เมื่อข้าพเจ้าไปปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรก
จรรยา ชูสุวรรณ
R5006
ข้าพเจ้ารู้จักวัดอัมพวันและหลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์
จากการที่ได้อ่านหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติเล่มแรก
อ่านจบแล้วรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก คิดไว้เสมอว่า
สักวันหนึ่งจะต้องไปกราบนมัสการหลวงพ่อให้ได้ ใคร่จะเรียนถามข้อข้องใจบางประการกับท่าน
และข้าพเจ้าก็สนใจที่จะเรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
คิดว่าท่านคงให้ความรู้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าได้แน่นอน
ซึ่งในตอนหลังเมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว
ข้าพเจ้าก็ได้ตระหนักว่า การปฏิบัติวิปัสสนานี้ทำให้เกิดผลดีแก่ตัวข้าพเจ้ามากมาย
รวมทั้งได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป
กลางเดือนตุลาคม
๒๕๓๑ ข้าพเจ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนไม่สบายใจ
เดินทางออกจากบ้านจะไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด ทั้ง ๆ
ที่ไม่รู้ว่าบ้านเพื่อนอยู่ที่ไหน แต่เหมือนมีเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจว่า ไปวัดอัมพวันซิ
ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะเป็นที่พึ่งได้
วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าไปขึ้นรถที่ตลาดหมอชิตและบอกกับกระเป๋ารถกรุงเทพฯ-สิงห์บุรีว่า เมื่อถึงวัดอัมพวันแล้วให้บอกด้วย เพราะข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่าวัดอัมพวันอยู่ที่ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เท่านั้น
รถแล่นออกจากกรุงเทพฯ
ทิ้งความสับสนวุ่นว่ายของเมืองหลวงไว้เบื้องหลัง ผ่านธรรมชาติอันสวยงามของชนบท
ข้าพเจ้าเพลิดเพลินกับความงามเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นทุ่งนา บ้านเรือน แม่น้ำ
ลำคลอง ต้นไม้ และหมู่นก ทำให้นึกถึงชีวิตในวัยเด็กของข้าพเจ้าที่เคยคลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านี้
ช่างเป็นเวลาอันแสนสุขที่ข้าพเจ้าคงไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสอีกแล้ว
เวลาผ่านไปราว
๒ ชั่วโมง เสียงกระเป๋ารถก็บอกกับข้าพเจ้าว่า พี่ ๆ ถึงวัดอัมพวันแล้ว ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณพร้อมทั้งหิ้วกระเป๋าลงจากรถ
มองเห็นป้ายวัดอัมพวันเด่นเป็นสง่า มีธงชาติและธงพระธรรมจักรปักหระดับสวยงาม
ข้าพเจ้าแวะลงพักที่ศาลาที่พักผู้โดยสารมองไปยังวัดอัมพวันซึ่งอยู่ลึกเข้าไปราว ๑
กิโลเมตร
ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย
แต่อากาศไม่ร้อนเพราะมีลมพัดเย็นสบาย ข้าพเจ้าเดินผ่านทุ่งหนาเขียวขจีและต้นคูณ
ต้นตาล ซึ่งปลูกไว้เป็นระยะสองข้างทาง สักพักก็ถึงวัดอัมพวัน ภายในวัดเต็มไปด้วยต้นไม่ใหญ่น้อยร่มครึ้มและสงบเงียบ
สุดทางเดินตรงไปข้างหน้าเป็นลานกว้าง
หน้ากุฏิหลังหนึ่งมองเห็นพระพุทธรูปปางลีลาอันสวยงามประดิษฐานอยู่
รอบฐานพระพุทธรูปมีดอกเฟื่องฟ้ากำลังบานสะพรั่งหลากสี
ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์กับผู้หญิงวัยกลางคนนุ่งห่มขาวว่า
ข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเป็นหลานของ พ.อ.เลื่อน สุนทรเศวต
อนุศาสนาจารย์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมาเป็นวิทยากรให้กับทางวัดอัมพวันบ่อย ๆ
และเป็นผู้มอบหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ ให้กับข้าพเจ้า
ขณะที่รอหลวงพ่อ
ผู้ดูแลก็ถามข้าพเจ้าว่า จะค้างกี่วัน ข้าพเจ้าถามว่า ค้างได้หรือ เขาก็ตอบว่า ค้างได้ ข้าพเจ้าดีใจมาก
บอกว่าขอค้างสัก ๓ วัน เพราะข้าพเจ้ามีธุระต้องไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด
ในตอนหลังข้าพเจ้าก็อยู่ต่อจนครบ ๗ วัน
สักครู่หลวงพ่อก็ลงมาจากชั้นบน
ท่านยืนหันหลังให้แล้วพูดว่า หลานอนุศาสน์หรือ?
