อานิสงส์การปฏิบัติธรรม
สุวรรณา ดารามาศ
R5007
ดิฉัน นางสุวรรณา
ดารามาศ เป็นข้าราชการบำนาญ ดิฉันเป็นชาวสิงห์บุรีโดยกำเนิด เมื่อเด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือตามจังหวัดต่าง
ๆ เพราะย้ายตามบิดาซึ่งเป็นข้าราชการ เมื่อโตขึ้นก็เข้ารับการศึกษาในกรุงเทพฯ
และเมื่อมีครอบครัวก็ต้องติดตามสามีซึ่งย้ายไปรับราชการจังหวัดต่าง ๆ อีก จนกระทั่งสามีและดิฉันเกษียณอายุแล้ว
เราจึงกลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้งหนึ่ง
ทางครอบครัวสามีของดิฉันรู้จักคุ้นเคยกับหลวงพ่อจรัญเป็นอย่างดี
ส่วนดิฉันซึ่งเป็นสะใภ้ก็พอจะรู้จักหลวงพ่อและวัดอัมพวันมาบ้างเหมือนกัน
ระหว่างรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ได้ทราบกิตติศัพท์ของท่านว่าเป็นวัดพัฒนาจิตใจอยู่เหมือนกัน
จนกระทั่งเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นรุ่นพี่เป็นผู้ใหญ่กว่าดิฉัน
เขาเคยมานมัสการท่านถึงวัด และได้ชมมักกะลีผล กลับไปเล่าให้ฟัง และถามดิฉันว่ารู้จักวัดอัมพวันไหม
จนกระทั่งวันหนึ่งดิฉันได้พบท่านที่วัดบวรนิเวศโดยบังเอิญ เนื่องจากท่านไปบรรยายที่นั่น
ถามท่านเรื่องที่มีชาวกรุงเทพฯมาขอชมมักกะลีผล ท่านก็เอารูปภาพให้ดู
ดิฉันยังนึกเสียดายว่าพี่ ๆ เขาว่าดิฉันว่าใกล้เกลือกินด่างนั้น
จริงดังที่เขาว่าเพราะเขาอยู่ไกลยังได้ชม ส่วนดิฉันซึ่งเป็นชาวสิงห์บุรีแท้ ๆ
กลับไม่ได้ชม
ประมาณปี
๒๕๒๗ หรือปี ๒๕๒๘ ดิฉันเริ่มมีอาการเหนื่อยและหอบเป็นบางครั้ง เวลาเป็นหวัด
ไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์บอกว่าดิฉันเป็นโรคภูมิแพ้ บางครั้งต้องนอนคว่ำหน้าเพราะหายใจไม่ออก
วันหนึ่งเพื่อนถามดิฉันว่าห้าอกของดิฉัน (ตรงบริเวณต่ำกว่าคอหอยลงมาก ๓ นิ้วมือ) บวมเป็นอะไรหรือ
ซึ่งดิฉันไม่เคยสังเกตมาก่อน เมื่อไปส่องกระจกดูจึงเห็นว่า
เนื้อบริเวณนั้นนูนสูงขึ้นมาผิดปกติ ดิฉันไปพบแพทย์ ๆ ให้เอ๊กซเรย์ดูก็พบว่า ด้านในคล้ายเนื้องอกโตประมาณเหรียญห้าบาทขนาดใหญ่
แพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่ก็วัณโรคต่อมน้ำเหลือง
จึงตัดเนื้อเอาไปตรวจก็ปรากฏว่า ไม่ใช่มะเร็งและไม่ใช่วัณโรค
ลักษณะเนื้อคล้ายฟองน้ำ ไม่มีอาการเจ็บปวด ดิฉันจึงไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก
แต่ยังรักษาอาการโรคภูมิแพ้อยู่
จนปี
๒๕๓๒ หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ ๓ ปี ดิฉันได้มีโอกาสได้เข้าอบรมปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน
โดยการนำของ พ.อ.ปาน จันทรานุตร ในรายการของพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ ในเดือนตุลาคม
