กรรมฐานกับความมหัศจรรย์ทางจิต
โดย... ชาตบุษย์
R17014
ข้าพเจ้าลาออกจากงานประจำเพื่อมาปรนนิบัติดูแลคุณพ่อซึ่งล้มป่วย
เป็นอัมพาตมานานกว่า ๑๗ ปี
ในระยะเวลาเริ่มท่านพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องคอยเป็นกังวลมากนัก แต่ในช่วงเวลา ๔-๕ ปีที่ผ่านมานี้ คุณพ่อต้องนอนอยู่กับที่ไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้เลย
กินและขับถ่ายอยู่บนเตียงจนแผ่นหลังเน่าเปื่อย
บางครั้งถึงกับยอมให้มดและแมลงรุมกัดรุมแทะอย่างน่าเวทนา ข้าพเจ้าเห็นแล้วบังเกิดความสังเวชใจ แต่ก็ยังทำหน้าที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ
และทำความสะอาดให้เป็นประจำทุกวัน
อาการในระยะสุดท้ายเกิดโรคแทรกซ้อน
ปอดอักเสบเพราะติดเชื้อรุนแรงทำให้ระบบหายใจติดขัดมีอาการเหนื่อยหอบตามมา
และระดับน้ำตาลในเม็ดเลือดสูงมากปัสสาวะที่ออกมามีสีเข้มข้นผิดปกติ
เมื่อออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านอาการมีแต่ทรุดลง ต้องให้อาหารเหลวผ่านทางสายยาง
โดยสอดสายยางผ่านทางรูจมูกลงไปจนถึงกระเพาะอาหารและใส่ท่อปัสสาวะเพื่อระบายของเสีย
สำหรับแผลเน่าเปื่อยที่เกิดจากการนอนอยู่กับที่นานๆ บัดนี้กลับกลายเป็นแผลลึกขนาดใหญ่มาก
โดยเฉพาะแผลเน่าที่บริเวณสะโพกทั้งสองข้างสามารถรองรับน้ำได้หนึ่งแก้วพอดี ขาทั้งคู่ก็งอพับเข้าหากันเหมือนขากบ ข้างหนึ่งลีบเล็กเห็นถึงกระดูก
ส่วนอีกข้างบวมโตช้ำเลือดช้ำหนอง
มือที่ใช้การไม่ได้และกำไว้แน่นโดนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ไม่สามารถดึงหรือ
เหยียดนิ้วออกได้เลย
ที่น่าวิตกอย่างมากคือ บริเวณศีรษะ ถึงกกหูเริ่มปริและแตกออกมาบ้างแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนอง
ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน ข้าพเจ้าได้มีจดหมายนมัสการมายังพระเทพสิงหบุราจารย์ (พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) แจ้งอาการอันน่าวิตกของคุณพ่อให้ท่านทราบโดยตลอด และท่านได้มีเมตตาต่อข้าพเจ้าและครอบครัว
ให้คำแนะนำในการรักษาพยาบาลและส่งตำรายาพร้อมวิธีการปรุงมาให้ด้วย
ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจในความเมตตาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า
คุณพ่อของข้าพเจ้าไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้
และได้เสียชีวิตลงก่อนมิทันที่จะได้รับความช่วยเหลือจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น
เสร็จสิ้นจากงานศพคุณพ่อแล้ว
ข้าพเจ้าจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางจุดหมายข้างหน้าคือที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี วัดที่มีพระอริยะสงฆ์เจ้าผู้ทรงศีลบริสุทธิ์
และมีวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงวัดอัมพวันในวันศุกร์ที่
๑๕ มีนาคม ๒๕๔๕ ได้แจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่จะขออยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดมีกำหนด
๗ วัน
แต่ตามกฎระเบียบของทางวัดให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมในวันศุกร์อยู่ได้เพียงสามวัน
ซึ่งต้องกลับในวันอาทิตย์ คงเป็นเพราะข้าพเจ้ามีใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่
จึงได้รับอนุญาตให้อยู่ปฏิบัติธรรมได้ตามที่ประสงค์ โดยเข้าพักที่อาคารชั้น ๔ โรงเรียนปริยัติธรรม
ที่ดูสงบเงียบและแวดล้อมไปด้วยพุ่มไม้นานาชนิด
เวลา
๑๗.๐๐ น.
