ประสบการณ์ที่วัดอัมพวัน

ผศ. สุขนิจ กล่อมจันทร์

R6017

 

          ดิฉันได้มารู้จักวัดอัมพวันอย่างแท้จริง เมื่อคราวที่พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จัดอบรมกรรมฐานให้แก่ข้าราชการบำนาญและประชาชนทั่วไป

          ดิฉันได้มากับคุณแม่ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ และท่านอาจารย์ละเอียด วิสุทธิแพทย์ เป็นผู้นำ มีอาจารย์ในวิทยาลัยครูพิบูลสงครามที่ยังไม่เกษียณ ๓ คน รวมทั้งดิฉัน

          แต่เดิมดิฉันไม่รู้จักหลวงพ่อและวัดอัมพวัน ท่านอาจารย์ละเอียด เป็นอาจารย์ของดิฉัน ได้มาบอกบุญพิมพ์หนังสือสวดมนต์เพื่อแจกในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ดิฉันก็ทำบุญไปเพียง ๑๐๐ บาท เพราะไม่รู้จัก แต่เห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป

          ดิฉันได้รับหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติจาท่านอาจารย์ละเอียด เมื่อมีเวลาว่างนำมาอ่าน รู้สึกสนใจ

          ในปีถัดมาก็ได้ร่วมทำบุญ และขอรับหนังสือมาอ่านอีก มีความเลื่อมใส ใคร่รู้ และทดลองปฏิบัติธรรม ได้ทราบเรื่องราวของหลวงพ่อและลูกศิษย์ ตลอดจนวัดอัมพวัน จึงได้เดินทางมาร่วมปฏิบัติธรรมกับพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ

          เมื่อเดินดูรอบ ๆ วัด ดิฉันรู้สึกว่าเป็นวัดที่สะอาด มีระเบียบ มีการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นของเก่าและใหม่ แบ่งแยกเขตกันโดยไม่ขัดเขิน

          ที่อยู่ของพระกับฆราวาสก็แยกกันดี ไม่เห็นพระออกมาเดินปะปนกับฆราวาส ที่ประทับใจดิฉันมากคือ กุฏิหลวงพ่อ ดิฉันไม่คาดคิดว่าเจ้าอาวาสจะอยู่ที่นี่ เพราะหลังเล็ก เก่าทึม ๆ ไม่ได้ตกแต่งอะไรที่เป็นวัสดุทันสมัยเลย ผิดกับศาลาอื่น ๆ

            จุดนี้เป็นจุดที่ดิฉันประทับใจ อยากเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากค่ะ ดิฉันคิดว่าได้พบพระที่มีเมตตาสูง เห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตัวเอง เป็นพระที่ดิฉันไม่เคยพบมาก่อน

            วัดนี้เป็นวัดที่มีลูกศิษย์มากทุกระดับ มีความเจริญทางวัตถุและแสดงถึงความเจริญทางจิตใจในหลาย ๆ เรื่อง

          การปฏิบัติธรรมครั้งแรกของดิฉันเป็นการรับแค่ศีลห้า เพราะต้องรับประทานยาหลังอาหาร จึงต้องรับประทานอาหารเย็นด้วย

          เรือนที่ดิฉันอยู่เป็นเรือนริมน้ำรับรองวิทยากร ท่านวิทยากร พ.อ. ปาน จันทรานุช อยู่ชั้นบน ดิฉัน อาจารย์ละเอียด และเพื่อนอาจารย์อยู่ชั้นล่าง รวมทั้งคุณแม่ของดิฉัน

          คืนแรกที่เรือนหลังนี้ ดิฉันฝันเห็นเด็กผู้หญิงอ้วนขาว อายุประมาณ ๖-๗ เดือน น่ารักมาก เหมือนตุ๊กตา แต่ทราบว่าไม่ใช่คน เขามาปรากฏตัวให้เห็น

          คืนที่สอง ดิฉันก็ฝันอีก เป็นเด็กอีก แต่ต่างจากคนที่มาคืนแรกและฝันเห็นทุกคืน ในลักษณะปรากฏให้เห็น และเป็นเด็กไม่ซ้ำคนกันทุกคืน

          ดิฉันได้คุยให้เพื่อนอาจารย์ด้วยกันทราบเมื่อกลับมาถึงวิทยาลัย ไม่กล้าเล่าตอนอยู่ที่วัด เกรงว่าเพื่อนจะกลัว พอเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง มีคนหนึ่งบอกว่าให้ไปซื้อสลากกินแบ่ง

