ภาวนารักษาโรคมะเร็ง

พันเอก วิโรจน์ ทสยันไชย

R4003

           

            เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ข้าพเจ้ารับราชการเป็นอนุศาสนาจารย์กองทัพภาคที่ ๒ ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมาได้ป่วยเป็นโรคทางเดินปัสสาวะ จึงไปรับการรักษาตัวที่ รพ.ค่ายสุรนารี หมอรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และในระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามีก้อนเนื้อแงเป็นไตแข็งอยู่ใต้ใบหูด้านขวา เมื่อเห็นว่าอาการโรคทางเดินปัสสาวะทุเลาแล้ว จึงได้ขอร้องให้หมอช่วยทำการผ่าตัดออกให้ โดยที่ตัวเองและหมอก็ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร

            พันโท นายแพทย์วณิช จึงได้ทำการผ่าตัดและได้จัดส่งก้อนเนื้อนั้นไปให้โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ทำการตรวจอีกครั้งว่าเป็นโรคอะไร ครั้นต่อมาทาง รพ.พระมงกุฎฯ ได้แจ้งว่า ก้อนเนื้อนั้นมีเชื้อมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ข้าพเจ้าจึงถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ด่วน เพื่อรับการรักษาต่อ ทางโรงพยาบาลได้รีบทำการผ่าตัดด่วนที่สุดบริเวณที่ใต้ใบหูอีกครั้งหนึ่ง ได้อยู่ รพ.พระมงกุฎฯ ๒ เดือน ก็ได้ออกจากโรงพยาบาล โดยได้รับการฉายแสง ๑๐ ครั้ง

            อยู่ต่อมาอีก ๒ ปี คือในปี พ.ศ. ๑๕๒๖ ข้าพเจ้าย้ายมารับราชการที่กองทัพภาคที่ ๑ ใบหูด้านขวาของข้าพเจ้าก็เปื่อยมีเลือดและน้ำเหลืองไหลออกมา และมีอาการคันอย่างยิ่ง แสดงว่าโรคมะเร็งได้กำเริบขึ้นมาอีก ผ่าตัดถึง ๒ ครั้งแล้วก็ยังไม่หาย หมอที่กองทัพภาคที่ ๑ ได้แนะนำให้เข้า รพ.ด่วนที่สุด อาจารย์สมใจ กอรปสิริพัฒน์ บุตรสาวของข้าพเจ้า ได้พาไปยังโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เพื่อรับการรักษา เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า ที่ใต้ใบหูของข้าพเจ้านั้น ไม่มีส่วนใดที่จะให้ผ่าตัดอีกแล้ว ผ่าอีกทีก็ต้องตัดใบหูทิ้ง ถ้ามันจะหายเพราะการผ่าตัด มันก็คงจะหายไปแล้ว หากเข้าไปโรงพยาบาลอีก ก็มีแต่จะตายกับตายลูกเดียว เพราะมะเร็งไม่เคยไว้ชีวิตใคร

            ข้าพเจ้าคิดว่า ไหน ๆ จะตายก็ไปตายที่วัดดีกว่า ขณะนั้นทางกองอนุศาสนาจารย์ กำลังจัดส่งอนุศาสนาจารย์ระดับยศพันโทลงไป ให้ไปฝึกกรรมฐานรุ่นแรกกับพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ) วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ที่จะต้องไปฝึกกรรมฐาน แต่ก็ได้ตกลงใจสมัครไปฝึกกรรมฐานร่วมกับคณะด้วย เพื่อรักษาโรคมะเร็งที่กำลังคุกคามอยู่

            เมื่อไปถึงวัดอัมพวัน หลวงพ่อเห็นว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคมะเร็ง จึงจัดกุฏิที่พักให้เป็นพิเศษ ไม่ต้องพักรวมกันหมู่คณะ อยู่คนเดียวเป็นกุฏิหลังเล็ก ๆ ด้านท้ายวัด และได้เริ่มทำการฝึกกรรมฐานในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๒๖ เวลา ๑๓.๓๐ น. กิจเบื้องต้นในการฝึกกรรมฐานคือ

