กตเวทิตปูชา

โดย...  พันเอกหญิง วาสุนี  อนันตรพีระ

R17015

                        เอ๊ะ! ทำไมหลวงพ่อเทศน์เหมือนรู้เรื่องของเราเลย หลวงพ่อรู้ได้ยังไง ประโยคเหล่านี้ฉันได้ ยินอยู่ตลอดเวลา และฉันก็มักจะตอบไปว่า อย่าสงสัยเลย หลวงพ่อ "รู้" ทุกอย่างนั่นแหละทำไมฉันถึงมั่นใจขนาดนั้น ก็เพราะฉันประสบด้วยตัวเองถึงความ  “ รู้ ” ของหลวงพ่อ ทุกวันนี้ ย้อนคิดกลับไปเมื่อไรก็ต้องใช้ประโยคยอดฮิตที่ว่า “ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ” ทุกที

            ตั้งแต่ฉันเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ฉันเจอเหตุการณ์ที่ บ่งบอกว่าหลวงพ่อ “ รู้ ” มากมายหลายอย่าง   ทั้งที่เจอด้วยตนเอง และจากคำบอกเล่าของคนอื่น เหมือนๆ จะเป็นเรื่องเกินจริงแต่มันก็เป็นจริง ทั้งนี้ทั้งนั้นอะไรที่เกิดขึ้นในข้อเขียนชิ้นนี้ ฉันมิได้ต้องการชักจูงหรือโน้มน้าวให้ใครมาเชื่อตามฉัน     เพราะเราเป็นชาวพุทธที่แท้เราต้องพิจารณาตามหลัก “ กาลามสูตร ” ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ฉันเพียงต้องการให้คนที่อ่านได้รับรู้ถึง  “ผลดีของการฝึกกรรมฐานที่หลวงพ่อของเราใช้เวลาแทบจะทั้งชีวิตฝึกฝนมาจนได้สิ่งที่หลวงพ่อเรียกว่า “ เห็นหนอ ”  เท่านั้น นอกเหนือ จากนี้ใครก็ตามที่คิดว่าหลวงพ่อต้องให้ทุกอย่างที่ลูกศิษย์ขอ เพราะท่านไม่เคยขัด(ไม่ว่าเรื่องดี, ไม่ดีถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง)            ก็จะได้รู้เสียที่ว่าเป็นการเข้าใจผิดและเหมือนจะดูถูกภูมิปัญูญูาครูบาอาจารย์ไปเสียด้วยซ้ำ       เพราะฉันมั่นใจว่าทุกอย่างที่ หลวงพ่อตัดสินใจลงไปนั้นท่านรู้ทั้งหมด         ท่านรู้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น  และท่านต้องทำอย่างนั้น  อย่าลืมว่าหลวงพ่อท่านมีประสบการณ์ตรงในเรื่องกฎแห่งกรรมมามากมาย และท่านพร่ำสอนพวกเราทุกวันนี้ก็เรื่องของกรรมนี่แหละ กรรมใคร  ใครก็ต้องรับ เชื่อตรงนี้กันเถิด

