เมื่อข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวัน
สุจิตรา รณรื่น
๑๙ เม.ย. ๓๕
R6004
ความเป็นมา
ข้าพเจ้ารู้จักวัดอัมพวันครั้งแรกเมื่อปี
๒๕๒๖ เนื่องจากวิทยาลัยส่งมาเข้าร่วมอบรมปฏิบัติธรรมในโครงการ สัปดาห์แห่งการปฏิบัติธรรมสำหรับข้าราชการ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๕ มิถุนายน
ท่านเจ้าของโครงการคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ์
(สมณศักดิ์ในปัจจุบันเป็นท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ)
นับเป็นโอกาสอันดีที่ข้าพเจ้าได้มาเรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมอย่างเป็นแบบแผน
มีครูอาจารย์ควบคุม ซึ่งดีกว่าอ่านจากตำราแล้วปฏิบัติเองดังที่ข้าพเจ้าเคยทำ
ผู้เข้าอบรมในเวลานั้นมีเพียง ๑๓ คน ทั้งที่หลวงพ่อท่านมีหนังสือเชิญชวนไปยังหน่วยงานต่าง
ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด
ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะสมัยนั้นคนยังไม่เห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรม ตลอดเวลา
๗ วัน ที่พวกเราอยู่ที่วัด หลวงพ่อท่านเมตตาสอนด้วยตนเองทั้งกลางวันและกลางคืน
โดยมีคุณแม่ยุพิน บำเรอจิต เป็นผู้ช่วย ข้าพเจ้าปฏิบัติได้พอสมควร
ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างเต็มที่เพราะมีความกังวลห่วงลูกชายซึ่งขณะนั้นอายุเพิ่งจะ
๔ เดือนเศษ แต่ข้าพเจ้าก็อยู่ปฏิบัติจนครบกำหนด
และนั่นเป็นนิมิตอันดีสำหรับข้าพเจ้า
เพราะหลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะอำนาจแห่งรสพระธรรมและความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง
ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน
ข้าพเจ้าก็ได้เข้าปฏิบัติธรรมที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่
ตามคำชวนเชิญของอาจารย์ผ่องพรรณ ปัณฑรานนท์ ผู้เป็นเจ้าของโครงการ โดยมีคุณแม่
ดร.สิริ กรินชัย เป็นผู้ให้การอบรม
พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้มาแสดงธรรมให้ผู้ปฏิบัติฟัง และข้าพเจ้าก็ได้ถือโอกาสกราบเรียนถามข้อสงสัยบางประการ
เกี่ยวกับเรื่องลูกชายของข้าพเจ้า
โดยให้เหตุผลว่าที่ต้องกราบเรียนถามเพราะเป็นเรื่องที่ไม่เหมือนคนอื่น
หลวงพ่อไม่ตอบคำถาม แต่ได้พูดว่า จะให้เหมือนคนอื่นได้ยังไงล่ะจ๊ะ
ก็สุจิตรามีคนเดียวในประเทศไทย ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกงวยงงสงสัย
ไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อหมายความว่าอย่างไร แต่บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเข้าใจแล้ว
(แต่จะถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ที่ว่าชีวิตของข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย
ๆ ก็คือ นับตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวันแล้ว หน้าที่การงานก็ดีขึ้น
ๆ ตามลำดับ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะเขียนตำรามาก่อนเลย ก็ได้เกิดความคิดที่จะเขียน
และก็ได้เขียนตำราศาสนาเปรียบเทียบขึ้น (ขณะนี้พิมพ์ครั้งที่ ๓) กับ จริยศึกษา
อีกเล่มหนึ่ง ส่งขอตำแหน่งทางวิชาการ ทำให้ได้กระโดดจากซี ๔ เป็นซี ๖
คือได้เป็นซี ๕ อยู่สองวัน พอได้ตำแหน่ง ผู้ช่วยศาตราจารย์ ท่านก็ปรับให้เป็นซี ๖
นอกจากจะเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันหลายหนหลายครั้งเป็นการส่วนตัวแล้ว
ข้าพเจ้ายังได้จัดโครงการนำนักศึกษาวิทยาลัยครูธนบุรีมาปฏิบัติธรรมหลายรุ่น
หลายครั้งและก็ได้ฟังธรรมบรรยายจากหลวงพ่ออยู่เสมอ ๆ จนบางเรื่อง
(ที่เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม) จำได้ขึ้นใจทีเดียว
ต่อมาในปี