๑.    สมาทานศีล ๘ ร่วมกับคณะอนุศาสนาจารย์ที่ร่วมการฝึก

๒.    ตั้งจิตอธิษฐานขอให้เห็นธรรม ที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่การปฏิบัติ

๓.    ตั้งจิตอธิษฐานถือมังสวิรัติ (กินเจ) ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งทางวัดรับทำอาหารเจให้สำหรับผู้ต้องการทานอาหารเจ

เนื่องจากตนมีโรคร้ายเบียดเบียนคือ โรคมะเร็ง ขณะเข้าปฏิบัติกรรมฐานมีแผลที่บริเวณหูด้านขวา มีน้ำเหลืองน้ำหนองและเลือดที่ช้ำเลือดช้ำหนองไหลออกตลอดเวลา บางครั้งเอาแก้วมารองรับเลือดที่ไหลออกมา ซึ่งหยดติ๋ง ๆ เลือดไหลออกมาจนเต็มแก้ว มีอาการปวดแผลมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานด้วยบุญบารมีที่ได้ทำมาในอดีตและกุศลกรรม คือการภาวนาที่จะได้บำเพ็ญต่อไปนี้ จงดลบันดาลขอให้ตัวเองหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่กำลังเป็นอยู่ด้วย

ข้าพเจ้าและคณะได้ทำการฝึกกรรมฐานตามตารางที่ท่านกำหนดให้ เริ่มตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ น. จนกระทั่งถึง ๒๔.๐๐ น. ทุก ๆ วัน มีการเดินจงกรม สวดมนต์ แผ่เมตตา นั่งสมาธิ ฟังธรรม ฟังการบรรยายธรรมจากหลวงพ่อสลับกันไป ตลอด ๑ วัน ๑ คืน

ผลปรากฏทางร่างกาย

            ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ ข้าพเจ้ารู้สึกเบาเนื้อเบาตัว อาการปวดตามข้อตามร่างกายหายไป รู้สึกมีอาการปวดหน่วง ๆ ที่ขาเหนือหัวเข่าด้านซ้าย จึงเปิดกางเกงที่คลุมอยู่ดู รู้สึกตกใจมาก เพราะมีเลือดสีดำไหลไปรวมกันอยู่ในบริเวณขาเหนือข้อพับหัวเขา มีบริเวณที่เป็นเลือดสีดำคั่งอยู่ประมาณเท่าฝ่ามือ เป็นโลหิตสีดำอย่างดินหม้อน่าเกลียดมาก จากการปวดหนักหน่วงตามขาด้านซ้ายบริเวณที่เลือดคั่งอยู่ จึงได้มากราบเรียนให้หลวงพ่อทราบและเปิดขาให้หลวงพ่อดู รวมทั้งเพื่อนอนุศาสนาจารย์ก็ได้ดูด้วย หลวงพ่อท่านดูแล้วก็บอกว่า “โรคผุด”  โรคจะหาย คือโรคที่อยู่ในร่างกายเรานี้ มันไหลไปรวมกันอยู่ในที่เดียว คือ ในที่เราเห็นนั้น ต่อไปอาการที่ดำนี้ก็จะหายไปเอง แต่ต้องทาน้ำมันกินยาช่วย หลวงพ่อก็ไปจัดน้ำมันมนต์และจัดยามาให้ทาน

            หลังจากทานยาเม็ดที่หลวงพ่อให้แล้ว มีอาการมีก้อนเนื้อเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามร่างกายทั่วไป มีอาการคันมาก เมื่อก้อนเนื้อผุดเป็นผื่นขึ้นมาแล้วแตก มีน้ำเหลืองไหลออกเล็กน้อยแล้วก็แห้งหายไปและหายคัน อาการเป็นอยู่อย่างนี้ จนถึงวันเสร็จสิ้นการฝึกกรรมฐาน อาการที่ว่านี้จึงทุเลา และอาการปวดแผลนั้นก็ทุเลาหายไป สำหรับบริเวณที่เหลือไปคั่งอยู่ที่เหนือหัวเข่านั้น ต่อมาก็มี น้ำเหลืองไหลซึมออกมาตามเส้นที่ใต้ข้อพับหัวเข่า โดยที่ไม่มีแผล แต่การมีน้ำเหลืองไหลออกมามาก จนขากางเกงเปียกเพราะน้ำเหลืองไหออกมามาก ไหลอยู่หลายวันหายไปเอง แผลที่หูก็พลอยแห้งหายไปด้วย และก็หายมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นับว่าข้าพเจ้ารอดตายจากโรคมะเร็งได้อย่างประหลาดมหัศจรรย์ เพราะบารมีหลวงพ่อช่วยชุบชีวิตให้ใหม่