๒๕๓๒ อยู่ ๑๐ วัน ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งและสนใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สุขภาพของดิฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงและเจ็บป่วยบ่อย ๆ และเป็นไม่ซ้ำแบบ ในปี ๒๕๓๒
ไหล่ทั้งสองข้างปวดและยกแขนไม่ค่อยขึ้น หมอบอกว่าข้อไหล่ติด ต้องไปทำกายภาพบำบัดอยู่หลายวันจึงหาย
มาปี ๒๕๓๓ ราว ๆ เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน หัวเข่าดิฉันเกิดปวดทั้งสองข้างเดินไม่ถนัด
เป็นแบบกะทันหัน โดยไม่ได้ล้มหรือทำอะไรมาก่อนเลย เท้าทั้งสองข้างบวมและปวดทรมานมาก
นั่งคุกเข่า พับเพียบ แม้แต่นั่งขัดสมาธิก็ไม่เข้า ต้องเหยียดเท้า ดิฉันไปหาหมอที่ศิริราช
หมอบอกว่าข้อเข่าเสื่อมเนื่องจากอายุมาก จะไม่หายเป็นปกติ จะเป็น ๆ หาย ๆ
จ่ายยามาให้รับประทาน จ่ายผ้ายืดสวมเข่าให้เวลาเดิน แนะนำให้ทำกายภาพบำบัด
ดิฉันขอกลับมาทำที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ทำอยู่ ๑๕ วันพร้อมทั้งรับประทานยาไปด้วยก็ทุเลาปวดไปบ้าง
แต่เดินยังไม่ถนัด จะเรียกว่าเสียศูนย์เลยก็ได้ เพราะดิฉันต้องใช้ไม้เท้าช่วยค้ำเวลาเดิน
ต้องเดินช้า ๆ ยกเท้าขึ้นที่ชันไม่ได้ปวดท้องน่องมาก
ดิฉันเสียกำลังใจมากเมื่อหมอบอกว่าจะหายไม่เป็นปกติ
จะเป็นอีกถ้าไม่ระวังเวลาใช้งาน คือถ้าไปเดินมากหรือยกของหนักมากจะกลับเป็นอีก
ให้ใช้ไม้เท้าช่วย ตัวดิฉันจะโยกส่ายไปซ้ายทีขวาทีเวลายกเท้า ดิฉันรู้สึกเวทนาตัวเองที่ต้องเดินเสียบุคลิก
ไปอย่างนั้น รับประทานยาจนหมดและทำกายภาพบำบัดจนครบ อาการปวดบวมก็ยังคงมีอยู่
ดิฉันแปลกใจที่ว่าทำไมเข่าเสื่อมจึงเป็นอย่างกะทันหัน ข้อเข่าลั่นเวลาเดิน
ดิฉันเคยอ่านหนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมของหลวงพ่อ ก็นึกว่าเราอาจจะได้รับกรรมจากการกระทำอะไรของตัวเองสักอย่างก็เป็นได้
ซึ่งเราลืมไปแล้ว ดิฉันจึงพยายามนึกทบทวนดูตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง
ตามปกติดิฉันชอบไปวัดกับมารดาเสมอเมื่อเล็ก ๆ
จึงไม่เคยเล่นซุกซนหรือฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นึกย้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ
จิตใต้สำนึกเตือนให้ระลึกขึ้นได้ว่าเมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว
ระหว่างดิฉันรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ สามีไปรับราชการอยู่ที่ภาคใต้ ดิฉันกลับมาอยู่กับลูก
ๆ ที่กรุงเทพฯ เพราะลูก ๆ เริ่มเรียนชั้นมัธยมกันแล้ว มีอยู่วันหนึ่ง ลูก ๆ บ่นอยากรับประทานปูทะเลผัด
ดิฉันเห็นเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จึงไปซื้อปูทะเลมาตัวหนึ่งอ้วนใหญ่พอสมควร