เดี๋ยวไปรับศีลที่ในโบสถ์เสียก่อน ข้าพเจ้าได้ยินแล้วรู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หลวงพ่อให้ความเมตตากับข้าพเจ้าเหมือนหลวงพ่อจะทราบว่า
ข้าพเจ้ากำลังมีความทุกข์และมาพึ่งบุญบารมีของหลวงพ่อ
เวลาบ่ายสองโมง
ทุกคนไปพร้อมกันในอุโบสถ ทั้งพระภิกษุสามเณร
ผู้ปฏิบัติธรรมและชาวบ้านซึ่งมีความตั้งใจที่จะมารักษาศีลภาวนา
และรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อทุกวันพระ เมื่อทำพิธีสวดมนต์ไหว้พระและแสดงธรรมจบแล้วก็พึงพิธีรับศีลของผู้ปฏิบัติธรรมที่มาใหม่
เสียงหลวงพ่อพูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่า หลานอนุศาสน์ให้มารับศีลก่อน
ยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เป็นไร ถ้าจิตใจเราพร้อม ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากในความเมตตาของท่าน
รีบคลานเข้าไปรับศีล ๘ พร้อม ๆ กับผู้ปฏิบัติอื่น ๆ อีกหลายท่าน ได้มีโอกาสเห็นหลวงพ่อใกล้
ๆ รู้สึกเป็นบุญแก่ตัว หลวงพ่อมีอายุมากแล้ว แต่หน้าตาอิ่มเอิบอย่างที่เรียกว่า อิ่มบุญ
แม่ใหญ่ ได้จัดให้ข้าพเจ้าพักที่อาคารภาวนา ห้อง ๓ รวมกับผู้ปฏิบัติอีก
๒ ท่าน กิจวัตรประจำวันของผู้ปฏิบัติซึ่งขณะนั้นมีประมาณ ๓๐ ท่าน ก็คือตื่นนอนเวลา
๐๓.๓๐ นาฬิกาโดยมีเสียงระฆังปลุก เริ่มปฏิบัติเวลา ๐๔.๐๐ ๒๑.๐๐ นาฬิกา
ถ้าเป็นวันพระก็ปฏิบัติจนถึง ๒๓.๐๐ น. พักรับประทานอาหารตามเวลา
ทุกคนต้องถือคติว่า กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำความเพียรมาก
ในระยะ
๒-๓ วันแรก ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติดีอยู่
ก่อนปฏิบัติเราก็สวดมนต์ไหว้พระแล้วจึงเดินจงกรม
แล้วนั่งสมาธิในอัตราส่วนที่เท่ากันคือ เดินครึ่งชั่วโมง นั่งครึ่งชั่วโมง
และเพิ่มเป็นเดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๑ ชั่วโมง เมื่อเรามีความอดทนมากขึ้น หลังจากนั่งสมาธิแล้วก็สวดมนต์แผ่เมตตา
และอุทิศส่วนกุศลแก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เปรต เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย และทุกครั้งข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะแผ่ส่วนกุศลให้กับน้าของข้าพเจ้าที่กำลังป่วยหนัก
ขอผลกุศลนี้จงส่งผลให้น้าหายจากการป่วยไข้ทุกข์ทรมานด้วยเถิด
เมื่อการปฏิบัติเริ่มเข้าวันที่
๔ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย มันทรมานเหลือเกินกว่าเวลาจะล่วงพ้นไปแต่ละนาที
นั่งนึกว่าทำไมเราต้องมาทนทุกข์เช่นนี้ ทำเพื่ออะไร ได้อะไรขึ้นมาบ้าง
ใจหนึ่งอยากเอาชนะ แต่ใจหนึ่งก็คอยแต่ยอมแพ้เมื่อบังเกิดความเจ็บปวดจึงไม่มีสมาธิ
สี่วันล่วงไปข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่ได้อะไรเลย
วันที่
๒๓ ตุลาคม วันปิยมหาราช แม่ใหญ่พาผู้ปฏิบัติทั้งหมดไปที่หอประชุม ซึ่งมีพระบรมรูปของรัชกาลที่