ผลปรากฏทางจิตใจ

            การฝึกจิตในวันที่ ๑๒-๑๓ กันยายน ๒๕๒๖ มีทุกขเวทนา อารมณ์ส่ายมาก นอกจากนั้นจิตยังติดการภาวนาแบบ “พุทโธ” ที่ตนเคยปฏิบัติเป็นประจำ

            ในวันที่ ๑๔-๑๕ กันยาน ๒๕๒๖ เดินจงกรมดีขึ้น การนั่งสมาธิคล้ายคนเอาเข็มมาแทงตัวจนสะดุ้ง และมีอาการคล้ายมดไต่ไปตามตัว จนต้องเอามือจับออกแต่ก็ไม่มีอะไร

            ในวันที่ ๑๖-๑๗ กันยายน ๒๕๒๖ ทุกขเวทนาน้อยลง จิตดิ่งเข้าสู่ความสงบดี มีการการวูบลงเหมือนตกเหว มองเห็นตัวเองเห็นท้องตัวเองพองขึ้นยุบลง เวลาจิตเคลื่อนออกจากสมาธิออกตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ตรงเวลาทุกครั้ง และอาการที่จิตถอนออกจากสมาธินั้น เหมือนสิ่งที่จมน้ำอยู่แล้วลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อดูเวลาก็ปรากฏว่าตรงกับเวลาที่ตนตั้งใจไว้ว่าจะออกก่อนนั่งสมาธิ

            วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นวันที่ครบกำหนดการฝึกกรรมฐาน และจะออกจากการฝึกกรรมฐาน วันนั้นเวลา ๐๕.๓๐ น. ข้าพเจ้าได้ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศล ณ กุฏิที่พักให้แก่บิดา มารดา บุตร ภริยา ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ และผู้รู้จักคุ้นเคยเคารพนับถือที่ล่วงลับไปแล้ว โดยระบุชื่อทุกคนที่แผ่ส่วนกุศลให้ เมื่อแผ่ส่วนกุศลระบุชื่อ “พระธรรมนิเทศทวยหาญ” หัวหน้าอนุศาสนจารย์คนแรก ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตนเอง คือ

            ตัวเองรู้สึกมีอาการขนลุกขนพอง ตื้นตันใจ น้ำตาไหลพรากสะอื้นขึ้นเองเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงกับร้องไห้ โดยมีอาการเป็นไปเองตัวเองบังคับตัวเองไม่ได้ แล้วตนเองก็เปล่งวาจาขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า “ทุกข์ทรมานมานานแล้ว พึ่งจะหมดเวรหมดทุกข์วันนี้ ขอขอบใจที่แผ่ส่วนกุศลให้” แล้วตนเองก็ฟุบหมอบลงไปที่หมอน หมอบอยู่นานจึงมีอาการเข้าสู่ภาวะปกติ และแล้วก็ได้ลุกขึ้นแผ่ส่วนกุศลให้บุคคลอื่นต่อไป

            เรื่องนี้ ได้เล่าอาการที่ปรากฏให้หลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณทราบ ท่านบอกว่า ที่เราแผ่ส่วนกุศลไปให้นั้น แสดงว่าคนที่เราแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาได้รับส่วนบุญ และตัวเราเองก็จะหมดเวรหมดกรรมหมดทุกข์ร้อนเสียที และในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๖ เป็นวันที่เราออกจากกรรมฐาน สมาทานศีล ๕ ทำบุญร่วมกัน ถวายผ้าป่า และได้กราบลาหลวงพ่อกลับต้นสังกัด