ก็เริ่มทำปูโดยแม่ค้าแนะนำมาว่าให้ใช้ปลายมีดแหลม ๆ
ตอกที่อกปูให้ตายเสียก่อนค่อยตัดเชือกที่เขามัดไว้
ดิฉันจึงแข็งใจเอามีดบางปลายแหลมจ่อที่อกปู
โดยจับหงายขึ้นแล้วใช้ไม้สี่เหลี่ยมตอกด้ามมีดลงไป โป๊ก พอสิ้นเสียงดังโป๊ก
ดิฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือข้างซ้ายที่จับมีดไว้ คงเป็นเพราะความเจ็บปวดของปู
มันจึงดิ้นจนเชือกที่เขามัดขาไว้หลุด แล้วใช้ก้ามหนีบฝ่ามือของดิฉันติดเลย
ด้วยความเจ็บของดิฉันรวมกับความตกใจที่เห็นปูมาห้อยต่องแต่งอยู่ที่มือ
ดิฉันสลัดมือข้างหนึ่งเต็มแรง ปูที่หนีบอยู่กระเด็นไปกระแทกกับพื้นปูนซีเมนต์
ปรากฏว่าตัว ขา ก้ามหักออกจากกันหมดเป็นชิ้น ๆ แล้วตายสนิท
ฝ่ามือของดิฉันก็เลือดโชก ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยอมแตะต้องปูทะเลอีกเลย
ดิฉันยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี และอาจเป็นบาปกรรมที่ดิฉันเคยทำกับปูทะเลไว้กระมัง
ดิฉันจึงมาได้รับความทรมานจากแขนบ้าง ขาบ้างอย่างนี้
ดิฉันเล่าถึงการรำลึกถึงปูให้สามีฟังและบอกว่าอยากไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน
เพื่อเหตุสองอย่าง คือหนึ่งถ้าเขาของดิฉันไม่หายขาดอย่างที่หมอบอก
ดิฉันขอไปอยู่วัดสักพักเพื่อทำใจยอมรับสภาพที่ตัวเองจะต้องเดินย้ายไปโยกมาเสียบุคลิกอย่างนั้นไปตลอดชีวิต
สอง ถ้ากฎแห่งกรรมมีจริงอย่างที่หลวงพ่อท่านเล่า ดิฉันก็ขอไปปฏิบัติธรรมเพื่อใช้หนี้เวรกรรมนั้นด้วย
เมื่อตั้งใจแน่วแน่แล้วดิฉันก็รีบจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จะไปใช้สอย
สามีดิฉันก็ช่วยจัดหาแล้วพาไปส่งวัดอัมพวัน เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๓
แจ้งความจำนงกับผู้ควบคุมและเขียนใบสมัครตามระเบียบของวัดแล้ว เย็นนั้นแม่ชีสมคิดก็พาไปรับศีลแปดจากพระ
และเริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบไม่ได้
จึงขออนุญาตไปนั่งในห้องโดยใช้นั่งเหยียดเท้าแทนการนั่งขัดสมาธิ
เวลาผ่านไป
๑๐-๑๑-๑๒ สิงหาคม ดิฉันพยายามปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งเดินจงกรม
และนั่งสมาธิ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๓ ระหว่างนั่งปฏิบัติช่วงบ่ายอยู่ในห้อง
(เวลาประมาณ ๑๔.๓๐-๑๕.๓๐ น.) มีความรู้สึกว่าตัวชาเหมือนไม่มีท่อนล่าง
มีความรู้สึกไกล ๆ เหมือนไม่ใช่มือเท้าของเรา มีความรู้สึกอยู่แค่ลิ้นปี่ที่สูบลมหายใจเข้า-ออก
ไปเล่าให้ป้าสุ่มฟัง ป้าสุ่มบอกว่าเป็นอาการที่เรียกว่า ตัวเบา
ดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ไม่ได้ซักไซร้อะไรท่านมาก กลับมาปฏิบัติต่อ
วันที่
๑๓ สิงหาคม ตอนกลางคืนหรือจะนับว่าเป็นวันที่ ๑๔ ก็ได้ เพราะเกือบตีห้า