๕ ประดิษฐานอยู่ ภายในอาคารสวยงามมาก ด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรตระการตา หลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์
เป็นหัวหน้าทำพิธี เนื่องในวันปิยมหาราช
หลังจากนั้นหลวงพ่อก็แสดงธรรมได้อย่างไพเราะจับใจ เหมือนท่านนั่งอยู่ในใจเรา
ข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะเรียนถามหลวงพ่อ
เริ่มคลี่คลายไปทีละน้อยจากการฟังเทศน์แล้วคิดตามไป
หลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์
ท่านมีภารกิจมากมายต้องกระทำเพื่องานสร้างคนของท่าน
ดังปณิธานที่หลวงพ่อได้ประกาศไว้ว่า อาตมาภาพจะมอบชีวิตส่วนที่เหลือทั้งหมดให้กับงานสร้างคน แต่ถึงแม้จะมีงานมากมายสักเพียงไร
หลวงพ่อก็จะต้องปลีกเวลามาอบรมธรรมะ เทศนาสั่งสอนผู้ปฏิบัติธรรมและพระภิกษุสามเณรทั้งหลายทุก
ๆ วันพระ
วันนั้นหลังจากหลวงพ่อเทศน์สั่งสอนและให้ข้อคิดแก่พวกเราแล้ว
ท่านก็มอบหมายให้หลวงพ่อองค์หนึ่ง คือ ท่านพระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย)
เป็นผู้อบรมแนะนำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยเน้นการเดินจงกรมที่ถูกต้อง
ตอนหนึ่งท่านได้พูดว่า เราต้องเอาชนะความทุกข์ทรมานให้ได้ อย่ายอมแพ้มัน
มิฉะนั้นเราก็ต้องแพ้อยู่ร่ำไป จากคำพูดประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าเกิดพลังใจที่จะต่อสู้กับความทุกข์ทรมาน
ความปวดเมื่อยทั้งหลาย หลังจากเดินจงกรม ๑ ชั่วโมงแล้ว
ข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิและตั้งสติไว้ในใจว่า แม้จะเจ็บปวดแค่ไหน
ข้าพเจ้าจะไม่ยอมขยัยจนกว่าจะหมดเวลา ๑ ชั่วโมง
เวลาผ่านไปที่ละน้อย
ๆ ข้าพเจ้าภาวนาในใจ เอาจิตกำหนดไว้ที่ลิ้นปี่ตามที่หลวงพ่อสอน พองหนอ..ยุบหนอ..พองหนอ..ยุบหนอ..สักพัก
ความเจ็บปวดเริ่มเกิด ปวดหนอ..ปวดหนอ..ปวดหนอ..ปวดหนอ.. มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนหัวเขาจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ปวดหนอ..ปวดหนอ..ชาหนอ..ชาหนอ..ความเจ็บปวดคลายลง
ความรู้สึกชาเข้ามาแทนที่ ชาหนอ..ชาหนอ.. เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ
ข้าพเจ้ารู้สึกชาขึ้น ๆ จนกระทั่งไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกเหมือนตัวข้าพเจ้าสั้นลง
ๆ จนคางจดกับมือที่วางอยู่บนตัก ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย เบา สบาย
เสียงนาฬิกาตี ๙ ครั้ง เวลา ๒๑ นาฬิกา ข้าพเจ้าสามารถเอาชนะความทุกข์ทรมานได้แล้ว
รุ่งเช้าผู้ปฏิบัติทั้งหลายเริ่มปฏิบัติตั้งแต่เวลา
๔.๐๐ นาฬิกา ตามปกติข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติให้ดีที่สุด
ข้าพเจ้ามีความอดทนมากขึ้น บัดนี้ข้าพเจ้าเริ่มรู้จักกับความสงบแห่งจิตใจของเรานี่เอง
เราทำใจให้เป็นสุขเราก็สุข เราทำให้ใจเป็นทุกข์เราก็ทุกข์