            สำหรับข้าพเจ้านั้น ก็รอดตายมาเพราะการภาวนาที่วัดอัมพวัน โดยหลวงพ่อเป็นผู้ฝึกกรรมฐานให้เมื่อกลับจากฝึกกรรมฐาน ตนเองก็สามารถมาทำงานที่กองทัพภาคที่ ๑ ได้ตามปกติ ไม่ต้องมีการลางานและเข้าโรงพยาบาลกันอีก หูที่เป็นแผลเน่าเปื่อยก็หายไป ใครที่เห็นหูข้าพเจ้าเปื่อยและหายได้ ต่างก็อัศจรรย์กันทุกคน เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๓ นี้ ข้าพเจ้าได้ไปงานสมโภชปริญญาศิลปศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ของพระราชสีมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ณ วัดพรหมราช อ.ปักธงชัย พระศรีธรรมาภรณ์รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ได้มาขอจับดูหูของข้าพเจ้าว่าหูของข้าพเจ้าหายจริง ๆ หรือ

            คนที่เป็นมะเร็งในระยะแรกนั้น อาจจะรักษาโดยวิธีผ่าตัดได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งมากแล้วนั้น ยากที่จะรักษาให้หายขาดได้ มีตายกับตายลูกเดียว คุณไพเราะ ทสยันไชย ภริยาของข้าพเจ้าเป็นโรคมะเร็งทีหลังข้าพเจ้า ก็ตายเพราะโรคมะเร็ง หลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งเพียบ ๒ เดือน พันโทวณิชฯ ซึ่งเป็นนายแพทย์ผ่าตัดข้าพเจ้าที่ รพ.ค่ายสุรานารีนั้น ก็ตายเพราะโรคมะเร็ง สำหรับข้าพเจ้าที่รอดตายมาได้จนถึงขณะนี้ เพราะบารมีของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณโดยแท้ มีชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ และก็ดูเหมือนจะเกิดใหม่จริง ๆ เพราะตั้งแต่ข้าพเจ้าไปภาวนารักษาโรคมะเร็งที่วัดอัมพวัน ข้าพเจ้าก็ถือมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อสัตว์ตั้งแต่บัดนั้น ชีวิตเลือดเนื้อของข้าพเจ้าในขณะนี้ จงเป็นชีวิตใหม่เลือดเนื้อใหม่ ไม่ใช่เลือดเนื้อที่ปนด้วยเนื้อสัตว์

เรื่องญาณของหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณ

            ข้าพเจ้าได้เห็นอภินิหารเกี่ยวกับญาณของหลวงพ่อมาแล้ว คือการทราบสิ่งต่าง ๆ เมื่อภริยาของข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคมะเร็ง นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ข้าพเจ้าไปเรียนถามท่านว่าจะรอดไหม ท่านก็บอกว่าจะไม่รอด แล้วก็ไม่รอดจริง ๆ ข้าพเจ้าได้เริ่มหาทุนเพื่อสร้างอุโบสถเจดีย์ที่วัดป่าศรีไพโรจน์ ได้เริ่มหาทุนในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้า ที่วัดป่าสาลวันเป็นแห่งแรก ในวันบูรพาจารย์ ได้เงิน ๗,๙๐๐ บาท

            ต่อมาในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยพระครูสนิท โกสโล เจ้าอาวาสวัดคลองเตยมีพระติดตามอีก ๑ รูป คฤหัสถ์ ๘ คน ได้เดินทางไปถวายสักการะพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก และจะเดินทางต่อไปยังวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ได้ไปแวะพักที่วัดอัมพวัน ๑ คืน

            พวกเราไปถึงวัดอัมพวันประมาณ ๓ ทุ่ม ได้เข้าไปกราบหลวงพ่อ เพื่อขอบารมีพักด้วย เมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้า หลวงพ่อท่านปรารภขึ้นว่า จะสร้างอุโบสถในที่ดินที่ถวายอาจารย์ฝั้นใช่ไหม ข้าพเจ้าก็งง เพราะยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบมาก่อน ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร และหลวงพ่อก็พูดต่อไปอีกว่า อาตมาจะขอร่วมทำบุญสร้างอุโบสถด้วยได้ไหม ท่านบอกว่า ท่านรู้เรื่องข้าพเจ้าและคณะจะมาหาท่านตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว เมื่อว่านนี้ก็พูดปรารภถึงอยู่ และ เงินที่จะขอทำบุญร่วมก็ได้จัดใส่ซองเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

            ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกขนชัน ปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เรียนท่านว่าเป็นพระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ที่หลวงพ่อจะร่วมทำบุญด้วย ซึ่งกระผมไม่ได้คาดคิดมาก่อน เป็นบุญหล่นทับลงมาให้เองโดยไม่คาดฝัน และในที่สุดหลวงพ่อได้ขึ้นไปบนกุฏินำซองที่ใส่เงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท มามอบให้แก่ข้าพเจ้าท่านกลางศิษยานุศิษย์ของท่านเป็นจำนวนมาก และต่อหน้าคณะของข้าพเจ้าที่ไปด้วยกันทุกคน ท่านบอกว่า เงินที่บริจาคนี้ ถือเป็นกองทุนสร้างอุโบสถ เมื่อท่านได้ก่อตั้งเป็นกองทุนให้แล้ว ก็จะมีผู้มาต่อทุนตาม จะทำให้การก่อสร้างอุโบสถเจดีย์สำเร็จเร็วขึ้น และในโอกาสเดียวกันนั้น ก็มีศิษย์ของหลวงพ่อที่นั่งอยู่ในที่นั้น บริจาคต่อทุนให้อีก ๓,๓๐๐ บาท (สามพันสามร้อยบาทถ้วน)

            พระเดชพระคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ ท่านมีญาณรู้ล่วงหน้าที่ข้าพเจ้าและคณะจะไปหาท่าน ท่านรู้ว่าข้าพเจ้ากำลังหาทุนเริ่มสร้างอุโบสถ ท่านได้เตรียมเงินใส่ซองไว้ล่วงหน้าขอร่วมทำบุญด้วย และยิ่งกว่านั้น ท่านยังบอกข้าพเจ้าและทุก ๆ คนในที่นั้นว่า การที่ข้าพเจ้าได้ริเริ่มสร้างอุโบสถครั้งนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ซึ่งได้ทิ้งขันธ์ไปนานแล้วนั้น ก็ทราบเรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะสร้างอุโบสถเป็นอย่างดี และได้อนุโมทนาให้ศีลให้พรแล้ว แสดงว่าหลวงพ่อสามารถที่จะติดต่อกับผู้ที่ล่วงลับไปสู่ปรโลกได้ด้วยญาณ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

            หลังจากที่พระเดชพระคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ ได้มอบทุนการสร้างอุโบสถเจดีย์ให้แล้ว เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๒ ต่อมาก่อนการจัดงานวางศิลาฤกษ์อุโบสถเจดีย์ ก็มีผู้บริจาคเงินต่อทุนให้เรื่อย ๆ ได้ยอดเงินบริจาคก่อนงานแสนบาทเศษ และเมื่อจัดงานวางศิลาฤกษ์ ก็ได้รับเงินบริจาคมากมายน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่เป็นการจัดงานในชนบท ได้เงินบริจาค ๓๓๕,๓๘๐ บาท ได้มีผู้จองพระประธานหน้าตัก ๓ ศอก ราคาไม่น้อยกว่า ๑๐๐,๐๐๐ บาท และมีผู้นำพระประธานขนาดหน้าตัก ๒ ศอกใส่รถยนต์มาถวายในพิธีโดยไม่คาดฝัน

            เหตุอัศจรรย์ในวันประกอบพิธีในวันวางศิลาฤกษ์อุโบสถเจดีย์นั้นคือ ไม่เคยมีฝนตกมาร่วม ๒ เดือนแล้ว อากาศร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวัน จนต้องไปหารถน้ำนำน้ำมาฉีดบริเวณงานเพราะมีฝุ่นมาก ครั้งถึงวันงานคือวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๓๓ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๙ ค่ำ วันนั้นทั้งวันอากาศเย็นไม่มีแสงแดดเลย พอถึงเวลา ๑๓.๐๐ น. ฝนก็เริ่มโปรยลงมาพอชุ่มเย็น และโปรยมาตลอดจนกระทั่งถึงเวลา ๑๕.๑๓ น. วางศิลาฤกษ์เสร็จ ฝนก็หยุดโปรยและมีแสงแดดส่องขึ้นมา อย่างน่าอัศจรรย์