          ดิฉันก็ไปซื้อ ปรากฏว่าถูกเลขท้ายที่เพื่อตีให้ว่า ผีเด็กต้องเป็นเลขนี้ ธรรมดาไม่มีความรู้และไม่ชอบซื้อ แต่เพื่อนยุว่าเขาคงมาขอส่วนบุญ เมื่อถูกก็ทำบุญไปให้เขา ดิฉันเลยรีบทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำไปให้

          เรื่องฝันเห็นผีเด็กนี้ พอกลับมาบ้าน ดิฉันก็ฝันอีกนะคะ แต่ฝันเพียงคืนเดียว คราวนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุไม่เกิน ๕ ขวบ ขาพิการ

          ต่อมาครั้งที่สอง ดิฉันได้อาสาช่วยอาจารย์ละเอียดพานักศึกษามาปฏิบัติธรรมกับสหวิทยาลัยพุทธชินราช มีวิทยาลัยครูกำแพงเพชร เพชรบูรณ์ พิบูลสงคราม และนครสวรรค์

          การมาครั้งนี้ เพราะดิฉันเคยพบความสุขจากการปฏิบัติครั้งแรกกับพุทธสมาคมฯ ดิฉันได้รับความรู้สึกเป็นสุข ปลอดโปร่ง อธิบายให้ใครฟังไม่ถูกประมาณ ๒๐ นาทีในวันที่สองของการปฏิบัติ

          และคำพูดของท่าน พ.อ.ปาน ที่อธิบายเรื่องการเกิด-ดับ ประโยคที่ว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” เข้ากับสภาวะของดิฉันพอดี

          ดิฉันนั่งสมาธิรู้สึกปวดมาก เมื่อกำหนดว่า ปวดหนอ ๆๆ ไปถึงจุดจุดหนึ่งก็ไม่ปวดอีกเลย มีความว่างโล่ง เบาสบาย จนอธิบายไม่ถูก แต่นั่งสมาธิอีกครั้ง ก็ไม่ได้รับความรู้สึกอย่างนั้นอีกเลย

          ในครั้งที่สองที่มากับนักศึกษานี้ ดิฉันได้พักที่เรือนริมน้ำหลังเดิม ห้องเดิมอีกแล้ว อาจารย์ละเอียดถามดิฉันเหมือนกันว่าจะแลกห้องไหม ใจดิฉันอยากแลก แต่ความเกรงใจอาจารย์ที่ว่ามีของมาก จึงฝืนใจบอกไปว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” แต่ใจนั้นกลัวหน่อย ๆ

          น้องที่พักกันกับดิฉันชื่อ อาจารย์ชุลีรัตน์ จันทร์เชื้อ เธอสมัยใหม่มาก จิตของดิฉันตอนนั้นไม่ดีเลยที่ให้อาจารย์ชุลีรัตน์นอนที่เดิมของดิฉัน แต่ไม่ได้เล่าให้ทราบ เกรงว่าเธอจะกลัว

          ดิฉันได้สวดมนต์ บำเพ็ญสมาธิ แผ่ส่วนกุศลและแผ่เมตตาไปให้ดวงวิญญาณทั้งหลาย ทุกครั้งที่ทำบุญ นั่งสมาธิ และเดินจงกรม

          คืนแรกดิฉันก็ฝันถึงผีเด็กอีก มาให้เห็นเหมือนเดิม ดิฉันเกิดอารมณ์หงุดหงิด บอกกับตัวเองว่า ดิฉันมาปฏิบัติธรรมเพื่อหาความสงบของจิตใจ ไม่ใช่มารับสินบนจากผีให้ถูกเลขหวยรางวัล

          ดิฉันไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ยากจน อยากให้ผีทั้งหลายรู้ว่าดิฉันกลัว ไม่อยากเห็น ไม่อยากต้องรับรู้ แล้วตัวเองจิตใจหดหู่

          วันรุ่งขึ้นดิฉันก็ไปปฏิบัติธรรมตามปกติ แต่อาจารย์ชุลีรัตน์เธอบอกว่า ไม่ค่อยสบาย ขอนอนอยู่ที่ที่พัก ไม่ต้องเรียกเธอ เพราะตอนนี้เป็นฤดูหนาว เป็นช่วงหนาวจัดมาก และต้องลุกเวลาตี ๔ ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร

          พอตอนพักหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว อาจารย์ชุลีรัตน์เล่าว่า เห็นเด็กผู้ชายอายุไม่เกิน ๑๐ ขวบ เป็นเด็กท้องนา ไม่ใส่เสื้อ ไว้ผมแกละแบบเด็กโบราณ มาเมียง ๆ มอง ๆ ดูอาจารย์ด้วยความสนใจใคร่รู้

          ดิฉันจึงเล่าเรื่องความฝันของดิฉันให้อาจารย์ชุลีรัตน์ทราบและออกความเห็นกันว่า เรือนนี้ทำไมหนอจึงมีแต่เรื่องของเด็ก ๆ น่าจะมีเด็กตายที่บริเวณนี้นะ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อ แต่ท่านมีแขกมาหาตลอดเวลา

          หลวงพ่อต้องเหน็ดเหนื่อยจากการรับแขก แล้วยังปลีกเวลามาพบพวกเราแม้อากาศจะหนาวมากและดึกเพียงใด พวกเราทราบและซึ้งใจในความเมตตาของหลวงพ่อ

          ในคืนที่สอง ดิฉันฝันเห็นหญิงชาวบ้าน อายุประมาณ ๑๘ ปี มาชวนดิฉันไปดูอะไรกันที่ตลิ่งริมน้ำใต้ต้นพุทรา ดิฉันไปถึงเห็นกองรกและเด็กตายแล้วเป็นผู้ชาย

          หญิงนั้นบอกว่า ผู้ชายทำให้เขาท้องแล้วไม่รับ จึงทำให้ลูกออกมาก่อนกำหนด ประชดผู้ชาย เขาถามดิฉันว่า

          “พี่ดูซิ หน้าเหมือนพ่อของเขาไหม”

          ในฝันดิฉันก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบ ไม่เคยเห็นพ่อของเด็ก และเด็กนั้นก็เป็นตัวอ่อนที่ยังไม่เต็มวัยที่จะออกมาเป็นทารก

          เมื่อตื่นแล้ว ดิฉันเล่าให้อาจารย์ละเอียดฟัง อาจารย์ถามว่า “เคยแท้งบุตรไหม ดิฉันไม่เคยแท้ง ไม่เคยทำแท้ง และไม่เคยมีปัญหาเรื่องการท้อง หรือแท้งบุตร ดิฉันแต่งงานกับสามีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อยู่ด้วยกันมา ๒ ปี จึงมีบุตร

          ในคืนที่สาม ดิฉันไม่ได้ฝัน แต่มาพบเลย การมาครั้งนี้ดิฉันตั้งใจแน่วแน่จะถือศีลแปด คืองดอาหารมื้อเย็น ทำให้ดิฉันเพลีย กระวนกระวายมาก

          เวลาถึงอาหารเย็นในวันที่สาม ดิฉันจึงถามพวกที่เขาถือศีลแปด รุ่นพี่ ๆ ที่เคร่งครัด น่าศรัทธา ดิฉันอยากเป็นอย่างพวกเขา คือมีดวงหน้าสงบเรียบ ดวงตามีประกายสว่างสะอาด เหมือนดวงตาทารก

          เขาบอกดิฉันว่า หลังเวลาห้าทุ่มไปแล้ว ออกจากการถือศีลแปด ก็รับประทานอาหารได้ และคืนนั้นเป็นวันที่หลวงพ่อแจกวุฒิบัตร เป็นวันโกน ดิฉันจำได้แม่นมาก

          ดิฉันปรารภกับอาจารย์ละเอียดว่า เพลียมาก หิวข้าว กระวนกระวาย ไม่ค่อยสงบ อาจารย์ได้ให้คนขับรถไปซ้อข้าวเตรียมไว้ให้ดิฉันรับประทานตอน ๕ ทุ่มไปแล้ว

          คืนนั้นเป็นวันอาทิตย์ด้วย หลวงพ่อขึ้นช้ากว่าเวลา ๑ ชั่วโมงกว่า เพราะมีแขกมามากเหลือเกิน แต่หลวงพ่อก็ยังกรุณาแก่พวกเรา ท่านยังมีมุขตลกแหย่อาจารย์ละเอียด แหย่อาจารย์พรทิพย์ ชูศักดิ์ ให้พวกเราได้หัวเราะหายง่วง