๒๕๓๐ ข้าพเจ้าก็สอบเข้าเรียนปริญญาเอก สาขาปรัชญา ที่คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสอบเข้าได้ที่หนึ่งของรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีผู้สอบทั้งสิ้น ๕๐
คน แต่สอบได้เพียง ๓ คน ทั้งที่เขาต้องการับ ๕ คน ข้าพเจ้าเป็นคนเรียนไม่เก่ง
แต่ที่สอบเข้าได้ที่หนึ่ง เพื่อน ๆ ลงความเห็นว่า เพราะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวัน ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่คัดค้าน
ในเทอมแรก ข้าพเจ้าเรียนได้สองสัปดาห์ก็ขอลาป่วย ผ่าตัดตาซึ่งเป็นต้อเนื้อ
(เคยผ่าตัดครั้งหนึ่งแล้ว แต่ได้งอกขึ้นอีกภายในเวลาไม่กี่เดือน)
ทำให้ต้องพักการเรียน พอเปิดภาคเรียนที่สองก็เข้าไปเรียน
แต่รู้สึกไม่ถูกโฉลกกับเนื้อหาวิชา เพราะเขาไปเน้นแต่ปรัชญาตะวันตกที่ข้าพเจ้ามองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน
ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งพวกนักปรัชญาผู้เป็นเจ้าของลัทธิคำสอนเหล่านั้นก็เปลี่ยนแนวคิดอยู่ตลอดเวลาจนผู้เรียนตามไม่ทัน
(เพราะคำสอนเหล่านั้นไม่เป็นสัจธรรมเหมือนคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง) ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อและเรียนไม่รู้เรื่อง เพราะ รับไม่ได้ ยิ่งคิดไปว่าตัวเองอาจจะต้องกลายเป็นคนบ้า
ๆ บอ ๆ อย่างพวกนักปรัชญาผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น ก็ยิ่งไม่อยากเรียน
แล้วก็เลยสอบตก โดยรีไทร์สมความปรารถนา (ก็เสียใจอยู่เหมือนกันตรงที่อุตส่าห์สอบเข้าไปได้)
ข้าพเจ้าก็มากราบเรียนหลวงพ่อว่า ตกเรียบร้อย
และเขาไล่ออกแล้วเจ้าค่ะ
ท่านบอกไม่เป็นไรแล้วเป่าหัวเพี้ยง
ๆ เป็นอันว่าสิ้นสุดสำหรับการใฝ่ฝันอยากเป็น ดอกเตอร์
ความที่ไปวัดฟังธรรมจากหลวงพ่อหลายครั้งหลายหน
จนแทบว่านับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ชีวิตพลิกผันไปอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ
ข้าพเจ้ากลายเป็น นักเขียน ที่มีผู้อ่านติดตามผลงานมากที่สุดผู้หนึ่ง ซึ่งจะขอเล่าอย่างย่อ ๆ
คือ ข้าพเจ้าใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็ได้แต่ฝัน
เพราะผู้ที่จะเป็นนักเขียนได้นั้น จะต้องเป็นคนรอบคอบ ละเอียดลออ เป็นนักอ่านตัวยง
และที่สำคัญคือต้องมีสิ่งที่เรียกว่า พรสวรรค์
ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่มีอยู่ในตัวข้าพเจ้าเลย
การใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนเป็นได้แค่ความฝันที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้
ธรรมะสร้างพรสวรรค์ได้
แทบไม่น่าเชื่อว่าธรรมะจะมีอำนาจลึกล้ำมหัศจรรย์เช่นนี้
เพราะเมื่อข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
ในที่สุดธรรมะก็สามารถสร้างพรสวรรค์ขึ้นในตัวข้าพเจ้าได้กล่าวคือ อยู่ ๆ ในต้นปี
๒๕๓๒ คุณยุพา งามสมจิตร บรรณาธิการนิตยสารกุลสตรี ได้มีจดหมายมาถึงข้าพเจ้า มีใจความตอนหนึ่งว่า
อยากได้เรื่องของอาจารย์ลงในกุลสตรีทุกฉบับ
อาจารย์พอจะมีเวลาเขียนให้ไหมคะ ข้าพเจ้ารู้สึกปีติและปลาบปลื้มเป็นที่สุด
แต่ก็มีความกังวลว่า จะทำได้หรือเปล่า ข้าพเจ้าเคยเขียนเรื่องสั้น
ส่งไปที่นิตยสารกุลสตรี ๓ ครั้ง และก็ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารทุกครั้งโดยไม่มีการ
ลงตระกร้า
นับแต่วันที่ได้รับจดหมาย
ข้าพเจ้าก็มาคิดใคร่ครวญอยู่เป็นเดือนว่าจะเขียนอย่างไร
เพราะหากจะพิมพ์ลงในทุกฉบับก็จะต้องเป็นเรื่องยาว ไม่ใช่เรื่องสั้น
ในที่สุดข้าพเจ้าก็นำเรื่องที่ฟังจากหลวงพ่อเล่าไปเขียนเป็นนวนิยาย ๕ ตอนจบ
ชื่อเรื่อง ไฟไหนเล่าร้อนเท่าไฟนรก ก็ปรากฏว่ามีท่านผู้อ่านมีจดหมายมายัง บก.