            เหตุอัศจรรย์อีกประการหนึ่งก็คือว่า อุโบสถเจดีย์นี้เป็น “ธุดงค์เจดีย์” คือเจดีย์ ๑๓ องค์ กว้างและสูง ๑๓ เมตร พระเดชพระคุณเจ้าคุณราชพิศาลสุธี ประธานสร้างอุโบสถบอกว่า พระเจริญชัยมงคลคาถาเวลาวางศิลาฤกษ์นั้น ให้นิมนต์พระทุกรูปที่อยู่ในวัดขึ้นนั่งเจริญชัยมงคลคาถา เมื่อใกล้ถึงเวลาประกอบพิธี ข้าพเจ้าได้ประกาศทางเครื่องขยายเสียง อาราธนาพระทุกรูปเจริญชัยมงคลคาถา ปรากฏว่ามีพระจำนวน ๑๓ รูป ขึ้นเจริญชัยมงคลคาถาน่าอัศจรรย์และในงานนี้ ข้าพเจ้าได้สร้างพระพุทธชินราชจำลอง ภายในองค์พระบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมองแก่ผู้ร่วมทำบุญตั้งแต่ ๕๐๐ บาทขึ้นไป สร้างจำนวน ๑,๒๑๒ องค์ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ นำไปถวายให้พระภาวนาพิศาลเถร (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วันป่าสาลวันนั่งปรกแผ่เมตตาจิตให้ พอรุ่งขึ้นวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๒ เป็นวันหวยออก  เลขท้ายลอตเตอรี่งวดนั้นออกเลย ๑๓ พอดี นี่ก็น่าอัศจรรย์ส่วนหนึ่ง

            ครับ ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ ขอถวายบูชาพระคุณของหลวงพ่อที่ให้ความเมตตากระผมทุกอย่าง ช่วยชุบชีวิตใหม่ให้และให้การอุปถัมภ์สร้างอุโบสถเจดีย์

บันทึกของหลวงพ่อ

            พ.อ.วิโรจน์ อนุศาสน์กองทัพภาค ๒ เป็นมะเร็งที่คอ ภรรยาท่านก็มีสุขภาพดี น่าสงสารพันเอกวิโรจน์ มีน้ำเหลืองไหลปวดมากเป็นโรคมะเร็งที่คอ คนอื่นก็ว่าหมอบอกแล้วว่าต้องตายปีนี้ แต่พันเอกวิโรจน์ ท่านเป็นชายใจแข็งมีสมาธิ ภาวนาบ้างตามสมควรไม่มากนัก ใจแข็งบอก “หลวงพ่อผมคงต้องตายก่อนภรรยา ผมผ่ามา ๒ หนแล้ว” อาตมาก็มาดูคุณวิโรจน์ ว่าคงจะไม่รอด แต่ดูไปดูมาสติบอกว่าเมียตายก่อน เมียสุขภาพดีขายของหลาย ๆ อย่างบ้านอยู่ปักธงชัย คิดว่าเมียต้องตายก่อนก็มาดูว่าจะจริงหรือเปล่า

            ต่อมาพันเอกวิโรจน์ปวดหนัก ก็นึกถึงอาตมาว่าเคยให้มาช่วยบรรยาย ก็เตรียมกระเป๋ามาหน้าดำมาที่นี่ มาอบรมระดับอนุศาสนาจารย์ รุ่นที่ ๑ มะเร็งนี่น้ำเหลืองไหลเหม็นคาว บอกว่า “ผมขอมาตายกับหลวงพ่อนะ” ก็ให้แยกไปอยู่ที่กุฏิ อาตมาแนะนำให้กินเจเสียจะจัดการให้ อาตมาก็ให้ยาไปชง ต้นลูกใต้ใบกับต้นไมยราบ ๒ อย่างนี้เท่านั้น แล้วก็นั่งชั่วโมงเดินชั่วโมง แยกจากกลุ่มไปเสีย นอกนั้นอนุศาสนาจารย์ก็อยู่รวมกัน เสร็จแล้วก็อโหสิกรรม ญาติโยมจำเทคนิควิธีการไว้ ถ้าไม่อโหสิกรรม เมตตาไม่ออก จิตใจยังเคียดแค้นเขาอยู่ พฤติกรรมแสดงออกไม่ถูกต้อง แล้วกรวดน้ำจะไม่ค่อยถึงโดยจิตใจเจ้าของบอกกับพันเอกวิโรจน์ให้กระทำตาม หลังจากนั่งเสร็จแล้วดังนี้

