วิปัสสนาพัฒนาชีวิต
R4012
ดิฉันยังจำวันแรกที่ครอบครัวของดิฉันมากราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ
หรือพระภาวนาวิสุทธิคุณ ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีได้คือประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔
ตอนนั้นครอบครัวของดิฉันประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก
คุณพ่อและคุณแม่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ดิฉันและน้อง ๆ
รู้สึกกลุ้มใจมาก แต่อาจเป็นเพราะ ผลบุญจากการทำบุญใส่บาตร
และสวดมนต์ไหว้พระทุก ๆ วัน จึงดลบันดาลใจให้ครอบครัวของดิฉันมาที่วัดนี้
เริ่มต้นด้วยคุณแม่อ่านพบเรื่องของหลวงพ่อจรัญ
และวัดอัมพวัน จากหนังสือ คนพ้นโลก คุณแม่บอกว่าอยากมาวัดนี้มาก
และเมื่อพวกเราได้อ่านกันก็มีความคิดเช่นเดียวกับคุณแม่ว่าควรจะมากราบนมัสการหลวงพ่อ
และลองปรึกษาเรื่องปัญหานี้กับท่านดู ท่านคงจะชี้ทางแก้ปัญหาให้กับพวกเราได้บ้าง
ดังนั้นพวกเราจึงพร้อมใจกันมาที่วัดอัมพวัน
พอพวกเราเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อ
ท่านก็ทักว่าโยมมีเรื่องเดือดร้อนใช่ไหม คุณพ่อก็ยอมรับ
และกราบเรียนท่านถึงปัญหาที่ครอบครัวของเราประสบอยู่
กล่าวคือ
คุณพ่อของดิฉันทำงานเกี่ยวกับการเดินเรือรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ ช่วงแรก ๆ
กิจการก็ดำเนินไปด้วยดี ต่อมาคุณพ่อจึงตั้งบริษัทขึ้นมาเองอีกบริษัทหนึ่ง
งานก็ทำท่าจะไปได้ดี เพราะมีการติดต่อจากเจ้าของสินค้า จะให้บริษัทของเราเป็นผู้ส่งสินค้าให้
แต่พอตกลงเรื่องค่าขนส่ง จะต้องมีอันพลาดงานไปทุกครั้ง
ปรากฏว่าไม่มีงานเข้าบริษัทเลยสักชิ้นเดียว
เป็นเวลาเกือบ ๓ ปี ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าสำนักงาน
ค่าโทรศัพท์ ค่าเทเลกซ์ ค่าลูกจ้างในบริษัท ซึ่งรายได้ที่จะนำมาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่มีเลย
ต้องชักทุนออกมาเป็นค่าใช้จ่ายทุก ๆ เดือน
แต่คุณพ่อก็ยังไม่ยอมแพ้
เที่ยวไปกู้หนี้ยืมสิน เพราะหวังว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เราจะได้งานบ้าง
แต่ยิ่งลงทุนก็เหมือนกับว่าทุนนั้นจมหายไปเปล่า ๆ โดยไม่ได้ผลตอบแทน
จนกระทั่งทรัพย์สินที่เรามีอยู่ค่อย ๆ หมดลง
ประกอบกับคุณพ่อนำเงินไปลงทุนทำเหมืองแร่ที่สุโขทัย และถูกโกงอีก
จึงเหมือนกับสิ้นเนื้อประดาตัว ตอนนั้นครอบครัวของเราอยู่อย่างฝืดเคืองมาก
อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
หลวงพ่อนั่งนิ่งสักพักแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
ดีแล้วนะโยม
ที่โยมไม่ได้งานพวกนี้ ถ้าได้งานโยมจะรวยเป็น ๑๐-๒๐ ล้าน แต่มันเป็นทุกขลาภ
โยมอย่าเอาเลยนะ ถ้ารวยแล้วตายไปคนหนึ่ง โยมจะเอาไหมล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก
โยมอย่าไปเลิกกิจการก็แล้วกัน ต่อไปจะดีเองรับงานไม่ไหวเลยละ แต่ต้องรอเวลาหน่อยนะ
อาตมาจะแผ่เมตตาช่วยให้
แล้วหลวงพ่อก็มองมาที่ดิฉันและน้องสาว
และพูดว่า ลูก ๆ ของโยมก็ดีนะ ต่อไปจะได้ดี
เป็นใหญ่เป็นโต และท่านก็ได้แนะนำให้ดิฉันกับน้องสาวมา
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน
ดิฉันและน้องสาวตามปกติก็สนใจทางด้านนี้พอสมควร