            เมื่อกลางปี  ๒๕๔๐  ฉันมาวัดอัมพวันครั้งแรก  ทางฝั่งแม่ใหญ่โดยมีญาติมาด้วย ๑ คน  เราไม่ เคยพบหลวงพ่อเลย นอกจากในรูปบนหน้าปกหนังสือที่ได้รับแจก วันแรกนั้นต้องขึ้นไปรับศีล และฟังโอวาทบนศาลา ร.๕            ฉับได้ที่นั่งเกือบหลังสุด เรียกว่ามองเห็นหลวงพ่อแค่จีวรเหลืองๆ เท่านั้น   หน้าตานั้นไม่เห็นเลย (ฉันสายตาสั้นใส่แว่นแล้วยังไม่เห็น) แต่เวลาหลวงพ่อพูด ฉันกับหลานสะดุ้งหันมามองหน้ากับแล้วซุบซิบด้วยประโยคที่ว่า  “ อ๊ะเรื่องนี้เหมือนเรื่องของเราเลย หลวงพ่อรู้ได้ยังไง ” แต่ก็นั่นแหละพอลงจากศาลาฉันก็ลืมเหตุการณ์นั้นไปเลย        เดือนธันวาคม          ๒๕๔๐ ฉันพาคณะมา ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ในเรื่อง “ เวลา ”          กฎแห่งกรรม  เล่ม ๑๒) หลวงพ่อกรุณามาเป็นประธานเปิดการอบรม ตอนนั้นฉันเป็นหัวหน้าพยาบาล โรงพยาบาล ค่ายภาณุรังษี  ยศ พ.ท.  ตอนหนึ่งท่านถามฉันว่า พ.ท.หญิงวาสุณี  เมื่อไรจะเป็น พ.อ. ฉันกราบเรียนท่านว่าตำแหน่งหัวหน้าพยาบาลที่นี่สูงสุดแค่ พ.ท.            เท่านั้น  ท่านยังยิ้มและบอกฉันว่าก็ให้คนเก่าเขาย้ายไปเอานายพลซิ  เราจะได้เป็น  พ.อ. แทน  ถึงตรงนี้พวกเราก็มองหน้ากันแล้วอมยิ้มเพราะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะหนึ่งคนเก่า เขากะจะปักหลักอยู่ที่นี่จนเกษียณ  สองเขาเป็นหมอ ฉันซึ่งเป็นพยาบาลไม่มีสิทธิ์ขึ้นในตำแหน่งนี้ (แม้ว่าในทางปฏิบัติฉันก็เคยทำหน้าที่ในตำแหน่ง ผอ.รพ ค่ายภาณุรังษี มาถึง ๒ สมัยในปี ๒๕๒๗ และปี ๒๕๓๐ ก็ตาม) อย่างไรก็ตามเมื่อหลวงพ่อกล่าวจบฉันก็พนมมือรับพรของท่าน อีก ๑ ปีต่อมา ฉันก็ย้ายเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเอาตำแหน่ง พ.อ. (หลังจากที่ติดหนึบอยู่ใบตำแหน่ง พ.ท. นานถึง 8 ปี)  ตามคำพรของหลวงพ่อทุกประการ         ต่อมาฉันได้นำคณะมาปฏิบัติธรรมร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร (ทับแก้ว จ.นครปฐม ) อีก  หลาวพ่อลงมาให้โอวาทตอนหนึ่งท่านพูดถึงการที่ภรรยามาปฎิบัติธรรมทำให้ สามีได้เป็นนายพล แล้วท่านชี้มาที่ฉันพร้อมกับบอกว่าเมื่อ ได้ยศตำแหน่งสูงขึ้นแล้วให้ระวังสุขภาพ            ฉันก็พยายามดูแลตัวเองมาตลอดนับจากวันนั้น พอถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๔๒  ฉันก็ตรวจพบว่าตนเองเป็นมะเร็งจนได้ โชคดีที่พบแต่แรกจึงทำให้รักษาได้  ทั้งนี้ด้วยบารมีของหลวงพ่อที่แผ่เมตตาช่วยฉันไว้  เพราะสุขภาพฉันทรุดมากจากการให้ยาเคมีบำบัด         นึกว่าไม่รอดแล้ว ในช่วงที่ป่วยและให้ยานั้น  ฉันได้มากราบหลวงพ่อที่กุฏิ วันนั้นหลวงพ่ออารมณ์ดี   เทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังนานถึง ๒  ชั่วโมง  ด้วยความอยากให้หลวงพ่อพูดถึงสุขภาพ (ที่กำลังย่ำแย่จากการให้เคมีบำบัด) ว่าจะหายหรือไม่เพียงใด จึงคิดอยู่ในใจว่าอยากให้หลวงพ่อบอกวิธีปฏิบัติตัวในเรื่องนี้ ซึ่งวันนั้นฉันนั่งอยู่แถวที่ ๒  เยื้องกับหลวงพ่อเล็กน้อย มีระยะห่างราว 2 เมตรและหลวงพ่อหันหน้าไปทางอื่น           พอขาดความคิดของฉัน หลวงพ่อหับขวับมาทางฉัน และบอกว่าเคยมีคนที่ป่วยเป็นหูน้ำหนวกหนองไหลเยิ้มมานานหลายปีมาหาหลวงพ่อ     ท่านแนะให้ สวดพาหุงมหากาฯ  เขาก็หายได้ และมีตัวอย่างคนที่ป่วยและหายด้วยการสวดมนต์นี้อีก ๒ - ๓ ราย        นั่นก็คือ คำตอบที่ฉันได้รับ และแน่ละฉันก็ต้องกลับมาสวดมนต์ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ

            เหตุการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมด เริ่มทำให้ฉันรู้สึกว่าที่เคยมีคนพูดว่าหลวงพ่อรู้วาระจิตคนนั้น

เป็นความจริงขึ้นทุกที แต่ความที่เป็นคนเชื่อยากมาก และสงสัยได้ทุกเรื่อง (ถ้ายังไม่ได้รับคำตอบที่

เหมาะสมถูกต้องด้วยตนเอง)   จึงทำให้คิดว่าน่าจะลองถามหลวงพ่อใหม่อีกครั้งหนึ่ง พอดีช่วงปลายปี ๒๕๔๔ ฉันมาวัดอัมพวัน เพื่อช่วยคุณตา พ.ท.วิง ดูแลนักเรียบนายเรือชั้นปีที่ ๕  ซึ่งเข้ามารับการ อบรม และจะอยู่ช่วยรับเงินชะระหนี้สงฆ์ในวันปีใหม่ด้วย แล้วเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำไห้ ไม่สบายใจ พอตกกลางคืนราวสามทุ่มกว่า  ฉันนั่งสมาธิและตั้งคำถามเรื่องที่สงสัยให้หลวงพ่อทราบโดยฉันอยู่ที่เรือนพักและหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิชั่วคราวริมท่าน้ำ นั่นแหละ  พอวันรุ่งขึ้นฉันแวะไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิราวบ่าย ๒ โมง          ปกตินั้น หลวงพ่อเดินลงมาจากบันไดแล้วจะตรงไปขึ้นตั่งเลย แต่วันนี้ท่านไม่ไป  ท่านเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่ริมทางเดิน พอเหลือบมองเห็นเท้าหลวงพ่อมาหยุดอยู่ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมอง แววตาของหลวงพ่อบ่งบอกถึงความเมตตา  และรอยยิ้มของท่านนั้นแสดงถึง  ความรู้เท่าทันความคิดชองฉัน ท่านมองเหมือนมองเด็กซนๆ คนหนึ่ง  ที่ถูกจับได้ว่าทำผิด นั่นเป็นการยืนยันว่าท่านรับข่าวจากฉัน  ฉันมั่นใจ 100% ว่าหลวงพ่อ “ รู้ จริงๆ     นับจากวันนั่นเป็นต้นมาฉันต้องระวังความคิดและการกระทำของตัวเองตลอดเวลา ในช่วงแรกๆ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ฉันจะมากราบหลวงพ่อเพื่อฟังคำสอนของท่าน ๒ - ๓ เดือนต่อครั้ง มาครั้งใดจะต้องหาที่นั่งด้านหน้าเพื่อให้หลวงพ่อเห็นว่าฉันมากราบแล้ว (เหมือนเสนอหน้านั่นแหละ) พอช่วงหลังฉันมาวัดบ่อยขึ้นรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อตลอดเวลา (ทุกครั้งที่ทำผิดคำสอนของหลวงพ่อจะผุดขึ้นมาให้ไค้คิดเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา  เหมือนหลวงพ่อคอยสั่งสอนเราด้วยตัวท่านเอง) ฉะนั้นเวลามาหาท่าน ถ้าด้านหน้ามีที่ว่างก็นั่ง เพราะจะได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อชัดๆ แต่ถ้าด้านหน้าไม่ว่าง นั่งตรงไหนก็ได้ที่ฟังคำพูดของหลวงพ่อได้ยิน ครั้งหนึ่งฉันพาคุณแม่มากราบหลวงพ่อที่วัด ท่านทักว่าระวังอย่าให้คุณแม่ล้ม  ฉันกลับถึงบ้านก็คอยดูแลและเตือนคุณแม่ ว่าให้ระวังตัวเดี๋ยวจะล้ม จนท่านโมโหแล้วตอบมาว่า “ แม่รู้แล้ว หลวงพ่อเตือนแม่แม่จำได้ ” หลังจากนั้นประมาณ ๒ อาทิตย์ คุณแม่โทรศัพท์มาบอกตอนตี ๕ ว่าท่านล้มหัวฟาด          ฉันรีบวิ่งจากบ้านไปดูคุณแม่ ซึ่งอยู่บ้านหลังถัดไปห่างจากบ้านฉันราว ๕๐ เมตร          คั่นด้วยรั้วเดียวกัน และรีบพาไปส่งโรงพยาบาลราชบุรีทันที โชคดีที่รอดูอาการมา ๒ - ๓ วันแล้วก็ไม่มีอาการผิดปกติ อีกสามอาทิตย์ต่อมาฉันพาคุณแม่ มากราบหลวงพ่ออีกครั้ง ท่านสั่งว่าระวังคุณแม่ล้มนะ ฉันจึงกราบเรียนว่าคุณแม่ล้มหัวฟาดในห้องนอนไปแล้ว ท่านตำหนิฉันว่าไม่ระวัง ซึ่งฉันก็กราบเรียนซ้ำเหมือนจะแย้งท่านว่า “ แต่ตอนนี้คุณแม่ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ ” หลวงพ่อท่านจึงบอกว่า ที่คุณแม่ไม่เป็นอะไรเพราะล้มหัวฟาดในห้องนอนซึ่งหลวงพ่อเคยแผ่เมตตาในห้องนั้นตอนแวะมาฉันเพลที่ราชบุรึในการมาบรรยายพิเศษ เรื่องยาเสพติดให้กับ โครงการของฉัน (ในกฎแห่งกรรมเล่ม ๑๖) ถ้าล้มในห้องอื่นคงจะแย่ไปแล้ว

