กรรมยังไม่สิ้น

 

R3005

 

          เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๑ ชาววัดคู อ.พรหมบุรี ต้องโศกเศร้าและตระหนกตกใจ ในการตายของยายจำรัส สุภานิน คนบ้านใกล้เรือนเคียง แกเป็นอุบาสิกาของวัดคูทำบุญร่วมกุศล และถือศีลทุกวันพระเป็นประจำ (ประมาณ ๑ ปี) เป็นที่รู้จักรักใคร่ของคนทั่วไป อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ยายจำรัสกำลังสาละวนยืนหยิบขนมป้อนหลานอยู่บนชานบ้านพัก ปรากฏว่ายายจำรัสต้องล้มลงทันใดพลางเอามือลูบคลำตรงบริเวณที่ปวดแถบชายโครง เมื่อเหลียวดูปรากฏว่ามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ญาติพี่น้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่แกทนพิษบาดแผลไม่ไหว จึงสิ้นใจเสียก่อน แพทย์ได้ชันสูตรพลิกศพ ปรากฏว่าถูกกระสุนปืนขนาด ๑๑ มม. จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ตลอดจนพยานรู้เห็น ไม่สามารถจะจับตัวมือปืนได้ ไม่มีใครยิงปืนในบริเวณนั้น มีบางคนบอกว่า ขณะที่เขากำลังอาบน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยาหน้าบ้านของเขา ได้ยินเสียงคล้ายเสียงปืนดังปังทางฝั่งตรงข้ามแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก พออาบน้ำเสร็จแล้วกลับขึ้นมาจึงรู้ข่าวยายจำรัสถูกยิงตาย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพิจารณาสถานที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะภายในบริเวณบ้านตำบลบ้านแป้ง หมู่ที่ ๑ ก่อนเกิดเหตุ บริเวณชานเรือนมีไม่ระแนงตีกั้นเป็นช่องโดยรอบ หากยิงปืนจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ข้ามมายังบ้านผู้ตายแล้วความเร็วแรงของกระสุนวิถีจะอ่อนลงตามลำดับ เพราะความกว้างของแม่น้ำตอนเกิดเหตุมีระยะทางหลายร้อยเมตร ยิ่งเป็นลูกปืนขนาด ๑๑ มม.ด้วยแล้วก็คงเป็นปืนพกเท่านั้น ระยะยิงไกลก็เพียง ๕๐ หลา ระยะแม่นยำหวังผลก็เพียง ๒๕ หลาเท่านั้น หากกระสุนวิถีข้ามผ่านมาได้จริง เหตุใดเล่าจึงไม่กระทบไม้ระแนงซึ่งตีกั้นไว้อย่างถี่ยิบ ทำไมจึงลอดช่องอย่างจำเพาะเจาะจงมาถูกยายจำรัสถึงแก่ความตายได้ เมื่อการสอบสวนไม่เป็นผล ทางญาติพี่น้อยได้จัดการฌาปนกิจศพยายจำรัสตามประเพณี อยู่มาไม่นานนัก วิญญาณของยายจำรัสได้ล่องลอยวนเวียนอยู่ระหว่างวัดคูกับวัดอัมพวัน และที่ใกล้เคียง ยังมีความห่วงหิวโดยรอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงและต้องการปฏิบัติกรรมฐาน ดังจะเห็นได้ในปรากฏการณ์บางอย่างที่แสดงออกในลำดับต่อไป

 

            วันหนึ่งเป็นวันธรรมสวนะ อุบาสกอุบาสิกาชาววัดคู คงจำศีลอยู่ที่ศาลาตามที่เคยปฏิบัติมา เมื่อตะวันคล้อยลอยต่ำใกล้สนธยา อุบาสกอุบาสิกาต่างก็ลงบันไดเดินกลับบ้านของตน ในทันไดนั้นเอง สายตาทุกคนก็มองเห็นหญิงคนหนึ่งเดินออกหน้า เมื่อพิจารณารูปร่างลักษณะโดยถ่องแท้แน่ใจแล้ว ก็แน่ใจว่า “...เอ นั้นมันเป็นจำรัสนี่นา” ก็เผาผีมันไปแล้ว ทำไมยังมาเดินลอยนวลอยู่ได้อีกเล่า

 

            จึงเป็นที่เลื่องลือกันมาไม่จบสิ้น เพราะพวกอุบาสกอุบาสิกาไม่เคยเชื่อว่าวิญญาณมีจริงมานานแล้ว เมื่อประสบเข้าเช่นนี้ จึงเชื่อแน่ว่าวิญญาณต้องมีแน่ ๆ อย่าสงสัย

 