ว่าเป็นเรื่องที่สอนคุณธรรม อ่านแล้วทำให้สะดุ้งกลัวต่อบาป บก.
ได้โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าและบอกว่าอาจารย์เตรียมพล็อตเรื่องใหม่ไว้ได้แล้ว
แฟนติดกันเกรียวเลย (ขณะนี้เรื่อง ไฟไหนเล่าร้อนเท่าไฟนรก ได้พิมพ์รวมเล่มแล้ว)
ข้าพเจ้าก็ไปคิดอีกเป็นเดือนว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี
ในที่สุดเรื่อง
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ก็ออกมาสู่สายตาท่านผู้อ่าน
และทำให้ข้าพเจ้าบังอาจเรียกตัวเองว่าเป็น นักเขียน ได้อย่างเต็มภาคภูมิ คุณยุพา
งามสมจิตร ซึ่งข้าพเจ้าถือว่า เป็นครูอาจารย์ที่ ปั้น ข้าพเจ้าขึ้นมา
(แต่ท่านไม่อนุญาตให้เรียกว่า อาจารย์ ข้าพเจ้าจึงเรียกว่า คุณพี่ แทน) บอกว่าภูมิใจมากที่ปั้นนักเขียนใหม่ได้สำเร็จ
และในเวลาต่อมา ทั้งคุณพี่และน้องชาย น้องสะใภ้ ก็กลายเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวันเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
เรื่องการเป็นนักเขียนของข้าพเจ้านี้
ครั้งหนึ่งในงานทำบุญบ้านของพันเอกหญิง วีณา ตุงคสวัสดิ์
ซึ่งได้กราบนิมนต์หลวงพ่อมาเจริญพระพุทธมนต์ หลวงพ่อได้พูดกับสามีของข้าพเจ้าว่า นี่ต้องลงโทษให้หนักนะ
ทำให้คนเข้าวัดเป็นพัน รับแขกไม่พักเลย คือคนที่อ่านเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนแล้ว
พากันไปวัดอัมพวันจำนวนมาก ทำให้หลวงพ่อต้องรับแขกจนไม่มีเวลาพักผ่อนนั่นเอง
เป็นรองศาสตราจารย์เพราะศรัทธาในหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าเคารพนับถือและศรัทธาในหลวงพ่อมาก
ไม่ว่าท่านจะบอกอะไร สอนอะไร ข้าพเจ้าจะพยายามทำตามนั้น ทั้งที่บางเรื่อง
เกินกำลัง ของข้าพเจ้า เป็นต้นว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าไปวัดอัมพวันกับพันเอกหญิงวีณา
ข้าพเจ้ากราบเรียนหลวงพ่อว่า คุณวีณาได้เลื่อนยศจากพันโทเป็นพันเอกแล้ว
หนูยังไม่ได้เลื่อนเลยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อพูดว่า ไปเขียนหนังสือเข้า ข้าพเจ้าก็ไปเขียนตำรา
๒ เล่ม คือ ปรัชญาเบื้องต้น กับ การฝึกสมาธิ ส่งไปขอตำแหน่ง รองศาสตราจารย์
แล้วก็ผ่านขั้นตอนทุกอย่างโดยไม่ถูกส่งกลับมาให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
นับเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับข้าพเจ้ามาก
ไปเรียนปริญญาเอกที่อินเดีย
เพราะหลวงพ่อ
สิ่งที่เกินกำลังของข้าพเจ้า
คือการเรียนปริญญาเอก เพียงเทอมเดียวที่เรียนจุฬาฯ ก็รู้สึกว่าสู้ไม่ไหว
เพราะตัวเองอายุมาก สุขภาพไม่ดี การจะทุ่มเทขนาดอ่านหนังสือตลอดคืนจนรุ่งเช้าทำไม่ได้แน่นอน
ช่วงนั้นท่านพระมหาวิจิตร วิจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดภาวนาภิรตาราม บางกอกน้อย
ได้ชักชวนให้ข้าพเจ้าไปเรียนปริญญาเอกที่อินเดีย
และท่านก็ได้ขอให้ท่านอาจารย์เขมานันทะ (บาง สิมพลี) เป็นธุระในการสมัครให้ บังเอิญข้าพเจ้าได้ทุนของรัฐบาลอินเดีย
ต้องเดินทางไปรับทุนด่วน จึงเดินทางไปโดยไม่ได้มากราบลาหลวงพ่อ แต่ก็ได้เขียนจดมายไปกราบเรียนและขอพรให้เดินทางไปกลับด้วยความปลอดภัย