            หลังเหตุการณ์ของคุณแม่ผ่านไป เมื่อฉันแวะกราบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง  ท่านกรุณา ถามฉันว่าเมื่อไรจะได้เป็น พ อ.พิเศษ        ซึ่งฉันก็เรียนท่านไปว่า  “ คงจะมีโอกาสได้เจ้าค่ะ ”    หลวงพ่อท่านบอกทันทีว่า “ ไม่ใช่คงได้ แต่ต้องได้ ” ฉันจึงรีบรับพรพร้อมกับแน่ใจว่าต้องได้เป็น พ.อ.พิเศษแน่นอน จากที่หลวงพ่อถามในเดือนธันวาคม ๒๕๔๔ จนถึงมีนาคม ๒๕๔๕ เรื่องที่ทำท่าว่าจะได้ดูมัน

เลือนราง  จนฉันชักลังเลว่าจะได้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้     คืนหนึ่งฉันฝันว่าหลวงพ่อมาเทศน์โปรดที่บ้านคุณแม่ ท่านเรียกฉันเข้าไปหาและมอบพระให้ ๑ องค์  ฉันกำพระไว้ในมือแน่น ความรู้สึกในฝันนั้น เต็มตื้นด้วยความปลาบปลื้มใจ แล้วสะดุ้งตื่นตอน ๖ โมงเช้า จำได้ว่าเล่าให้สามีฟังอย่างตื่นเต้นทันที  ตกเดือนเมษายน ๒๕๔๕ คำสั่ง พ.อ. พิเศษ ของฉันก็ออกมาตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ  ทุกวันนี้ ฉันรอดูอยู่อีกข้อหนึ่งคือ ยศ พล.ต. ซึ่งหลวงพ่อพูดไว้ตั้งแต่วันปีใหม่ ปี ๒๕๔๕ และในวันเปิดโครงการมุทิตาสักการะเมื่อ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๕ (ฉันเชื่อมั่นว่าต้องได้ตามนั้น แต่กำหนดวันเวลาไม่ได้เท่านั้น)

            อีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งฉันเก็บความสงสัยมานานข้ามปี และไม่รู้จะสอบถามใคร เพิ่งได้คำตอบเมื่อเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๕ นี้เอง  นั่นคือฉันไม่เคยไปที่ศูนย์เวฬุวัน  จ.ขอนแก่นมาก่อนเลย