          แต่ดิฉันมักมากในการรับประทาน ใจนึกถึงแต่ห่ออาหารที่คนรถซื้อเตรียมไว้ให้ คอยดูเวลา ๕ ทุ่ม ๑ นาที ก็เลี่ยงออกไปนำห่อข้าวมาจะรับประทานที่ที่พัก

          แต่พอแกะห่อข้าวออก ดิฉันรู้สึกเย็นยะเยือกทั่วไขสันหลัง เป็นความเย็นที่น่าแปลกมาก น่ากลัวเหลือเกิน ได้กลิ่นที่คิดเอาเองว่า เป็นกลิ่นน้ำมันพราย และมีความรู้สึกว่าดิฉันไม่ได้อยู่คนเดียวขณะนี้

          เหมือนมีใครอยู่ทางเบื้องซ้ายของดิฉัน ถ้าดิฉันเงยหน้าขึ้นจะต้องพบทันที ดิฉันตัวสั่นไปหมด กลัวสุดขีด ท่องนะโม พุทโธ ฯลฯ สลับไปสลับมา ดิฉันบอกว่ากลัว ๆๆ อย่าให้เห็น ขอให้กลับ ๆๆ จะทำบุญไปให้ สลับไปสลับมาอย่างนี้

          ครั้งแรกลุกไม่ไหว ขาแข็ง ก้าวไม่ออก สักพักก็ลุกได้ เดินดูแต่ปลายเท้าตัวเอง ไปยังศาลาสุธรรมภาวนาทุก ๆ ชีวิตอยู่บนนั้น

          ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังแจกพระคราวที่หลวงพ่อคอหัก และกำลังถ่ายรูปกันอยู่ เป็นเวลาห้าทุ่มยี่สิบกว่านาทีค่ะ

          ธรรมดาดิฉันไม่เคยเชื่อว่าผีมีจริง สอนลูกด้วยว่าไม่มี ไม่ให้กลัว ดิฉันไม่เคยห้อยพระ มีความคิดว่าพระอยู่ในใจเรา เราไม่ทำชั่ว ไม่คิดร้าย ไม่เบียดเบียนใคร มีสมอง มีสติแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยปัญญาของเราได้ ไม่เคยพะวงหรือหวาดกลัวอะไร มาจนถึงอายุ ๔๔ ปีเข้าปีนี้ ดิฉันชักจะต้องเชื่อเสียแล้วว่าผีมีจริง

          ดิฉันกลับมาเล่าให้อาจารย์กมลนาฏ มาลากุล เธอสอนภาษาอังกฤษเคย แขนหัก หลวงพ่อนำน้ำร้อนเดือดพล่าน อมเป่าให้เธอ

          เธอฟังแล้วบอกว่า ครั้งแรกที่ไปกับดิฉัน (ตอนพุทธสมาคมฯ เป็นผู้จัด) เธอก็ฝันเห็นเด็ก ๆ มาเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เป็นภาพการพายเรือเล่น การเล่นสนุกสนานของกลุ่มคน มีเสียงเอะอะโวยวาย ที่ครึกครื้น ส่วนมากเป็นเด็ก ๆ แต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง

          ดิฉันกลับจากวัดก็ได้ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เวลาใส่บาตรจะอธิษฐานว่าขอให้ได้ใส่ของดียิ่ง ๆ ขึ้น ได้ใส่มากขึ้น แล้วได้อย่างอธิษฐานทุกที

          ดิฉันทำบุญส่วนมากจะทำไปเฉย ๆ ไม่ค่อยอธิษฐาน เพราะสามีเขาคอยแซวดิฉันว่า ติดสินบนพระค้ากำไรเกินควร ทำให้ดิฉันละอาย ไม่กล้าขออะไร

          แต่คุณป้าของดิฉันเคยสอนว่า ทำบุญแล้วต้องอธิษฐาน ตอนหลัง ๆ ดิฉันก็ขอค่ะ ขอให้จิตใจแจ่มใส เบิกบาน มีปัญญา ไม่เคยขอทรัพย์สิน เงินทองอะไรเลย เพียงคิดว่าใจสงบ เข้าถึงธรรม ก็เป็นสิ่งประเสริฐ สมควรแก่เวลา ศรัทธาที่เราลงไปแล้ว

 

----------- จบ -----------