ถ้าเราปล่อยวางเสียเราก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย
บ่ายวันนั้นขณะที่ข้าพเจ้าเดินจงกรมอยู่ในบริเวณศาลาปฏิบัติ
ก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับตัวข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าเขม่นตาซ้ายหลายครั้ง
เอามือขยี้ตาแรง ๆ ก็ไม่หาย จิตใจเริ่มขาดสมาธิ เพราะเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดกับข้าพเจ้ามาแล้วหลายครั้ง
ทุกครั้งมักจะเกิดเหตุไม่ดี ข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เกิดกับญาติพี่น้องของข้าพเจ้าเลย
แล้วพยายามใช้สมาธิในการเดินจงกรมให้มากแต่ก็ไม่เป็นผล อาการเขม่นตายังคงเป็นอยู่เช่นเดิม
ข้าพเจ้าจึงเข้าไปหาแม่ใหญ่เล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า อุปาทานน่ะ คิดมากไปเอง
ไม่มีอะไรหรอก
แต่ข้าพเจ้าคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ เมื่อเสร็จสิ้นการทำสมาธิในคืนนั้นแล้ว
ข้าพเจ้ากราบขอพรพระว่า อย่าให้มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเลย
รุ่งเช้าวันที่
๒๕ ต.ค. หลังจากปฏิบัติกรรมฐานช่วงแรก ๔.๐๐-๖.๐๐ น. ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียจึงเข้าห้องพักนอนกำหนดตามที่แม่ใหญ่สอน
พองหนอ..ยุบหนอ.. กำหนดไปเรื่อย ๆ สักพักข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเงียบ สงบ..เย็น..อย่างประหลาด
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้หลับ เพราะหูยังแว่วสียงลุงกวาดลานวัดดังชัดเจน
ข้าพเจ้าเห็นตัวเองนอนอยู่ในห้องของอาคารภาวนา
ทางซ้ายมือของข้าพเจ้ามองเห็นแม่ของข้าพเจ้า แม่มีอาการหนาวสั่น
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าแม่ไม่สบาย มองไปทางปลายเท้าข้าพเจ้าเห็นทวด
ทวดนั่งอยู่จริง ๆ !
ทวดสวมเสื้อสีขาวแขนกระบอก นุ่งโจงกระเบนสีเม็ดมะปรางเหมือนที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อตอนเด็ก
ๆ มีผ้าสไบสีขาวบางคลุมหัว ปล่อยชายลงมาข้างบ่า บริเวณใบหน้าเหมือนมีหมอกบาง ๆ
ลอยผ่าน แต่ข้าพเจ้าก็มองเห็นใบหน้าของทวดอิ่มเอิบ แววตามีเมตตา
ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกผวาลุกขึ้น สองมือจับมือทวดมากุมไว้
แล้วละล่ำละลักพูดขอร้องทวดว่า ทวดช่วยน้าด้วย ช่วยน้าด้วยนะ ทวดเงียบไปครู่หนึ่ง
แล้วค่อย ๆ แกะมือข้าพเจ้าออก ลุกขึ้นยืนหันหลังกลับ เดินห่างออกไปราว ๓-๔
ก้าวแล้วหันหน้ามาพูดกับข้าพเจ้าว่า ก็มันทำตัวมันเอง แล้วค่อย ๆ เดินหายไป
ข้าพเจ้าผวาลุกขึ้น
จึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องของอาคารภาวนานั่นเอง แต่ข้าพเจ้าไม่ได้หลับแน่นอน
ข้าพเจ้าไม่ได้ฝันไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทวดจะมาหาข้าพเจ้าได้อย่างไร
ในเมื่อทวดตายไปแล้วเกือบ ๒๐ ปี ข้าพเจ้ารีบนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ใหญ่ฟัง