ข้าพเจ้าไปในครั้งนั้นใช้เวลา ๑๐ วัน เมื่อกลับมาก็คิดว่าจะไม่ไปอีก
เพราะคิดว่าคงอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้ารับทุนมาแล้ว แต่ก็พยายามผัดผ่อน
กระทั่งคิดจะยอมสละทุน ต่อเมื่อได้รับกำลังใจจากหลวงพ่อว่า ไปแล้วจะเรียนจบ และกลับมาจะมีชื่อเสียงมาก
ข้าพเจ้าจึงไป ใช้เวลาเขียนวิทยานิพนธ์ ๒ ปีเศษ ก็จบ แต่ก็ต้องทุกข์ยากมากมาย หากไม่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อก็คงไม่จบ
ก่อนไปหลวงพ่อสั่งให้ไปเข้ากรรมฐานเพื่อสร้างพลัง ข้าพเจ้าก็ไปปฏิบัติอยู่ ๙
วัน หลวงพ่อกรุณามอบปากกาให้สองด้าม บอกให้เอาไว้เขียนวิทยานิพนธ์
ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม บางครั้งเขียนไปร้องไห้ไป
แต่ปากกาที่เคารพของข้าพเจ้าก็ช่วยเขียนให้จนเสร็จ ทั้งที่ไม่ใช่ภาษาของตัวเอง
หลวงพ่อส่งพลังไปช่วย
ระหว่างที่เรียนอยู่ที่อินเดีย
หลายครั้งที่ข้าพเจ้าประสบปัญหาหนักหน่วงมาก แต่ข้าพเจ้าก็ต่อสู้โดยใช้ธรรมะและหลวงพ่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
แล้วก็สามารถคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ได้ ข้าพเจ้าเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติก็ในตอนนั้น
และก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า
เหตุใดก่อนมาหลวงพ่อจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปสร้างพลังสะสมไว้ก่อน มีเรื่องหนึ่งข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า
หากมิใช่เพราะหลวงพ่อแผ่เมตตาไปช่วย
ข้าพเจ้าก็อาจจะต้องเสียชีวิตหรือกลายเป็นคนพิกลพิการไป คือข้าพเจ้าเคยกราบเรียนหลวงพ่อว่าจะกลับมาทำงานในเดือนพฤศจิกายน
๒๕๓๔ เพื่อจะได้เงินเดือนขึ้นทันตุลาคม ๒๕๓๕ แต่พอถึงเวลานั้นข้าพเจ้าไม่ได้กลับเพราะงานไม่เสร็จ
จึงเลื่อนออกไปเป็นเดือนธันวาคม ได้ฝากท่านอาจารย์จรัญ ธิตธมฺโม แห่งวัดดอน
ซื้อตั๋วกลับให้ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๓๔ ปรากฏว่าพี่สาวของข้าพเจ้าคือ
คุณเยาวลักษณ์ งามวงศ์ชน กับคุณพ่อได้เขียนจดหมายมาบอกว่า หลวงพ่อไม่ให้กลับ ขอให้สิ้นปีนี้ไปก่อน
ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้กลับ แล้วก็เร่งตรวจงาน (พิสูจน์อักษร) การพิมพ์วิทยานิพนธ์
ข้าพเจ้าต้องทำงานหนักมาก
อากาศก็หนาวจัด และไฟฟ้าก็ดับอยู่เสมอ ๆ นับเป็นอุปสรรคต่อการทำงานมาก
ครั้นถึงวันที่ ๑๐ ธันวาคม อันเป็นวันที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะบินกลับ
แต่ก็ต้องเลื่อนด้วยเหตุผลข้างต้น คืนนั้นประมาณสองทุ่ม ข้าพเจ้าก็นั่งเขียนหนังสือ
ขณะนั้นพวกเด็กวัยรุ่นทิเบตกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนานอยู่ชั้นล่าง ซึ่งจัดงานฉลองวันที่องค์ดาไล
ลามะ ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ จู่ ๆ ไฟในห้องข้าพเจ้าก็ดับลง
ข้าพเจ้าก็ไม่แปลกใจ เพราะเรื่องไฟดับเป็นเรื่องปกติในประเทศอินเดีย บางคืนติด ๆ
ดับ ๆ กว่าสิบครั้ง ยิ่งที่เมืองนาลันทา ไฟดับนานครั้งละ ๒-๕ วัน
เป็นเรื่องธรรมดามาก (ข้าพเจ้าอยู่เมืองพุทธคยา วัดทิเบต) แต่ในวันนี้ (๑๐ ธันวาคม)