ข้าพเจ้าและผู้ที่เข้ามาใหม่ซึ่อยู่ในชุดขาวบริสุทธิ์มาพร้อมกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม อาคารภาวนา ๑ เพื่อเข้าร่วมในพิธีบวชเนกขัมมะ รับศีลแปดจากพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ
และได้รับการอบรมเกี่ยวกับพิธีการทางพระพุทธศาสนา เช่น
การก้มลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์
การอาราธนาศีลและอาราธนาธรรม
ตลอดจนการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น
จากนั้นพระอาจารย์ได้อบรมการเจริญพระกรรมฐานตามแนวทางสติปัฏฐานสี่เริ่มจากการยืนอย่างมีสติ โดยประคองสติให้อยู่กึ่งกลางกระหม่อม กำหนดให้เห็นเป็นเส้นตรง ลากจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน เคล็ดลับอยู่ที่กำหนดให้ช้าที่สุด
อย่ารีบร้อนจนเกินเมื่อได้ ยืน-หนอแล้ว การเดินจงกรมและการกำหนดนั่งก็จะได้เร็วขึ้น สำหรับผู้ที่มาปฏิบัติธรรมครั้งแรก
เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ เวลาเดินจงกรมก็ยังเดินสะเปะสะปะ
ไม่เหมือนกับที่เดินตามปกติ
เนื่องจากไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานสี่มาก่อนเลย จนมาถึงการนั่งสมาธิ กำหนดที่หน้าท้อง พอง-หนอ ยุบ-หนอ ก็ยังติดขัดเช่นเดิม
ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด
เวลา
๐๔.๐๐ น. ของวันใหม่
ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนมาพร้อมกันเพื่อสวดมนต์ทำวัตรเช้า
จากนั้นอุบาสิกาซูง้อ แซ่เอ็ง
ได้มาควบคุมการเจริญพระกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจในตัวท่านเป็นอย่างมาก
แม้ว่าท่านจะเป็นชาวสิงคโปร์ต่างชาติต่างภาษา แต่ก็ยึดถือตามขนบธรรมเนียมแบบไทยเรา การกราบการไหว้ดูอ่อนช้อยงดงามหาที่ติไม่ได้
การพูดการเจรจาก็ไพเราะอ่อนหวานน่าชื่นชมอย่างยิ่ง
หลังจากอาหารเช้ามื้อแรกข้าพเจ้ารู้สึกสับสนกับการปฏิบัติที่เพิ่งผ่านไป
เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
และเมื่อมาถึงการปฏิบัติในช่วงระหว่าง เวลา
๐๘.๐๐น.๑๑.๐๐ น. ข้าพเจ้าจึงเกิดความเบื่อหน่ายแต่แข็งใจฝึกปฏิบัติจนครบกำหนดเวลา
และมาอึดอัดมากยิ่งขึ้นในช่วงบ่าย เนื่องจากอากาศโดยรอบร้อนอบอ้าว
ถึงจะมีพัดลมให้ความเย็นอยู่เหนือศีรษะ ก็ไม่สามารถบรรเทาความร้อนลงได้เลย
เวลา
๑๘.๐๐ น. ร่วมสวดมนต์ทำวัตรเย็น
จากนั้นจึงเข้าประจำที่ฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากการยืนอยู่กับที่โดยมีสติกำกับ แล้วเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิโดยลำดับ
เมื่อคำนวณดูแล้วในหนึ่งวัดผู้ปฏิบัติต้องทุ่มเททั้งกายและใจ
เพื่อให้ทันกับแนวทางการสอนที่วางกรอบไว้ใน ๔ ช่วงเวลาด้วยกัน รวมเวลาทั้งสิ้น ๑๒
ชั่วโมง
นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถและน้ำอดน้ำทนของผู้ปฏิบัติอยู่ไม่น้อย
วันอาทิตย์ที่
๑๗ มีนาคม ตั้งแต่เช้าข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้
เกิดอาการวิงเวียนศีรษะอยากจะล้มตัวลงนอนท่าเดียว
ขณะเดียวกันก็มีอาการเครียดทางประสาท จนเรี่ยวแรงถดถอยลงทุกขณะ
กำลังใจตกวูบในทันที คิดอยากจะกลับบ้านท่าเดียว ปฏิบัติได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับ
สับสนกระวนกระวายอย่างมาก คิดจะหลีกหนีไม่เข้าร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้าตอนตีสี่
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แค่ตีสามเศษๆ
เท่านั้น
ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว อาบน้ำแปรงฟันเสร็จสรรพ
ถือหนังสือสวดมนต์เดินออกจากอาคารที่พักเข้าสู่ศาลาปฏิบัติธรรมโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
แต่พอเข้าสู่การปฏิบัติในช่วงเช้า
อาการที่ไม่สบายเกิดกำเริบขึ้น รู้สึกมึนงงอย่างมาก
ขณะที่เดินจงกรมเมื่อเท้าก้าวย่างออกไป รู้สึกว่าพื้นศาลาสั่นไหวโคลงเคลงไปมา
ไม่สามารถควบคุมการเดินให้เป็นปกติได้ เหลือบดูผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นๆ
ก็เห็นเขายังปกติดีอยู่แต่ตัวเราทำไมถึงซวดเซไร้ทิศทาง จวนจะล้มมิล้มแหล่
คิดในใจว่าถ้าจะล้มลง ณ ที่ตรงนั้นก็ขอให้สิ้นใจตายในทันที
แต่ถ้าล้มลงแล้วกลับมีชีวิตอยู่ต่อไปแต่ไม่มีโอกาสลุกขึ้นยืนได้อีกข้าพเจ้าไม่พึงปรารถนา