คราวนี้แม่ใหญ่เงียบไป แล้วพูดขึ้นว่า ท่านเป็นเทพ แล้วท่านลงมาบอก
ขณะนี้จิตเราสะอาด สงบ จึงรับได้ ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าน้าตายแล้ว
และทวดมาบอกให้ข้าพเจ้ารู้ เพราะทางกรุงเทพฯไม่มีใครรู้เลยว่าข้าพเจ้ามาที่นี่
ข้าพเจ้าไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่คนเดียว
ข้าพเจ้าต้องลาศีลในเช้านั้น
แล้วไปนั่งรอหลวงพ่อภาวนาวิสุทธิ์อยู่พักใหญ่ ๆ เพื่อจะกราบลาท่าน
แต่ทราบว่าท่านติดธุระ ข้าพเจ้าจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในตอนบ่ายด้วยความร้อนใจ
เมื่อถึงหลักสี่ก็ลงจากรถ แล้วรีบโทรศัพท์เข้าบ้านทันที หลานสาวเป็นคนรับสาย
ประโยคแรกหลานบอกว่า อาตายแล้ว
ทุกคนกำลังหาตัวข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ากลับไปทันการเดินทางไปงานศพน้าทีต่างจังหวัดพร้อมกับญาติ ๆ
ที่กำลังรออยู่พอดี
ทวดของข้าพเจ้านั้นตายไปเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๑๔ นับถึงตอนนี้ก็รวมเวลา ๒๐ ปีพอดี ตอนตายทวดอายุเกือบร้อยปี
ข้าพเจ้ายังจำลักษณะของทวดได้ติดตา ทวดแก่มากจนเดินหลังงอ ใบหูยายห้อยเกือบถึงบ่า
ตาเล็ก ๆ ฝ้าฟาง มองไม่ค่อยเห็น แต่ความจำดีมาก จำเสียงลูกหลานได้ทุกคน มักใส่เสื้อแขนกระบอกสีขาว
นุ่งโจงกระเบนและถือไม้เท้าเป็นประจำ ทวดเป็นคนใจบุญสุนทาน มีเมตตากรุณาต่อทุก ๆ
คน ตอนข้าพเจ้าเล็ก ๆ ทวดก็เคยเลี้ยงดูข้าพเจ้า ทวดไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นเป็ด ไก่ หมู วัว ควาย กินแต่ไข่กับปลาน้ำเค็ม ข้าพเจ้าเคยถามเหตุผลว่า
ทำไมทวดจึงกินแต่ปลาน้ำเค็ม ทวดตอบว่า ปลาน้ำเค็มมันอยู่ในทะเลกว้างใหญ่
มันถึงที่ตาย มันจึงมาให้คนจับ
และปลาน้ำเค็มเมื่อมาถึงตลาดก็จะเป็นปลาที่ตายแล้ว ทวดจึงกิน
นอกจากนั้นทวดยังถือศีล และสวดมนต์เป็นประจำ
ข้าพเจ้ามักเห็นทวดสวดมนต์อยู่ในห้องพระครั้งละนาน ๆ ในชีวิตของทวดทำแต่บุญ
สร้างแต่กุศล ไม่เคยทำบาปเลย ข้าพเจ้าจึงเชื่อคำพูดของแม่ใหญ่ที่บอกว่า ทวดเป็นเทพ
ตามธรรมดาแล้ว
เวลาข้าพเจ้าทำบุญก็จะอุทิศส่วนกุศลให้ทวดเกือบทุกครั้ง และหลังจากทำสมาธิแล้ว
ก็อุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เทวดา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ทวดคงจะได้รับผลกุศลนั้นและคงคอยช่วยคุ้มครองดูแลรักษาลูกหลาน
เมื่อลูกหลานมีเรื่องเดือดร้อนก็ช่วยเหลือ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าเกิดนิมิตเห็นทวดเพื่อบอกให้ข้าพเจ้ารู้ว่าน้าตายแล้ว
และแม่ของข้าพเจ้าก็ไม่สบายจิรง ๆ ตามที่ข้าพเจ้านิมิตเห็นเหมือนกัน
ส่วนน้าของข้าพเจ้านั้นชอบดื่มเหล้า
ดื่มจนติด ต้องดื่มทุกวัน ยามน้าไม่เมา น้าเป็นคนดีมาก ขยันขันแข็ง ในดี
รักลูกหลาน ไม่ค่อยพูด แต่ยามที่น้าเมา หล้าจะเปลี่ยนนิสัยของน้าให้กลายเป็นคนปากร้าย
ด่าเก่ง ขี้โมโห เจอใครก็ด่าโขมงโฉงเฉงไปหมด แต่ทุกคนก็ไม่มีใครถือสา