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเพราะห้องอื่น ๆ และชั้นล่างไม่ดับ
แสดงว่าดับห้องข้าพเจ้าคนเดียว
ข้าพเจ้าจึงยกเก้าอี้ไปวางบนเตียงแล้วปีนขึ้นไปดูหลอดไฟขนาด ๖๐ แรงเทียน
ใช้เทียนไขส่องดูใกล้ ๆ ว่าเป็นเพราะหลอดขาดหรืออะไร
แต่แสงเทียนก็ไม่สว่างพอที่จะรู้ได้ว่าไส้หลอดขาดหรือไม่ ข้าพเจ้าก็เลิกสนใจ
หันมาเขียนหนังสือต่อไปภายใต้แสงเทียนสองเล่ม ๓๐ นาที ต่อมาเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจนกระจกห้องสะเทือน
คิดว่าใครเอาก้อนหินขนาดใหญ่มาขว้างกระจกหน้าต่างแตก เหลียวไปดูก็ไม่เห็นแตก
ก็คิดว่าคงเป็นห้องถัดไป แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะออกไปดู ก็ทำงานต่อไปอีกสักครู่
เกิดความรู้สึกว่าอยากจะดูหลอดไฟอีกสักครั้ง จึงหยิบเทียนไขเตรียมจะปีนขึ้นไปดูอีก
สิ่งที่เห็นทำให้ข้าพเจ้าตัวชา ระลึกถึงหลวงพ่อและสวดมนต์ นั่งสมาธิในทันที
สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาเมื่อมองไปที่หลอดไฟก็คือ
ไม่มีหลอดไฟอยู่ มีแต่ขั้ว ส่วนหลอดไฟแตกละเอียดกระเด็นลงมากองรวมกันในหม้อข้าวไฟฟ้า
เสียงระเบิดดังสนั่นที่ได้ยินเมื่อครู่ก็คือ เสียงระเบิดของหลอดไฟนั่นเอง ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า
หากมันระเบิดในช่วงที่ข้าพเจ้าใช้เทียนส่องดูไส้หลอดนั้น อะไรจะเกิดขึ้น แน่นอน
หากไม่ตาย ข้าพเจ้าก็ต้องกลายเป็นคนพิการไป ซึ่งถ้าจะต้องเป็นหลังก็ขอเปลี่ยนเป็นอย่างแรกยังจะดีเสียกว่า
เหตุการณ์ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะหลวงพ่อส่งพลังไปช่วยแล้วจะเรียกว่าเพราะอะไร อาจารย์อุบล
สุขสบาย เล่าให้ฟังหลังจากที่ข้าพเจ้าเรียนจบกลับมาแล้ว
เขาเคยไปหาหลวงพ่อและเรียนถามท่านว่า อาจารย์สุจิตรา อยู่อินเดียเป็นอย่างไรบ้าง
หลวงพ่อตอบว่า หนักมาก กำลังส่งพลังไปช่วย
หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าจนกระทั่งช่วงสุดท้าย
คือการสอบสัมภาษณ์ซึ่งเกิดปัญหาขึ้นโดยที่ข้าพเจ้าไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องเกิด
ข้าพเจ้าโกรธอาจารย์ที่ปรึกษามาก ถึงกับลั่นวาจาว่า ฉันไม่สอบก็ได้
ตรากตรำมาสองปีเศษ คุณก็รู้ก็เห็น แล้วมามีปัญหาตอนที่ฉันควรจะจบ ฉันไม่จบก็ได้
อาจารย์ที่ปรึกษาแทนที่จะโกรธกลับขอโทษขอโพยข้าพเจ้าเป็นการใหญ่
ในที่สุดก็จัดการให้ข้าพเจ้าสอบสัมภาษณ์จนได้ ที่น่าแปลกก็คือ
ข้าพเจ้าไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น คือตัวเจ้าของเรื่องเองไม่รู้
แต่หลวงพ่อท่านทราบทุกอย่างและได้ช่วยจนสำเร็จ ได้รับการบอกเล่าจาก อาจารย์สมพร
แมลงภู่ และ คุณเอื้อมทิพย์ คงเพ็ชร ภายหลังจากที่กลับมาแล้ว
มีหลายเรื่องที่หลวงพ่อทราบและได้ช่วยไว้ ในที่นี้ไม่สามารถเล่าได้ทุกเรื่อง
นับเป็นบุญของข้าพเจ้าโดยแท้
สิ่งที่ได้จากประเทศอินเดีย
หากจะเล่าให้หมดทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมาจนถึงปัจจุบัน ก็คงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้
เพราะ (๑) ต้องใช้เวลาเล่ากันกว่าสามวันสามคืน หรือถ้าจะเขียนก็คงหลายร้อยหน้า