แล้วเป็นวันพระ ขณะที่ฉันนั่งเหยียดเท้าปฏิบัติอยู่ในห้องโดยเปิดไฟไว้
จิตกำลังนิ่งสงบ ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าต่างด้านหลังห้อง
ดิฉันนั่งหันข้างไปทางหน้าต่าง เสียงคล้ายเล็บตะกายมุ้งลวดดัง แกรก หลายครั้ง
ครั้งแรกคิดว่าแมว แต่ทำไมไม่ได้ยินเสียงร้อง ดิฉันขนลุกไปทั้งตัว ไม่กล้าลืมตา
ตั้งสติสวดมนต์ แผ่ส่วนกุศลอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรและสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
พอสวดได้จบแรกเสียงแกรก ๆ ยิ่งดังมากขึ้นถี่ขึ้น ดิฉันหลับตาสวดได้ ๓ จบ
แล้วตัดสินใจลืมตาดูทันที เสียงนั้นเงียบไป
ดิฉันเดินไปดูที่หน้าต่างก็ไม่เห็นมีอะไรเลย
ดิฉันแน่ใจว่ามันคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงส่วนบุญแล้ว
เมื่อดิฉันแผ่ส่วนบุญให้จึงเงียบไป
วันที่
๑๔ สิงหาคม เป็นวันพระ ทุกคนต้องไปปฏิบัติในโบสถ์และรับฟังหลวงพ่อเทศน์อบรมสั่งสอนด้วย
ระหว่างนั่งฟังท่าน ดิฉันเกิดปวดเข่าอย่างรุนแรง นั่งไม่ติด เปลี่ยนท่านั่งบ่อย ๆ
ก็ไม่หาย จนต้องแอบไปนั่งห้อยเท้าที่เก้าอี้ เกรงใจท่านทั้งหลายก็เกรงใจ
แต่ทนปวดไม่ไหวต้องนั่งหลบ ๆ เอาในใจคิดว่าเราคงหมดบุญที่ทำให้จะปฏิบัติไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้เสียแล้ว
ถ้ายังขืนปวดไม่หยุดอยู่อย่างนี้คงทนไม่ได้ พอหลวงพ่อเทศน์จบเป็นเวลาพัก
พวกเรากลับไปดื่มน้ำปานะ เพื่อน ๆ
ที่ปฏิบัติด้วยกันต่างถามกันว่าจะต้องกลับไปโบสถ์อีกไหม อาจารย์ผู้ควบคุมได้ยิน
บอกว่าต้องกลับไปอีกเพราะยังไม่ ๓ ทุ่ม ดิฉันแข็งใจเดินตามเขาไป
แข็งใจเดินจงกรมแทบว่าจะก้าวไม่ออก ปวดเหมือนเข่าจะแตกเสียให้ได้
ขณะเดินอยู่จิตสำนึกแวบขึ้นมาว่าทำไมดิฉันไม่ใช้การเดินนี้ให้เป็นประโยชน์เหมือนกับการทำกายภาพบำบัดไปด้วย
ดิฉันจึงตั้งสติเดินให้ช้าลง ตั้งใจเน้นทุกก้าวย่างทั้งยก ทั้งเหยียบ
เกร็งบริหารกล้ามเนื้อไปในตัว เดินจงกรมจนหมดเวลา
เมื่อกลับห้องพักดิฉันคิดว่าพรุ่งนี้คงเดินไม่ไหวแน่ เพราะระบมไปทั้งสองเท้า
รีบสวดมนต์และนอนกำหนดจนหลับ
๑๕
สิงหาคม ๒๕๓๓ วันนี้เป็นวันเกิดของหลวงพ่อ ขณะรับประทานอาหาร
ผู้ควบคุมมาแจ้งให้ทราบว่า ให้คณะผู้ปฏิบัติรีบขึ้นหอประชุมแต่เช้า
เพื่อรับแจกหนังสือก่อนที่ญาติโยมจะมา พวกเราก็รีบขึ้นไปคอยสักครู่
หลวงพ่อก็ขึ้นไปแจกหนังสือ ดิฉันช่วยจัดให้คณะของเราเข้ารับหนังสืออย่างเป็นระเบียบ
โดยเดินเข่าเข้าไปเป็นแถว ดิฉันก็ร่วมเดินเข่าด้วย นึกเอะใจว่าทำไมเรา
เดินเข่าได้คล่องแคล่วโดยไม่ปวดเลย
หรืออาจจะเป็นเพราะพื้นปูพรมเพราะก่อนมาถึงวัดดิฉันคุกเข่าไม่ได้เลย
เมื่อเสร็จแล้วพวกเราก็ไปปฏิบัติบนศาลาใหญ่