เห็นว่าเป็นคนเมา เมาแล้วน้าไม่กลัวใคร มีคนที่น้ากลัวอยู่คนเดียวคือแม่ของข้าพเจ้า
แม่เป็นพี่สาวคนโต ต้องเลี้ยงน้อง ๒ คน แต่ลำพัง
เพราะตากับยายตายตั้งแต่แม่ยังเล็ก น้าจึงทั้งรักทั้งกลัวแม่
น้าดื่มเหล้าติดต่อกันหลายปีตั้งแต่หนุ่มจนแก่
เมื่ออายุมากขึ้นโรคร้ายก็กำเริบและไม่ยอมรักษาตัว แม้ลูกหลานจะขอร้องอ้อนวอน
จนกระทั่งมีอาการมากขึ้นจึงยอมรักษา กล่าวคือ เริ่มทานอาหารไม่ได้
ทานอะไรเข้าไปก็อาเจียนหมด ร่างการซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และในที่สุดก็ยอมเข้ามารักษาตัวที่กรุงเทพฯ
แต่มะเร็งร้ายได้เกาะกินน้าจนสุดความสามารถของหมอที่จะเยียวยารักษาได้ น้าต้องทนทุกข์ทรมานอย่างน่าสงสารที่สุด
ปากบอกว่าอยากจะทานโน่นทานนี่ แต่เมื่ออาหารตกถึงท้องก็อาเจียนออกหมด ระยะหลัง ๆ
แม้แต่น้ำก็ดื่มไม่ได้ อาเจียนทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน ร่างกายผ่ายผอมดำเกรียมจนผิวหนังแตกเป็นขุย
ๆ เพราะความร้อนที่มันแผดเผาอยู่ภายในร่างกายของน้า
และท้ายที่สุดน้าก็ได้จบชีวิตลงอย่างสงบท่ามกลางญาติพี่น้องลูกหลาน
ก่อนตายน้าได้ขออโหสิกรรมคนที่น้าเคยด่าว่าเขาไว้ และสั่งเสียลูกหลานว่างานศพของน้า
ห้ามไม่ให้กินเหล้าและเล่นการพนัน เพราะเป็นสิ่งไม่ดี
น้ารู้สึกตัวก็ต่อเมื่อสายไปแล้ว ถ้าหากน้าไม่ดื่มเหล้า
น้าคงจะอยู่เป็นที่พึ่งของลูกหลานได้อีกนาน คงไม่ด่วนจบชีวิตไปเร็วเช่นนี้
เหมือนดังคำพูดของทวดที่พูดว่าน้าทำตัวน้าเอง
การปฏิบัติกรรมฐานครั้งแรกของข้าพเจ้า
ได้เกิดเหตุการณ์ที่แปลกอย่างไม่น่าเชื่อดังที่ข้าพเจ้าได้เล่ามานี้ และในการปฏิบัติครั้งนี้ข้าพเจ้ายังหายจากโรคประจำตัวคือโรคปวดเข่า
เป็นมาหลายปีซึ่งเกิดจากกรรมเก่าตอนเล็ก ๆ ตามแม่ไปนา
ไม่มีอะไรเล่นก็จับปูนามาหักขา แล้ววางบนข้อมือทำนาฬิกาเล่น พอเบื่อก็โยนทิ้งไปจับตัวใหม่มาหักขาอีก
เมื่อข้าพเจ้านั่งสมาธิ จึงรู้สึกปวดเหมือนหัวเขาจะแตกหลุดออกไป ข้าพเจ้าได้ใช้กรรมและขออโหสิกรรมแล้วจึงได้หายจากโรค
นอกจากนี้เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงบ้านไม่นาน ก็มีคนเอาเงินมาใช้หนี้
ยืมไปเกือบสิบปี ไม่คิดว่าจะได้คืน เขาก็เอามาคืน
ปัจจุบันข้าพเจ้ายังคงไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันเมื่อมีโอกาสมีเวลา
ข้าพเจ้าได้พบกับความสุขที่แท้จริง ชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นเรื่อย ๆ มีโชคมีลาภ
มีคนช่วยเหลือเกื้อกูลตลอดมา ทั้งทำให้ข้าพเจ้ามีจิตใจเข้มแข็งที่จะอดทน
ต่อสู้และแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ
ในชีวิตให้สำเร็จลุล่วงไปโดยการใช้สติเป็นที่ตั้ง
สิ่งดีงามทั้งหมดนี้เป็นอานิสงส์จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างแท้จริง
อาจารย์ ร.ร.วัดอัมรินทราราม
บางกอกน้อย กทม.
-------------------