เพราะเราติดตามคุณยายเข้าวัดตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ยังไม่เคยเรียนการนั่งวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจังเลย
ดิฉันและน้องสาวก็รับปากกับหลวงพ่อว่า
จะหาเวลามาเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวัน แต่ติดว่าช่วงนั้นดิฉันจะต้องเรียนหนังสือต่อให้จบก่อน
เพราะเหลืออีกไม่กี่วิชา ดิฉันก็จะสำเร็จปริญญาตรีทางบัญชีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว
ในปี
พ.ศ. ๒๕๒๕ ดิฉันได้สอบภาคการศึกษาสุดท้ายสำเร็จ
แต่ไม่แน่ใจว่าจะสอบผ่านหมดทุกวิชาหรือไม่ ดิฉันรู้สึกกระวนกระวายใจมาก
เพราะอยากรีบจบเร็ว ๆ และรีบหางานทำเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของคุณพ่อคุณแม่
และยังสามารถช่วยเหลือทางบ้านได้อีกด้วย เพราะน้อง ๆ อีก ๒ คน ก็กำลังเรียนหนังสือ
งานที่บริษัทของคุณพ่อที่เปิดใหม่ก็แย่ลงทุกที
ๆ จนในที่สุดก็ต้องปิดกิจการแห่งนี้ลง แต่ก็ยังเหลืออีกแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อของดิฉันยึดถือคำพูดของหลวงพ่อไว้ว่า
อย่าเลิกกิจการ ให้ทนทำไปแล้วจะดีขึ้นเอง
ช่วงนั้นดิฉัน
น้องสาว และพี่สาวซึ่งเป็นลูกของคุณลุงว่างพอดี จึงปรึกษากันว่าเรานาจะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามที่หลวงพ่อได้เคยแนะนำไว้
พวกเราจึงชวนกันมาที่วัดอัมพวัน
ถือศีล ๘ และเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยมี
คุณยายซึ่งอายุมากแล้วมาปฏิบัติด้วย คุณยายสุ่ม ทองยิ่ง เป็นผู้สอนให้
พวกเราปฏิบัติอยู่ ๑
สัปดาห์ รู้สึกจิตใจเบาสบายและสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
พอกลับมาจากวัดก็ได้นำมาปฏิบัติที่บ้านด้วยเป็นประจำ
เมื่อมีการประกาศผลสอบภาคสุดท้าย
คือประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ปรากฏว่าดิฉันสอบผ่านทุกวิชา ดิฉันดีใจมาก
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องรบกวนค่าลงทะเบียนจากทางบ้าน
ตอนนี้ก็เหลือแต่หางานทำให้ได้เท่านั้น
ดิฉันภาวนาขอให้ได้ทำงานดี
ๆ มีเกียรติอยู่เสมอ ซึ่งดิฉันก็โชคดีที่ได้เพื่อนของคุณแม่ท่านหนึ่ง เมตตาดิฉัน ช่วยฝากให้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในบริษัทคอลเกตปาล์มโอลีฟ
จำกัด
เดือนแรกที่ดิฉันได้รับเงินเดือน
ดิฉันได้ แบ่งเงินออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทำบุญ
ส่วนที่สองให้คุณแม่ไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนที่สามเก็บเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ดิฉันทำงานอยู่ที่นี่ได้ประมาณ ๓ เดือน
ต่อมากองทัพเรือได้ประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการ
รู้สึกว่าจะเป็นเดือนมีนาคม ๒๕๒๖ ซึ่งดิฉันไม่ทราบเรื่องเลย
แต่ทางบ้านคุณลุงโทรศัพท์มาบอกที่บ้านของดิฉันไว้ ให้รีบไปสมัคร เพราะเหลืออีก ๒
วันเท่านั้น ก็จะปิดรับสมัครแล้ว
ดิฉันกลุ้มใจมาก
เพราะเพิ่งทราบผลการสอบได้ไม่นานนัก หลักฐานการจบและใบรับรองผลการเรียน (Transcript) ก็ยังไม่มี
ก่อนนอนคืนนั้นดิฉันจึงอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ
ขอให้ท่านช่วยให้ดิฉันสมัครและสอบเข้ารับราชการได้
ในวันรุ่งขึ้นดิฉันก็ไปสมัครโดยมีหลักฐานเพียงแค่บัตรประชาชน
และสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น ใบรับรองผลการเรียนและหลักฐานอื่น ๆ
ตามที่ทางราชการกำหนดก็ไม่มี เจ้าหน้าที่จึงไม่ให้ดิฉันสมัคร
ดิฉันเสียใจมาก
คิดว่าเราคงไม่มีโอกาสสมัครแน่แล้ว เพราะกว่าจะได้หลักฐานต้องใช้เวลามากว่า ๑
สัปดาห์ เหลือแค่ ๑ วัน ทางราชการก็จะปิดรับสมัครอยู่แล้ว
ดิฉันเดินคอตกกลับบ้านเล่าให้คุณแม่ฟัง
พอดีเพื่อนของคุณแม่ซึ่งดิฉันเคารพนับถือมากอีกท่านหนึ่ง มาหาคุณแม่ พอท่านได้ฟัง
ท่านบอกว่าไม่ต้องตกใจ เพราะป้ารู้จักเจ้าหน้าที่
ที่ทำหน้าที่ออกใบรับรองผลการเรียนและหลักฐานต่าง ๆ
คุณป้าจึงเขียนจดหมายและแนะนำให้ดิฉันไปพบกับเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยคนนี้
ดิฉันแปลกใจมากที่พอไปหาเจ้าหน้าที่ท่านนี้ แล้วก็ยื่นจดหมายให้ พร้อมกับพูดข้อร้องให้เขาเห็นใจดิฉัน
เขาก็จัดการออกหลักฐานและเอกสารต่าง ๆ ให้กับดิฉันทันที โดยไม่รอช้าเลย ดิฉันจึงกลับไปสมัครใหม่อีกครั้งหนึ่งในวันสุดท้าย
ซึ่งก็สามารถสมัครได้ทันเวลาพอดี
พอถึงกำหนดวันสอบ
คือประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะจำนวนของผู้สมัครสอบในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงิน
มีเป็นร้อย ๆ คน แต่ตำแหน่งที่จะรับมีเพียง ๑๖ ตำแหน่งเท่านั้น ดิฉันได้แต่กลัวว่าจะสอบไม่ได้
รู้สึกท้อแท้ใจมาก
แต่แล้วอยู่
ๆ ก็ นึกถึงหลวงพ่อ ที่ท่านสอนให้กำหนดจิตเป็นสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง
ดังนั้นตอนเข้าห้องสอบ ดิฉันจึงไม่รู้สึกตื่นเต้น และทำข้อสอบได้อย่างมั่นใจ
หลังจากนั้นอีก
๔ เดือน ทางราชการก็ประกาศผลสอบ ปรากฏว่าดิฉันสอบผ่านข้อเขียน
แต่ก็ยังเหลือสอบสัมภาษณ์และตรวจโรค ซึ่งดิฉันก็เกิดความไม่แน่ใจอีก
เพราะผู้สอบผ่านข้อเขียน มีถึง ๔๐ คน แต่ต้องการเพียง ๑๖ คนเท่านั้น
พอถึงวันสอบสัมภาษณ์
ดิฉันจึง ทำสมาธิก่อนเข้าสอบ ปรากฏว่าได้สอบกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นกันเอง
และรู้สึกเขาจะเมตตาต่อดิฉันมาก ชวนคุยมากกว่าเป็นการสัมภาษณ์อย่างจริงจัง
ไม่รู้สึกว่ามีความเครียดเลย
หลังจากนั้นก็มีการตรวจโรคแล้วจึงประกาศผลสอบรอบสุดท้าย
ปรากฏว่า ๑ ใน ๑๖ ตำแหน่ง มีชื่อดิฉันรวมอยู่ด้วย ดิฉันดีใจมาก
ในที่สุดดิฉันก็ได้งานมีเกียรติตามที่ได้อธิษฐานจิตไว้
โดยได้เข้ารับราชการเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๗ และได้รับพระราชทานแต่งตั้งยศ
จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นว่าที่เรือตรีหญิง แห่งราชนาวีไทย
ดิฉันปลื้มใจมาก คุณพ่อและคุณแม่ก็ภูมิใจ และปลื้มใจไปกับดิฉันด้วย
ดิฉันและครอบครัวเชื่อมั่นและศรัทธาหลวงพ่อมาก
เพราะท่านได้แนะแนวทางที่ดีให้กับครอบครัวของเรา
ถ้าดิฉันสามารถปลีกเวลาจากการทำงานได้ ดิฉันและน้องสาวจะมาถือศีล ๘
และเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันเสมอ ปรากฏว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของดิฉันมากมายเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมาก
เมื่อประมาณต้นปี
พ.ศ. ๒๕๓๒ ดิฉันสอบชิงทุนของกองทัพเรือ
เพื่อไปศึกษาอบรมและดูงานทางด้านการเงินของกองทัพบกสหรัฐ ได้ ๒ หลักสูตร
คือหลักสูตร
Finance Officer Basic Course และหลักสูตร Resource Management Introductory Course