            กาลเวลาผ่านไปไม่นานนัก วิญญาณนางจำรัส สุภานิน ได้เข้าสิงสู่อยู่กับ นางบุญชูศรี พวงวงษ์ ตั้งป้านเรือนอยู่หลังวัดอัมพวันและทำงานอยู่โรงเรียนวัดอัมพวันมาเป็นเวลาหลายปี นายสงวน ได้เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟังอย่างน่าอัศจรรย์และได้บันทึกเรื่องราวด้วยตนเองและยินดีให้ลงเรื่องต่ง ๆ ที่เกิดกับภรรยาของตน ตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อเป็นวิทยาทานต่อสาธุชน ได้พิจารณาค้นหาสาเหตุแห่งความจริงในเรื่องวิญญาณนั้นมีจริงหรือไม่

 

            นายสงวนได้เล่าว่า เมื่อเดือน ๙ ข้างขึ้นในปีนั้นนางชูฯ ได้ป่วยเกี่ยวกับโรคประจำตัวปวดข้อมือและข้อเท้ามีอาการกระตุกอยู่เสมอ วันนั้นปวดทุรนทุรายจนญาติพี่น้องช่วยกันบีบนวดและขึ้นทับทั้งตัว อาการของคนไข้รู้สึกทุเลาลงเมื่อเวลาประมาณบ่าย ๔ โมง อยู่ต่อมาชั่วระยะหนึ่งประมาณ ๑ ทุ่มเศษ อาการของนางชูฯ ก็กำเริบขึ้นอีก ญาติพี่น้องก็ช่วยกันบีบนวดกันจนอยู่ถึงเที่ยงคืน อาการก็ทุเลาลงและหลับไปจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ ญาติพี่น้องจึงลากับบ้านของตน ส่วนนายสงวนก็ออกไปทำงานที่โรงเรียน คงปล่อยให้ภรรยาอยู่บ้านตามลำพัง เมื่อนายสงวน ทำงานเสร็จได้เห็นภรรยานั่งพิงโอ่งน้ำอยู่ข้างโรงเรียนและหันหลังให้ นายสงวนจึงร้องถามว่า “แกมาทำไมที่นี่” นางชูฯ ตอบว่า “มาช่วยแกถูโรงเรียนนะซี” นายสงวนจึงบอกไปว่า “ข้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ทันใดนั้นเองนางชูฯ ก็เดินกลับไปบ้าน แต่ไม่ยอมขึ้นบ้าน คงเดินเลยไปในวัดไปขอข้าวแม่ชีกิน แม่ชีได้ถามว่า “แกมายังไงกัน” แม่ชูฯ ตอบว่า “พ่ออ้ายยุทธเขาไม่ให้กินข้าว” แม่ชีจึงหาอาหารมาให้กิน แต่อาการนางชูฯ เป็นที่ผิดสังเกต นัยน์ตาขวาง ไม่ยอมมองหน้าคน เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ก็เดินไปหยิบกระเทียมของแม่ชีจะเอาไปบ้านตน นายสงวน จึงได้ทัดทานไว้โดยพูดว่า “แกจะเอาของเขาไปไหน” นางชูฯ ได้ตอบว่า “ก็เป็นของ ๆ เราเอาไปบ้าน” นายสงวนจึงได้ยื้อแย่งเอากระเทียมของแม่ชีเก็บไว้และจึงรีบพาตัวภรรยากลับบ้านของตน และนายสงวนได้รีบหุงข้าว จัดอาหารให้ภรรยากิน นางชูฯ ก็เข้าไปกินอย่างผิดวิสัยคนธรรมดาเสียแล้ว โดยเอาน้ำปลาราดลงไปในข้าว แล้วกินได้กินดี เวลาประมาณ ๓ โมงเช้า พวกญาติพี่น้องได้มาเยี่ยมอีกตามเคย แต่ครั้งนี้ นางชูฯ ไม่ยอมมองหน้าคนได้แต่พูดพร่ำรำพันไม่เป็นเรื่องเป็นราว มองดูบ้านของตัวก็บอกว่าอ้ายนั่นก็สวยอ้ายนี่ก็สวยไปทั้งนั้น

 