มาถึงตรงนี้เกิดอาการเสียดแทงบริเวณหน้าอก หยดเหงื่อไหลย้อยเข้าตาจนฝ้าฟาง
สลับกับลมหายใจที่เบาหวิวใกล้หมดแรง เพื่อเป็นการรักษาตัวรักษาชีวิตในยามนี้
จึงกำหนดลงนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองประสานไว้บนตัก ปิดเปลือกตาลงช้าๆ
พร้อมกับกำหนดที่หน้าท้อง พอง-หนอ ยุบ-หนอ เรื่อยไปจนครบตามเวลาที่กำหนด
ตกบ่ายอาการของข้าพเจ้ายังไม่ดีขึ้น
พื้นศาลาที่ยืนอยู่กลับสั่นคลอนหนักขึ้น ใจวาบหวิวคล้ายจะเป็นลม
จึงเปลี่ยนจากการเดินมาเป็นการกำหนดลงนั่ง พยายามประคองสติให้ตั้งมั่น
แต่ก็ทรงอยู่ได้เพียงชั่วขณะ จนเกิดอาหารคลื่นเหียนอยากจะสำรอกออกมา
ตัดสินใจครั้งสุดท้ายจะขอออกจากการเจริญพระกรรมฐานก่อนครบกำหนดเวลา
แล้วรีบแผ่เมตตาพร้อมกับอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่มารดา บิดา ญาติสนิทมิตรสหาย
ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เหล่าเทพเทวดา แต่ยังไม่ทันได้อุทิศส่วนกุศลให้เปรตเลย
พลันเกิดอาการแน่นขึ้นที่บริเวณลำคอ เนื่องจากมีเสลดจุกแน่นอยู่ภายในจนหายใจไม่ออก
พยายามกลืนลงไปแต่ไม่สำเร็จ รู้สึกกระอัก กระอ่วนอย่างมาก ถึงจะกำหนดรู้-หนอ แน่น-หนอ ก็ยังไม่ย่อนคลาย
ในที่สุดจำใจต้องลืมตาลุกขึ้นยืนหันรีหันขวาง
ก่อนที่จะเดินออกจากห้องกรรมฐานอย่างลุกลี้ลุกลน แจ้งให้อาจารย์ซูง้อ ทราบถึงอาการเจ็บป่วย
ซึ่งท่านก็ได้อนุญาตให้ออกจากห้องกรรมฐานได้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปฏิบัติจนครบตามเวลาที่กำหนดได้
ข้าพเจ้าออกมานั่งรับลมเย็นใกล้สระน้ำ
ได้สัมผัสกับกลิ่นอายของธรรมชาติ เสียงนกร้องวิเวกหวาน
เสียงน้ำในสระไหวกระเพื่อมขึ้นลง เห็นฝูงปลาหลากสีสวยงามแหวกว่ายไปมา
จนกระทั่งเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของพระแม่ธรณี ใจจึงเริ่มเป็นสุขคลายความทุกข์ลงได้บ้าง
ตั้งใจไว้ว่าจะปฏิบัติให้ดีกว่าที่แล้วมา
ตอนหัวค่ำข้าพเจ้าปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานด้วยจิตใจอันมั่นคง
หลับตายืน-หนอได้ไม่ครบห้าครั้ง ก็ใช้วิธีลืมตายืน-หนอ จนครบห้าครั้ง
เวลาเดินจงกรมจากเดิมที่ก้มหน้าลงดูปลายเท้าของตัวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดล้มลงได้
ก็เปลี่ยนมาเป็นเงยหน้าเสมอระดับเอวหรือสูงกว่านั้นเล็กน้อย
เพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้มลงเสียก่อนเป็นการแก้ไขสถานการณ์ได้ดีในระดับหนึ่ง
จนกระทั่งการฝึกปฏิบัติในวันนั้นเสร็จสิ้น
ข้าพเจ้าใคร่ขอวิเคราะห์ถึงมูลเหตุแห่งความไม่สบายกายไม่สบายใจอันมีผลต่อการฝึกปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานดังนี้
๑.
วิเคราะห์ตามหลักสรีรศาสตร์
ก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้
ข้าพเจ้าไม่สบายเป็นไข้หวัดลำคออักเสบเจ็บแน่นหน้าอก
ประกอบกับมีอาการของความดันโลหิตสูงอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อมาอยู่ที่วัดข้าพเจ้าแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
ต้องตื่นก่อนตีสี่เพื่อให้ทันกับเวลาของการปฏิบัติที่กระชั้นชิด
ทำให้ระบบการขับถ่ายไม่ทำงานตามปกติ เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับสถานที่ จึงรู้สึกอึดอัดไม่คล่องตัว
และรับประทานอาหารได้น้อยลง บางวันรับประทานเพียงมือเดียวเป็นการประทังชีวิตไว้ก่อน
ทำให้สุขภาพโดยรวมทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว
๒.
วิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์
ภายในศาลาปฏิบัติธรรมอากาศร้อนอบอ้าว
ทำให้หลายคนเกิดอาการอ่อนเพลีย บางรายถึงกับทรุดลงนั่งพิงข้างฝาผนัง
และที่หลบไปนอนเหยียดยาวด้านหลังศาลาก็มี
พัดลมขนาดใหญ่ให้ความเย็นขณะทำงานอากาศโดยรอบมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา
จนเกิดเป็นแรงปะทะกดทับโสตประสาท และเมื่ออากาศถ่ายเทลงสู่เบื้องล่าง
จากล่างขึ้นบนสลับกันไป
ทำให้มีความรู้สึกว่าพื้นศาลาปฏิบัติธรรมสั่นคลอนโคลงเคลงไปมา
จนเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและอารมณ์เขม็งเกรียวทางโสตประสาท
จึงเป็นเหตุให้กำลังขาอ่อนล้าเรี่ยวแรงถดถอย เกือบจะเป็นลมล้มพับหลายครั้งหลายครา
๓.