โดยมีกำหนดเดินทางในเดือนสิงหาคม ดิฉันรู้สึกวางใจว่าจะต้องได้ไปแน่นอน
เหลือเพียงต้องสอบผ่านข้อเขียนภาษาอังกฤษที่ Jusmag-Thai ให้ผ่านเกณฑ์เท่านั้น
ดิฉันได้ไปหาหมอดู
หมอดูบอกว่าดิฉันไม่มีดวงเดินทางไปต่างประเทศหรอก ดิฉันยังนึกขำอยู่ในใจ
ก็ในเมื่อเราสอบได้แล้ว ทำไม่จะไม่มีทางได้ไปล่ะ หมอดูคนนี้ใช้วิชาเดาแน่ ๆ เลย
ดิฉันก็ไม่สนใจ
แต่แล้วประมาณเดือนพฤษภาคม
ดิฉันแทบช็อคเพราะได้รับข่าวจากหน่วยที่ดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องทุนนี้ว่า
เสียใจด้วยที่ต้องเสนอทุนที่ดิฉันสอบได้นี้ขึ้นไปให้ ทร. พิจารณาตัดงบประมาณ
เนื่องจากทุนที่ดิฉันได้รับนี้มีคนไปมาหลายคนแล้ว
จะได้นำงบประมาณนี้ไปพิจารณาใช้สนับสนุนงานด้านอื่นของกองทัพต่อไป
ดิฉันเสียใจมาก
หรือดวงของเราเป็นไปตามที่หมอดูทำนายไว้จริง ๆ เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ดิฉันก็ได้ปรับทุกข์กับคุณแม่ คุณแม่เตือนสติให้นึกถึงหลวงพ่อ
คืนวันนั้นดิฉันจึงได้ทำสมาธิและอธิษฐานจิตถึงหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาช่วยให้ดิฉันได้ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาด้วย
ต่อมาประมาณเดือนตุลาคม
ดิฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่คนเดิม ที่ดำเนินการเรื่องทุนนี้
แจ้งให้ดิฉันทราบว่า ดิฉันจะต้องไปสอบที่ Jusmag-Thai ดิฉันขนลุกซู่ด้วยความปีติ
เพราะนั่นหมายความว่าดิฉันมีโอกาสได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์แท้
ๆ ทีเดียว
ดังนั้นเมื่อดิฉันสอบผ่านข้อเขียนภาษาอังกฤษของ Jusmag-Thai แล้ว
ดิฉันจึงเตรียมตัวเดินทางโดยกำหนดการเดินทางเลื่อนมาเป็นปลายเดือนธันวาคม ๒๕๓๒
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิตของดิฉัน
ดิฉันจึงเที่ยวไปสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ที่เคยเดินทางไปมาแล้ว
ก็ได้รับคำตอบที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนมากบอกว่าให้ระวังจะพบเพื่อนไม่ดี
ไม่เอาใจใส่เราจะทำให้เราเรียนไม่รู้เรื่อง ผลการเรียนจะแย่
แถมสุขภาพจิตก็จะเสียอีกด้วย
ดิฉันวุ่นวายใจมากคิดไปต่าง
ๆ นา ๆ ว่า ภาษาอังกฤษของเราก็แค่พอใช้การได้เท่านั้น ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย
เวลาจะเรียนหรือสอบเราจะทำอย่างไร เกิดวิตกจริตขึ้นมาอีก ดิฉันก็นึกถึงหลวงพ่อ
อธิษฐานขอให้พบแต่คนดี ๆ ประสบผลสำเร็จในการศึกษา และปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง
เชื่อไหมคะว่า
พอดิฉันไปถึงที่สหรัฐ ที่ Fort Benjamin Harrison รัฐ Indiana ดิฉันพบแต่คนดี ๆ
เป็นมิตรด้วยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติอื่น ๆ ที่ได้ทุนมาเหมือนกัน
ชาวอเมริกันที่เป็นเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน Instructor (ครูผู้สอน) และ Class Advisor (ครูประจำชั้น)
ต่างก็ให้ความเมตตาแก่ดิฉันหมด ทำให้บรรเทาความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง
เวลาที่ดิฉันไม่เข้าใจบทเรียน
เพื่อน ๆ ต่างก็อาสาช่วยอธิบายให้ดิฉันเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดิฉันประทับใจในพวกเขาเหล่านั้นมาก
แต่ดิฉันยังกังวลใจเกี่ยวกับการสอบ เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียนไม่มีใน Dictionary
