมนต์ และปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง จึงให้ให้ผมพ้นวิบากกรรม จากการมีภรรยาน้อย ” แล้วหลวงพ่อท่าน ก็สอนว่ากรรมเกิดจากการกระทำ ณ วันที่เขียนข้อความนี้ เป็นระยะเวลาประมาณ ๑ ปี ที่สามีดิฉันปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม  ตามคำสอนของหลวงพ่อ ทุกวันนี้ ประมาณตี ๓ หรือ ตี ๔ สามีดิฉันจะตื่นขึ้นสวดมนต์ และปฏิบัติกรรมฐาน พร้อมกับจะหุงข้าวใส่บาตร ตอนเช้าเวลาออกไปทำงานทุกๆ วัน การงาน็ดีขึ้น  ถ้ามีปัญหาก็แก้ไขได้

            จากอานิสงส์ ของการปฏิบัติกรรมฐาน  สวดมนต์ พระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ พาหุงมหากา  อิติปิโส  เท่าอายุ  +๑   และการปฏิบัติ ตามคำสอนของหลวงพ่อ  ทำให้สามีของดิฉันหลุดพ้นจากวิบากกรรม  จากการมีภรรยาน้อย  และหันหน้าตั้งอกตั้งใจ ปฏิบัติกรรมฐาน  จากร้ายก็กลายเป็นดี  ครอบครัวก็มีความสุข

            จากอานิสงส์ ที่ดิฉันและสามีตั้งใจปฏิบัติกรรมฐาน  และการปฏิบัติ ตามคำสอน ของหลวงพ่อ  ลูกสาวทั้ง ๒ ก็ว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กดี  และตั้งใจเล่าเรียนดีขึ้น  แล้วยังเข้าปฏิบัติกรรมฐานตามอย่าง  ดิฉันและสามี  เวลาลูกๆ  มีปัญหาอะไร  ดิฉันและสามีก็จะยกคำสอนของหลวงพ่อ  นำไปสอนลูกทั้งสอง

            ดิฉันขอกราบระลึกถึงพระคุณในความเมตตา ของหลวงพ่อที่มีต่อครอบครัวของดิฉัน  ทำให้ดิฉันสามี และลูกทั้งสอง  สามารถดำรงตนอยู่ในศีลในธรรมได้  จนครอบครัว กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง และครอบครัวดิฉันจะยึดมั่น คำที่หลวงพ่อท่านสอนว่า  “ การกระทำใดๆ ที่เป็นไปโดยต่อเนื่องนี้ ของเล็กน้อยก็เป็นของใหญ่ บุญน้อยก็เป็นบุญมาก ทำดีไม่ได้ผล เพราะทำตนลุ่มๆ ดอนๆ  ทำดีที่ได้ผล เพราะทำตนสม่ำเสมอ ”

            จึงขอเชิญชวนทุกท่าน สวดมนต์ พระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  พาหุงมหากาและอิติปิโสเท่าอายุ +๑   พร้อมกับปฏิบัติพระกรรมฐาน (สติปัฏฐานสี่)   อย่างต่อเนื่อง  ทำด้วยความศรัทธา  และเชื่อมั่น ตั้งใจปฏิบัติทุกท่านก็จะได้พบของจริง  ตามที่หลวงพ่อท่านสอน

 

นางอนงค์ภัทร์   ปิติวรรณ

๓๒/๓  ถนนเทศบาล ๕  ตำบลปากเพรียว

อำเภอเมือง  จังหวัดสระบุรี

โทรศัพท์ ๐-๑๗๓๒-๙๑๓๗,  ๐-๑๙๔๔-๑๗๗๙