วิเคราะห์ตามหลักจิตศาสตร์หรือศาสตร์แห่งจิต
ผู้ที่จะเจริญพระกรรมฐานได้ดีต้องเป็นผู้ที่มีความอดทนยอดเยี่ยม
ทนต่อสภาวะที่ผันแปรทั้งทางร่างกายและจิตใจ นั่นคือ
ต้องมีจิตเป็นหนึ่งเดียวประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็ด้วยความเชื่อมั่นและความศรัทธาของผู้ปฏิบัติเอง
เมื่อมีความยึดหมั่นเชื่อมั่นในสิ่งใดแล้ว มักมีผลสะท้อนกลับมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพราะจะนำท่านเข้าสู่ปรากฏการณ์ทางจิต
ที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิดไว้เลยว่า จะได้รับความเมตตาอย่างสูงยิ่งจากครูบาอาจารย์ที่วัดอัมพวันแห่งนี้
วันอังคารที่
๑๙ มีนาคม ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังปฏิบัติสมาธิโดยการนั่งกำหนดอยู่นั้น
เกิดนิมิตพอเห็นได้แม้ไม่ชัดเจนนัก ปรากฏเป็นงูเผือกตัวยาวใหญ่
ถัดมาเป็นเสือโคร่งและสุดท้ายคือภาพของชายชราผู้หนึ่งเห็นเพียงใบหน้าด้านซ้าย
ทันทีที่เห็นข้าพเจ้ารีบกำหนด เห็น-หนอ
เห็น-หนอ จนภาพเหล่านั้นหายไป
เมื่อได้เวลาเดินจงกรมข้าพเจ้าก็ยังปฏิบัติตามปกติ
แต่อาการรับรู้ว่าพื้นศาลาไหวโยกยังคงมีอยู่
จนกระทั่งขาเริ่มสับสนและเสียการทรงตัว จะล้มลงในบัดดล จึงอธิษฐานจิตขอให้ครูบาอาจารย์ได้โปรดมีเมตตา
ช่วยประคับประคองร่างกายนี้ไม่ให้ล้มลงไป
เพื่อที่จะได้ปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานให้สำเร็จลุล่วงตามที่ได้ตั้งใจไว้
เป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก
เมื่อจบคำอธิษฐานจิตแล้ว อาการที่กวัดแกว่งจนขาปัดไปปัดมานั้น
กลับสงบนิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ พอตั้งสติได้ข้าพเจ้ารีบกำหนดรู้-หนอทันที
กรรมฐานกับความมหัศจรรย์ทางจิตปรากฏเด่นชัดขึ้นในวันพุธที่
๒๐ มีนาคม ขณะที่การเดินจงกรมผ่านไปแล้วช่วงเวลาหนึ่งและกำลังจะเริ่มใหม่
ข้าพเจ้าใช้สติปักลงที่เท้าขวายกเส้นเท้าขึ้นจากพื้นช้าๆ พร้อมกับกำหนดว่า ขวา...
(ลำดับต่อจากนี้คือการเดินจงกรมที่ข้าพเจ้าได้รับการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ที่วัดอัมพวัน)
ย่าง....ปลายเท้าเคลื่อนออกจากที่ด้วยจิตที่สัมผัสได้
ก่อนจะเบนออกด้านข้างเล็กน้อย หนอ...
ฝ่าเท้าลดระดับลงจนสัมผัสพื้นแนบสนิท ซ้าย... ส้นเท้าซ้ายลอยขึ้นจากพื้น
ย่าง...ปลายเท้าเคลื่อนไปข้างหน้าเหมือนถูกแรงดึงดูดให้เข้าประชิดเท้าขวา แต่แล้วก็เลยล้ำออกไป หนอ...
ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นยืนอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคง เดินระยะเดียวกันนี้ได้อีก ๔-๕ ก้าว
วิธีการเดินก็เปลี่ยนไป พอส้นเท้าขวาลอดขึ้นจากพื้น
ตั้งแต่หัวเข่าจนถึงสะโพกก็ยกสูงขึ้นเกือบขนานกับพื้นพร้อมกับปลายเท้าเหยียดไปข้างหน้า
หยุดชั่วขณะแล้วจึงลดระดับลง ปลายเท้าสัมผัสพื้นก่อนตามด้วยส้นเท้าที่ค่อยๆ
ลดระดับลงจนแนบสนิท มาถึงตรงนี้ข้าพเจ้าไม่สามารถกำหนดได้ทัน
ได้แต่ตามดูเพียงอย่างเดียว โดยปล่อยให้เป็นไปตามสภาวะการขับเคลื่อนทางจิต
ระยะต่อมาปลายเท้าตวัดไปด้านหลังจนเกือบถึงบั้นเอว หยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่
ก่อนที่จะลดระดับลงมาแล้วเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าเล็กน้อยส้นเท้าปักลงที่พื้นก่อน
ตามด้วยปลายเท้าที่ค่อยๆ ลดระดับลงจนแนบสนิท
ถัดจากนั้นมีการเคลื่อนย้ายไปทางขวา
โดยเท้าขวาขยับเขยื้อนออกห่างประมาณหนึ่งฟุต จิตที่สัมผัสรู้ว่าเท้าซ้ายกำลังเคลื่อนเข้าประชิดเท้าขวาเหมือนมีแรงดึงดูด
แต่ก่อนที่เท้าทั้งสองจะแตะสัมผัสกัน เท้าซ้ายกลับเปลี่ยนทิศทางตัดเป็นมุมฉาก ๙๐
องศา ล้ำหน้าเท้าขวาเล็กน้อย ปลายเท้าแตะถึงพื้นก่อนตามด้วนส้นเท้า
และระยะเดียวกันนี้ส้นเท้าปักลงที่พื้นแล้วจึงตามด้วยปลายเท้าเป็นการสลับกัน
ในระยะต่อมาเป็นการถอยกลับ
นั่นคือส้นเท้ายกขึ้นสูงแล้วตวัดกลับไปด้านหลังจนเกือบถึงบั้นเอว
หยุดอยู่ชั่วครู่จากนั้นปลายเท้าเริ่มเหยียดไปข้างหลังอย่างช้าๆ
จนนิ้วเท้าแตะถึงพื้นและส้นเท้าลดระดับลงแนบสนิท
การถอยกลับของขาอีกข้างหนึ่งก็ลักษณะเดียวกันแต่มิทันได้ตั้งสติ
ฉับพลันนั้นเท้าซ้ายก็เคลื่อนออกจากที่ทำทีว่าจะเคลื่อนไปทางซ้ายแต่แล้วก็อ้อมมาทางด้านหลังเท้าขวาโอบกระหวัดเข้าที่ข้อเท้าอย่างรวดเร็ว
เป็นการรัดรึงข้อเท้าขวาให้ตรึงแน่นอยู่กับที่
ข้าพเจ้าไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ได้แต่ยักแย่ยักยันทำอะไรไม่ถูก นึกในใจว่าครูบาอาจารย์ท่านต้องการทดสอบกำลังสติกำลังปัญญาของเรามากกว่าจึงพยายามตั้งสติใหม่
แข็งใจยืนด้วยขาขาเพียงข้างเดียว ลำตัวกวัดแกว่งเกือบจะเอียงกระเท่เร่
พอรู้สึกเจ็บทนไม่ไหวแล้วก็รีบคลายออก ทันทีที่เท้าซ้ายเป็นอิสระ
เท้าขวากลับตวัดเข้าที่ข้อเท้าซ้ายจนแน่น เป็นการตรึงเท้าซ้ายให้อยู่กับที่แทน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เสมือนหนึ่งว่า
ครูบาอาจารย์ที่มาประสิทธิ์ประสาทวิชากรรมฐานให้นั้นท่านไม่ยอม
ท่านต้องการให้เรายืนด้วยขาเพียงข้างเดียว ยืนด้วยสติ ยืนด้วยปัญญา
ด้วยตัวของเราเอง ข้าพเจ้ายอมรับว่าหลายครั้งหลายหนที่เกิดการรัดรึงข้อเท้าเช่นนี้
เป็นเพราะครูบาอาจารย์ท่านตอกย้ำและเน้นเป็นพิเศษ
ซึ่งข้าพเจ้าสามารถยืนอย่างมีสติด้วยขาเพียงข้างเดียวได้แค่สองครั้งเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นไม่สามารถควบคุมการยืนให้นิ่งสงบได้เลย
ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า
การเดินจงกรมแท้จริงแล้วมีสักกี่ระยะ และไม่สามารถใช้สติตามกำหนดได้ทัน
เนื่องจากไม่มีความรู้และไม่เคยฝึกปฏิบัติตามแบบฉบับที่ถูกต้อง
แต่พอได้มาฝึกปฏิบัติตามแนวทางสติปัฏฐานสี่ที่วัดอัมพวันแห่งนี้
เริ่มจะมีความเข้าใจในการปฏิบัติที่ถูกต้อง
มาทราบภายหลังว่าทางวัดเน้นการสอนวิธีการเดินจงกรมเพียงระยะเดียว
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติมีความชำนาญฝึกฝนให้คล่องแคล่ว
สมาธิก็จะตั้งอยู่ได้นานและแนบแน่นยิ่งขึ้น
แต่การเดินจงกรมที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตามอบให้มานั้น
มีความแตกต่างจากวิธีการปฏิบัติที่อุบาสิกาซูง้อ แซ่เอ็ง กำลังควบคุมดูแลอยู่
รวมทั้งวิธีผ่อนคลายจากการเดินและการนั่งเป็นเวลานานๆ
โดยประสานฝ่ามือบีบนวดและกดทับไปตามจุดต่างๆ
บนร่างกายเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าให้เลือดลมหมุนเวียนดี
คิดอยากจะแจ้งให้ทานทราบถึงการปฏิบัติที่แตกต่างจากที่ท่านสอนในขณะนี้
แต่ยังหาโอกาสไม่ได้
วันพฤหัสบดีที่
๒๑ มีนาคม ในช่วงหนึ่งของการนั่งสมาธิ
ข้าพเจ้ากำหนดจิตเพื่อขอทราบนามของครูบาอาจารย์ที่มาประสทิธิ์ประสาทการเจริญพระกรรมฐาน