            ป้าจ๊ะได้เอ่ยปากพูดกับนายสงวนว่า “อ้าทิดผิดท่าเสียแล้ว เอ็งรีบไปตามหมอมาด่วน” นางชูฯ ได้ยินจึงสวนคำขึ้นว่า “หาหมออะไรกันไม่ได้ไม่ดีก็หาว่าผี” และนางชูฯ ก็พูดไปต่าง ๆ นานา และขอหมากกินติด ๆ กัน ๓ คำ จึงเป็นที่ผิดสังเกตของพี่น้อง ที่จ้องดูอาการอยู่ด้วยความเป็นห่วง ป้าจ๊ะ จึงพูดด้วยเสียงดังขึ้นว่า “อีนี่ผีกินเสียแล้ว” นางชูฯ ได้ยินจึงพูดขึ้นว่า “อะไรก็ผีอะไรก็ผีกิน ขอหมากให้กูกินอีกหนึ่งคำ” ขณะนั้นเองนางชูฯ ก็ทำท่าทางต่าง ๆ นานา เอามือข้างหนึ่งลูบคลำบริเวณสีข้างนาน ๆ ก็ลูบคลำอีกป้าจ๊ะจึงถามว่า “มึงคลำทำไม” นางชูฯ ตอบว่า “มันเจ็บ” นายสงวนถามว่า “ทำไม่ถึงเจ็บอยู่ดี ๆ เจ็บอย่างไรกัน” นางชูฯ ตอบด้วยความโมโหว่า “แหม! อ้ายหงวน มึงไม่รู้จักกูหรือ กูมาเยี่ยมอีชูฯ มันเป็นน้องสาวกู” ป้าจ๊ะจึงถามว่า “มาอย่างไรกัน” นางชูฯตอบว่า “มากับพวกที่ไปเรียนนักธรรม เลยแวะมาเยี่ยมอีชูฯมัน เพื่อขอหมากมันกิน” ป้าจ๊ะถามว่า “ทำไมเขาทำไปให้ไม่ได้กินหรือ” นางชูฯตอบว่า “มากับพระขอทิดมงคล อีขวัญ เขาก็ไม่ให้ขอพี่สีเขาก็ไม่ให้กิน เลยแวะมาเยี่ยมอีชูฯมัน” ป้าจ๊ะได้พูดว่า “ได้กินแล้วก็ไปเสียซิ” นางชูฯตอบว่า “กูไม่ไปจะอยู่กับอีชูฯมัน จะเข้าไปอยู่กับหลวงพ่อ เคยมาปฏิบัติกรรมฐานอยู่กับท่าน เจ้าของวัดเขาก็ไม่ให้เข้า” ป้าจ๊ะถามว่า “ใครยิงมึง ๆ รู้ไหม” นางชูฯ ตอบว่า “กูรู้แต่ไม่บอก เราเคยทำมาอย่างไรก็ใช้กรรมไป” นายสงวนเห็นท่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบไปตามนายบ่าย ซึ่งเป็นพ่อมาจัดการไล่ผียายจำรัส ให้ไปจากร่างนางชูฯเสีย เมื่อนายบ่าย มาถึงก็ถามนางชูฯว่า “แกตายไปแล้วก็ขอให้ไปอยู่ที่อื่น จะมาอยู่กับนางชูฯ ไม่ได้” นางชูฯตอบว่า “กูยังอยู่ที่ไหนไม่ได้ จะเข้าไปอยู่วัดกับหลวงพ่อก็ไม่ได้ เจ้าของวัดเขาไม่ให้เข้า” นายบ่ายถามว่า “เดี๋ยวนี้เอ็งอยู่ที่ไหน” นางชูฯ ตอบว่า “กูอยู่ต้นมะพลับหลังวัด” เมื่อการเจรจาขอร้องให้ไปเสียโดยดีไม่เป็นผล นายบ่าย จึงเอามือจับศีรษะนางชูฯ แล้วเป่าลง ๓ หน นางชูดิ้นอย่างปลาถูกทุบและได้ร้องขึ้นสุดเสียง เงียบไปประมาณ ๑๐ นาที นางชูฯก็รู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาเห็นทุกคนเต็มบ้าน จึงถามว่า “มาอย่างไรกัน” พี่น้องพวกนั้นก็พูดว่า “ผียายจำรัสมาเข้ามึง” นางชูฯพูดว่ามาเข้าเมื่อไรไม่รู้สึกตัวเลย ต่อจากนั้นนางชูฯ ก็หายเป็นปกติอยู่มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้

 

            จากเหตุการณ์ปรากฏดังกล่าวข้างต้น เป็นหลักฐานยืนยันว่า วิญญาณนั้นมีจริง ได้เรียนถามท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ในเรื่องนี้ ท่านอธิบายชี้แจงว่า วิญญาณจะมาทาบกับจิตของคนไข้ชั่วขณะหนึ่ง จะทำให้คนไข้นั้นไม่ได้สติ จะพูดจะโต้ตอบตามผู้ซักถาม แสดงอาการเหมือนกับบุคคลผู้นั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ กรณีวิญญาณยายจำรัสนี้ แสดงว่ากรรมยังไม่สิ้น ยังมีความหิวโหยรอการช่วยเหลือและมีความปรารถนาใคร่ธรรม แต่ก็มีวิญญาณเจ้าของที่คอยกีดกัน มิให้เข้าร่วมอุโบสถ จึงให้ชื่อเรื่องว่า “กรรมยังไม่สิ้น” จะถูกผิดอย่างไร ขอให้ผู้รู้ช่วยเสนอแนะ ยินดีรับฟังและจะได้แก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป

 

จากหนังสือประวัดิและผลงานของพระครูภาวนาวิสุทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๐

 

-----------------------