ซึ่งไม่มีเวลาที่จะทำเช่นนั้น และ (๒)
จะไม่มีท่านผู้ใดทนฟังหรือทนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบได้แม้แต่คนเดียว
จึงต้องรวบรัดตัดใจความว่าที่หลวงพ่อท่านสนับสนุนให้ข้าพเจ้าไปเรียนที่ประเทศอินเดียนั้น
จริง ๆ แล้วการเรียนเป็นเรื่องรอง แต่เรื่องหลักและประโยชน์ที่ข้าพเจ้าได้
กลับเป็นเรื่องการปฏิบัติและความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งกว่าที่เคยรู้มา ข้าพเจ้าสามารถอ่านพระไตรปิฎกได้เข้าใจซาบซึ้งกว่าแต่ก่อน
เพราะได้มารู้มาเห็นวัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวภารตะ
วัดทิเบตที่ข้าพเจ้าเช่าพักอยู่ตรงข้ามกับพระเจดีย์และต้นพระศรีมหาโพธิ์
สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมด้วยการทำประทักษิณ เดินจงกรม นั่งสมาธิ
และที่มากที่สุดที่ทำได้สม่ำเสมอคือ การสวดมนต์ ซึ่งข้าพเจ้าจะสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ
สังฆคุณ พาหุงมหากา(รุณิโก) แล้วสวดพระพุทธคุณอย่างเดียว ๑๐๘ จบ ทั้งเช้าและเย็น
(วันละ ๒ ครั้ง) จิตใจของข้าพเจ้าสงบเยือกเย็นขึ้นและมองเห็นไตรลักษณ์ชัดเจนขึ้น
ทุกเช้าหลังจากการปฏิบัติธรรมเสร็จ
ข้าพเจ้าจะตั้งจิตอธิษฐานต่อพระเจดีย์ พระแท่นวัชรอาสน์ และต้นพระศรีมหาโพธิ์
อธิษฐานในเรื่องที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ เมื่อใดที่คำอธิษฐานนั้นกลายเป็นความจริง
เมื่อนั้นข้าพเจ้าจะเปิดเผยว่าได้อธิษฐานไว้ว่าอย่างไร
ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุขกับการทำงาน
นอกจากงานสอนที่วิทยาลัยครูธนบุรี ซึ่งมีทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำแล้ว
ทางกรมการฝึกหัดครูยังแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะทำงาน โครงการอบรมครูผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนา
ในระดับประถมและมัธยม ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา
และพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดอัมพวัน
จะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของข้าพเจ้าในการดำเนินชีวิตที่ดีงามตามแบบชาวพุทธแท้
ขออย่าได้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นชาวพุทธ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า
ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อที่จะเวียนมาอีกครั้งในวันที่
๑๕ สิงหาคมศกนี้
ข้าพเจ้าขอน้อมจิตอธิษฐานอาราธนาพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม
พระอริยสงฆ์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทังหลายในแดนพุทธภูมิ มีพระเจดีย์พุทธคยา พระแท่นวัชรอาสน์
และพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้น โปรดดลบันดาลให้ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ
วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี จงมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ ปราศจากโรคาพยาธิ และประสบความสำเร็จในกิจการงานทั้งปวง
เทอญ
----------- จบ -----------