มากราบหลวงพ่อครั้งใดท่านก็จะถามฉันว่าเคยไปศูนย์เวฬุวันบ้างหรือยัง เคยเห็นกุฏิของหลวงพ่อที่ไฟไหม้แล้วเอามาปลูกใหม่ที่ขอนแก่นหรือยัง และสุดท้ายท่านก็ถามว่าเคยเห็นพระหยกหรือยัง ซึ่งทั้งสามประการนั้นฉันก็ไม่เคยไปเห็นเลย จึงกราบเรียนท่านว่าจะไปร่วมทอดกฐินที่ศูนย์เวฬุวัน ในปี ๒๕๔๔ เพื่อไปดูสิ่งต่างๆ ที่หลวงพ่อถามฉันทั้งหมด ฉันส่งชื่อขอรถเพื่อไปทอดกฐินจำนวน๔  คน และก็แปลกที่ได้รถเบอร์ ๑๓ น้องที่ไปด้วยบอกว่าไม่อยากไปรถคันนี้เลยเพราะเขากลัวเลข ๑๓  ฉันยังพูดว่าอย่าห่วงเลย เลข ๑๓ เป็นเลขที่ถูกโฉลกกับพี่ที่สุด ปีนั้นรถที่ไปทั้งขบวนมีราว ๒๕ - ๒๖ คัน ก็แล่นตามกับไปโดยออกจากวัดเกือบ ๔ ทุ่ม และไปถึงขอนแก่นตี ๕ กว่าๆ ก่อนจะถึงทางเลี้ยวเข้าเมืองรถเบอร์ ๑๓ ที่ฉันนั่งทำท่าจะชนกับรถบรรทุก เหล็กเส้นไปครั้งหนึ่งแล้ว โชคดีบารมีหลวงพ่อคุ้ม จึงรอดไปได้ พองานพิธีทอดกฐินเรียบร้อย ราวบ่ายเกือบ ๔ โมง เราเริ่มออกเดินทางกลับมีคนตั้งข้อสังเกตว่าปีนี้หลวงพ่อขึ้นเร็วกว่าปีก่อนน่าจะมีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ (ปีที่ผ่านมาเขาเล่าว่า หลวงพ่อยังอยู่เป็นกำลังใจให้นักแสดง และคุยกับญาติโยมจนถึงเย็น แต่(ปีนี้ไม่เหมือนเดิม ท่านกลับกุฏิเร็วมาก) รถคันที่ฉันอยู่พร้อมขบวนเพื่อเตรียมเดินทาง ก่อนรถออกเล็กน้อย           ฉันวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ที่สถานพักฟื้นเด็กของ    ดร. ลำไย  แล้วเริ่มออกเดินทางโดยมีรถที่แยกมาทางเดียวกัน(จะไปทาง  จ.ชัยภูมิ) สองคัน คือคันที่นำหน้าซึ่งฉันจำเบอร์ไม่ได้ และคันของฉันเบอร์  ๑๓ รถทั้งสองวิ่งจี้ตามกันมาด้วยความเร็วน่าจะเกิน ๑๐๐ กม./ชม.  แซงผ่านคันอื่นๆ มาตลอดราว ๑ ชั่วโมง ต่อมาฉันเริ่มรู้สึกผิดปกติ เพราะปวดปัสสาวะมากทั้งๆ ที่เพิ่งถ่ายก่อนขึ้นรถได้ไม่นาน  และนั่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขเลย           จึงเดินไปบอกคนขับรถว่าขอให้จอด  ถ้าไม่จอดต้องอาละวาดแน่เพราะปวดมาก    และไตเหลือข้างเดียวอีกข้างถูกตัดทิ้งไปแล้ว หากอั้นปัสสาวะไว้ ไตข้างที่เหลือจะอักเสบอันตรายมาก  เขาก็ละล้าละลังเพราะบรรยากาศเริ่มโพล้เพล้ ตะวันลับไปแล้ว            ความมืดเริ่มเข้ามา       ถ้าไม่ขับตามกันไปเขาอาจจะหลงและอาจเกิดปัญหาว่าเป็นรถต่างถิ่น          ตำรวจจะตรวจกันวุ่นวาย ฉันจึงสำทับว่าต้องจอดเดี๋ยวนี้  เรื่องอื่นๆ  เช่นตำรวจฉันรับผิดชอบเอง  เขาจึงกระพริบไฟเรียกรถคันหน้า  เจ้ากรรมรถคันหน้าวิ่งตะบึงไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น           