จึงทราบว่าผู้มีพระคุณอันสูงยิ่งคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเดิม
(พระครูนิวาสธรรมขันธ์ อายุร้อยกว่าปี) วัดหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม นั่นเอง
ทันทีที่จิตรับทราบ
บังเกิดความปลื้มปิติยินดี เป็นล้นพ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาข้าพเจ้ายิ่งนัก
นั่นคือรูปหล่อรมดำที่ประดิษฐานอยู่ด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บูชาภายในศาลาที่ปฏิบัติธรรม
อาคารภาวนา ๑ ชั้นล่าง ดูคล้ายกับภาพที่มาปรากฏในนิมิต
แม้จะเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
ซึ่งตรงที่ประดิษฐานรูปหล่อองค์นั้นมีแจกันดอกไม้ใบใหญ่ว่างอยู่ด้านหน้าจึงมิกล้าย่างกรายเข้าไปเพ่งพินิศ
เนื่องจากมีความเคารพในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
แต่หลังจากเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติในช่วงนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าคืบคลานเข้าไปใกล้พลางใช้สายตามองลอดผ่านแจกันดอกไม้
ทันใดนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกตะลึงงัน
เพราะชื้อที่ปรากฏตรงฐานของรูปหล่อรมดำองค์นั้นมีนาม ว่า ...หลวงพ่อจรัญ
วินาทีนั้นข้าพเจ้าไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย
ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณที่มาประสิทธิ์ประสาทสอนการเจริญพระกรรมฐาน
นอกจากอุบาสิกาซูง้อ แซ่เอ็ง และอุบาสิกาอีกท่านหนึ่งแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใดยังมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเดิม(พระครูนิวาสธรรมขันธ์) แห่งวัดหนองโพ
อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
ซึ่งท่านกำลังอาพาธอยู่ในขณะนี้ ได้มีเมตตาอย่างสูงยิ่งมาร่วมสอนการเจริญพระกรรมฐาน
ให้แก่ข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วย
เพื่อความกระจ่างเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ทางจิต
ข้าพเจ้าขอเล่าย้อยหลังไปในช่วงกลางปี ๒๕๔๐
ในขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังประสบกับปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก
ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ประกอบกับทางธนาคารได้เร่งรัดหนี้สินตลอดเวลา โดยที่
ข้าพเจ้าไม่สามารถหาเงินชดใช้ได้เลย ทำให้เกิดอาการเคร่งเครียด หนทางเดียวคือ
ต้องขายบ้านพร้อมที่ดินเพื่อปลดหนี้
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครมาติดต่อขอซื้อ
และเมื่อธนาคารทวงถามหนักขึ้น ก็ยิ่งรุ่มร้อนเป็นเงาตามตัว
เมื่อถึงคราวคับขันอับจนปัญญาจึงต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยได้หรือไม่
ข้าพเจ้าลองนั่งสมาธิ
กำหนดจิตให้เป็นหนึ่งเดียวพร้อมกับภาวนาบทพุทธคุณในใจ อิติปิ โส ภะคะวา
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร
ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
กลับไปกลับมาหลายเที่ยวหลายจบ
เมื่อใจจดจ่อยู่กับองค์ภาวนาทำให้สมาธิแนบแน่นิย่งขึ้นจนเวลาล่วงเลยไปโดยลำดับ
และแล้วข้าพเจ้าก็ได้ประสบกับปรากฏการณ์ทางจิตเป็นครั้งแรก เริ่มจากกายที่ซ่าซ่านสั่นสะท้าน
ขนลุกขนพอง และริมฝีปากที่สั่นระริก ต่อมาความรู้สึกกลับไปอยู่ท้ายทอย
คล้ายกับว่าบริเวณนั้นถูกกระแทกด้วยของหนัก
และถูกชอนไชด้วยของแหมลจนทะลุถึงสมองส่วนใน เจ็บแปลบและเสียวซ่านเป็นระยะ
เปลือกตาที่ปิดลงเริ่มกระชับแน่น บัดนี้มีแต่ความมืดที่เงียบสนิท ขณะเดียวกันสมองก็ยังรับรู้ถึงอาการที่กำลังเปลี่ยนแปลง
สติสัมปชัญญะก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่สูญหายไปไหน
ไม่นานนักบทพุทธคุณที่เป็นองค์ภาวนาในใจ ก็กลับกลายเป็นเสียงคนแก่เปล่งออกมา
เสียงฟังดูกระท่อนกระแท่นแต่ก็สวดจนจบบท มาถึงตรงนี้ทุกอย่างสงบนิ่ง
ข้าพเจ้ารู้จักการฝึกกำหนดจิตเป็นครั้งแรกด้วยคำถามที่ว่า
ท่านคือ...ใช่หรือไม่? เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็เรียบเรียงคำถามออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง
คำตอบที่ว่าใช่หรือได้คืออาการที่ศีรษะก้มลงหรือพยักหน้า
ส่วนคำตอบที่ว่าไม่ใช่หรือไม่ได้คืออาการของศีรษะที่ส่ายไปส่ายมาหรือสั่นหน้า