เพราะเป็นศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า Technical Term เกือบทั้งหมด ดิฉันหนักใจมาก
ถ้าเราสอบตกฝรั่งจะต้องดูถูกเราแน่นอน
ดังนั้นก่อนสอบ ดิฉันจะนั่งสมาธิทำใจให้สงบพักหนึ่ง
แล้วจึงท่องหนังสือ ปรากฏว่าเหมือนกับถ่ายรูปข้อความต่าง ๆ เหล่านั้นไว้ในสมอง
พอทำข้อสอบ แค่นึกเท่านั้น คำตอบก็อยู่ในสมองของดิฉันหมดแล้ว
ทำให้ดิฉันทำคะแนนได้ดี
บางวิชาก็ทำคะแนนได้มากกว่าเพื่อนฝรั่งบางคนในห้องอีกด้วย
เพื่อน ๆ ต่างก็ทึ่งดิฉันมาก มีเพื่อนคนหนึ่งมาสารภาพกับดิฉันว่า
เขาเข้าใจว่าคนเอเชียโง่กว่าพวกเขา แต่ต่อไปเขาจะไม่คิดอย่างนี้อีกแล้ว
ทำให้ดิฉันรู้สึกภูมิใจที่อย่างน้อยก็ทำให้ฝรั่งยอมรับในความสามารถของเราได้
ก่อนจบหลักสูตรจะมีชั่วโมงที่ให้ทุก
ๆ คน ได้ฝึกพูดต่อหน้าสาธารณชน เรียกว่าการ Briefing โดยแต่ละคนจะต้องเลือกหัวข้อขึ้นไปพูดบนเวทีหน้าชั้นเรียน
โดยใช้เวลา ๑๐-๑๕ นาที
ดิฉันเลือกเรื่อง
เมืองไทยของเรา ขึ้นไปพูดให้ฝรั่งฟังกัน
ธรรมดาแล้วดิฉันเป็นคนค่อนข้างขี้ขลาด รู้สึกประหม่าต่อหน้าสาธารณชน
ยิ่งมีคนฟังมาก ๆ ด้วยแล้วจะพาลไม่กล้าพูดเสียเฉย ๆ แต่ครั้งนี้แปลก พอดิฉันกำหนดจิตให้เป็นสมาธิ
ความประหม่าต่าง ๆ ก็หายไปหมด พูดให้ฝรั่งฟังอย่างฉาดฉาน
ดิฉันเล่าถึงหลักยึดเหนี่ยวของประชาชนในประเทศไทย
ซึ่งประกอบด้วยหลักใหญ่ ๆ ๓ ประการ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ว่าเป็นจุดศูนย์รวมและหลักสำคัญที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนชาวไทย
สรุปตอนท้ายก็ชักชวนให้ พวกเขามาเที่ยวเมืองไทย
รู้สึกว่าพวกเขาสนใจกันมาก
เพราะดิฉันนำภาพของสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไปโชว์ให้พวกเขาได้ชมกัน พอพูดจบเพื่อน
ๆ ชอบใจกันใหญ่ และครูผู้สอนก็เรียกให้ดิฉันไปพบและชมว่าพูดได้ดีมาก ทำให้เขาอยากมาเที่ยวเมืองไทย
รู้สึกว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจ
การศึกษาดูงานในครั้งนี้
ดิฉันประสบผลสำเร็จในการศึกษามากพอสมควร และได้รับคำชมเชยจาก Class Advisor
ว่าเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี พร้อมกับเรียนได้ดีด้วย โดยได้คะแนนเฉลี่ย ๘๓.๒๕%
ซึ่งนำความภาคภูมิใจมาสู่ดิฉันเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้กิจการของคุณพ่อค่อย
ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ดิฉันก็ได้ประสบแต่สิ่งที่ดี ๆ ขณะนี้ดิฉันดำรงยศเรือเอก
และจะได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น นาวาตรี ในปีงบประมาณ ๒๕๓๔ นี้
นอกจากนั้น
น้องสาวของดิฉันก็ได้ทำงานเป็นครูในสังกัด กทม. และสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท
ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรได้
พี่สาวลูกของคุณลุง
ซึ่งได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยกัน ก็ได้ทำงานเป็นสมุห์บัญชีในบริษัทแห่งหนึ่ง
ทุก ๆ อย่างเป็นไปตามที่หลวงพ่อได้บอกกับพวกเราไว้เมื่อ ๙ ปีก่อน ทุกประการ
นี่คงเป็น
ผลของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้รับการแผ่เมตตาของหลวงพ่อได้
จึงทำให้ครอบครัวของดิฉันประสบความสุขและความสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
-------------------