คนขับจึงแวะเข้าปั๊มนำมันข้างทางทันที   ฉันรีบลงไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกับผู้โดยสารทั้งคันรถ ประหลาดมากที่ฉันไม่ยักถ่ายแล้วความปวดที่ มีมาตั้งแต่ต้นก็หายไป แต่ฉันก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร    การที่รถจอดนั้นคนทั้งรถเขาได้โอกาสเข้าห้องน้ำพอดี  จากนั้นกลับขึ้นรถ และนำอาหารกล่องออกมารับประทานกัน รถออกจากปั๊มน้ำมันราว  ๒๕ นาทีก็ถึงทางขึ้นเนินก่อนจะเลี้ยวโค้งไปทางขวาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังลั่นทุกคนตกใจหลายคนสวดมนต์และเรียกหาหลวงพ่อแต่โชคดีที่ยังมีสติ มีคนร้องบอกให้นั่งเฉยๆ อย่าลุกขึ้น รถส่ายไปมา เล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่งหลังลงเนินมาแล้ว  ทุกคนลงจากรถด้วยความอกสั่นขวัญแขวนปรากฏว่ายางรถล้อหน้าด้านซ้ายระเบิด ซึ่งคนขับยืนยันว่าเส้นนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่เมื่อ ๒  เดือนก่อนเมื่อสำรวจดูก็เป็นจริงเพราะดอกยางใหม่เอี่ยมเลย ทุกคนก็ต่างพูดคุยกันว่าถ้าเราไม่แวะที่ปั๊มน้ำมันเพื่อเข้าห้องน้ำคงแย่แน่  เพราะความร้อนของรถที่วิ่งกวดกันเร็วจี๋ตลอดเวลาเป็นชั่วโมงนั้นจะขึ้นสูงมาก        ที่สำคัญถ้ารถยางแตกขณะวิ่งเร็วๆ จะทำให้รถปัดและจะต้องพุ่งชนคันหน้า สิ่งที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นโศกนาฏกรรมแน่นอน อะไรเป็นเหตุให้ฉันปวดท้องกระสับกระส่ายมากจนต้องจอดรถแต่ทำไมพอรถจอดฉันกลับหายปวด และพอเปลี่ยนยางเรียบร้อยแล้ว ฉันขึ้นรถได้ก็หลับมาตลอดทางจนถึงวัดอัมพวัน ไม่เห็นมีอะไรวุ่นวายอีกเลย ฉันมาได้คำเฉลยจากรุ่นน้องคนหนึ่งที่ขอนแก่น เขาบอกว่าวันที่ทอดกฐินเสร็จ หลวงพ่อบ่นว่าเป็นห่วงรถ ๒ คัน ไม่รู้ไปถึงวัดหรือยัง ซึ่งมีรถคันหนึ่งน้ำไหลออกมาแทบจะท่วมรถ และอีกคันก็ น่าจะเป็นรถเบอร์ ๑๓ ของเรานี่แหละ น้องๆ ที่ไปด้วยกัน ตั้งข้อสังเกตว่าคงจะเป็นว่าหลวงพ่อส่งกระแสจิตของความห่วงใยมาไห้พวกเราซึ่งฉันเป็นผู้รับได้จึงทำให้ปวดท้องจนต้องจอดรถ ไม่เช่นนั้นรถสองคันที่ตามกับมาต้องชนกับตายแน่เลย ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อแต่ต้องเชื่อ เพราะทุกคนรับรู้เหมือนๆ กัน และที่สำคัญ ก็คือ หลวงพ่อถามฉันถึงเรื่องว่าฉันเคยไปที่ศูนย์เวฬุวันหรือไม่ถึงสามครั้งสามหน  ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ไปร่วมทอดกฐินในปี ๒๕๔๔  มาแล้ว ฉันก็มีความผูกพันกับศูนย์ฯ จนต้องไปที่นั่นทุกเดือนกระทั่งถึงทุกวันนี้

            ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงบางตัวอย่างที่หยิบยกมาให้ทุกท่านทราบ ใครที่เคยคิดว่าไม่มีโอกาสพบหรือพูดคุยกับหลวงพ่อ จะได้มั่นใจได้ว่าหาก "จิต" ของเรามีความรักเคารพและศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อแล้ว         หลวงพ่อจะรับการสื่อสารนั้นได้แน่นอน เพราะหลวงพ่อเคยสอนว่า ถ้าจิตของคนมีกระแสคลื่นเดียวกันก็รับกันได้เหมือนเราเปิดทีวีช่องใคก็จะรับข่าวสารทางช่องนั้นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราเปิดช่องเดียวกันหรือไม่ ท่านั้น

            ทุกวันนี้ฉันมีภารกิจที่จะรับใช้หลวงพ่อและพระศาสนาตามที่เคยตั้งจิตและปวารษาไว้ ฉันยังไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบใดแน่นอน  แต่ฉันเชื่อมั่นว่าหากหลวงพ่อได้มอบหมายให้ทำสิ่งนั่น ย่อมเหมาะสมกับสภาวะของฉัน และฉันสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ และใครก็ตามที่มีส่วน ในการช่วยเหลือภารกิจของหลวงพ่อในทางใดทางหนึ่งจงภูมิใจที่ได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณของ ครูบาอาจารย์ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้าท่านจากไปแล้ว ท่านจะรับรู้ได้อย่างไร  ส่วนคนที่ไม่มี โอกาสรับใช้หลวงพ่อก็อย่าน้อยไจ เพียงแค่ทำตนเป็นคนดี ประพฤติปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อ ทนเหนื่อยสั่งสอนเรามาให้ได้ ก็เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อที่แท้จริง ต้องรักใคร่สามัคคี ให้อภัยต่อความผิดพลาดซึ่งกับและกัน หากทะเลาะเบาะแว้งกัน หลวงพ่อของเรา จะหาความสุขจากที่ไหน  คิดดูว่าถ้าท่านเป็นพ่อเป็นแม่ ลูกไม่รักกัน มัวแต่อิจฉาริษยาทะเลาะกัน ไม่เว้นแต่ละวัน พ่อ-แม่จะมีความสุขหรือ หากตายก็ตายตาไม่หลับแน่นอน

            หลวงพ่อเหนื่อยมามากแล้ว ทั้งชีวิตของท่านทุ่มเทให้กับลูกศิษย์ เพื่อสร้างให้ลูกศิษย์เป็นคนดี มีปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิตได้ หากเราทุกคนยังมีปัญหาอยู่ หลวงพ่อท่านจะปล่อยวางได้อย่างไรปีนี้หลวงพ่ออาย ๗๕ ปี เราจะเห็นว่าสังขารของหลวงพ่ออ่อนล้าลงทุกวัน  คงมีเพียง "จิต" ของท่านเท่านั้นที่ยังเข้มแข็ง เพราะภาระของลูกศิษย์ที่ท่านแบกไว้ยังไม่จบสิ้น บางครั้งท่านเดินเซ บางครั้ง ลงมารับแขกหรือทำพิธีต่างๆ จะเห็นหลวงพ่ออดกลั้นต่อเวทนาต่างๆ จนหน้าแดงดำ ฉันสังเกตเห็นและต้องมีอีกหลายคนที่เห็นเช่นเดียวกัน ถึงเวลาหรือยังที่เราทุกคนจะหันหน้ามาสามัคคีและร่วมมือ

ร่วมใจกันทำให้หลวงพ่อปล่อยวางภาระและความห่วงใยพวกเราลงได้เสียที ก็เราทุกคนรักหลวงพ่อ

มิใช่หรือ

            สุดท้ายนี้คงต้องขอโทษหากญาติธรรมทั้งหลายจะมีความรู้สึกว่าฉันอวดดีมาสั่งสอน แท้จริง

เป็นการสะกิดเตือนด้วยความรักที่มีต่อศิษย์อาจารย์เดียวกัน  และความเคารพรักที่มีต่อหลวงพ่อเป็น

ประการสำคัญ ยังมีคนอีกมากมายที่รู้สึกเช่นนี้แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ ฉันขอเป็นตัวแทนของคนเหล่านั้นที่จะรวบรวมพลังจิตแห่งความรักอันบริสุทธิ์ทีมีต่อหลวงพ่อจรัญู ฐิตธัมโม มาเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้หลวงพ่อมีพลังกายและพลังจิตที่เข้มแข็งสืบต่องานของพระศาสนาไปตราบนาน

เท่านาน

            กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ลูก พ.อ.หญิง วาสุณี   อนันตรพีระ

กองวิทยาการ กรมการทหารช่างราชบุรี

โทรศัพท์  ๐-๑๐๐๗-๐๔๖๘,  ๐-๓๒๓๒-๑๘๔๔