ในช่วงปลายขณะที่เดินจงกรมแล้วเปลี่ยนท่าเป็นนั่งสมาธิ ดิฉันทดลองนั่งสมาธิดู
เมื่อจับเท้าขวาทับเท้าซ้ายก็ทำได้ดีมีขัดบ้างเล็กน้อย ดิฉันลองพับเพียบดูอีกก็ทำได้และนั่งได้เรียบร้อยเสียด้วย
คือเก็บเท้าได้มิดชิดทั้งซ้าย-ขวา ดิฉันเกิดปีติอย่างยิ่งแปลกใจดีใจจนน้ำตาไหล
นั่งสมาธิไปด้วยน้ำตาแห่งความปีติก็ไหลไปด้วย
ดิฉันพยายามกลั้นไว้ด้วยเกรงว่าจะมีคนเห็น ในใจนึกกราบเรียนหลวงพ่อว่าดิฉันหายแล้ว
ดิฉันทำได้แล้ว ไม่นึกเลยว่ามาปฏิบัติเพื่อรักษาจิตใจ ทำใจให้ยอมรับสภาพของร่างกาย
กลับได้ผลเกินคาด คือดิฉันสามารถนั่งในท่าต่าง ๆ ได้ เกือบเป็นปกติ
นอกจากท่าเดียวคือ ท่าเบญจางคประดิษฐ์ยังนั่งไม่ได้
ดิฉันนึกปวารณาไว้ว่าถ้าดิฉันสามารถนั่งท่าเบญจางคประดิษฐ์ได้เมื่อใด
ดิฉันจะขอรับใช้หลวงพ่อแล้วแต่ท่านจะใช้ให้ช่วยงานด้านเผยแผ่ของท่านอะไรก็ได้เท่าที่ความรู้ความสามารถของดิฉันจะช่วยได้
เมื่อกลับไปที่พักเก็บความดีใจไว้ไม่ได้
รีบเล่าให้ผู้ควบคุมฟังและบอกว่าอยากจะหาโอกาสกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับดิฉันอย่างนึกไม่ถึงนี้ด้วย
ผู้ควบคุมแนะนำถึงน้ำมันของหลวงพ่อว่าใช้นวดใช้ทารักษาโรคได้ ดิฉันจึงหาโอกาสไปกราบเรียนหลวงพ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังว่า
ดิฉันตั้งจุดประสงค์มาปฏิบัติเพื่อทำใจให้รับสภาพร่างกาย
ไม่นึกเลยว่ามาทำแล้วจะได้ผลเกินคาด คือได้รับทั้งความสบายใจ
และเข่าที่ปวดก็ทำท่าว่าจะหายไปด้วย ดิฉันรักษากับหมอเกือบเดือน แต่มานี่เพียง ๕
วัน อาการดีขึ้นเกินคาดเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย
ขณะเล่าให้ท่านฟังดิฉันยังเกิดปีติจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
แล้วขอให้ท่านช่วยแผ่เมตตากับน้ำมันของท่านที่ดิฉันขอไปนวดเข่าด้วย
ท่านก็กรุณาทำให้ และบอกกับดิฉันว่าให้ตั้งใจปฏิบัติต่อไป ดิฉันกราบลาท่านกลับที่พัก
เนื่องจากมีแขกอีกหลายคนด้วยคอยพบท่านอยู่
ตั้งแต่วันนั้นดิฉันก็ตั้งใจปฏิบัติอย่างมีความสุขใจ
อิ่มเอิบใจ จนกระทั่งกลับบ้านคือ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๓ รวมปฏิบัติอยู่ ๑๑ วัน
เมื่อกลับไปอยู่บ้านแล้ว เข่าทั้งสองข้างของดิฉันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนท่าคุกเข่าในท่าเบญจางคประดิษฐ์นั้นยังทำไม่ค่อยได้ นั่งได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องรีบเปลี่ยนท่า
เพราะยังตึงและปวดอยู่ ทั้งหมดนี้คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันระหว่างไปปฏิบัติธรรม
หรืออาจจะเป็นกฎแห่งกรรมก็เป็นได้ ซึ่งดิฉันจะไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนี้เลย
-------------------