            ประการแรก ขออโหสิกรรมไม่โกรธใคร ไม่เคืองใคร

            ประการที่ ๒ ขออุทิศส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาให้เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดาเป็นต้น พร้อมด้วยครูบาอาจารย์ พร้อมด้วยอนุศาสนาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วอยู่สัมปรายภพ จงมาปรารภรับส่วนกุศลที่ข้าพเจ้า ณ บัดนี้ แล้วไม่ต้องไปหมายว่าให้โรคหาย ตั้งจิตอธิษฐานว่า ตายเป็นตาย ก็ขอตายที่วัดอัมพวัน

            ทำมาได้ ๓ วัน พร้อมกับที่ประกอบยาชงกับน้ำให้กินอยู่ต่างน้ำชาแล้วให้กินเจ ในที่สุดก็เห็นเจ้ากรรมนายเวร ขออโหสิเรื่องเวรเรื่องกรรมก็เห็นได้ชัด ขออโหสิกรรมไปตามวิธีนี้ ในที่สุด โรคมะเร็งที่น้ำเหลืองไหลเหม็นคาวกลับยุบหายมาเกิดที่ขา ขาเกิดเป็นแผล น้ำเหลืองไหลอย่างเหม็นคาวที่สุด ที่นี้หายได้ พร้อมกับกินยาที่ชงกินต่างน้ำชา จนบัดนี้หายแล้ว พอกลับไป พันเอกวิโรจน์ก็ย้ายจากกองทัพภาคที่ ๒ มาอยู่ภาคที่ ๑

            ในที่สุดภรรยาถึงแก่กรรมตามที่อาตมาได้ล่วงรู้ในใจว่าภรรยาต้องตายก่อน สติบอก จัดงานศพภรรยาเรียบร้อย

            ดังนั้น ขอให้ญาติโยมตั้งสติ สติตัวนี้เป็นตัวปัญญาที่บอกเราทีละอย่าง แต่เราไม่สนใจกับมันเลย เราจึงไม่รู้เรื่องอะไร กรมประชาสัมพันธ์เขาบอกเราทุกวัน แต่เราไม่ฟัง เราจึงพลาดผิดตลอดเวลา เป็นผลงานหลาย ๆ อย่าง วันเวลาที่ล่วงเลยไปแล้วชีวิตคือเวลานั้น มันมีค่าเหลือเกิน ลมหายใจเข้าออกมันบอกระยะของชีวิตที่พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งที่รู้ไม่ได้ ๕ ประการคือ

            ประการที่ ๑ ชีวิตไม่แน่นอน ใครจะรู้ได้ชีวิตของเรา

            ประการที่ ๒ รองลงไปนั้น ท่านก็บอกชัดอีก บอกว่าโรคภัยไข้เจ็บจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไรก็ไม่รู้ รู้ไม่ได้

            ประการที่ ๓ กาละ ความตายจะมาถึงแก่เราในวันพรุ่งนี้หรือคืนนี้ รู้ไม่ได้เลยอย่าประมาทให้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านบอกอย่างนี้

            ประการที่ ๔ สถานที่ตายเราจะทอดร่างลงในท้องน้ำ หรือกลางถนนหนทางเรารู้ไม่ได้เหมือนกัน

            ประการที่ ๕ ออกจากบ้านนี้จะไปบ้านใคร ตายแล้วจะไปเกิดในนรกหรือสวรรค์ จะไปเกิดที่บ้านใครเล่า มีความสำคัญประการใดเรารู้ไม่ได้

            รีบเจริญสติเสีย พอเจริญไปเต็มที่แล้ว สติจะบอกได้ทุกระยะ อาตมาจึงรู้ว่าต้องใช้เวรใช้กรรมเขา รู้ล่วงหน้าที่ผ่านไปแล้ว สติย้อนกลับคืนกลับบอกกฎแห่งกรรมให้เราได้

 

-------------------