ในที่สุดข้าพเจ้าก็ทราบนามผู้มีพระคุณท่านแรกที่ลงมาโปรดและให้การช่วยเหลือ
ท่านผู้นั้นคือพระอริยะสงฆ์เจ้าพระองค์หนึ่งที่ได้ละสังขารไปนานแล้ว
และเป็นที่เคารพสักการะ บูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
เพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้นข้าพเจ้าจึงกำหนดจิตสอบถามจากผู้มีพระคุณท่านอื่น ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ตรงกัน
หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีคนข้างเคียงมาติดต่อขอซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ซึ่งข้าพเจ้าตกลงใจขายให้โดยไม่ลังเล
ได้เงินจำนวนหนึ่งมาชดใช้หนี้ให้ธนาคารจนหมดสิ้น
และมีเงินเหลือส่วนหนึ่งพอที่จะหาซื้อบ้านหลังใหม่ ถึงแม้จะมีขนาดเล็กลงก็ตาม
หลังจากนั้นมา
ข้าพเจ้ายิ่งได้ใจเวลานั่งสมาธิคราวใด
มักจะติดต่อสัมผัสทางจิตกับผู้มีพระคุณเหล่านั้นเสมอ แต่มาสำนึกได้ภายหลังว่า
เป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง
หากกระทำพร่ำเพรื่อหรือบ่อยครั้งเกินไปจะเป็นผลร้ายต่อตัวเองได้
เอาไว้เมื่อถึงคราวคับขันหรือจำเป็นจริง เท่านั้นจะดีกว่า
จึงหยุดการกระทำดังกล่าวมาเป็นเวลานานพอสามควร
และปรากฏการณ์ทางจิตที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ณ
วัดอัมพวันแห่งนี้
โดยได้รับการสื่อสัมผัสทางจิตจากพระอริยะสงฆ์เจ้าถึงสองพระองค์ โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้คาดคิดหรือนึกฝันมาก่อนเลย
ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนมาพร้อมกันที่หอประชุมภาวนากรศรีพา
เพื่อรอเวลาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
จะมาเป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยสวดมนต์ทำวัตรเย็น
และให้โอวาทแก่ผู้มาปฏิบัติธรรมและญาติโยมทั้งหลายจนเวลาล่วงเลยไปเกือบ ๑๕.๐๐ น.
จึงได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีอาการอาพาธอยู่
ไม่สามารถมาร่วมในพิธีการดังกล่าวได้ ทั้งอุบาสก อุบาสิกาและญาติโยมทั้งหลาย
ตลอดจนผู้มาปฏิบัติธรรมทุกคนต่างรู้สึกผิดหวัง
ที่ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมบารมีของพระเดชพระคุณท่าน
แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันตั้งจิตอธิษฐานขออำนาจแห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
และพระสังฆคุณได้โปรดอภิบาลพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้หายจากอาการเจ็บป่วยโดยเร็ว
สำหรับข้าพเจ้าแล้วแม้จะรู้สึกผิดหวังบ้างเล็กน้อย
แต่ในส่วนของจิตอันลึกล้ำ ข้าพเจ้าได้พบและกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลงพ่อจรัญ
ฐิติธัมโม ผู้มีพระคุณต่อข้าพเจ้าอย่างสูงยิ่งมาแล้ว
คืนนั้นข้าพเจ้าพักผ่อนอย่างเป็นสุข
จนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา จัดแจงอาบน้ำแปรงฟันจนเรียบร้อย
รอฟังเสียงเคาะระฆังเพื่อร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้า
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม แต่ข้าพเจ้ายังมีใจจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
เหลือบดูนาฬิกาก็แค่ตีสองกว่าๆ รู้สึกง่วงเล็กน้อยจึงเอนกายลงนอน
พร้อมกับกำหนดที่หน้าท้อง พอง-หนอ ยุบ-หนอ
พอสติเริ่มขาดหายก็ตามกลับมาใหม่เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง
จนกระทั่งมารู้สึกตื่นตัวเต็มที่เมื่อริมฝีปากเริ่มขยับเขยื้อน ปลายลิ้นม้วนตวัดเข้าหากันเป็นวงกลม
มีเสียงเล็ดลอดออกมาฟังดูหวีดหวิว พอตั้งสติได้แล้วจึงกำหนดจิตถามไป
ทราบว่าเป็นเปรตตนหนึ่งอิงแอบอาศัยอยู่ที่วัดอัมพวันแห่งนี้
ต้องตกระกำลำบากอดอยากมานาน จึงรีบแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้
ให้เขาล่วงพ้นจากความทุกข์ได้ไปผุดไปเกิดเสียที และรับปากว่าอีก ๒-๓ วัน
ข้างหน้าจะนำอาหารใส่บาตรอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลตามไปให้อีกครั้ง
เขารับรู้และดีใจอย่างมาก จากนั้นข้าพเจ้าก็ลุกจากที่นอน
เปิดประตูออกมายืนที่ระเบียงชั้นสี่พลางกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณซึ่งมืดมิด เพื่อมองหาเขาแต่ไม่พบไม่เห็น
สวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว
ข้าเพจ้าเดินจงกรมสลับกับการนั่งสมาธิจนครบกำหนดแล้วแผ่เมตตาออกไปสุดประมาณพร้อมกับอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปด้วย
จนเสร็จสิ้นการปฏิบัติกลับเข้าที่พักอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดขาวมาเป็นชุดปกติ
เพราะครบกำหนด ๗ วัน ของการปฏิบัติธรรม
และได้ลาสิกขากลับมารับศีลห้าก่อนหน้านี้แล้ว
ก่อนจะกลับได้ไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สถิตอยู่ที่วัดอัมพวัน
จากนั้นได้คุกเข่าลงที่ลานกว้างหันหน้าไปทางกุฏิของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ
ฐิตธัมโม ยกมือพนมแล้วก้มลงกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง
น้อมนำจิตเพื่อขอนมัสการ กราบลา
และขอให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณหายจากอาการอาพาธโดยเร็ว
เมื่อเดินมาถึงอาคารที่รับบริจาค หยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นเขียนระบุลงไปว่า
ขอให้หนี้สงฆ์ ค่าศาลาที่พัก ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำใช้น้ำดื่ม ค่าชุดขาว ๒ ชุด
ค่าหนังสือสวดมนต์ ๑ เล่ม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
พร้อมกับหยิบธนบัตรกลัดติดเข้าด้วยกันแล้วหย่อนลงในช่องรับบริจาค
จะว่าไปแล้วถึงจะใช้หนี้วัดและใช้หนี้สงฆ์เป็นเงินจำนวนสักเท่าใด
ก็ใช่ว่าจะชดใช้หนี้นั้นหมดสิ้น วิธีใช้หนี้ที่ดีที่สุดคือการเป็นผู้ประพฤติดี
ประพฤติชอบ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ กอปรด้วยกุศล
ให้สมกับเป็นพุทธบริษัทที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีแล้ว
ข้าพเจ้าหิ้วกระเป๋าเดินออกจากวัดด้วยหัวใจชุ่มชื่นเบิกบาน
เสียงพระสวดมนต์ยังก้องอยูในโสตประสาทตลอดเวลา
ก้าวพ้นประตูวัดมาเพียงเล็กน้อยจึงวางกระเป๋าลงหันกลับมาทางวัดพนมมือแล้วก้มลงกราบด้วยใจอันบริสุทธิ์
ก่อนจะเดินลับหายไปจากตรงนั้น
อันนี้สำคัญมาก
อยากจะขอร้องท่านที่มาปฏิบัติธรรมที่วัด
ไม่ว่าจะอยู่กี่วันก็ตามเมื่อจะออกจากวัดไป อย่าได้เดินดุ่มๆ
หรือรีบจ้ำอ้าวเพื่อให้พ้นไปเสียจากวัดเลย เมื่อก้าวพ้นประตูวัดมา เล็กน้อย
ขอได้โปรดหันกลับไปทางวัดเถิด
น้อมนำจิตด้วยการพนมมือกราบจะยืนกราบหรือคุกเข่าลงกับพื้นก็ได้
การกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงออกถึงการมีสัมมาคารวะ
และความสำนึกในบุญคุณของวัดที่มีคุณูปการแก่เราผู้มาปฏิบัติธรรม
และไม่ว่าท่านจะไปปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งหนตำบลใด ขอได้กระทำเช่นนี้ทุกๆ ครั้ง
เพื่อความเจริญก้าวหน้าเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านเอง
ข้าพเจ้าเดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพปลอดภัย
นั่นคงเป็นเพราะบารมี แห่งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
ที่ปกปักรักษาคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
ถัดมาอีกสองวันข้าพเจ้าตื่นแต่เช้ามืด หาซื้ออาหารปรุงสำเร็จที่ตลาดสดใกล้บ้าน
ก่อนนำใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาตโปรดสัตว์ตอนเช้า
อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวงที่แอบอิงอาศัยอยู่ที่วัดอัมพวัน
จังหวัดสิงห์บุรี เป็นการเฉพาะตามที่ได้รับปากเขาไว้
ขอผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่ที่ได้มาปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐานที่วัอัมพวันแห่งนี้จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้มารดาบิดาผู้ล่วงลับ
ญาติสนิทมิตรสหาย ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ผู้มีพระคุณทุกท่าน
เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายทั้งปวง เปรตและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง
ตลอดจนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายทั้งปวง จงประสพแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วหน้ากันเทอญ.
ชาตบุษย์
สมชาติ
พึ่งทอง
๒๔๒/๔ ถนนชนเกษม
ตำบลตลาด อำเภอเมือง
จังหวัด สุราษฎร์ธานี ๘๔๐๐๐
โทรศัพท์ ๐-๗๗๒๑-๗๗๗๖